แค้นฝังหุ่น ชาตินี้ชาติหน้าก็ไม่ลืม
คำเตือน Blog นี้ เกี่ยวข้องกับการเมือง และค่อนข้างรุนแรงกับความรู้สึก
"สิบปีแก้แค้นไม่สาย" น่าจะเคยได้ยินมาบ้างใช่มั้ยครับ เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย แค้นจากรุ่นสู่รุ่น
ประเด็นที่จะหยิบยกมาพูดในวันนี้เริ่มมาจากข้อความว่า "หมากับคนญี่ปุ่นห้ามเข้าใกล้" ในประเทศจีนซึ่งเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น โดยป้ายที่ว่านี้ติดอยู่ข้างใต้ทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ คนญี่ปุ่นเป็นคนหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดทำให้เกิดประเด็นถกเถียงกันขึ้นมา
ผมขอไม่เอาป้ายที่กล่าวไว้ข้างต้นมาติด แต่ถ้าใครอยากเห็นหลังไมค์มา เดี๋ยวส่งภาพไปให้ดู
ในเรื่องนี้อาจารย์คนจีนที่สอนผม ท่านเล่าถึงสาเหตุของเรื่องนี้ว่า มันเป็นความแค้นที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้บุกยึดจีน และมีการสังหารหมู่ชาวจีนจำนวนมาก ผู้ชายจับไปฆ่า ให้นั่งเรียงแถวแล้วยิงทิ้ง ผู้หญิงจับไปข่มขืน แล้วฆ่าทิ้ง หากท่านได้ชมภาพยนตร์เรื่อง "นานกิง โศกนาฏกรรมสงครามมนุษย์" ท่านจะเห็นถึงความโหดร้ายของมนุษย์ ดูแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ
ผมมีโอกาสได้รับชมเบื้องหลังการถ่ายทำ และบทสัมภาษณ์ผู้กำกับเรื่องนี้ ฟังแล้วก็ชวนให้รู้สึกหดหู่กับการกระทำที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ มีฉากทีทำให้สะเทือนใจมากมายในภาพยนตร์เรื่องนี้ เข้าเรื่องดีกว่าก่อนที่จะกลายเป็นคุยเรื่องภาพยนตร์ไป อาจารย์ท่านให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า นี่คือการปลุกกระแสชาตินิยมแบบผิดๆ แน่นอนว่าความแค้นที่มีมาในอดีตเราไม่ควรลืม แต่การที่ผลิตภาพยนตร์แบบนี้ออกมา มีแต่จะทำให้คนทั้งสองชาติเข้ากันไม่ได้ และกลายเป็นแผลลึกลงไปยากแกการเยียวยา เราควรคิดแบบทางตะวันตกคือ I Can Forgive, But Not Forget. คือ ให้อภัยแต่ไม่ลืม เราควรจะรู้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อนไม่ใช่รุ่นเรา เราจะมาโกรธแค้นคนที่ไม่รู้เรื่อง มันสมควรแล้วหรือ?
ประเด็นนี้ถกเถียงกันแบบไม่มีการเตรียมข้อมูลล่วงหน้า ผมจับประเด็นที่น่าสนใจได้หลายประเด็น เช่น รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีการขอโทษ และยอมรับผิดเรื่องจึงไม่จบ จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ไม่ตรงกัน ภาพความโหดร้ายที่ทั้งสองฝ่ายอ้างไม่ตรงกัน การชดใช้ค่าเสียหายจากสงคราม จากนั้นก็วิเคราะห์ในฐานะคนกลาง (กลางความขัดแย้ง)
"ป้ายแสดงการต่อต้าน และไม่พอใจ"
ภาพที่เห็นด้านบนเป็นภาพจากมณฑลเหอหนาน ป้ายขับไล่คนญี่ปุ่น ร้านนี้เป็นร้านขายอุปกรณ์ทหารครับ พวกเสื้อทหาร ของตำรวจก็มีบ้าง ก็มีป้ายขับไล่ชาวญี่ปุ่น สำหรับเมืองคุนหมิงไม่แรงเท่าเมืองอื่น เมืองที่แรงสุดๆ คงเป็นเมืองนานกิง (หนานจิง) ที่นานกิงของเค้าแรงจริงๆ เพราะเป็นเมืองที่มีการสังหารหมู่ชาวจีนอย่างที่เล่าไปข้างต้น อาจโดนฆ่าตายได้ทีเดียว
มันเป็นเรื่องน่าสมเพช ตอนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นคนญี่ปุ่นก็พูดกันดี พอรู้ว่าเป็นคนญี่ปุ่นท่าทีก็เปลี่ยนไป พูดจาแย่ลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด มันแสดงให้เห็นถึงความใจแคบ เหมือนเด็กไม่รู้จักโต อาจารย์ท่านด่า
ถ้าเกลียดกันขนาดนั้นก็ควรจะตัดความสัมพันธ์ไปเลยจะดีกว่า ไล่คนญี่ปุ่นกลับให้หมด ปิดสถานฑูต ยกเลิกการผลิตสินค้าทุกชนิดที่ทางญี่ปุ่นสั่ง งดที่บริโภคของญี่ปุ่นไปทุกอย่าง หากใครบริโภคจะต้องได้รับโทษโทษประหารชีวิต หรือใครมีแนวคิดที่ชื่นชมญี่ปุ่นให้ถือว่าเป็นพวกขายชาติ?
กรณีแบบนี้มีให้เห็นบ่อยที่ประเทศจีน การคลั่งชาติแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่นานมานี้ก็มีการต่อต้านญี่ปุ่นที่เมืองฉงชิ่ง โดยมีความพยายามทำลายห้าง หรือแม้แต่ทำลายร้านค้า สถานประกอบการของคนญี่ปุ่น จนไปถึงการเผาทำลายรถญี่ปุ่น แล้วก็มาร้องไชโยทั้งที่รถที่ถูกเผาก็รถของคนจีน?
ประเด็นนี้ผมโดนลากเข้าไปเกี่ยวด้วยในฐานะตัวแทนจากประเทศไทย ประเทศที่โดนญี่ปุ่นเล่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งที่เราก็ไม่อยากจะไปอยู่ตรงกลางความขัดแย้ง ผมให้ความเห็นโดยต้องถามทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อรวบรวมข้อมูล ได้ความว่า
รัฐบาลญี่ปุ่นสมัยโคะอิซุมิ จุนอิจิโร ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คนจีนเกลียดคนญี่ปุ่นมากขึ้น ผมจำได้ว่าเคยมีข่าวนายกคนนี้ไปคาราวะศพสุสานทหารญี่ปุ่นที่ประเทศจีน เรื่องนี้คนจีนถือเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงตามที่ผมมีข้อมูล หลายคนอาจคิดว่าเรื่องแค่นี้เอง แต่มันสะเทือนจิตใจคนจีนมาก
จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ไม่ตรงกัน ภาพความโหดร้ายที่ทั้งสองฝ่ายอ้างไม่ตรงกัน ข้อมูลของทั้งสองฝ่ายต่างกันแบบฟ้ากับเหวยากที่จะวิเคราะห์ว่าข้อไหนข้อมูลถูกต้อง อีกทั้งเรื่องมันก็ผ่านมานานทำให้ยากที่จะพิสูจน์ความจริง จะว่าไปประเทศไทยก็กำลังเดินตามรอยในจุดนี้เหมือนกัน หลายๆ เรื่องก็ปล่อยให้มันผ่านๆ ไป เมื่อเวลาผ่านไปนานข้อมูลของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มที่จะแตกต่างกันมากขึ้น
แน่นอนว่าผมไม่มีวันลืมประวัติศาสตร์ที่ญี่ปุ่นเลยบุกประเทศไทย แต่สิ่งที่เรียกว่าพฤติกรรมคลั่งชาติของคนจีนผมไม่เห็นด้วย ใครผิดก็ว่าไปตามผิดไม่ใช่เหมาว่าทุกคนผิด อีกทั้งหากคิดว่ามันเป็นปัญหา ก็ควรตั้งโต๊ะเคลียร์ปัญหาแล้วให้มันยุติไปเลยดีกว่า ดีกว่าปล่อยให้มันค้างคา
ล่าสุดมีประเด็นหมู่เกาะที่มีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า เตียวหยูเต่า หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า เซ็นโกกุ ปัญหาเรื่องนี้ก็มีความพยายามปลุกกระแสชาตินิยมแบบโง่ๆ ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านญี่ปุ่น และเรื่องก็เริ่มเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ถึงขั้นทางการจีนเชิญฑูตญี่ปุ่นมาเตือนเลยทีเดียว ผมมองว่าความขัดแย้งไม่ว่าจะเรื่องอะไร มันจบได้ด้วยโต๊ะเจรจา หากใช้กำลังก็หมายถึงจะต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ และสุดท้ายชัยชนะที่ได้มาก็จะกลายเป็นความพ่ายแพ้ หรือที่เรียกว่าแพ้ทั้งสองฝ่าย ซึ่งต่างจากการเจรจาแบบนั้นชนะทั้งสองฝ่าย
ผมนึกถึงเหตุการณ์ในประเทศไทยที่มีคนไปซื้อหมู่ย่าง แล้วเจ้าของร้านบอกคนที่มาซื้อว่า "ไม่ขายให้ ขายให้ไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่สั่งไว้ ว่าห้ามขายให้" มันทำให้ผมรู้สึกสมเพชในการกระทำของคนในชาติเดียวกัน คนไทยมันเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว? ขายให้ไม่ได้เพราะนายสั่ง? นายเค้าใหญ่ขนาดไหนกัน ใหญ่กว่าโลงมั้งอะ?
ผมไม่อยากจะนึกเลยว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ประเทศที่อ้างว่าเป็นเมืองพุทธ ผู้คนมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ ใจกว้าง มันเหมือนเด็กเล่นขายของที่นึกจะไม่ขายก็ไม่ขาย โดยอ้างเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นว่า ผู้ใหญ่สั่ง ท่านไม่ใช่พวกเดียวกับเรา
มาวันนี้ประเทศไทยกำลังเดินตามโมเดลของประเทศจีนในเรื่องความขัดแย้ง และการสร้างกระแสคลั่งชาติ ถ้ายังมีการปลุกกระแสคลั่งชาติ คลั่ง Censor Censor Censor Censor Censor Censor Censor Censor แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คนไทยต้องลุกขึ้นมาฆ่ากันเองแน่นอน และถ้าถึงวันนั้นก็ตัวใครตัวมันล่ะ คำถามก็คือว่า "เราจะเดินตามโมเดลความขัดแย้งแบบของประเทศจีนหรือ?" "ต่อไปนี้เราจะสร้างวัฒนธรรมที่คนทำตามกติกาต้องยอมแพ้ให้อำนาจเถื่อน? แล้วปล่อยให้คนไทยแค้นฝังหุ่น เราจะเอาอย่างนั้นมั้ยล่ะ?"
"สถานที่เกิดเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"
ปัจจุบันสถานที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวจีน เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองนานกิง เป็นที่ที่เอาไว้ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตอันโหดร้าย น่าจะเปรียบกับสะพานข้ามแม่น้ําแควบ้านเราได้ แต่ของเค้ายิ่งใหญ่กว่าเยอะ มีโอกาสจะเขียนแนะนำแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ครับ
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2553 |
|
35 comments |
Last Update : 3 ธันวาคม 2560 23:23:21 น. |
Counter : 3877 Pageviews. |
|
|
|