ไม่กี่ปีมานี้ ได้ไปสัมผัส บ้านเรือน อากาศ หมอกที่ตก
หนา ท้องนาสีทอง พื้นที่ เป็นเนินสูงต่ำ ลำน้ำปายไหล
ทอดยาว คดเคี้ยวไปมา ริมน้ำยามเช้า หมอกจะตกหนา
ยามลมพัดเบา ๆ ตีหมอกกระจาย เป็นช่องเห็นน้ำใสไหล
เบา ๆ
พวกเรานั่งผิงไฟริมฝั่งดินปนทราย เราโยนมันเทศหัวสี
แดง กับมันอะลู หรือมันฝรั่ง เข้าไปในกองขี้เถ้า
ไม่นานนัก เสียงความร้อนดันมันดังฟี้ เบา ๆ เขี่ยออก
รอให้เย็นนิด ใช้มือบิมันเทศ หักกลางลอกเปือกสีแดง
ออก ความหอมกับไอร้อน ฉุยออกมา เอามันร้อน ๆ แตะ
ๆ ลิ้น อุ่นพอทานได้ เคี้ยว หอม มีรส หวาน อุ่นอร่อยที่
สุด ข้างขอนไม้ที่เรานั่งมีกาต้มน้ำกำลังเดือด ยามเท
น้ำใส่ถ้วยกาแฟ ผงกาแฟถูกน้ำร้อน ส่งกลิ่นหอม ตักน้ำ
ตาลโรยไปช้อน แล้วคน ยกขึ้นจิบ หอม
มองไปด้านตะวันออกผ่านลำน้ำปาย แสงแรกส่องกระทบ
สายน้ำไหล เป็นประกาย
เพื่อนทั้งหญิงและชาย สวมเสื้อกันหนาว สีแดงสด ขาว
บ้างสีเข้ม มีฮูดหรือหมวกสวมหัว สวมถุงเท้า ถุงมือกัน
ทุกคน ยามยกด้วยชา กาแฟขึ้นดื่ม ไอน้ำลอยขึ้นข้าง
บน แสงอาทิตย์ผ่าน ดูสวยงามจริง ๆ
ชาวบ้านที่อยู่ละแวกเดียวกันนั้น กำลังถอนหญ้าบนแปลง
กระเทียมสีเขียวยาว มีเกร็ดน้ำค้างเกาะไปทั่ว หญิงชาว
บ้านนุ่งผ้าถุงยาวเกือบถึงตาตุ่ม สวมเสื้อคอกลมแขน
กระบอก ปิดหน้าอกด้วยกระดุม สีเสื้อผ้าจะเป็นสีเอิร์ธ
โทนหรือ ใช้เปือกไม้ย้อมเทาอ่อน บ้างเป็นสีน้ำตาลอ่อน
ชายชาวบ้านจะนุ่งเตี่ยวสะดอ ก็กางเกงขาสั้นแค่เข่าใส่
เสื้อแขนยาว สีเข้ม ไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาว ใช้จอบตักดิน
ปล่อยน้ำให้ไหลสู่ร่องกระเทียม
ตกสายเกือบ 9 โมงเช้าหมอกยังคงปกคลุมไปทั่ว ชาวไร่
จะหยุดพักล้างมือ กลับตูบ(กระท่อม) หลังคามุงใบตองตึง
สีน้ำตาลนวล ทานข้าวสวย กับอาหารพื้นเมืองง่าย ๆ
เช่น น้ำพริกปลาร้า แกงชะอมใส่ปลา.
ส่วนพวกเรา เข้าไปถ่ายรูปด้วยกล้องใส่ฟิล์ม ภาพชีวิต
ตามท้องทุ่ง ชาวบ้านมักจะกวักมือเรียก มาทานข้าวด้วย
ความเอื้ออารีย์ ของชาวเมืองปาย
กลางคืน เราจะเดินเที่ยวในตัวเมืองปาย มีร้านอาหาร
แบบจานเดียว เช่นสเต็ก สปาเก็ตตี้ ฯ ร้านจะใช้จุดตะเกียง
ที่ดัดแปลง เรือนไม้เก่า ยุ้งข้าว ทำเป็นร้านอาหาร
เปิดเพลงสากลเบา ๆ พวกเราจะนั่งกินอาหาร ฟังเพลง
บางร้าน มีกีต้าร์โปร่งเล่นคลอกับนักร้อง ด้วยเพลงพื้น
เมือง บางทีเป็นเพลงคันทรีของต่างประเทศ
เครื่องดื่ม เช่นวิสกี้ แม่โขง เบียร์มีขายเช่นกัน แต่วิธีการ
ดื่ม จะดื่มกันไม่มาก เพื่อให้เกิดความอบอุ่น
บางเช้าจะขี่จักรยาน หรือเดินมาซื้อปาท่องโก๋ ข้าวเหนียว
ปิ้งขนมปังสังขยา ข้าวต้ม โจ๊ก บางคนซื้อผักพื้นเมืองไป
ทำกินกันเอง ณ ที่พักชนิดโฮมสเตย์
เจ้าของจัดทำบ้านธรรมดา มุงหลังคาด้วยใบ
ตองตึง มีชานยื่นมาให้นั่งกับพื้น จิบกาแฟ มองไปข้าง
หน้าเป็น นาข้าวสีเหลืองทอง ปลูกถั่วเหลือง ถั่วเขียว
เป็นแปลง ยาว ๆ มีประกายน้ำค้างยามต้องแสงแรกของ
วัน ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาว พวกเราจะลงเล่นน้ำปายที่ใส ไหล
เอื่อย ๆ ขัดขี้ใคลให้กัน ท้องน้ำเป็นกรวดก้อนโต ยามเดิน
จะมีเสียงดังกรึดกราด ใช่แล้วบรรยากาศข้างบนนี้เป็น
ที่กล่าวขวัญจากปากสู่ปาก แล้วไปทั่วโลก
แต่เดี๋ยวนี้เหรอ
เฮอะ ขับรถเข้าปาย มีป้ายโฆษณา
ตั้งเปรอะ เลอะเทอะ แม้กระทั่งในป่า กลางคืนไม่เบาก็
คือ เอาห้องแถวไม้เป็นที่ตั้ง วงดนตรีเล่นกระแทก โดย
ต่อข้างห้องด้วย ผ้าเป็นริ้ว ใช้แสงไฟเข้าช่วย ปูพื้นด้วย
ไม้ไผ่ สับหยาบ ๆ บางที่ก็เล่นแสงแพรวพราวยังกะเธค
โอ้พระเจ้าจอร์ทกล้วยทอด ตามถนนคนเดิน
เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมโจมตี การเล่นดนตรีแรง
ดังกระหึ่ม การใช้แสงสีหมุนส่ายไปส่ายมา จริงผมชอบนะ
สิทธิในการอยู่ในบรรยากาศแบบนั้น มีได้นะครับผมเห็น
ด้วย เพราะเราทำการค้า ย่อมจะหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
แต่ควรจัดเป็น แหล่งไป เช่นถนนสายดนตรี ให้มีร้าน
ชนิดนี้เป็นไปทางเดียวกัน แต่ให้ไกลบ้านคนหน่อย
สร้างรีสอร์ทเหรอ ทำได้ครับพยายามทำให้เป็นแบบ
ธรรมชาติที่สุด เพราะผู้คนเขามาเที่ยวหา ธรรมชาติ
และควรให้มีเยอะด้วย ชาวบ้านจะได้มีงานทำ
แต่ไม่ใช่ไปบุก ท้องไร่ท้องนาเสียเปรอะ มีแต่หลังคาไม่กลมกลืน
บ้าน ตัวบ้านเหรอ ทาสี เหลือง แดง เขียว ใช้แม่สี
ยังกะอยู่แอฟริกา โซมาเลีย มองจากบนเนิน ตายโหง
ตายพราย บ้านจัดสรรอยู่ในสวนกระเทียม
เปรียบเสมือน กลอนที่ลุงแอ๊ดเขียนส่งให้ผมว่า
ความเจริญมา ธรรมชาติไป
เพื่อน ๆมีความคิดเห็น แหะ ๆ ทางด้านสร้างสรรค์ แนะ
นำ อย่างไรบ้าง ช่วยให้ความเห็นกันหน่อยนะ
ถ้าเรื่องด่า ผมขอสงวนไว้คนเดียว กันถูกปิดบล๊อกครับ 555
ตอบเม้นท์ ตอนที่ 1 เม้นท์ที่ 43
ตอบเม้นท์ ตอนที่ 2 เม้นท์ที่ 53
546/95/18/1/2554