รุ่งเช้า อากาศเย็น เรามานอนค้างที่บ้านลุงของจรูญตั๋น ในไร่เส้นทาง
ไปห้วยช่างเคี่ยน เป็นลำห้วยที่ไหลมาจาก ดอยปุย
ผมนอนมองมุ้งสีขาวสอาด แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องไปทั่ว ลุกขึ้น
เก็บมุ้งพับวางไว้บนที่นอนที่พับ เสียงคนลับมีดขอ ด้วยหินหยาบ
ดังซิ๊ดซ๊าด คงจะเป็นคนงานของลุงที่เตรียมตัว ลงทำไร่
เลยรีบปลุกพรรคพวกให้ตื่นขึ้นอาบน้ำแปรงฟัน เจ้ากำธร ที่นามสกุล
เชื้อเจ็ดตน ลุกขึ้นมาถามหาห้องน้ำ จรูญเลยชี้ให้ไปยิงกระต่ายใน
ป่าอีกฝั่งของลำห้วย ถ้ารอประสิทธิ ที่เข้าห้องน้ำ เจ้าณรงค์กำลังยืน
รอ คงได้เรี่ยราดกันมั่ง
ผมผลัดผ้านุ่งผ้าขาวม้า ลงไปอาบน้ำกับเสรี กมลที่ลำห้วย น้ำในลำ
ห้วยตอนเช้าอุ่นนิด ๆ เลยสระหัวไล่ อาการสลึมสลือของพิษเหล้าป่า
ขัดสีฉวีวรรณนานเหมือนกัน นาน ๆ ได้อาบน้ำลำห้วยอุ่น รู้สึกสดชื่น
ลุงได้ก่อไฟด้วยฟืน นึ่งข้าวเหนียวใน หม้อนึ่งไม้ใหญ่ ไอน้ำลอยขึ้น
มานิด ๆ กมลเปิดฝา ใช้พายไม้งัดข้าวที่กำลังร้อน เอามือบี้เนื้อข้าว
กลิ่นข้าวเหนียวใหม่หอมฟุ้ง เสรีดู แล้วปิดฝาไว้เหมือนเดิม
ไม่นานข้าวเหนียวใช้ได้แล้ว กมลเทข้าวเหนียวจากเตา ใส่ถาดไม้
ใบใหญ่ ไอน้ำพุ่งคลุ้งเต็มหน้า ใช้ไม้พายแบนเล็กจุ่มน้ำเย็น นำมา
พลิกข้าวเหนียวไปมา ให้ไอ ระเหยออกไป จะได้ไม่แฉะเหนียวติดมือ
กลิ่นข้าวเหนียวใหม่หอม เม็ดข้าวยาว นุ่มทำเอาต้องกลืนน้ำลาย
กมลพลิกข้าวจนไอน้ำออกไปได้พอประมาณใช้พายไม้งัดข้าว ตัก
ใส่กล่องข้าวหรือที่คนภาคอื่นเรียกว่า กระติ๊บข้าวที่สานด้วยไม้ไผ่สอง
ชั้น จับยัดจนเต็มสามใบ น่าจะหนักกว่า 4 กก. แล้วปิดฝาให้
เก็บความร้อนไว้
ถาดไม้ใหญ่ที่ เทข้าวเหนียวร้อนใส่ มีเม็ดข้าวติดนิดหน่อย ผมจัดการ
เทน้ำเย็นใส่ แช่ไว้เตรียมล้างคว่ำเก็บไว้ใช้ต่อ
เสรีเอาพริกหนุ่มหรือพริกชี้ฟ้าสีเขียว มาแทงด้วยไม้แหลมยาว ปิ้งไฟ
ถ่านอ่อน ๆ กว่า 10 เม็ด คอยพลิกไม่ให้ไหม้.
กำธร ควักปลาร้าปลาช่อนสีแดง 2 ชิ้นใส่ใบตองกล้วย 3 ชั้นขึ้นย่าง
บนตระแกรง คอยกลับด้าน กลิ่นเริ่มหอมนิด ๆ ส่วนหอมแดงกว่า
7 หัวใหญ่กระเทียมอีก 3 หัวเสรี จับโยนใส่กองขี้เถ้าร้อน ใช้ไม้เขี่ยให้
ขี้เถ้าคลุมให้ระอุ
ส่วนผมเหรอ แหะ ๆ ไม่ชอบกลิ่นปลาร้าเท่าใด พอเตาเริ่มว่าง ก็เอา
เนื้อเค็มสีแดงหนาพอประมาณแผ่นโต ขึ้นปิ้งบนตระแกรง พอเนื้อที่
นุ่มเจอถ่านไฟร้อน ๆ ก็เริ่มหอม ออกเค็มนิด ๆ ใช่ครับ กลิ่นมันออก
เค็มจริง ๆ ไม่โกหก 555 ปิ้งจนหมดที่เอามานะแหละ กิโลได้มั้ง
แล้ว เราพ่อครัวก็ต้องชิมเนื้อที่ร้อนหอมฉุย อร่อย เค็มนิดเดียว
เสรีเอาพริกปิ้งที่สุก ลอกเปลือกออก เทใส่ครกใหญ่ส่งให้กมลตัวโต
โขลก รวมกันหอมกระเทียมที่สุกแกะเปลือก กลิ่นเริ่มหอม
กำธร เอาปลาร้าปลาช่อนที่สุก ไปสับบนเขียงไม้มะขามจนละเอียด
เท ใส่ครก กลิ่นหอมฉุยจริง ๆ ทั้งที่ผมไม่เคยชอบกลิ่นปลาร้าเลย
ตำพอแหลก เสรีใช้ช้อนตักชิม แล้วขยอกน้ำปลาใส่อีกนิด เทน้ำร้อน
ไปนิดพอให้แฉะบดไปมา แล้วตักใส่ถ้วย
ทีนี้พวกเรา คดข้าวเหนียวจากกระติ๊บข้าว ใส่จาน 4 จาน ไปนั่งกิน
บนโต๊ะริมน้ำใต้ต้นชมภู่ป่า ก็มีน้ำพริกหนุ่ม เนื้อเค็มปิ้งเกือบ
กิโล ก็แบ่งใส่ตู้กับข้าวให้ลุงชิ้นโต 2 ชิ้น เสรีไปเก็บถั่วฝักยาวเขียว
แข็งปั๋ง กับแตงกวาลูกเล็ก ยังมีหนามเล็กขึ้นเต็ม มาล้างที่ลำห้วย
สลัดน้ำทิ้ง แล้วใส่จาน.
ทีนี้ต่างคนต่าง ยัง ๆ ครับยังโจ้ข้าวไม่ได้ พวกเราเป็นศิษย์มีครูก็
ครูปรียา คอยอบรมพวกเราให้ล้างมือก่อนกินข้าว ต่างก็ไปล้างมือ
ที่ลำห้วยทั้งสองข้าง แล้วเช็ดมือด้วยผ้าขาวม้า แล้วดมมือ ดูสอาด
ดี แต่เจ้าณรงค์ทำจมูกฟุดฟิด หลังจากเช็ดด้วยผ้าขาวม้าสีมอ ๆ
มันคงจะเหม็นผ้าขาวม้าที่ไม่ค่อยได้ซักนะแหละ 555
พอเอามือขวา หยิบข้าวเหนียวใหม่อุ่นหอม มาบีบพอเป็นคำ ไม่ให้มัน
หลุด จิ้มกับน้ำพริกหนุ่ม ยัดเข้าปาก ตามด้วยเนื้อเค็มปิ้งฉีกเป็นเส้น
โห อร่อยจริง ๆ หักถั่วฝักยาวที่เขียวเนื้อแน่นใส่ปากเคี้ยว กรอบหวาน
ลำแต้ ๆ เน่อ ส่วนผมเหรอทีแรกกินแต่เนื้อเค็มกับข้าวเหนียวมันก็
อร่อยดี พอเห็นเพื่อนใช้ข้าวจิ้มน้ำพริกหนุ่ม ลองจิ้มมั่ง พอยัดเข้าปาก
เหะ... หอมเผ็ดเค็ม อร่อย. เช้านั้นข้าวหมดไปสองกระติ๊บคงกว่า
สาม กก. 555 หนุ่ม ๆ ก็งี้แหละ ส่วนแตงกวาสดกว่า 10 ลูกหมด
เหลือแต่ถั่วแค่ 2 ฝัก.
เออ เคยอ่านหนังสือที่ไหนไม่รู้ เขาเล่าว่าคน ภาคเหนือ ภาคอิสาณ
ภาคกลางกินข้าวเหนียวไม่เหมือนกัน คนภาคกลางคดข้าวเหนียว
ใส่จาน แล้วใช้ซ่อมจิ้มยัดใส่ปาก ดูแล้วพิลึก ไม่เหมือนคนภาคเหนือที่
ก่อนกินข้าวต้องล้างมือทั้งสองข้างเช็ดจนแห้งด้วยผ้าขาวม้า ผู้หญิง
เช็ดด้วยผ้าเช็ดมือในบ้าน มิใช่เช็ดด้วยผ้าถุงนะ มันจะเสียขนบ
ธรรมเนียมประเพณีเหนือ เวลาจับข้าวเหนียวด้วยนิ้วมือขวาบีบให้
เป็นก้อนแน่นไม่มาก แล้วใช้ข้าวเหนียววางใกล้แหนม แล้วบีบรวมกัน
ค่อยกิน แต่ถ้าเป็นแกงหรืออาหารที่มีน้ำ จะตักใส่ชามเล็กเฉพาะตัว
กิน แต่เท่าที่ผมจำได้ ทางเหนือกินอาหารไม่แฉะเป็นส่วนใหญ่เช่น
แหนม หมูปิ้ง ใส้อั่ว แกงโฮ๊ะ ที่แห้ง น้ำพริก
อาหารจะตักแบ่งใส่ชามพอกินแต่ละครั้ง ถ้ากินเหลือจะเทในชามทิ้ง
อาหารในหม้อที่เหลือหรือในชามใหญ่ จะเก็บใส่ตู้ เช่นแกงฮังเล
วุ้นเส้น พอเหลือมากจะใส่กระทะผัดจนแห้ง คงมีคนสงสัยว่าอาหาร
ไม่เสียเหรอ ไม่เสียครับ เพราะส่วนใหญ่อากาศทางเหนือหนาว
ฤดูร้อน จะไม่เก็บคือ ทำพอกินเท่านั้น
หลังจากกินข้าว แหะ ๆ เขาไม่เรียกว่า ทานข้าวหรอก มันหรูเกินไป
คนภาคเหนือ จะล้างมือ ฟอกสบู่ เช็ดมือทุกครั้ง แล้วจึงค่อยกินน้ำ
ไม่ให้ แก้วหรือด้ามกระบวยเปื้อน
เขียนบันทึกขึ้นมาเล่าถึงวิธีกินข้าว การล้างมือให้เป็นความรู้ว่า คน
ภาคเหนือมีวัฒนธรรมที่ดีพอสมควร และพอแก่ฐานะจะได้ลบล้าง
คำที่ว่า "คนเหนือกินข้าวแล้วไม่ล้างมือ ใช้มือลูบหัวแทน" เพราะส่วน
ใหญ่แล้วคนเหนือมีความรู้ รักษาประเพณีที่ดีพอสมควร แต่อย่างว่า
คนทุกภาคในเมืองไทย ไม่ว่าภาคไหน กินข้าวแล้วไม่ล้างมือก็มี
แต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่นะครับ
ตกสาย แดดเริ่มร้อน พวกเราออกเดินทางด้วยเท้าลัดเลาะตามทาง
เล็ก ๆ ผ่านเนินเขาเสียงจั๊กจั่นร้องระงม นกป่าสีแดงเล็กกว่าไก่
นิดหน่อยบินพรึบพรับผ่านหน้าเราไป
จุดหมายปลายทางของเราก็ น้ำตกห้วยช่างเคี่ยน เดินร่วม ชม.ก็ได้
ยินเสียงน้ำตกดังซ่าใหญ่ไม่ขาดสาย พอพ้นเนินสูงเห็นลำธารไหล
อยู่เบื้องล่าง ด้านตะวันตกต้นไม้ใหญ่บดบังเชิงเขาไว้ แต่มีบางช่วง
เห็นเม็ดน้ำตกฟุ้งกระจายให้เห็น
ความร้อนค่อยคลาย ลงเรื่อย ๆ เสียงร้องเพลงค่อยเงียบ เสียงน้ำตก
ดังกลบเกือบหมด เราเดินลงจากเนินข้ามลำห้วยที่ใส เย็นเฉียบไป
ฝั่งตรงข้าม จึงเห็นน้ำตกหล่นมาจากหน้าผา ทอดยาวลงมาละออง
น้ำฟุ้งกระจาย เหนือขึ้นไป กล้วยไม้เกาะอยู่คบคาไม้ใหญ่ อยู่ทั่วไป
ชมภู่ป่าทอดกิ่งยื่นไปกลางลำห้วย ไม้พลวงสูงชลูดบังให้เกิดร่มเงา
ดอกเกสรชมภูป่าสีแดง หล่นเกลือนก้อนหินที่พวกเรายืน กลิ่นหอม
เย็น ๆ คล้ายกลิ่นชมภู่ม่าเหมี่ยว
จรูญตั๋นกับผม วางเป้ ลงนอนบนใบไม้ที่ร่วงหนานุ่ม หอมแห้ง ๆ
เหงื่อที่เคยไหลระหว่างเดินได้แห้งไปหมด ส่วนคนอื่นวางเป้ผลัด
เสื้อผ้ากางเกง เหลือแต่กางเกงวานรคนละตัว ลงเล่นน้ำไหล ใสเย็น
ปลาตัวเล็ก ว่ายไปมา
ณรงคป๊อก ลงไปแช่น้ำใกล้ก้อนหินใหญ่ที่มีน้ำไหลลงมานวดหลัง
อย่างสุขใจ และแล้วพี่แกก็ร้องโวยวาย ปลิงเกาะขา ว่าพลางก้าว
เดินขึ้นบนฝั่ง
พวกเราต่างหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ไม่ใช่ท้องน่วมนะ 555 ก็ปลิง
ที่ไหนมันจะอยู่ในน้ำไหล คงจะเป็นลูกอ๊อดกบป่าหรือไม่ก็ปลาตัวเล็ก
ที่ชอบดูดขาให้เสียว.
พรรคพวกลงเล่นน้ำ แล้วขึ้นมานั่งบนก้อนหินใหญ่ คุยถึงสาว ๆ
รุ่นพี่ชั้น ม.8 หน้าสวย ยิ้มมีลักยิ้มทำนองนี้แหละ ส่วนผมก็เหลือ
กางเกงในตัวเดียวขึ้นมานั่งคุยมั่ง ให้คลายความเย็นของน้ำ แล้วก็
เกิดความอาย จริงนา อายจริง ๆ ก็กางเกงในผ้ามันบาง เลยขึ้นไป
หยิบผ้าเช็ดหน้ามา เหน็บไว้ส่วนหน้าของกางเกงใน แหะ ๆ คล้ายกับ
น้าเพชรา ไม่งั้นก็คุณอรัญญาใส่ทูพีช แล้วมีผ้าสี่เหลี่ยมมาบังส่วนหน้า
ไว้ไง.... ประสิทธิกับกำธรเห็นเข้าเลยโห่ เลยต้องปลดออกทำตัว
ให้เหมือนคนอื่น ไม่งั้นเหรอ 555
ขืนทำจะถูกเพื่อนทำให้อาย มากกว่านี้ ก็ ๆ แบบ กระเทยในห้องเรียน
ลูกรองแม่ทัพภาค 3 พูดเชิงอวดว่าวันนี้ เดี้ยนใส่กางเกงในสีชมภู
เท่านั้นแหละ พวกผมนี่แหละ จับแก้กางเกง เอาอันเดอร์แวร์สี
ชมภูออกวิ่งหนี แล้วผมละ ยิ่งอยู่ในป่าพวกมันจะไม่ทำมั่งเหรอ
เค้าก็อายเป็นนะ 555
วันนั้น เราเล่นน้ำ กินอาหารกลางวันก็ข้าวเหนียว กับแกงโฮ๊ะที่ลุง
ทำไว้ให้ อร่อยสุด ๆ
พวกเรา คงคบหากัน จนกระทั่งเรียนจบมัธยม ต่างแยกย้ายไปเรียน
ต่อที่กรุงเทพ แล้วก็ค่อย ๆ ห่างกันไป เสียดายมากครับ ที่ไม่อาจจะ
ติดต่อกันได้ โดยเฉพาะผม ต้องไปทำงานหลายจังหวัด ระยอง
จันทบุรี ตราด ชุมพร สุรินทร์ อุบล พิษณุโลก อุตรดิตถ์ โห้ยเยอะ
มากครับ เลยลงรูปเพื่อน เท่าที่มีเผื่อพวกเขาจะแว๊ปมาเห็น.....
เคยไปหาเพื่อน ตามมหาลัยต่าง ๆ ก็พวกมันไปเป็นอาจารย์ กันหลาย
คน แต่เพราะไม่จำนามสกุล จำได้แต่ชื่อพ่อของมัน ถามนักฉึกฉา
เลยไม่รู้เรื่องกัน 555
st.11048/14131
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ