พอเขียนเรื่องวิปัสนา เห็นเพื่อน ๆ มาเม้นท์นับ
แล้ว กลายเป็นเรื่อง วิญญานกับ ผีไปซะ แล้ว ยังงี้
ถือว่า ข้าพเจ้าสอบตกในการเขียนแหง ๆ
เอาไม่เป็นไร มาเขียนกันต่อ
อ่านไปแล้วคิดว่า เสวนาเรื่องผีก็แล้วกัน.555
หลังจากนั่งสมาธิเห็น วิญญานมาเป็นภาพหรือจะ
เรียกว่า "กายหยาบ" ก็คงได้มั้ง
ไม่เห็นน่ากลัวอย่างที่เขาบอกเลย แต่แหะ ๆ ก็ดีไป
อย่าง อย่าได้เจอะเจอ.เส้นผมยิ่งบาง เถิกเข้าไปทุกที
ขืนเห็น บรื๊อ.ๆ ๆ โกร๋นเป็นนา หน้าแล้งแย่เลย
พูดถึงเรื่องการกินอาหาร ที่นี่ ทานมังสวิรัต ก็คง
เป็น ชนิด ไม่มีเนื้อสัตว์นะเอง ต่างกับเจ ไงไม่รู้
วันแรกเหรอ พอได้เวลา ก็ลงโจ้ กันแบบ เต็มกลืน
ก็คน เคยกินมีเนื้อสัตว์ รสกลมกล่อม เจอผัดบวบ
ใส่ไข่ หรือไม่ผัดก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่แห้ง ใส่ซิอิ๊ว
เฉย ๆ . บางคนรับไม่ได้ คือ นั่งเขี่ยหาหมูไปมา
ส่วนผมเหรอ สบาย ทำตัวอย่างกับ คนเคยบวช
นั่งเรียบร้อยตัวตรง ตักก๋วยเตี๋ยวใส่ปาก แล้ววาง
ช้อน จึงค่อย ๆ เคี้ยวคำละ 20 ครั้ง แบบที่พระ
อาจารย์เคยสอน พอแหลกก็กลืนหนอ ลงท้องไป
แล้วเริ่มจับช้อนตักใหม่.
ส่วนเพื่อน ๆ คนอื่น แรก ๆ ก็ขัดเขิน ตอนหลังนั่ง
หลับตากินกันเงียบ เรียบร้อย ยังคิดในใจว่า สาว
ๆ พวกนี้คงจะเรียบร้อย พูดกันไม่ค่อยเป็น อยู่ด้วย
กันเชื่อหรือไม่เชื่อ เคยสบตายิ้มกันให้กันนิดเดียว
3 คนเอง.
วันที่ 4 ของการฝึกอบรม มีอาจารย์มารวม 5 คน
อาจารย์บอกว่า วันนี้จะสอบอารมณ์ของทุกคน ใคร
เห็นอะไร หรือสงสัยอะไรให้ สอบถามอาจารย์ ให้
ทุกคน แบ่งกลุ่มละ 5 คน. 555 วันก่อนที่ผมยัง
เกรงกลัวการสอบ คิดว่าจะสอบข้อเขียนกลับไม่ใช่
เฮ้อ โล่งอกไปที
กลุ่มผมมี หลวงพี่ กะ แม่ชี กับ อีก 2 หนุ่มอาจารย์
เริ่มพูดคุย ให้แต่ละคนเล่าสิ่งที่เห็น ในขณะลืมตา
หรือขณะนั่งสมาธิ สงสัยอะไรให้ถามได้เลย.
ปรากฏว่ามีคน 2 คนที่เล่าและสอบถาม ก็ คุณชี
เล่าว่า เคยนั่งสมาธิ ครั้งหนึ่งสังเกตว่า ขา
ท่อนล่าง กับต้นขา หายไปไม่เห็นเลย พยายาม
เพ่งหรือคิด แต่ก็ไม่มีปรากฏให้เห็น จนกระทั่งออก
จากสมาธิ จึงรู้ว่านั่นเป็น ภาพในนิมิต
อาจารย์บอกว่า อย่าไปสนใจ เป็นจิตที่ปรุงแต่ง
ผมเอง ก็เล่าให้อาจารย์ฟ้งแบบที่ผมเขียนไว้ใน
บล๊อกก่อน
อาจารย์บอกว่า ไม่แน่ว่าเป็นอะไร แต่อย่าไปยึด
ติด เวลานั่งสมาธิในวันต่อ ๆ ไป อย่าพยายามจดจ่อ
ให้เกิดขึ้นอีก. หากเห็นอะไรที่น่ากลัว ก็พูดว่า
เห็นหนอ มันจะหายไปเอง
บางที เจ้ากรรม กับ นายเวร สัตว์ทั้งหลาย มาทวง
บุญ หรือมาทำให้เราเจ็บปวด เพราะเราเคยทำมา
ก่อน อาจจะเป็นชาติก่อน หรือชาตินี้
อีกใจผมคิดถึง ผมเองแหละ ที่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ
โดยการบ้าวิ่ง แล้วไม่มีสติที่จะตรวจดูรองเท้าก่อน
วิ่ง ตะบี้ตะบั้นวิ่งไปไม่ดูตาเท้าตัวเอง.
เมื่อเข้าอยู่ในแวดวง เพื่อน ๆ ที่เข้าร่วมวิปัสนา เลย
อยู่กัน ธรรมดา ไม่วิตก ไม่ทุรนทุราย. กินข้าว
เคี้ยวหนึ่งคำ 20 ครั้ง กินอาหารไม่มีเนื้อสัตว์ ตื่น
ตี 4 เข้าสวด เดินจงกรมฯ กว่าจะจบสุดท้ายก็เกือบ
4 ทุ่มทุกวัน. ใบหน้าของเพื่อนแต่ละคน สงบ
บางคนใบหน้าอิ่ม แดงเรื่อ ๆ บางคนใบหน้า "ตาย"
เป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่คุยกันเลย.
ผมเองยังคิดว่า พวกนี้ใจบุญ ใจเย็น คงพูดไม่เก่ง
นั่งน้ำลายบูดกันเป็นประจำ 555
มีบางคนแหะ ๆ มาใหม่ ๆ มัดผมเป็นหางม้า ต่อ ๆ
มา พัน ๆ ยุ่ง ๆ ไม่ค่อยหน้าดูเท่าใด บางคนนะ
ครับ ยิ่งอยู่ใบหน้าคล้ำไม่มีสีเลือด ผมยังคิดว่า
คงจะกินแต่ผัก เลยไม่มีสีเลือด
ก่อนจะครบหลักสูตรที่ ทำเหมือน ๆ กันทุกวัน ๆ ละ
กว่า 10 ชม. อาจารย์ทั้งหลายจะมารวมกัน ให้
ลูกศิษย์ ขึ้นแท่น เอ้ย นั่งเก้าอี้ที่อาจารย์เคยนั่ง
สอน กลางห้อง ให้ขึ้นพูด.
เอาละซี้ ลูกศิษย์เริ่มมองหน้ากัน แข้งขาสั่น แวว
ตาวิตกกันเป็นแถว แหะ ๆ รวมทั้งผมด้วยแหละ
เกิดต้องขึ้นเวที ติดอ่าง ที่ไม่ใช่ของคุณชูวิทย์ ทำ
ไงดีวุ้ย.
สาวคนแรก ผิวขาว คิ้วเข้ม เวลาทานข้าวจะนั่ง
หลับตาเคี้ยวเงียบที่สุด ผมยังคิดว่า สงสัยจะเป็น
เด็กสาวใส ๆ ทำงานเป็นพนักงานบัญชี แบบน้อง
Rinsa พอเขาให้ขึ้นพูด.
ก็ยังเงียบ อาจารย์เลยถามนำ ถามชื่อ ใครชักชวน
ให้มา ทีนี้ น้องสาวคนขาวเลยเล่าให้ฟังว่า
ทำงาน การไฟฟ้า เป็นวิศวกร 6 โอ้โห้ จบจาก
ที่ดี เคยไปปฏิบัติวิปัสนามาก่อนแล้ว
เพื่อน ๆ ต่างมองหน้ากัน เฮ้ย ตัวแค่นี้เก่งจังวุ้ย
อีกคน นักศึกษาชายวิศวโยธา ธรรมศาสตร์ ขึ้น
ไปอึกอัก แล้วก็พูดว่า ผมชื่อ ชี...... ผมไม่ได้
ตั้งใจมาหรอก แม่เขาบนไว้ว่า ถ้าผมเข้าธรรมศาสตร์
ได้ จะมาแก้บนโดยมาวิปัสนา แต่ไง เป็นผมต้อง
มาเป็นผมไม่รู้ ทั้งที่แม่เป็นคนบน คนฮาตึง
มีสาวน้อยอีกคน 555 คนนี้ผมจำได้ดีมาก ใบหน้า
สวย ปากนิดจมูกงาม ใส่แว่นตา แต่เวลาถวายบังคม
เวลา วางมือลงคู่กัน ลงหมอบกราบ แหะ ๆ ให้
บังเอิญทุกวันที่ผมนั่งข้างหลัง เห็นว่า เท้าซ้ายจะ
จะกระดกขึ้น ไม่แนบชิดก็ ขากลมใหญ่ตรงโคน
ปลายขาเล็ก
พอได้ถือไมค์ ก็หัวเราะอาย ๆ แหม ได้ถือไมค์
ขอพูดสักพักก็แล้วกัน เพราะอัดอั้นใจมาหลายวัน
ปกติแล้วจะติด BB คือเป็นขวัญใจชาวบ้าน ใครถาม
มาตอบ มันทุกคน ดึกดื่นแค่ไหนก็ตอบ จนนัยตา
เขียว. แถมกระแอม อย่างนี้ขอไมค์พูดนาน ๆ
ไม่อยากวางเลย เอากะน้องหนูซิ
หญิงอีกคน ถูกเชิญขึ้นพูด พูดไม่ออก ฮะโหล ๆ
ได้หลายโหล อาจารย์เลยถามนำ ทีนี้ลื่นไหล
ก่อนสุดท้าย จะพูดอะไรอีก อาจารย์ให้พูดเพิ่ม
ก็ ๆ ๆ จะทำอย่างงี้กลับบ้าน "หนูจะด่าผัวให้น้อยลง"
ฮู้ ๆ กันเป็นแถว ยอดจริง ๆ พวกเราหัวเราะกันงอ
หาย อาจารย์ต่างอมยิ้ม มาก ๆ เลย.
ถ้าคุณ.... มาอ่านเจอที่ผมเขียน ใน BG อย่าโกรธ
ผมนะ ผมพูดความจริง แหะ ๆ
เอ.... แล้วผมถูกให้ขึ้นเวทีหรือเปล่าละ แหง ละไม่
พ้นหรอก เขาติ๊กชื่อไว้แล้ว
ไม่บอกหรอกว่า พูดอะไรไปบ้าง.
มีปล่อยมุขบ้างนิด ๆ ให้คนหัวเราะกันมั่ง แก้ง่วง
ทั้งที่ความจริงแล้ว ประหม่ามือไม้สั่น ต้องจับไมค์
ไว้สองมือเลยแหละ 555
อาจารย์คงสนใจหรือ ทึ่งประมาณนั้น ที่ผ่านมาจะ
ไม่พูดกับใครเลย.เลยถ่ายรูปไว้เยอะหน่อย
พอลงจากเวที ก็ไปคุกเข่า รับรางวัลเป็นหนังสือจาก
พระอาจารย์โกวิท วัดบ่อไฟไหม้ อ.แก่งหางแมว
ไม่ใช่รางวัลดีเด่นนะครับ เขาให้ทุกคนที่ขึ้นพูด
ท่านพูดกับผมนานเหมือนกัน บอกว่า ก่อนกลับ
จะให้นามบัตร เพื่อจะได้ติดต่อได้ พระอาจารย์ที่
เดินทางบ่อย.
นี่แหละที่น้องริน กับเพื่อน ๆ ยังสงสัยว่า ผมได้
นามบัตรสาวมา แหะ ๆ ผมไม่ได้พูดสักกะหน่อย
ว่า ขอนามบัตร สาวไว้...
คิดไปเอง ผมเพียงแต่พูดว่า "วันหลังจะไปเยี่ยม
ถึงที่" 5555
ไปปฏิบัติวิปัสนากัมมัฐฐาน ครั้งนี้มี 25 คน คือ
ค่อนข้างโชคดี ที่น้อย อาจารย์จะคอยแนะนำ
วันละหลายคน ก่อนกลับเลยชักภาพหน่อย
สรุปกันง่าย ๆ นะครับ การไปปฏิบัติวิปัสนากัมมัถ
ฐาน คือ การทำบุญด้วยการถือศิล ภาวนา สวด
มนต์ ฟังธรรม นึกถึงคุณมารดา เป็นหลัก แล้วก็
ทำจิตให้ว่างเข้าสมาธิ
การเดินจงกรม ที่ผมกล่าวไว้นั้น แค่ อย่างเดียวนะ
จริง ๆ แล้ว มีทั้งหมด 7 จังหวะ. แอะ ๆ เพื่อน
คงนึกว่า เต้นรุมบ้า ช่า ๆ หรือแทงโก้นะ ไม่ใช่
หรอก เดินช้ายิ่งกว่าจังหวะ สโลว์ 10 เท่า.
ส่วนตัวแล้วผมชอบ แบบที่ 5 คือ ยกส้นหนอ
ยกหนอ หย่างหนอ ลงหนอ เหยียบหนอ คือท่า
สวย จำง่าย.
โดยส่วนตัวแล้ว การตัดใจ "ลางาน" ไปปฏิบัติ
ยาก แต่พอได้เข้าไปแล้ว ปฏิบัติง่าย ไม่อึด
อัดเลย ทำตัวตามสบาย ไม่คิดอะไรเลย อยู่กับ
ตัวเองในปัจจุบัน.
ค่าใช้จ่ายเหรอ จะมีคนเป็นเจ้าภาพ ตลอดวันเวลา
ที่เราปฏิบัติอยู่ คือช่วยจ่าย ค่าอาหาร ค่าน้ำไฟ
อื่น ๆ ให้หมด.
ส่วนเราจะบริจาคเพื่อสมทบ ในรุ่นต่อไปก็ได้ ไม่
จำกัดหรือเจาะจง เขียนชื่อนามสกุล จำนวนเงิน
ไว้ในสมุด ส่วนตัวเงินหย่อนใส่ตู้ไปเท่านั้นเอง
การเขียนคราวนี้ ผมไม่ได้ขออนุญาตอาจารย์ไว้
จึงมิได้กล่าว นามสถาบันให้ทราบ
อีกอย่าง เป็นการเขียนเพื่อให้เพื่อน "ตัดใจ" อ่านไม่
ง่วงนอน ซึ่งอาจจะไม่เหมาะก็ได้ จึงขออภัย
ต่ออาจารย์ และเพื่อน ๆ ครับ.
อีกอย่าง การฝึกสมาธิ และเข้าถึงนี้ ของผมเป็นแค่
ชั้นอนุบาลนะครับ.
ที่ผมโปรย หัวข้อหรือ ธีม ว่า สกดจิตตัวเอง หรือ
วิชา นั่งแล้วรู้จิตใจคนที่นั่งข้างหน้า นั้นมีจริง
แต่ นั่นชั้นสูงมาก ของผมแค่ จุดเริ่มต้นยังห่าง
ไกลมาก ๆ ในไทยมีแต่พระอาจารย์องค์ที่ดัง ๆ
และไม่พูดครับ ที่พูดว่า"เห็น" ผมไม่ค่อยแน่ใจ
เพื่อนคนใด สนใจ ติดต่อผมหลังไมค์ ผมยินดีแนะ
นำให้รู้จักสถาบัน.
อีกอย่าง ผมขอแนะนำ ให้เพื่อน ๆ อ่านหนังสือที่
เขียนเรียบเรียงโดย รศ.สุทัสสา อ่อนค้อม จะเห็น
บาปบุญคุณโทษ มาก และเข้าใจ ทำไมต้องนั่ง
วิปัสนากัมมัถฐาน. แหะ ๆ แค่สกดคำนี้ผมยังไม่
แน่ใจว่าเขียนถูกหรือไม่ ฉนั้นไปอ่านของ "ผู้รู้"
เช่น รศ.สุทัสสา ดีกว่า ผมอ่าน 6 เล่มซ้ำหลาย
รอบแล้ว.
อ่านแบบเพลิดเพลินมากค่ะ คุณไวน์
เคยนึกอยากไปปฏิบัติ ยังไม่มีโอกาส และยังไม่ถึงกับ "ดิ้นรน" ไม่นึกว่าการไปปฏิบัติยากเย็นแสนเข็ญ หรือต้องฝืนใจ ทำใจ แต่น่าจะเป็นเพราะห่วงมากกว่าค่ะ ห่วงบ้าน ห่วงลูก สารพัดตัดไม่ขาด...กลัวว่า ไปปฏิบัติแทนที่จะสุข น่าจะทุกข์ซะมากกว่า
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องดีๆ ค่ะ