ความเดิมจากไปทำไร่ขิง ที่ บ้านแม่ขะจาน บ้านแห่งความสุข
อากาศเย็นสบายทั้งปี
เช้ามืดนี้ เราขับรถเปิดไฟผ่านปั้มน้ำมัน แม่เจดีย์ใหม่เลี้ยว
ขวา มุ่งสู่วัด สองข้างทางเป็นไร่กระเทียม สีเขียวปลูก
เป็นแปลง ห่างจากถนนใหญ่สายเชียงใหม่ เชียงรายไม่ถึง
สองกม. ทางเริ่มเป็นเนินสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไฟรถส่องถนนสีแดง
คดเคี้ยวไปมา ตามดอยไม่สูงนัก
เสียงรถพิคอัพเดินอย่างสม่ำเสมอ แสงแรกของวันเริ่ม
ส่องมาด้านขวามือ หมอกที่ลอยเรี่ย ๆ อยู่กับพงหญ้าสอง
ข้างทาง คงปกคลุมเป็นหย่อม ๆ มองไปด้านซ้ายมือเป็น
ลำห้วยคู่ขนานไปกับ เส้นทาง เสียงน้ำในลำห้วยแทรกกับ
เสียงรถเป็นบางครั้งยาม ลำห้วยคดโค้งมาก กว่ายี่สิบนาที
ที่เราขับขึ้นดอยเตี้ย ๆ ข้างหน้าขวามือเป็นที่โล่งกว้าง
รถไถ กำลังใช้ผานสาม ไถไปบนหญ้าเตี้ย ๆ เป็นแถวยาว
เราหยุดรถใต้ต้นทองกวาวใบเขียวกลม ทิ้งดอกสีส้มแห้ง
เหี่ยวลงกับพื้นประปราย. สภาพพื้นที่เป็นดอยกว้าง เป็น
เนินดินสีดำปนแดง รอบ ๆ พื้นที่เป็น ป่าเต็งรังที่ต้นไม้
เกือบจะไม่มี. แสงไฟจากรถไถเริ่มจางยามพระอาทิตย์
เริ่มสองแสงแทน พื้นดินที่ใช้ผานสามไถลึกลงไป
เราเดินจากรถ เหยียบดินที่ถูกไถไปแล้ว ค่อนข้างร่วน มี
ก้อนหินขนาดผลส้มอยู่ประปราย ใกล้รถไถ พลางโบก
มือทักทายโชเฟอร์ ที่สวมเสื้อสีดำ สวมหมวกปีกใหญ่
พี่แก คงไถมาตั้งแต่เที่ยงคืน ไม่รู้ทำไมถึงทำงานกลางคืน
ได้ หรือว่า กิน......ไป ไม่รู้เนาะไม่เกียวกับเรา
เห็นพื้นดินที่ผ่านการไถแล้ว จึงรู้ว่า ทำไมตรงนี้เราจึงจะลง
เผือกหอม แทนขิง ก็ดินมีหินไม่เหมาะปลูกขิง.
เรายืนคุยกันข้างรถพิคอัพ จิบกาแฟที่ชงใส่กระติกน้ำร้อน
มาแบบขม ๆ ก็เจ้าเสรี นะ มันชง แล้วลืมใส่น้ำตาลคงจะ
มัวขี้ตา แถมปากแข็งซะด้วย
พี่ตูน เสตั้งใจจะให้พี่ กินกาแฟขม ๆ แบบพวกต้อนวัวใน
เมกา เขาใช้ผงกาแฟต้มในหม้อ พอร้อนก็เทใส่ถ้วยสังกะสี
ทั้งเม็ดกาแฟที่บด แล้วก็ดื่มจะได้รสชาดไง ว่าเข้านั่น
เออ รสมันขมเข้มดีเหมือนกัน จิบไม่นานก็ต้องคายผง
กาแฟที่ติดมาทิ้งเป็นระยะ
คนรับจ้างไถ ได้บุกเบิกดินไว้เกือบครบ 27 ไร่แล้ว เกือบ
แปดโมงเช้า โกสิน ได้ขับรถพาคนงานมา 7 คนยืนมาเต็ม
หลังรถพิคอัพ เจ้าเส ให้คนงาน เอาของไปเก็บไว้ริม
รถแขวนข้าวปลาอาหารไว้กับต้นไม้ แล้วไปตามเก็บ
กิ่งไม้ต้นไม้เล็ก ที่ถูกรถไถ ๆ ออกมานำไปกองรวมไว้ข้าง
ไร่ คนขับอีกคนเข้าเปลี่ยนมือขึ้นไถแทนคนเดิม เพื่อ
ใช้ผานเจ็ด ไถพรวนให้ดินร่วน จะได้ขึ้นแปลงปลูกเผือก
คนขับร่างเล็กติ๊ดเดียว มือซ้ายถือพวงมาลัย แหงะมองด้าน
หลังเป็นระยะ พี่แกจัดการยกร่องแปลงยาวเป็นรูปโค้งตาม
รูปของดอย ใครเคยเห็น แปลงปลูกแบบห้วยน้ำดัง โค้ง
แบบนั้นแหละ. ผมได้สั่งให้ทำแบบนี้ ไม่ให้น้ำฝนที่
ตกลงมาไหลชะดินกะปุ๋ยทิ้ง เวลาน้ำไหลมันจะปะทะร่อง
ดินไว้ระยะหนึ่ง เสียดายตอนนั้นไม่รู้เรื่องที่ ในหลวงของ
พวกเรา ทรงแนะให้ปลูกแฝกเป็นแถว กันดินทะลาย
คนงานเดินตามรถไถ คอยเก็บก้อนหินกลมที่มีปนดิน วาง
ไว้ตรงร่องทางเดิน เลยดอยที่เราอยู่ เป็นทางลาดลงเขา
ทอดยาวไปสุดสายตา เป็นดอยค่อย ๆ สูงขึ้นเป็นป่าไม้สีเขียว
คนขับรถไถแหงนดูท้องฟ้า แล้วคงเดินหน้าทำงานต่อ ไม่
ยอมหยุด คงจะเกรงว่าถ้าฝนตกแล้วทำให้ไถลำบากขึ้น
เห็นพี่แก เตรียมกระสอบป่านไว้สองลูก ข้างต้นไม้ หาก
เร่งไถ เกิดหน้ารถมันเบา คงจะใช้กระสอบวางไว้หน้ารถ
ไถให้มันเกิดสมดุล.
ขนมปังลูกเกดที่เราซื้อจากตัวตลาดตอนเย็นที่เรากินเป็น
อาหารเช้ากับกาแฟที่ขมแล้วก็ ต้องคายกากกาแฟทิ้งเป็น
ระยะ มันแก้หิวได้ แต่ตอนนี้มันจะเที่ยงแล้ว ขนมปังคงจะ
ถูกย่อยไปหมด ท้องเริ่มร้องจ๊อก ๆ
ไปพี่ตูน ไปบ้านน้องมลกัน ป่านนี้คงรอกันแล้ว ให้โกสินดูต่อ
เรา ขับรถลงจากดอยแวะซื้อซาลาเปา ขนมจีบ ไปฝาก
สาว ๆกับพ่อแม่น้องมล แล้วขับรถเลี้ยวเข้าบ้านปางอ่าย
ครูวิภา กับน้องมล กำลังนั่งแกะบะโอ ก็ส้มโอนั่นแหละ
พอเห็นรถเลี้ยวเข้าบ้าน ก็ตะโกนบอกพ่อกับแม่ที่อยู่บนบ้าน
สวัสดีครับน้าป่อจายกับน้าแม่ยิง ผมเอาซาลาเปามาฝาก
มีใส้หมูแดง ใส้หน่อไม้ อร่อยครับยังร้อน ๆ
ขอบใจคุณตูน เอ้านี่ขนมจีบต๋วย เอามาให้น้าหรือเอามา
ให้ใคร
แหะ ๆ เอามาให้น้องมล กะน้าทั้งสองคนครับ เจ้าเสรีรีบ
บอก ถุงใหญ่นี่ของน้า ขนมจีบเล็ก ๆ นี่เอาไปฝากน้อง
มล กับครูวิภาครับ.
คุณเสรี เอาขนมจีบให้ยายมล บอกอะไรหรือเปล่าละ
เจ้าเส ยิ้มแล้วหัวเราะอาย ๆ
คุณวิภากับน้องมล ไม่ต้องแกะส้มโอ พี่ตูนกับ เส จะช่วย
แกะให้ ผมกะจะให้คุณวิภาช่วยสอนตำบะโอ จะได้เป็น
ได้เลยเจ้า อ้ายตูนอ้ายเส ไปล้างมือก่อน ตำส้มจะ
ได้ไม่เค็ม เนาะครูวิภาพูดพรางยิ้ม น่ารักครับ
ใต้ถุนบ้าน สูงเกือบสองเมตร โล่ง พื้นเป็นดินอัด
แน่นเรียบ ลึกเข้าไปมีกระเทียม กับหอมแดง แขวนไว้
เป็นแนวตั้ง เต็มล๊อก กว้างยาวกว่า สี่คูนห้าเมตรได้มั้ง
ครูวิภา กับน้องมลใส่ผ้าถุงยาวกรอมเท้า สีดำ เสื้อสีชมภูอ่อน
ทั้งคู่ ขับกับผิวแก้มสีชมภู สวย
อ้ายตูน อ้ายเส ช่วยแกะกระเทียม กับเด็ดพริกขี้หนูสวนนี่
ก่อน ใส่กระเทียมหัวครึ่งก็พอ อ้ายเสเด็ดพริกแต้ล้างน้ำ
เจ็ดเม็ด ก็พอ พริกนี้มันเผ็ดเจ้า อ้ายตูนกินเผ็ดไม่ได้แม่นก่อ
ผมจัดการแกะกระเทียม ใส่ครก ครูวิภาโปรยเกลือ
ใส่หยิบมือ ผมก็ใช้ครกโขลกไปมา กลิ่นกระเทียมเริ่มส่ง
กลิ่น
ครูวิภา ยื่นมือนำพริกขี้หนูสีแดงปนเขียวใส่ ในครก ผมก็อด
ที่จะมองใบหน้าไม่ได้ ก็ใบหน้าสีชมภู จมูกเป็นสัน คิ้วเรียว ขนตางอน
มีเม็ดเหงื่อซึมตรงร่องจมูกนิด แถมกลิ่นหอมดอกแก้ว
โชยมา ทำเอา...อืม... ไม่นะ ตำพริกดีกว่าเรา
อะไรครับ ที่ตักใส่เมื่อกี้ สีน้ำตาลคล้ำ หอม
อ๋อ น้ำปู วิ ใส่ไปช้อนครึ่ง ก็พอ ใส่แทนกะปิเจ้า อ้ายตูน
ไม่เคยกินมั้ง
อ๋อ น้ำปูอ้ายเคยกินกับ ยำหน่อไม้ ยังไม่เคยกินส้มตำส้มโอ
รสเป็นยังไงครับ
น้ำปู ออกรสเค็มกลาง หอมนุ่มนวล ก็ชาวบ้านเอาปูนา
มาล้างสอาดหลายน้ำ แล้ว ก็ตำด้วยครกมอง(ครกไม้ใหญ่)
จนละเอียด เอาน้ำกับกากไปต้มเคี่ยว แล้วกรองกากออก
ผสมเกลือ ตะใคร้ที่ตำละเอียด เคี่ยวจนแห้งคล้ายกะปิ เก็บ
ไว้ในกระบอกไม้ไผปิดหน้าด้วย ใบตองกล้วยแห้ง อัดแน่น
ไม่ให้ลมเข้า เก็บได้นาน
ครูวิภา พูดพลาง แกะส้มโอเปรี้ยวใส่ครกส่วนหนึ่งก่อน
ผมใช้สากตำเบา ๆ แล้วกดบดส้มโอ จนปริแตก น้ำไหลผสมกับ
กระเทียม กลิ่นพริกขี้หนูสวน กับน้ำปูหอมฟุ้งขึ้นมา ทำเอาน้ำลายสอ
ยัง ๆ ครูวิภายังเอา ตะใคร้ที่น้องมลซอยละเอียดอีกขยุ้ม รวมกับถั่วฝัก
ยาวมะเขือเทศอีกนิด ค่อย ๆ ตำให้ขลุกขลิก รวมตัวเข้ากับส้มโอ
ขอครกให้ข้าเจ้า ๆ จะตักใส่กาละมังไว้ก่อน ว่าพลางครู
วิภาใช้ทัพพี ตักส้มตำจากครก จนหมด แล้วนำส้มโอที่
แกะเนื้อเต่งสีขาวใสปนสีชมภู ใส่ครกแล้วใช้ บดคลึงจน
แตก น่วม แล้วตักใส่กาละมัง จนหมดทั้งสองลูก
แล้วใช้ทัพพีคนไปมา จนเข้ากันดี ใช้ช้อนตักชิม แล้วจับ
ขวดน้ำปลากระฉอกใส่อีก 3 ฉึก คน ๆ จนได้ที ก็ส่งช้อน
ให้ผมชิม
กลิ่นน้ำปูที่หอมเป็นพิเศษ ส้มโอกับน้ำเปรี้ยวเข็ดฟันทีแรก
กลับ ได้รสชาด พอตักน้ำสีคล้ำของน้ำปูกับพริกชิมนิด
โห รสชาดเหรอ เผ็ดพอดี กลิ่นตะไคร้ซอย หอม...
ทีนี้ต่าง คนล้อมวง ใช้ช้อนคนละคัน ตักส้มตำส้มโอ
ที่หอม เผ็ด แกล้มด้วย ก้านตูน แหะ ๆ ผมไม่มีก้านนะ
มีแต่กล้ามหลบใน เจ้าก้านตูน ก็ภาคกลางเรียกว่า ต้นคูน
แบบนี้และ
ความเผ็ดร้อน ดับด้วยความเย็นของก้านคูน ที่ลอกเปลือก
เวลาเคี้ยว ทำให้รสหอมของน้ำปูจะโดดเด่น ไม่นานส้ม
ตำบะโอของคนภาคเหนือ ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับ
เหงื่อพรั่งพรูอาบแก้มกันทุกคน อร่อยจริง ๆ
มีใครอยากกินบ้าง ยกมือ........
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้ออารีให้ใช้ภาพประกอบ
st.counter29.9.11/ever 1220