ขั้นตอนการรักษาอาการนอนกรน
1) อาการนอนกรน มี 2 ประเภท คือ 1.1] อาการนอนกรนธรรมดา (ไม่อันตรายเพราะไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย) ไม่มีผลกระทบต่อตัวผู้ป่วยเอง แต่จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะกับคู่นอน ทำให้นอนหลับยาก 1.2] อาการนอนกรนอันตราย (มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย) นอกจากจะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างแล้ว ถ้าไม่รักษาอาจมีอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน ทำให้เรียนหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้าต้องขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุในท้องถนนได้ นอกจากนั้นจะมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆ ได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดันโลหิตในปอดสูง โรคหลอดเลือดในสมอง
2) การที่จะแยกว่าท่านเป็นนอนกรนประเภทใด สามารถทำได้โดย การตรวจการนอนหลับ (sleep test) จุดประสงค์ของการตรวจการนอนหลับ คือ 2.1] เพื่อแยกว่าท่านเป็น กรนธรรมดา หรือกรนอันตราย 2.2] ถ้าท่านเป็นกรนอันตราย การตรวจการนอนหลับจะบอกความรุนแรงของโรคได้ ว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมากหรือน้อยเพียงใด และช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาท่านได้ดีขึ้น
การตรวจการนอนหลับสามารถทำได้โดย 1. นัดตรวจการนอนหลับที่โรงพยาบาล ซึ่งท่านต้องมานอนที่โรงพยาบาล 1 คืน 2. นัดตรวจการนอนหลับที่บ้าน ซึ่งจะมีความละเอียดของการตรวจน้อยกว่าการตรวจที่รพ. แต่สามารถใช้เป็นการตรวจคัดกรองได้ (screening test) 3) การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินหายใจส่วนบน จะทำให้ทราบถึงตำแหน่ง และสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนได้ 4) การรักษามี 2 วิธี คือ วิธีไม่ผ่าตัด และวิธีผ่าตัด ซึ่งท่านสามารถเลือกได้ เพราะการรักษาอาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แนะนำให้ใช้วิธีไม่ผ่าตัดก่อน ถ้าไม่ดีขึ้น,ไม่ชอบ หรือไม่สะดวก ท่านสามารถเลือกวิธีผ่าตัดได้ 4.1] วิธีไม่ผ่าตัด ลดน้ำหนัก ในรายที่ท่านมีน้ำหนักเกิน
ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) ของท่าน = น้ำหนัก (กิโลกรัม) / [ ส่วนสูง (เมตร)]2 BMI < 18.5 น้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ 18.5 22.9 น้ำหนักตัวปกติ 23 24.9 น้ำหนักตัวมากกว่าปกติ > 25 น้ำหนักตัวมากกว่าปกติมาก เป็นโรคอ้วน
โดยทั่วไปถ้าลดน้ำหนักได้ร้อยละ 10 อาการนอนกรนจะดีขึ้นประมาณร้อยละ 30 และควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความตึงตัวให้กับกล้ามเนื้อบริเวณคอหอย ซึ่งจะทำให้มีการหย่อนและอุดกั้นทางเดินหายใจน้อยลง หลีกเลี่ยงยาชนิดที่ทำให้ง่วง เช่นยานอนหลับ, ยากล่อมประสาท, ยาแก้แพ้ชนิดง่วง หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เช่น เบียร์ ไวน์ วิสกี้ เหล้า โดยเฉพาะก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนคลายตัวมากขึ้น ทำให้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้น นอกจากนั้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีแคลอรี่สูง จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ทางเดินหายใจแคบลง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่ เนื่องจากจะทำให้เนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจบวม ทำให้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้น นอนศีรษะสูงเล็กน้อย ประมาณ 30 องศาจากแนวพื้นราบ จะช่วยลดบวมของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจได้บ้าง และควรนอนตะแคง เพราะการนอนหงายจะทำให้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้น อาจทำได้โดยเอาหมอนข้างมาหนุนที่หลัง หรือใส่ลูกเทนนิสไว้ด้านหลังของเสื้อนอน ทำให้นอนหงายลำบาก ใช้ยาพ่นจมูก พ่นวันละครั้งก่อนนอน ซึ่งยาพ่นจมูกจะทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวม ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น และยังจะช่วยหล่อลื่น ทำให้การสะบัดตัวของเพดานอ่อนและลิ้นไก่น้อยลง ทำให้เสียงกรนเบาลงได้ การใช้เครื่องมือที่เป่าลมเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นหรือไม่อุดกั้นขณะนอนหลับ (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP) ซึ่งเป็นการรักษาอาการนอนกรนชนิดอันตรายที่ดีที่สุด ซึ่ง ควรลองใช้ในผู้ป่วยทุกราย ก่อนพิจารณาการผ่าตัดเสมอ ใช้ครอบฟัน (Oral Appliance) เพื่อเลื่อนขากรรไกรล่างมาทางด้านหน้า ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นขณะนอนหลับ
4.2] วิธีผ่าตัด มีจุดประสงค์ทำให้ขนาดของทางเดินหายใจส่วนบนกว้างขึ้น ทำให้อาการนอนกรน และ/หรือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับลดลง ซึ่งการผ่าตัดจะทำมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่งและสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจ การผ่าตัดไม่ได้รักษาให้อาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจหายขาด หลังผ่าตัดอาการนอนกรนและ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจยังเหลืออยู่ หรือ มีโอกาสกลับมาใหม่ได้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สิ่งสำคัญ คือ 4.2.1} ต้องควบคุมน้ำหนักตัวให้ดี อย่าให้เพิ่ม เนื่องจากการผ่าตัดเป็นการขยายทางเดินหายใจที่แคบให้กว้างขึ้น ถ้าน้ำหนักเพิ่มหลังผ่าตัด ไขมันจะไปสะสมอยู่รอบผนังช่องคอ ทำให้กลับมาแคบใหม่ได้ ซึ่งจะทำให้อาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับกลับมาเหมือนเดิมหรือแย่กว่าเดิมได้ 4.2.2} ต้องหมั่นออกกำลังกายเสมอ ให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนตึงตัวและกระชับ เนื่องจากหลังผ่าตัด เมื่ออายุผู้ป่วยมากขึ้น เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนจะหย่อนยานตามอายุ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนกลับมาแคบใหม่ การออกกำลังกายจะช่วยให้การหย่อนยานดังกล่าวช้าลง
ในผู้ป่วยบางราย อาจต้องมาผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไขทางเดินหายใจที่แคบส่วนอื่นๆ หรือใช้เครื่อง CPAP ร่วมด้วยหลังผ่าตัด ขึ้นอยู่กับชนิดของการผ่าตัด และจุดอุดกั้นทางเดินหายใจและความรุนแรงของโรค
ขอบคุณข้อมูลจาก รศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Create Date : 23 ธันวาคม 2553 |
Last Update : 23 ธันวาคม 2553 10:55:47 น. |
|
12 comments
|
Counter : 2326 Pageviews. |
|
|
|
ความสิ้นตัณหาย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง
อากาศเปลี่ยนอีกแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วย..นะคะ
...............
แก่แล้ว นอนกรนได้กรนดี...อิ อิ