โรคหินปูนเกาะกระดูกหู
โดยปกติการได้ยินของมนุษย์เรา เกิดจากเสียงผ่านใบหู,ช่องหูชั้นนอก,เยื่อบุแก้วหู, กระดูกค้อน, กระดูกทั่ง, กระดูกโกลน แล้วไปยังหูชั้นใน ซึ่งต่อกับประสาทหู และไปยังสมอง
โรคหินปูนเกาะกระดูกหู เกิดจากหินปูนที่เจริญผิดปกติในหูชั้นกลาง เกาะระหว่างฐานของกระดูกโกลน(stapes) กับช่องรูปไข่ (oval window) ซึ่งเป็นช่องทางติดต่อระหว่างหูชั้นกลาง และหูชั้นใน ทำให้เสียงไม่สามารถผ่านจากหูชั้นกลาง เข้าไปในหูชั้นในได้ตามปกติ ทำให้หูอื้อหรือหูตึง นอกจากนั้นอาจเกิดหินปูนเจริญผิดที่ในหูชั้นใน หรือหินปูนที่ผิดปกติในหูชั้นกลางปล่อยเอนไซม์บางชนิดเข้าไปในหูชั้นใน ทำให้มีเสียงดังในหู หรือเวียนศีรษะ บ้านหมุนได้ (cochlear otosclerosis)
อุบัติการณ์ของโรคนี้ในประเทศไทย และสาเหตุของการเกิดหินปูนเจริญผิดที่ในหูชั้นกลาง และหูชั้นใน ยังไม่ทราบแน่ชัด จากการศึกษาพบว่ามีแนวโน้มที่โรคนี้จะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อ แม่เป็นโรคนี้ด้วย ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ โอกาสที่ลูกเป็นโรคนี้คือร้อยละ 25 แต่ถ้าพ่อและแม่เป็นโรคนี้ โอกาสที่ลูกเป็นโรคนี้จะสูงถึงร้อยละ 50 โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า และมักพบในอายุ 30-40 ปี มักพบในชนชาติผิวขาวมากกว่าชาวเอเชียและผิวดำ นอกจากนั้นพบว่าโรคนี้อาจมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ (เพราะพบว่าในระหว่างตั้งครรภ์ อาการหูอื้ออาจมากขึ้นได้) หรือการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหัด
อาการของโรคนี้ที่พบได้บ่อยที่สุด คือ อาการหูอื้อ ซึ่งมักจะมีอาการหูอื้อมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยบางรายอาจให้ประวัติว่าไม่สามารถได้ยินเสียงกระซิบ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ หรือมีเสียงดังในหูได้ ซึ่งเสียงดังในหูมักจะดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหูอื้อมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะเป็นข้างเดียวก่อน และต่อมามักจะเป็นกับหูอีกข้าง การสูญเสียการได้ยินมักเป็นแบบการนำเสียงเสีย (conductive hearing loss) บางรายอาจมีการสูญเสียการได้ยินแบบประสาทเสียงเสีย โดยมักเสียที่ความถี่ต่ำก่อน ในเวลาต่อมาจะเสียที่ความถี่สูง
การวินิจฉัยโรคนี้ แพทย์จะซักประวัติอาการทางหู และระยะเวลาที่เป็น และทำการตรวจหู เพื่อวินิจฉัยแยกโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการทางหูที่คล้ายกันได้ และส่งตรวจการได้ยิน(audiogram) ซึ่งเป็นกราฟที่บอกความสามารถในการได้ยินเสียงที่ระดับความถี่ต่างๆ และตรวจการทำงานของหูชั้นกลาง
การรักษา อาการหูอื้อที่เกิดจากโรคนี้ประกอบด้วยวิธีที่ไม่ผ่าตัดและวิธีผ่าตัด ในรายที่หูอื้อไม่มาก และเป็น2 ข้าง หรือหูอื้อมากแต่เป็นข้างเดียวอีกข้างยังปกติ อาจยังไม่ต้องรักษาก็ได้ เมื่อมีปัญหาหูอื้อมากจนมีปัญหาในการสื่อสาร และรบกวนคุณภาพชีวิตประจำวันจึงให้การรักษา
1.วิธีที่ไม่ผ่าตัด คือการใช้เครื่องช่วยฟัง (hearing aid) เหมาะในผู้ป่วยที่มีการสูญเสียการได้ยินไม่มาก เครื่องช่วยฟังจะช่วยขยายเสียงที่ได้รับ ทำให้ผู้ป่วยได้ยินดีขึ้นได้ ซึ่งแพทย์ และ/หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตวิทยา จะแนะนำเครื่องช่วยฟังชนิดต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไป
2.วิธีผ่าตัด แพทย์จะทำการเอากระดูกหูส่วนที่เป็นโรคออก (มักจะเป็นกระดูกโกลน) และใส่วัสดุเทียมเข้าไป เพื่อทำหน้าที่ในการส่งผ่านเสียงแทนกระดูกที่มีหินปูนยึดติด ทำให้การนำเสียงกลับมาเป็นปกติ ทำให้การสูญเสียการได้ยินดีขึ้น นอกจากนั้นประมาณร้อย 50 ของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด เสียงดังในหูจะหายไป การผ่าตัดมักจะทำเพียงข้างใดข้างหนึ่งก่อน โดยแพทย์มักจะทำการผ่าตัดในหูข้างที่เสียมากกว่าก่อน.
ขอบคุณข้อมูลความรู้จาก ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Create Date : 21 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 8:53:30 น. |
|
7 comments
|
Counter : 1769 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณที่นำมาฝากกันนะคะ