การใช้คลื่นความถี่วิทยุ จี้บริเวณเพดานอ่อน เพื่อรักษานอนกรน
< การใช้คลื่นความถี่วิทยุ(Radiofrequency;RF)จี้บริเวณเพดานอ่อน(Soft palate)เป็นการรักษาอาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับที่ไม่รุนแรง ที่นิยมมากในปัจจุบัน การรักษาวิธีนี้ทำโดยที่แพทย์จะใส่เครื่องมือซึ่งเป็นเข็มชนิดพิเศษ แทงเข้าไปในเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อน และส่งคลื่นความถี่วิทยุซึ่งจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนในเนื้อเยื่อดังกล่าว จุดประสงค์ คือเพื่อทำให้เนื้อเยื่อเกิดเป็นพังผืดและมีการหดตัว ซึ่งจะทำให้เพดานอ่อนลดการหย่อนตัวหรือสั่นสะเทือนขณะหายใจน้อยลง วิธีนี้ส่วนมากสามารถทำได้โดยใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ โดยไม่ต้องดมยาสลบ ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหลังรักษา ยกเว้นบางรายที่ต้องอยู่เพื่อสังเกตอาการแผลที่เกิดขึ้น จะอยู่ในช่องปากบริเวณใต้เยื่อบุเพดานอ่อน อาจมีหลายตำแหน่งขึ้นอยู่กับปริมาณที่ทำ แต่มักมีขนาดเล็กจนมองไม่เห็น หรืออาจเป็นแผลถลอกใหญ่กว่ารูเข็มเพียงเล็กน้อย ผู้อื่นจึงมักไม่สามารถสังเกตเห็นได้ อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัดไม่มาก ผลการรักษามักเห็นได้ใน 4-6 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามไม่ใช่การรักษาที่คาดหวังว่าจะได้ผลถาวรตลอดไป เช่นเดียวกับการรักษาชนิดอื่น ๆ เนื่องจากในอนาคต ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและอายุมากขึ้น อาการอาจกลับมาเป็นอีก แต่ถ้าผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ สามารถทำซ้ำได้อีก วิธีนี้อาจใช้ร่วมกับการผ่าตัดแบบอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยควรจะรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันไข้หวัดหรือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้ต้องเลื่อนการรักษา สำหรับผู้ป่วยบางรายที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด ต้องหยุดยาก่อนผ่าตัดหลายวัน ทั้งนี้ต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินความพร้อมของผู้ป่วยก่อน ซึ่งบางครั้งอาจต้องตรวจเลือดหรืออื่น ๆ แล้วแต่ความจำเป็น ถ้าผลการตรวจปกติ ผู้ป่วยส่วนมากจะได้รับการนัดให้มาโรงพยาบาลวันที่ทำการรักษาได้เลย ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยวิธีนี้ โดยทั่วไปพบได้น้อยไม่ถึงร้อยละ5 และไม่รุนแรง เช่น เลือดออกจากแผลผ่าตัด ซึ่งปกติมักมีปริมาณน้อยและหยุดได้เอง ผู้ป่วยอาจรู้สึกหายใจลำบาก จากการบวมของทางเดินหายใจรอบแผลที่รักษา ซึ่งถ้าอาการรุนแรงอาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจทางปากหรือจมูก ตามความจำเป็น ผู้ป่วยสามารถพูดได้ชัดปรกติและมีผลต่อเสียงหรือการพูดน้อยมาก นอกจากความเสี่ยงจากการรักษาโดยตรงแล้ว อาจมีความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของการใช้ยาชาเฉพาะที่ เช่น แพ้ยาชา หรือ มีอาการใจสั่น หน้ามืด เป็นลม หูอื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายได้เอง อย่างไรก็ตามแม้ว่าผลข้างเคียงจะพบได้น้อยมาก แต่หากผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับและมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือ มีโรคหัวใจหรือโรคปอดร่วมด้วย จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูงขึ้น
การปฏิบัติตนและสิ่งที่ควรทราบหลังผ่าตัด 1.ผู้ป่วยส่วนมากสามารถกลับบ้านได้หลังพักฟื้นเพียง1-2 ชั่วโมง ยกเว้นในบางรายแพทย์อาจให้นอนในหอผู้ป่วยหลังผ่าตัด 1 คืน เพื่อสังเกตอาการ 2.ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บคอได้ราว 12 สัปดาห์ โดยที่ระหว่างนี้ผู้ป่วยจะได้รับยาที่จำเป็น เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ หรือยารักษาตามอาการอื่น ๆ เป็นต้น 3.ช่วงหลังการผ่าตัดสัปดาห์แรก ทางเดินหายใจมักจะบวมขึ้นอาจทำให้หายใจไม่สะดวกเสียงกรนจะยังไม่ดีขึ้น และอาจมีเลือดออกได้ ดังนั้นควรนอนศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย หลีกเลี่ยงการขับเสมหะแรง ๆ งดเล่นกีฬาที่หักโหมหรือยกของหนักชั่วคราว อย่างไรก็ตามถ้าอาการเป็นรุนแรงขึ้นควรไปพบแพทย์ 4.ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือ อาหารเหลวที่เย็น เช่น ไอศกรีม หรืออมน้ำแข็งบ่อย ๆ ไม่ควรรับประทานอาหารที่แข็งหรือร้อน หรือ รสเผ็ดรสจัดเกินไป ใน 2-3 วันแรกหลังผ่าตัด 5.ควรรักษาความสะอาดในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เช่น บ้วนปาก และแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
การนัดตรวจติดตามอาการ แพทย์จะนัดมาดูแผลครั้งแรกประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด และหลังจากนั้นราว 3-4 สัปดาห์ โดยแพทย์จะประเมินผลการรักษา และตรวจหาภาวะแทรกซ้อนเพื่อแก้ไข ในกรณีถ้าอาการนอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณาและแนะนำทางเลือกในการรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสมต่อไป.
ขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.นพ.วิชญ์ บรรณหิรัญ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Create Date : 08 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 8 ตุลาคม 2553 9:07:31 น. |
|
7 comments
|
Counter : 2861 Pageviews. |
|
|