รับมือกับวัณโรคในครอบครัว
วัณโรค ชื่อนี้เคยห่างหายไปจากวงการสาธารณสุขบ้านเราไปได้พักใหญ่ หลังจากการปราบวัณโรคได้เป็นผลสำเร็จราบคาบเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองหลังจากที่เชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ได้กลายมาเป็นปัญหาของสังคมไทย วัณโรคก็ย้อนกลับมาอีกครั้งและดูเหมือนการกลับมาคราวนี้จะอยู่คงทนยาวนานไม่ไปไหนง่ายๆ เสียด้วย
จากสถิติเท่าที่มีการรวบรวมไว้ในขณะนี้ของประเทศไทย เป็นตัวเลขยอดรวมของปี พ.ศ.2549 (รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค) พบว่ามีผู้เป็นวัณโรคเข้ารับการรักษาทั้งสิ้น 33,422 ราย คิดเป็น 53.37 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าสถิติปีก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 216 ราย คิดเป็น 0.34 ต่อประชากรแสนคน สัดส่วนของผู้ที่เป็นวัณโรคจำแนกตามกลุ่มอายุ ที่มากที่สุดได้แก่ คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป รองลงมาได้แก่กลุ่ม 35-44 และ 45-54 ปีตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง อัตราส่วนชาย : หญิง เท่ากับ 1.9 : 1
นั่นหมายความว่ายุคนี้เราๆ ท่านๆ ต่างก็มีโอกาสสัมผัส หรือติดเชื้อวัณโรคกันได้ทุกคนไม่มากก็น้อย หากว่าบริเวณที่คุณอยู่บังเอิญมีเชื้อวัณโรคแพร่กระจาย ต่างกันที่ว่าภูมิคุ้มกันของใครจะดีกว่ากัน
วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียกลุ่มที่เรียกว่า Mycobacterium tuberculosis complex ประกอบด้วยเชื้อ 3 ชนิดได้แก่ Mycobacterium tuberculosis, Mycobacterium africanum และ Mycobacterium bovis แต่เชื้อก่อโรคส่วนใหญ่ได้แก่ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งสามารถเกิดได้กับอวัยวะต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงเฉพาะที่ปอดอย่างเดียวเท่านั้น
อาการของวัณโรค โดยทั่วไปจะสังเกตได้จากอาการไข้ต่ำๆ เป็นเรื้อรัง ร่วมกับเบื่ออาหารน้ำหนักลด ร่างกายซูบผอมลง ร่วมกับอาการของการติดเชื้อที่อวัยวะแต่ละระบบ เช่น
อาการไอเรื้อรัง มีเสมหะหรือบางครั้งอาจมีเสมหะปนเลือด (วัณโรคปอด) ถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำติดต่อกันเป็นเวลานานๆ บางครั้งหลายหนต่อวัน (วัณโรคทางเดินอาหาร) ปวดศีรษะเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ และซึมลง (วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง) ปวดหลังเรื้อรังและเป็นมากขึ้นโดยเฉพาะเวลานอน (วัณโรคกระดูกสันหลัง) ปวดแน่นใต้ชายโครงขวา ตับโต อาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง (วัณโรคตับ หรือวัณโรคชนิดแพร่กระจาย) เป็นผื่นบริเวณใดบริเวณหนึ่งเรื้อรังรักษาไม่หายแต่ไม่มีอาการเจ็บปวด (วัณโรคผิวหนัง)
ถ้าสังเกตว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดเกิดอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการที่เป็นเรื้อรังแม้รับประทานยารักษาเบื้องต้นแล้วแต่ก็ยังไม่หาย ควรตั้งข้อสงสัยแล้วรีบไปปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะในคนที่ติดเชื้อไวรัส HIV ซึ่งจะมีร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นทุนเดิมจะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่ายมาก
อย่างไรก็ตามแม้วัณโรคจะเป็นโรคติดต่อก็จริง แต่สามารถควบคุมได้ด้วยยา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องกังวลไปเกินกว่าเหตุ หรือพาลไปรังเกียจบุคคลที่เป็นวัณโรคเสีย สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมให้ผู้นั้นปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะการรับประทานยาอย่างเคร่งครัดตามกำหนดเวลา ซึ่งจะใช้เวลารักษาติดต่อกันอย่างน้อย 4 เดือนขึ้นไป ถ้าไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการของเชื้อดื้อยา ซึ่งจะทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้นมาก แล้วถ้าสมาชิกในครอบครัวของคุณมีการตรวจพบว่าเป็นวัณโรค ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร?
วิธีการง่ายๆ ในการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่เป็นวัณโรค ได้แก ่ หลีกเลี่ยงการไอ จาม รดกัน ควรปิดปากและจมูกด้วยทิชชูทุกครั้งเมื่อไอหรือจาม บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่มีฝาปิด แล้วทำลายโดยการต้มหรือเผา เช่น การนำภาชนะไปตั้งไฟให้เดือดอย่างน้อย 5 นาที หรือแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ แยกข้าวของ เครื่องใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู แปรงสีฟัน อาหาร ช้อนส้อม ไม่ใช้รวมกับผู้อื่นโดยเฉพาะเด็ก รวมทั้งแยกห้องนอนด้วย จนกว่าจะแน่ใจว่ารักษาหายดีแล้ว ควรใช้ช้อนกลางในการตักกับข้าวรับประทานอาหาร ช้อน จาน ชาม ของผู้ป่วยควรต้มในน้ำเดือด พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก มีแสงแดดส่องถึง หมั่นนำเครื่องนอนออกไปตากแดดบ่อยๆ รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ และจำเป็นต้องรับประทานจนครบ เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา (ในหลายกรณีแพทย์หรือพยาบาลอาจนัดให้ไปรับประทานยาที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยทุกวันเป็นการควบคุมไม่ให้ขาดยา ซึ่งควรปฏิบัติตามโดยดี) เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว อย่าตัดสินใจหยุดยาเอง เพราะเชื้อวัณโรคยังไม่ตายหมด อาจทำให้เชื้อเกิดดื้อยา กลับกำเริบขึ้นอีกได้ ต้องสังเกตอาการข้างเคียงของยาไว้ด้วย และแจ้งกับแพทย์หากพบว่ามีเกิดขึ้น เช่น ผื่นตามตัว จุกเสียด แน่นท้อง ตัวเหลืองตาเหลือง ตามองเห็นไม่ชัด เป็นต้น ถ้ามีอาการดังกล่าวควรหยุดยาทันที และพบแพทย์ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มมึนเมาต่างๆ เพราะมีผลเร่งให้อาการเป็นมากขึ้น ตับทำงานแย่ลง และอาจเกิดการแพ้ยาได้ง่าย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้ตามปกติ ผู้เป็นวัณโรคควรลาหยุดงานและอยู่ห่างๆ จากผู้อื่น จนกว่าจะครบ 2 สัปดาห์นับตั้งแต่เริ่มต้นรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งหากสภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้วก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตกับผู้อื่นได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหยุดงาน เนื่องจากมีโอกาสแพร่เชื้อได้น้อยมาก ไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอทุกครั้ง สำหรับคนที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้ที่เป็นวัณโรค
ประการแรกคือต้องแนะนำให้ผู้ที่เป็นวัณโรคเข้ารับการรักษาตัวอย่างถูกต้องจากแพทย์ และดูแลให้เขารับประทานยาตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่เป็นช่วงระหว่างรับการรักษา ไม่มีความจำเป็นต้องหลีกหนี ถอยห่าง หรือรังเกียจผู้ที่เป็นวัณโรคที่กำลังรับการรักษา เพราะหากเขารับประทานยาตามกำหนดแล้ว เชื้อจะถูกทำลายและมีโอกาสแพร่เชื้อน้อยมาก ผู้อยู่ใกล้ชิดในบ้านเดียวกับผู้ป่วยทุกคนควรไปให้แพทย์ตรวจ และอาจจำเป็นต้องรับประทานยาป้องกันวัณโรค เด็กแรกเกิดควรได้รับการฉีดวัคซีน BCG ป้องกันวัณโรค และแยกออกห่างจากผู้ที่เป็น
ป้องกันตัวเองสำคัญที่สุด
สำหรับคนทั่วไปควรเข้ารับการตรวจสุขภาพและเอกซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นแต่เนิ่นๆ เพราะบางครั้งการติดเชื้อวัณโรคก็ไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการหมั่นออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้ครบหมู่ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อวัณโรค เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ติดยาเสพติด
คุณสามารถเข้ารับการตรวจรักษาและฉีดวัคซีน BCG ป้องกันวัณโรคได้ที่ โรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ สถานีอนามัยใกล้บ้าน สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทย ศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. ศูนย์วัณโรคเขต สถานตรวจโรคปอดกรุงเทพฯ
ขอบคุณข้อมูลความรู้จาก//www.healthtoday.net/Thailand/feature/feature_841.html
Create Date : 08 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 8 สิงหาคม 2552 9:58:50 น. |
|
14 comments
|
Counter : 4980 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาส่งความคิดถึงให้คุณกบค่ะ พร้อมทั้งมีเรื่องรบกวน
ตามลิ้งนี้เลยค่ะ..อิอิ
คลิก!!