โรค มือ-เท้า-ปาก และ โรคจากเชื้อเอนเตอโรไวรัส 71
โรคมือเท้าปากคืออะไร โรค มือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ มักระบาดในช่วงหน้าฝน โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส ซึ่งมีหลายตัวที่ทำให้ เกิดได้ โดยเชื้อที่รุนแรงที่สุดคือ เชื้อเอนเตอโรไวรัส 71 หรือ เรียกสั้น ๆ ว่าเชื้อ อีวี 71
อาการของโรคมือ-เท้า-ปาก เป็นอย่างไร และรักษาอย่างไร เด็กที่เป็นโรคมือ-เท้า-ปาก มักเริ่มด้วยอาการไข้ เจ็บปาก กิน อะไรไม่ค่อยได้ น้ำลายไหล เพราะมีแผลในปากเหมือนแผลร้อนใน และมีผื่นเป็นจุดแดง หรือเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และ อาจมีตามลำตัว แขน ขาได้ ผู้ป่วยมักมีอาการมากอยู่ 2-3 วัน จากนั้นค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายใน 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มีอาการไม่มาก แต่บางรายมีอาการมากจนกินอาหารและน้ำไม่ได้ โดยปรกติโรคนี้ไม่น่ากลัว และหายเองโดยไม่มีปัญหา แต่ อาจมีโอกาสพบปัญหาแทรกซ้อนรุนแรงได้ประมาณ 1 ต่อ 2,000 ราย โดยเฉพาะถ้าเกิดจากเชื้อ อีวี 71 ปัญหาแทรกซ้อน ที่รุนแรงที่สุดคือ สมองอักเสบ ทำให้เกิดภาวะหายใจ และระบบ ไหลเวียนล้มเหลว ซึ่งถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็ว และบางครั้ง เชื้อ อีวี 71 อาจทำให้เกิดสมองอักเสบรุนแรงได้โดยไม่ต้องมี ผื่นแบบ มือ-เท้า-ปาก ก็ได้ ปัจจุบันยังไม่มีสิ่งใดที่จะบ่งบอก ได้ว่าผู้ป่วยรายใดจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนรุนแรงขึ้น แต่เด็กที่ จะมีปัญหาแทรกซ้อนรุนแรงหรือสมองอักเสบ มักมีอาการ ซึม อ่อนแรง ชักกระตุก มือสั่น เดินเซ หอบ อาเจียน ซึ่งหากพบ อาการเหล่านี้จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน โรคนี้ไม่มียารักษาจำเพาะ หลักการรักษาเป็นการรักษา ตามอาการ เด็กที่มีภาวะแทรกซ้อนจำเป็นต้องได้รับการดูแล รักษาแบบผู้ป่วยวิกฤต โรคมือ-เท้า-ปาก ติดต่อได้อย่างไร โรคนี้ติดต่อโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย หรือ อุจจาระ ของผู้ป่วยโดยตรง หรือทางอ้อม เช่น สัมผัสผ่านของเล่น มือ ผู้เลี้ยงดู หรือน้ำ และอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โรคนี้จึงมักระบาด ในโรงเรียนชั้นอนุบาลเด็กเล็ก หรือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก โรคมือ-เท้า-ปาก ป้องกันได้อย่างไร ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ การป้องกันที่สำคัญคือ แยก ผู้ป่วยที่เป็นโรคมิให้ไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็ก ควรหมั่นล้างมือ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปยังเด็กคนอื่น หมั่นทำความสะอาดของเล่น และสิ่งแวดล้อมทุกวัน การทำ ความสะอาดโดยใช้สบู่ ผงซักฟอก หรือน้ำยาชะล้างทำความ สะอาดทั่วไป แล้วทำให้แห้ง สามารถฆ่าเชื้อได้ดี ควรระมัด ระวังในความสะอาดของน้ำ อาหาร และ สิ่งของทุกๆอย่างที่ เด็กอาจเอาเข้าปาก โรงเรียนไม่ควรรับเด็กป่วยเข้าเรียนจน กว่าจะหายดีเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานที่ป่วยไปพบแพทย์ ไม่ควร พาไปโรงเรียน หากพบว่าเป็นโรคนี้ ควรให้การรักษาตามคำ แนะนำของแพทย์ โรคนี้มักหายเองโดยไม่มีปัญหา แต่ควร เฝ้าระวังอาการซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของภาวะแทรกซ้อน ดังกล่าวข้างต้น สถานรับดูแลเด็ก และโรงเรียนที่มีชั้นอนุบาล และชั้น ประถมต้น ควรมีมาตรการป้องกันการระบาดของโรคนี้ดังนี้ 1. มีการตรวจคัดกรองเด็กป่วย ได้แก่เด็กที่มีไข้ หรือ เด็กที่มีผื่น หรือมีแผลในปาก ไม่ให้เข้าเรียน ทั้งนี้เพราะมีผู้ ป่วยบางคนที่มีอาการน้อยมาก หรือมีบางคนที่มีอาการไข้ แต่ไม่มีผื่น ควรต้องจัดหาเครื่องมือวัดอุณหภูมิ (ปรอท) ไว้ให้พร้อมเพื่อใช้ในกรณีที่สงสัยว่าเด็กจะมีไข้ และมีครู หรือพยาบาลตรวจรับเด็กก่อนเข้าเรียนทุกวัน 2. ควรมีมาตรการในการทำความสะอาดของเล่น และสิ่งแวดล้อมทุกวัน หรือเมื่อมีการเปื้อนน้ำลาย น้ำมูกหรือ สิ่งสกปรก 3. มีมาตรการเคร่งครัดในการล้างมือ หรือใช้แอลกอฮอลล์ เจลล้างมือ ให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับที่ดูแลสัมผัสเด็กเล็ก โดย เฉพาะในทุกครั้งที่อาจสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระ 4. หากมีการระบาดเกิดขึ้น ได้แก่มีผู้ป่วย 2 รายขึ้นไปใน ชั้นเรียน ควรพิจารณาปิดชั้นเรียนนั้นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หรือ หากมีการระบาดเกิดขึ้นในหลายชั้นเรียนควรปิดโรงเรียนด้วย เพื่อหยุดการระบาด
Create Date : 14 กันยายน 2551 |
Last Update : 14 กันยายน 2551 7:51:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1190 Pageviews. |
|
|
|
|
|