สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
โรคเก๊าท์และการดูแลอาหารของผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์



โรคเก๊าท์ เกิดจากภาวะที่กรดยูริคในเลือดมีปริมาณสูงเกินไป
เกินกว่าที่จะสามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงมีการตก
ตะกอนสะสมอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่ที่มีอากาศเย็นกว่า
บริเวณอื่น เช่น ตามข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ตามศอก นิ้ว ติ่งหู
ตาตุ่ม หลังเท้าทำให้เกิดปุ้มก้อนเกิดขึ้น

สาเหตุ

สาเหตุของเก๊าท์ เกิดเนื่องจากร่างกายมีกรดยูริคสูงเกินเป็นเวลานาน
สำหรับผู้ชาย ระดับยูริคจะสูงตั้งแต่ ในช่วงวัยรุ่น แต่ผู้หญิงด้วยฤทธิ์
ของฮอร์โมนเพศจะไม่สูง แต่จะสูงเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว
ระดับยูริคที่สูงจะไม่ทำให้เกิดอาการ แต่จะสะสมตกตะกอนไปเรื่อย ๆ
จนเริ่มมีอาการทางข้อเมื่อกรดยูริค ในเลือดสูงไปประมาณ 10-20 ปี
แล้ว ยูริคในเลือดที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายผลิตเอง ดังนั้น
จึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ผู้ป่วย โรคเก๊าท์งดอาหารใด ๆ ที่มียูริค
สูงเลยและการกินอาหารที่มียูริคสูง (ที่คนทั่วไปเข้าใจกันเช่น
เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก) ก็ไม่ได้ทำให้ เกิดโรคเก๊าท์แต่อย่างใดและ
เนื่องจากโรคเก๊าท์มักเป็นในผู้ป่วยที่มีอายุค่อนข้างมาก ซึ่งมักจะมี
โรคอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ซึ่งจำเป็นต้อง
งดอาหารหวาน อาหารเค็มอยู่แล้ว การให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารอีก
จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกินอาหารอะไรได้เลย (ยกเว้นไปกินแกลบ
กินหญ้า) เป็นการทรมานผู้ป่วยเปล่า ๆ

อาการ

อาการของเก๊าท์ที่สำคัญคือ ข้ออักเสบ มักเกิดที่บริเวณนิ้วหัวแม่เท้า,
ข้อเท้า เป็นต้น โดยข้อที่อักเสบ จะบวม แดง ร้อน และปวดมาก
ชัดเจน (ถ้าข้อที่ปวด ไม่บวม แดง ร้อน หรือมีอาการไม่ชัดเจนให้
สงสัยไว้ ก่อนว่าไม่ใช่เก๊าท์) โดยมากมักเป็นข้อเดียวและมีอาการ
อักเสบอยู่ประมาณ 5-7 วัน อาการจะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง จน
หายสนิท ระหว่างที่ไม่มีอาการ จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ ให้เห็น
เมื่อข้ออักเสบขึ้นใหม่ จะมีอาการเช่นเดิมอีก อาการจะเป็นอย่างนี้
ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นมากขึ้น อาการข้ออักเสบจะเป็นมากขึ้น
หลายข้อมากขึ้น เป็นนานและรุนแรงขึ้น รวมทั้งเกิดปุ่มก้อนของ
ยูริค สะสมมากขึ้น ผู้ป่วยระยะนี้มักมีไตวายร่วมด้วย

การรักษาเก๊าท์แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่

1. การรักษาข้ออักเสบ ในช่วงนี้แพทย์จะใช้ยาลดการอักเสบของ
ข้อก่อน โดยใช้ยา โคลชิซิน หรือยาแก้ปวดลดอักเสบ หรือใช้
ร่วมกัน เพื่อลดอาการปวดข้อและอักเสบ ยาโคลชิซินโดยทั่วไป
แนะนำให้ใช้ ไม่เกินวันละ 3-4 เม็ด โดยกินยาทุก 4 ชั่วโมง จนกว่า
จะหายปวด

การใช้ยาตามคำแนะนำของต่างประเทศที่ว่าให้กินทุก 1 ชั่วโมงจน
หายปวดหรือจนเกิดผลข้างเคียงคือท้องเสียนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพราะข้อไม่เคยหายอักเสบก่อนท้องเสียเลย ดังนั้นผู้ป่วยจะ
ท้องเสียทุกรายและมีความรู้สึก ที่ไม่ดีต่อการใช้ยานี้ การกินยา
ไม่เกิน 3-4 เม็ดต่อวัน โอกาสเกิดผลข้างเคียงนี้ น้อยมาก ผู้ป่วย
เก๊าท์ในระยะข้ออักเสบ ห้ามนวด! เด็ดขาด เพราะจะทำให้ข้อ
อักเสบเป็นรุนแรงขึ้นหายช้าลงได้

2. การลดกรดยูริคในเลือด โดยใช้ยาลดกรดยูริค ในผู้ป่วยที่มี
ข้ออักเสบมากกว่า 1 ครั้ง ควรให้ยาลดกรดยูริคถ้าทำได้ การกิน
ยาดังกล่าวจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องสม่ำเสมอไปนานหลายปี
ทั้งนี้เพื่อลดระดับยูริคในเลือดลง ทำให้ตะกอนยูริคที่สะสมอยู่
ละลายออกจนหมดผู้ป่วยจะสามารถหายจากโรคเก๊าท์ได้ แต่
ข้อควรระวังคือ

- ยาลดกรดยูริค มีผลข้างเคียงที่แม้จะพบไม่มากแต่สำคัญ คือ
ทำให้เกิดผื่นแพ้ยารุนแรง และลอก เป็นอันตรายมาก การกินยา
ไม่สม่ำเสมอ กิน ๆ หยุด ๆ เสี่ยงต่อการแพ้ยามาก ดังนั้นผู้ป่วยที่
ไม่สามารถจะกินยาสม่ำเสมอได้ ไม่แนะนำให้กินยา
- เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นเก๊าท์ ให้การวินิจฉัยโดยลักษณะอาการ
ทางคลินิค ไม่ได้อาศัยการเจาะตรวจยูริคในเลือด

ดังนั้นผู้ที่เจาะเลือดแล้วมียูริคสูง ไม่ได้บอกว่าเป็นเก๊าท์ ถ้าไม่มี
อาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์มาก่อน ไม่จำเป็นต้องรักษา

มีผู้เข้าใจผิดอยู่มาก โดยให้กินยาลดกรดยูริคเมื่อตรวจพบเพียง
แต่ยูริคในเลือดสูง เพราะยูริคในเลือดสูง ไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกราย
แต่การกินยาจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาข้างต้นได้

การดูแลเรื่องอาหารของผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ด้วย

โรคเก๊าท์ เกิดจากการเผาผลาญพิวรีนในร่างกาย ทำให้ร่างกาย
มีกรดยูริคคั่งในเลือดสูงแ ลตามข้อเล็ก ๆ และอวัยวะบางแห่ง
อาจเกลือโซเดียมยูเรตเกาะอยู่ทำให้เกิดอาการที่อวัยวะนั้นๆ
ส่วนมากอากาศจะเกิดเป็นครั้งคราว มักจะกำเริบมากขึ้น เมื่อ
บริโภคอาหารพวก นิวคลีโอโปรตีน และไขมันมาก หรือ
ขณะดื่มแอลกอฮอล์และการออกกำลังกาย ทำให้กรด
ยูริคมากขึ้น

การเกิดกรดยูริคในร่างกายเกิดได้ 2 ทางคือ

1.เกิดจากกสารพิวรีน หรือนิวคลิโอโปรตีน ที่เป็นส่วนประกอบ
ของอาหารที่บริโภคส่วนนี้เป็นกรดยูริคที่เกิดจากสาเหตุภายนอก
จำนวนพิวรีนที่เกิดจากอาหารบริโภค จะเปลี่ยนแปลงไปตาม
จำนวนพิวรีนที่มีในอาหาร ถ้าบริโภคอาหาร เครื่องในสัตว์ จะ
ทำให้มีกรดยูริคสูงขึ้น อาหารบางชนิดกระตุ้นให้ระบบทางเดิน
อาหารให้ทำงานเพิ่มมากขึ้น จะทำให้มีกรดยูริคเพิ่มมากขึ้น
จึงสรุปได้ว่า กรดยูริคจะเปลี่ยนแปลงไปตามอาหารบริโภค
ที่มีโปรตีน การออกกำลังกาย และตามการทำงานของต่อม
ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร

2.เกิดจากสารพิวรีน ที่ได้จากการสลายตัวของพวกเซลล์ของ
อวัยวะในร่างกาย เป็นกรดยูริคที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย กรด
ยูริคที่เกิดจากส่วนนี้ ย่อมจะเปลี่ยนไปตามการสลายตัวของ
อวัยวะ เช่น เซลล์มีการทำงานมากขึ้น หรือมีการออกกำลัง
กายเพิ่มขึ้น

อาการของโรคเก๊าท์

1.ระยะแรกมักมีอาการปวดรุนแรงอย่างทันทีทันใด มักพบ
อาการปวดที่หัวแม่เท้าก่อน อาการมักเกิดขึ้นภายหลังการกิน
อาหารที่มีแคลอรี่สูงมาก ๆ การดื่มเหล้ามาก หรือการสวมรองเท้า
ที่คับ บริเวณผิวหนังตรงข้อที่อักเสบจะตึงร้อน เป็นมัน ผู้ป่วยมัก
จะมีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย มีเม็ดเลือดขาวสูง อาการจะค่อย ๆ
ดีขึ้น ใน 2-3 วัน และหายไปเองในระยะ 5-7 วัน

2.ระยะพัก เป็นระยะที่ไม่มีอาการแสดง แต่กรดยูริคในเลือดมักสูง
และอาการอักเสบอาจเกิดขึ้นอีกจนถึงขึ้นเรื้อรัง อาจมีอาการเป็น
ระยะ ๆ เนื่องจากผลึกยูเรตเป็นจำนวนมากสะสมอยู่ในข้อกระดูก
เยื่ออ่อนของข้อต่อ และบริเวณเส้นเอ็น ทำให้เกิดโรคข้อกระดูก
เสื่อม เมื่อเป็นมากจะมีการสะสมของผลึกนี้ที่เยื่อบุภายในปลอก
หุ้มข้อ และเกิดปุ่มขึ้นที่ใต้ผิวหนัง มักเริ่มที่หัวแม่เท้า และปลาย
ใบหูก่อน ข้อที่มีผลึกยูเรตเกาะอยู่ อาจเปลี่ยนแปลงจนผิดรูป
และเกิดความพิการที่ข้อกระดูกนั้น ๆ

3.อาการแทรกซ้อน พบว่า ร้อยละ 25 ของผู้ป่วยข้ออักเสบ
เฉียบพลันจากเก๊าท์มักมีนิ่วในไตด้วย ผลึกยูเรตอาจสะสมอยู่ใน
ส่วนหมวกไต ทำให้มีอาการเลือดออกทางปัสสาวะ ถ้ามีการสะสม
ในไตมาก ๆ จะขัดการทำงานของไต หรือทำลายเนื้อไต ทำให้
เกิดภาวะไตล้มเหลว

การควบคุมอาหาร เนื่องจาก กรดยูริคจะได้จากการเผาผลาญ
สารพิวรีน ดังนั้น ในการรักษาโรคเก๊าท์ จึงต้องควบคุมสารพิวรีน
ในอาหารด้วย อาหารที่มีพวรีน อาจแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ

อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย ( 0-50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)

1.นมและผลิตภัณฑ์จากนม
2.ไข่
3.ธัญญพืชต่าง ๆ
4.ผักต่าง ๆ
5.ผลไม้ต่าง ๆ
6.น้ำตาล
7.ผลไม้เปลือกแข็ง(ทุกชนิด)
8.ไขมัน

อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง (50-150 มิลลิกรัมต่ออาหาร
100 กรัม)

1.เนื้อหมู
2.เนื้อวัว
3.ปลากระพงแดง
4.ปลาหมึก
5.ปู
6.ถั่วลิสง
7.ใบขี้เหล็ก
8.สะตอ
9.ข้าวโอ๊ต
10.ผักโขม
11.เมล็ดถั่วลันเตา
12.หน่อไม้

อาหารที่มีพิวรีนสูง (150 มิลลิกรัมขึ้นไป) * อาหารที่ควรงด

1.หัวใจไก่
2.ไข่ปลา
3.ตับไก่
4.มันสมองวัว
5.กึ๋นไก่
6.หอย
7.เซ่งจี้(หมู)
8.ห่าน
9.ตับหมู
10.น้ำต้มกระดูก
11.ปลาดุก
12.ยีสต์
13.เนื้อไก่,เป็ด
14.ซุปก้อน
15.กุ้งชีแฮ้
16.น้ำซุปต่าง ๆ
17.น้ำสกัดเนื้อ
18.ปลาไส้ตัน
19.ถั่วดำ
20.ปลาขนาดเล็ก
21.ถั่วแดง
22.เห็ด
23.ถั่วเขียว
24.กระถิน
25.ถั่วเหลือง
26.ตับอ่อน
27.ชะอม
28.ปลาอินทรีย์
29.กะปิ
30.ปลาซาดีนกระป๋อง

การกำหนดอาหาร

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ
ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ เพื่อให้ได้ สารอาหารครบถ้วน และ
งดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมากดังกล่าวแล้ว

1.พลังงาน ผู้ป่วยที่อ้วน จำเป็นต้องจำกัดพลังงานในอาหาร เพื่อ
ให้น้ำหนักลดลงทั้งนี้ เนื่องจากความอ้วน ทำให้เกิดอาการโรค
เก๊าท์รุนแรงขึ้น แต่ต้องระมัดระวังในระยะที่มีอาการรุนแรง ไม่
ควรให้อาหารที่มีพลังงานต่ำเกินไป เพราะอาจทำให้มีการสลาย
ของไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งจะทำให้สารยูริคถูกขับออกจาก
ร่างกายได้น้อย และอาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้นได้ ผู้ป่วย
โรคเก๊าท์ไม่ควรอดอาหาร และควรได้พลังงานประมาณวันละ
1,200-1,600 แคลอรี่

2.โปรตีน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารโปรตีนตามปรกติ ไม่เกิน
1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยหลีกเลี่ยงโปรตีนที่มีสาร
พิวรีนมาก

3.ไขมัน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารที่มีไขมันให้น้อยลง โดยจำกัด
ให้ได้รับประมาณวันละ 60 กรัม เพื่อให้น้ำหนักลดลง การได้รับ
อาหารที่มีไขมันมากเกินไป จะทำให้มีการสะสมสารไตรกลี
เซอไรด์เพิ่มขึ้น ซึ่งการมีสารไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น
จะทำให้ขับถ่ายสารยูนิคได้ไม่ดี และพบว่า ผู้ป่วยที่อ้วน และ
มียูริคในเลือดสูง เมื่อลดน้ำหนักลง กรดยูริคในเลือดจะลดลงด้วย

4.คาร์โปไฮเดรท ควรได้รับให้พอเพียงในรูปของข้าว แป้งต่าง ๆ
และผลไม้ ส่วนน้ำตาลไม่ควรกินมาก เพราะการกินน้ำตาลมาก ๆ
จะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ซึ่งจะมีผลต่อการขับถ่าย
สารยูริคด้วย

5.แอลกอฮอล์ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้ามาก ๆ เพราะการ
เผาผลาญแอลกอฮอล์ จะทำให้มีกรดแลคติคเกิดขึ้น และมีการ
สะสมแลคเตตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลให้กรดยูริคถูกขับถ่ายได้น้อยลง

การจัดอาหาร

ในการจัดอาหารให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ที่แพทย์ให้จำกัดสารพิวรีนอย่าง
เข้มงวด ผู้จัดต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทั้งในด้านโภชนาการ
และรสชาติ ลักษณะอาหาร เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยกินอาหารได้ตามที่
กำหนด และได้รับสารอาหารเพียงพอ

1.ในระยะที่มีอาการรุนแรง ควรงดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมาก ใน
ระหว่างมื้ออาหารให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้มาก ๆ จะช่วยขับกรดยูริค ช่วย
รักษาสุขภาพของไตและป้องกันมิให้เกิดก้อนนิ่ว พวกยูเรตขึ้นได้ที่ไต
2.งดเว้นอาหารที่ให้พลังงานมาก ได้แก่ ขนมหวานต่าง ๆ อาหาร
ที่มีไขมันมาก เช่น อาหารทอด และขนมหวาน ที่มีน้ำตาล และ
ไขมันมาก
3.จัดอาหารที่มีใยอาหารมาก แก่ผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้
น้ำหนักลดลง
4.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การดื่มเหล้ามีส่วนช่วยให้
อาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้น
5.อาหารที่มีไขมันมาก จะทำให้ขับกรดยูริคน้อยลง ทำให้มีการคั่ง
ของกรดยูริคในเลือดมากขึ้น



Create Date : 15 กันยายน 2551
Last Update : 15 กันยายน 2551 8:35:35 น. 0 comments
Counter : 1031 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
15 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.