โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูม เป็นการติดเชื้อและมีการอักเสบของต่อมน้ำลาย (Parotid gland) ที่อยู่บริเวณกกหูทำให้ที่บริเวณคางบวม จึงได้ชื่อว่าคางทูม พบในเด็กเป็นส่วนใหญ่
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Paramyxovirus
การติดต่อ
ติดต่อกันได้โดยตรงทางการหายใจ (Droplet spread) และสัมผัสกับน้ำลายของผู้ป่วย เช่น การกินน้ำและอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกัน เป็นกับเด็กได้ทุกอายุ ถ้าเป็นในผู้ใหญ่จะมีอาการรุนแรง และมีโรคแทรกซ้อนได้บ่อยกว่าในเด็ก หลังจากมีวัคซีนป้องกันในประเทศที่พัฒนาแล้วอุบัติการณ์ของโรคนี้ได้ลดลงมาก ระยะที่ติดต่อกันได้ง่าย คือจาก 1-2 วัน (หรือถึง 7 วัน) ก่อนมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย ไปจนถึง 5-9 วันหลังจากมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย
ระยะฟักตัวของโรคคือ 16-18 วัน แต่อาจสั้นเพียง 12 วัน และนานถึง 25 วันหลังสัมผัสโรค
อาการ
เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งซึ่งสามารถติดต่อกันโดยตรงทางการหายใจ การจาม ไอ และการสัมผัสกับน้ำลายของผู้ป่วย เช่น การดื่มน้ำและกินอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกัน เมื่อได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และปวดเมื่อยตามตัว หลังจากนั้นจะมีอาการเจ็บบริเวณขากรรไกร เนื่องจากต่อมน้ำลายบริเวณข้างหูบวมโตขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหูเวลาพูด กลืน และเคี้ยวอาหารได้ลำบากมากขึ้น ทั้งนี้ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา เชื้อไวรัสดังกล่าวจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในเยื่อบุทางเดินหายใจและต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงของเรา จากนั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆตามมาได้
ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการ ในผู้มีอาการจะเริ่มมีอาการไข้ต่ำ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมา 1-2 วัน จะมีอาการปวดหู เจ็บบริเวณขากรรไกร จากนั้นต่อมน้ำลายหน้าหูจะโตขึ้นจนคลำได้ โดยค่อยๆ โตขึ้นจนถึงบริเวณหน้าหูและขากรรไกร บางรายโตขึ้นจนถึงระดับตา ประมาณ 1 สัปดาห์ จะค่อยๆ ลดขนาดลง
โรคแทรกซ้อน
1) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง 2) โรคแทรกซ้อนที่นับว่ารุนแรงคือ สมองอักเสบ พบได้ประมาณ 1 ใน 6,000 ราย ซึ่งอาจทำให้ถึงเสียชีวิตได้ 3) ถ้าเป็นในเด็กชายวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่อาจมีการอักเสบของอัณฑะ ซึ่งในบางรายอาจทำให้เป็นหมันได้ 4) โรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจพบได้น้อยมาก คือ ข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และหูหนวก
การวินิจฉัยโรค
จากการแยกเชื้อไวรัสจาก throat washing จากปัสสาวะและน้ำไขสันหลัง และหรือตรวจหาระดับ antibody โดยวิธี Hemagglutination Inhibition (HAI) หรือ Neutralization test (NT)
การรักษา
ปัจจุบันโรคคางทูมยังไม่มียารักษา แต่เราสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนครับ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ให้วัคซีนป้องกันโรคคางทูม ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของวัคซีนรวม ทั้งโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมันที่มีชื่อว่าเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) กับเด็กทั่วประเทศ โดยจะให้ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุเก้าเดือน และครั้งที่สอง เมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคคางทูม ให้รักษาตามอาการ เช่น หากอ่อนเพลียให้นอนพักและดื่มน้ำมากๆ เวลามีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ในกรณีที่คางบวมมากๆให้ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณที่เป็นคางทูม และหมั่นทำความสะอาดในช่องปากเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เป็นต้น
นอกจากนั้น ในอดีตหากใครป่วยเป็นโรคคางทูม นิยมนำใบเสลดพังพอนมาตำผสมกับเหล้าขาวเล็กน้อย ทาบริเวณคางที่บวม 2-3 ครั้งต่อวัน ก็จะทำให้อาการบวมลดลงได้ ซึ่งใครที่เคยป่วยเป็นโรคคางทูมแล้ว จะไม่กลับมาเป็นอีก
ในกรณีของคนใกล้ชิดหรือกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ใกล้ผู้ป่วยโรคคางทูม มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
1. แยกผู้ป่วยโรคคางทูมออกจากผู้อื่น เป็นเวลา 9 วัน หลังจากมีอาการบวมของต่อมน้ำเหลือง พร้อมทั้งสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสดังกล่าวแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นๆ
2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อนของผู้ป่วยโรคคางทูม ไม่ว่าจะเป็นเสมหะ น้ำลาย ที่เกิดจากการจามหรือไอของผู้ป่วย รวมถึงงดใช้ภาชนะต่างๆร่วมกับผู้ป่วย เป็นต้นว่า ช้อน แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า เพื่อป้องกันการรับเชื้อ เป็นต้น
การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย วิธีที่ดีที่สุดคือ ให้วัคซีนป้องกันด้วยการให้วัคซีนป้องกันคางทูม ซึ่งมาในรูปแบบของวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขให้วัคซีนรวมป้องกันหัด คางทูม และหัดเยอรมัน 1 ครั้ง ในเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
โรคแทรกซ้อนที่มากับคางทูม
1. อัณฑะอักเสบ เด็กวัยรุ่นและเพศชายที่ป่วยเป็นโรคคางทูมราว 1 ใน 4 คน มักจะมีอาการอัณฑะอักเสบร่วมด้วย ทั้งนี้อาการดังกล่าวมักเกิดหลังจากต่อมน้ำลายอักเสบราว 4-10 วัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดบวมที่ลูกอัณฑะ เมื่อกดดูจะรู้สึกเจ็บและอึดอัด โดยทั่วไปจะปวดอยู่ราว 2 -4 วันก่อนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้คนที่เป็นโรคคางทูมอาจมีอาการอักเสบที่ลูกอัณฑะข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ และสำหรับคนที่ลูกอัณฑะเกิดการอักเสบทั้งสองข้าง อาจทำให้อัณฑะที่บวมอยู่ถูกบีบให้อยู่ในพื้นที่อันจำกัด ทำให้ขาดการยืดหยุ่น และมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ หากไม่รีบรักษา อาจทำให้เป็นหมันได้
2. รังไข่อักเสบ พบในผู้หญิงวัยแตกเนื้อสาว ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีไข้และปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย ทั้งนี้ยังพบอีกว่าผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคคางทูมในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์มีอัตราเสี่ยงต่อการแท้งบุตรและคลอดก่อนกำหนดอีกด้วย
3. เยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดไม่พบเชื้อ เป็นโรคแทรกซ้อนชนิดรุนแรงอีกอย่างหนึ่งที่มากับโรคคางทูม ซึ่งทำให้ผู้ป่วย มีอาการปวดศีรษะอย่างหนักและซึมเศร้า คอแข็ง หลังแข็ง และมีอาการชัก หากรักษาไม่ทันอาจทำให้เสียชีวิตได้
4. ประสาทหูอักเสบ พบได้ประมาณ ร้อยละ 4-5 ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพียงชั่วคราว และหายได้เอง ซึ่งอาการประสาทหูอักเสบเนื่องจากโรคเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดดังกล่าวเข้าไปทำลายระบบการได้ยินของหู ส่งผลให้หูชั้นในเกิดการอักเสบ ซึ่งหากไม่รักษาอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหูตึง หรือหูหนวกได้
นอกจากนั้น โรคคางทูมยังทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมาอีกมายมาย เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ ไตอักเสบ ต่อมไทรอยด์อักเสบ ไขข้ออักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ เป็นต้น ซึ่งโรคทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะแสดงอาการมากน้อยขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน
Create Date : 29 ธันวาคม 2551 |
Last Update : 29 ธันวาคม 2551 8:46:44 น. |
|
7 comments
|
Counter : 2749 Pageviews. |
|
|
|
เพราะเชื้อโรคพัฒนาไปเป็นโรคที่ร้ายแรงยิ่งกว่าซะแล้ว