|
มีเพื่อนที่ทำงานเป็นโรคนี้อยู่เขาบอกว่าทรมานมาก ถ้าอากาศหนาวกลางคืนจะนอนหายใจไม่ออกเลย บางทีก็ต้องนอนหัวต่ำ เคยไปเที่ยวและพักห้อง เดียวกันเขาต้องเอาหมอนออก แบบนอนโดยไม่ ต้องหนุนคะ ถึงจะนอนหลับได้สบาย ก็เลย อยากนำเรื่องนี้มาเสนอเพื่อเป็นความรู้คะ สำหรับคุณแม่ที่มีลูกเล็กก็ต้องระวังด้วยเพราะ มักจะเกิดได้ง่ายกับเด็กเล็กคะ
โรคหอบหืดคืออะไร?
โรคหอบหืดจัดเป็นโรคปอดเรื้อรังซึ่งผู้ป่วยจะมีปัญหาในการหายใจบ่อยๆ และมีอาการต่างๆ เช่น หายใจติดขัด หายใจหอบ แน่นหน้าอก รวมทั้งมีอาการไอร่วมด้วย ในการหายใจตามปกติ อากาศจะไหลเข้าและออกจากปอดอย่างอิสระ แต่เมื่อโรคหอบหืดนี้ ไม่ได้รับการควบคุม ท่อหายใจของปอดก็จะตีบแคบ บวม และอักเสบ ท่อหายใจนี้จะไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมาก ส่งผลให้เกิดอาการหอบหืดขึ้นได้ง่าย ในระหว่างที่เกิดอาการหอบหืดนี้ แนวท่อหายใจจะบวมพอง กล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ จะหดตัว และเมือกจากเยื่อบุเมือกจะไปอุดตันท่อหายใจในปอดที่มีขนาดเล็กมาก ทำให้หายใจลำบาก
อาการโรคหอบหืดจะแตกต่างกันในแต่ละชั่วโมง แต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ และในแต่ละเดือน โดยที่บ่อยครั้ง ผู้ป่วยจะ มีอาการหนักในตอนกลางคืน และในช่วงเช้าตรู่ และระดับ ความรุนแรงของอาการก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ผู้ป่วยบางรายจะปรากฏอาการเป็นครั้งคราว (เช่น หลังการ ออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังมาก) ในขณะที่ผู้ป่วยบางราย จะมีอาการปรากฏในระหว่างการใช้ชีวิตปกติทั่วไปในแต่ ละวัน หรือผู้ป่วยบางรายจะมีอาการรุนแรงมากจนไม่ สามารถเข้าเรียนหนังสือหรือมาทำงานตามปกติได้
มีผู้ป่วยกี่คนที่เป็นโรคหอบหืด?
ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 นี้ ซึ่งเป็นวันโรคหอบหืดโลก โครงการริเริ่มเพื่อโรคหอบหืดระดับโลก (Global Initiative for Asthma) จะเผยแพร่รายงานปัญหาโรคหอบหืดทั่วโลก ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลตีพิมพ์การแพร่ของโรคหอบหืดและผลกระทบที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากรายงานคาดว่า ขณะนี้มี ผู้ป่วยโรคนี้อยู่ประมาณ 300 ล้านรายทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า โรคหอบหืดนี้เป็นปัญหาด้านสุขภาพระดับโลกที่ไม่ควรถูกละเลย
โรคหอบหืดได้ส่งผลกระทบต่อคนทั่วโลกทุกเชื้อชาติ ทุกระดับเศรษฐกิจสังคม และทุกวัย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคหอบหืดมักมีอาการเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก อาจกล่าวได้ว่าโรคหอบหืดจัดเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลให้เด็กขาดเรียนเป็นประจำยิ่งไปกว่านั้น การแพร่ของโรคนี้ได้เพิ่มทวีขึ้นทั่วโลก และดูเหมือนอัตราการแพร่นั้นจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการที่คนใน ชุมชนหันมาใช้ชีวิตแบบตะวันตก และการที่สังคมเมืองเติบโต มากขึ้น 1 ประเทศออสเตรเลียมีจำนวนผู้ป่วยโรคหอบหืดเพิ่มขึ้น มากอย่างชัดเจนที่สุด โดยขณะนี้ เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่า ป่วยเป็นโรคหอบหืดมีอยู่ประมาณหนึ่งในสี่ 2 ในสหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ป่วยโรคหอบหืดเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2523 และพ.ศ.2541 คือเพิ่มจาก 6.7 ล้านรายเป็น 17.3 ล้านราย โดยประมาณ 3 และจากการเพิ่มสัดส่วนประชากร ในเมืองทั่วโลกที่ประมาณการณ์ไว้จาก 45% เป็น 59% ภายใน ปีพ.ศ. 2568 นั้นมีแนวโน้มว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหอบหืดทั่วโลกจะ เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงในอีกสองทศวรรษข้างหน้า โดยคาดกันว่า อาจมีจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เพิ่มขึ้น 100 ล้านรายภายใน ปี พ.ศ. 2568
สาเหตุของโรคหอบหืด?
สาเหตุของโรคหอบหืดนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด และการแพร่ของโรคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกก็ยังคงเป็นปริศนาที่สำคัญมากที่สุดข้อหนึ่งในวงการแพทย์สมัยใหม่ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คิดว่าไอเสียจากดีเซลและมลภาวะอื่นๆ น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้โรคนี้แพร่กระจายขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์พบว่าสาเหตุของโรคมีความซับซ้อนขึ้นมาก นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากกำลังศึกษาบทบาทของปัจจัยด้านพันธุกรรมที่ก่อให้เกิดโรคนี้ ขณะที่นักวิจัยหลายท่านกำลังศึกษาวิธีการพัฒนาระบบ ภูมิคุ้มกันในช่วงต้นของชีวิต อย่างไรก็ตาม สาเหตุของการเป็นโรคหอบหืดก็เป็นที่เข้าใจดียิ่งขึ้น ผู้ป่วยโรคหอบหืดจะมีภาวะปอดอักเสบเรื้อรัง และท่อหายใจจะหดแคบได้ง่ายกว่าคนปกติเพื่อตอบสนองปัจจัยต่างๆ ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดโรคหอบหืดได้แก่ สารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้เมื่อหายใจเข้าไป (เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ ขนสุนัขและแมว) ควันบุหรี่ มลพิษทางอากาศ การออกกำลังกาย และการแสดงอารมณ์ที่รุนแรง (เช่น การร้องไห้ หรือหัวเราะดังๆ ) สารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และยาบางประเภท (แอสไพริน และยาในกลุ่ม beta-blocker) ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีปฏิกิริยาต่อปัจจัยต่างๆ แตกต่างกันออกไป การจำแนกและการหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายในการเรียนรู้ถึงวิธีการควบคุมโรค
จะวินิจฉัยโรคหอบหืดได้อย่างไร?
ประวัติการรักษาทางการแพทย์อย่างละเอียด การตรวจร่างกาย และการทดสอบการทำงานของปอดจะให้ข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ในการวินิจฉัยโรค การวัดการทำงานของปอดจะเป็นประโยชน์ทั้งสำหรับการวินิจฉัยโรคหอบหืด และตรวจสอบระยะเวลาที่เป็นโรค การทดสอบดังกล่าวประกอบด้วยการวัดความสามารถของปอดในการหายใจ ซึ่งจะเป็นการประเมินขีดจำกัดในการไหลเวียนของอากาศ รวมทั้งการวัดอัตราความเร็วลมสูงสุดที่เป่าออก ซึ่งเป็นการวัดความเร็วสูงสุดที่อากาศสามารถไหลออกจากปอดได้ การวัดความสามารถของปอดในการหายใจนี้สามารถทำได้ที่ศูนย์ให้บริการสุขภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่การวัดอัตราความเร็วลมสูงสุดที่เป่าออกสามารถทดสอบได้ด้วยเครื่องมือวัดลมหายใจที่เป่าออกมาซึ่งทำด้วยพลาสติกและสามารถ พกพาได้ เหมาะสำหรับใช้ที่บ้านและที่ทำงาน การตรวจสอบการวัดอัตราความเร็วลมสูงสุดที่เป่าออกเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลสำหรับผู้ป่วย และผู้ให้การดูแลสุขภาพในการตรวจโรค และวัดการตอบสนองจากการรักษา
วิธีการบำบัดสำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืด?
โรคหอบหืดเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ แต่สามารถใช้การบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพได้ การบำบัดโรคหอบหืดนั้นมีเป้าหมายเพื่อควบคุมโรค กล่าวคือผู้ป่วยโรคหอบหืดจะไม่ประสบกับอาการของโรค หรือไม่มีอาการรุนแรง สามารถเข้าร่วมทำกิจกรรมตามปกติได้ รวมถึงการออกกำลังกาย และปอดสามารถทำงานตามปกติได้ โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์อย่าง เร่งด่วน หรือต้องเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน การควบคุมอาการโรคหอบหืดนั้นสามารถทำได้กับผู้ป่วยส่วนใหญ่ และไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด โดยใช้โปรแกรมของโครงการริเริ่มเพื่อโรคหอบหืดระดับโลก (GINA) ซึ่งเป็นโปรแกรมการรักษาโรคหอบหืดอย่างมีประสิทธิภาพ อันประกอบด้วยการดำเนินงาน 6 ขั้นตอนดังนี้
o ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเพื่อสร้างความร่วมมือในการรักษาโรคหอบหืด o ประเมินและตรวจสอบความรุนแรงของโรคด้วยการวัดสภาพอาการและการทำงานของปอด o หลีกเลี่ยงหรือควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เป็นโรคหอบหืด o กำหนดแผนการรักษาเพื่อการบำบัดในระยะยาว o กำหนดแผนในการจัดการกับการเกิดโรค o การติดตามดูแลอาการอย่างสม่ำเสมอ
การรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดมี 2 ประเภทดังนี้คือ
การให้การรักษาแบบควบคุมอาการ (controller medications) (โดยเฉพาะ อย่างยิ่งยาที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ เช่น ยากลูโคคอร์ติคอสทีรอยด์แบบสูดดม) ซึ่งเป็นการบำบัดในระยะยาว และจะกันไม่ให้เกิดอาการและการก่อตัวของโรคได้ และการให้การรักษาแบบบรรเทาอาการ (reliever medications) (การทำงานอย่างรวดเร็วของสารที่ฤทธิ์ขยายหลอดลมใหญ่) ซึ่งทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อบำบัดอาการของโรค
อ่านรายละเอียดโปรแกรมการรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดอย่างมี ประสิทธิภาพได้ในสำเนารายงานฉบับเต็มของ GINA ได้โดย เข้าไปในหน้าโฮมเพจ GINA ที่: //www.ginasthma.com (1) Global Burden of Asthma เผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม 2547 ที่ //www.ginasthma.com. (2) Peat et al., Medical Journal of Australia 1995, Vol. 153, pp. 22-26. (3) Action Against Asthma. A Strategic Plan for the Department of Health and Human Services. May 2000
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ginasthma.com
| |