Somebody's me... Nobody's know.. You are what you thinks.. and.. I am who i am.. Whatever will be, will be..
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2559
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
8 พฤศจิกายน 2559
 
All Blogs
 
ตามรักแดนตะวัน... (อัมฮารา) ตอนที่ 12 : เธอคือใคร









บทที่ 12 : เธอคือใคร


ตลาดกลางยามโพล้เพล้แออัดไปด้วยผู้คนจับจ่ายซื้อของเพราะนอกจากฮาร์ราจะเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมหนึ่งในสี่แห่งของโลกแล้วยังเป็นแหล่งค้าพืชสำคัญดึงดูดผู้คนมากหน้าหลายตาให้พากันมาเยือนไม่ว่าจะตัวเมืองโบราณล้อมรอบเมือง โชว์ไฮยีนาที่หาดูได้เฉพาะที่ฮาร์ราแบบใกล้ชิดที่สำคัญยังเป็นแหล่งค้าและพื้นที่ปลูกแชต[1] ขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันนับพันยูเอสดอลล่าห์

ถนนเกลื่อนไปด้วยเศษใบแชตราวกับเป็นของไร้ราคาธารวารีหยุดยืนมองและถ่ายภาพแต่ละภาพด้วยความสนใจและประณีตแม่ค้าเรียงรายนั่งขายเต็มสองฟากถนนต่างตะโกนเรียกผู้คนให้ซื้อสินค้าบ้างก็ดึงดูดด้วยท่าทางร้องรำทำเพลงสนุกสนานเป็นอะไรที่แปลกตากว่าตลาดเมอร์คาโต้ที่แอดดิส-อบาบา

ธารวารีให้ความสนใจมากเป็นพิเศษถ่ายรูปรัวในอิริยาบถต่าง ๆ ส่วนภูบดีก็มองด้วยความสนใจจนมารู้ตัวเมื่อหญิงสาวสะกิดให้มอง

“ผู้หญิงเมืองนี้อัธยาศัยดีจังเลยนะนายดูสิ หัวเราะร้องเพลงกันสนุกเลย”

“สนุกเกินไปแต่ละคนท่าทางแปลก ๆ” ภูบดีตั้งข้อสังเกต

“นายก็คิดมากนี่อาจเป็นกลยุทธ์เรียกลูกค้าของคนเมืองนี้ก็ได้”

หล่อนสันนิษฐาน ตายังจ้องมองผ่านเลนส์รัวชัตเตอร์แบบมืออาชีพชนิดที่แทบไม่ต้องกะมุมมองกล้อง

“ก็คงจะจริงของคุณ”

ภูบดีมองกราดไปรอบตลาด ความโกลาหลวุ่นวายในเมืองเล็ก ๆตลอดแนวทางเดินเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักที่น่าสนใจก็คือนอกจากพวกหล่อนจะขายผลหมากรากไม้หรือพืชพันธ์แปลกตาแล้วมีสิ่งหนึ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษนั่นก็คือแชต

เปรียบไปแล้วแชตกับกัญชาก็แทบจะค่าไม่ต่างกันแค่คุณสมบัติของแชตที่ไม่จัดว่าเป็นพืชเสพติดแค่นั้นไม่แปลกใจที่จะเห็นคนเมืองนี้รื่นเริงมากเหมือนเกินปกติ น่าจะเป็นเพราะมาจากพืชชนิดนี้

           “ผมว่าเราไปดูตรงโน้นกันดีกว่า”

           “เดี๋ยวนะ ฉันอยากเก็บรูปอีกหน่อย”หล่อนตอบไม่มองเขาด้วยซ้ำ

           “งั้นรอตรงนี้นะอย่าไปไหนไกล ผมขอไปดูอะไรหน่อย”

           “เดี๋ยวสิ!นายจะไปไหน” ธารวารีละสายตาจากกล้องหันมา “ทางโน้นมีอะไรน่าสนใจ”

            “ไม่มีอะไรหรอกอย่าไปไหนจนกว่าผมจะกลับมานะ”

ภูบดีดำชับเสร็จแล้วเดินแกมวิ่งไปอย่างรวดเร็วไม่รอให้ธารวารีตั้งตัว

            ตรอกซอกซอยย่านตลาดหน้าประตูเมืองวุ่นวายมากเสียจนภูบดีถึงกับปาดเหงื่อแม้แดดจะไม่ร้อนแรงเท่าตอนกลางวันแถมอากาศยังเย็นแต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกถึงความอบอ้าว อาจเพราะผู้คนมากมายรายเรียงขายของตลอดทางจนละลานตาทั้งแบกของไปมา บ้างก็เทียมลาตัวเล็กตัวน้อย ขนของเดินว่อนราวกับกองทัพมด

            แต่อะไรไม่เท่ากับที่เขาเห็นเมื่อครู่หญิงสาวสวยคมขำดวงตาเฉี่ยวเมื่อกลางวัน!

หล่อนมาปรากฏตัวที่ฮาร์ราอยู่ในสายตาเขา เมื่อครู่เห็นหล่อนผ่านไปพร้อมกับลาเทียมสินค้ามองเผินๆ เหมือนใบชาแต่เมื่อดูจากที่ขายกันสนั่นเมืองแล้ว เขาก็พอดูออกว่ามันคือแชตดีๆ นี่เอง แถมมากมายมหาศาลกว่าแม่ค้าแม่ขายรายใดในตลาดด้วยสิ!

   หายไปไหนแล้วนะ คนหนึ่งคนกับลาสี่ตัวทำไมถึงหายตัวเร็วนัก

            ชายหนุ่มสบถก้าวเร็วตามทางที่เห็นหล่อนเดินผ่านไปแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนอ่อนใจ เดินกลับไปหาธารวารีเมื่อนึกได้ว่าทิ้งหล่อนไว้ที่นัดกันนานเกินไปนึกแล้วก็เป็นห่วงจนต้องวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมแต่ไม่มีแม้เงาหล่อน

   ก็บอกว่าให้รอ หายไปไหนอีกแล้ว!

             เหลียวมองรอบกายไม่เห็นใครสักคนที่มีลักษณะเหมือนหล่อนจะโทรหาแต่ก็ไม่มีเบอร์ ไม่คิดว่าเขาจะสะเพร่าจนถึงขนาดไม่ขอเบอร์หล่อนไว้ ทั้งที่กวินจัดการเรื่องโทรศัพท์ให้

ชายหนุ่มถึงกับกุมขมับคนมากมายขนาดนี้จะหาเจอได้อย่างไร นอกจากว่าหล่อนจะกลับไปที่พัก ภูบดีออกวิ่งหน้าตั้งไปยังที่พักทันทีโดยไม่ทันเห็นว่าธารวารีอยู่ในฝูงชนไม่ไกลกันเท่าใดนัก

            “โอ๊ย!จะทำอะไร ปล่อยนะ! ฉันเจ็บ”

             ธารวารีตะโกนลั่นเมื่อถูกรุมล้อมจากกลุ่มชายหญิงชาวพื้นเมืองฮาร์รา พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าเป็นเอกลักษณ์สีสันสดใส ผู้หญิงนุ่งชุดคลุมยาวโพกผมด้วยผ้าสีสดตัดกับฉึบฉับ ส่วนชายก็ไม่ต่างกันนุ่งโสร่งสีแสบสันเป็นจุดเด่นทั้งทักทายไม่พอยังดึงผม หยิกแขน และบางคนยังลูบแก้มหล่อนจนสะดุ้ง

จะบ้ากันไปใหญ่แล้วหล่อนไม่ใช่วัตถุลายครามหรือเจ้าแม่ให้ขูดขอหวยซะเมื่อไหร่!

             “ฉันบอกให้ปล่อยไง” หญิงสาวเบี่ยงซ้ายบ่ายขวา “จะดึงผมฉันอีกนานไหม”

“ขอโทษนะคะฉันเป็นนักท่องเที่ยวนะคะ ไม่ใช่ดารา ไม่ต้องรักฉันขนาดนี้ก็ได้”

หล่อนพยายามพูดอังกฤษให้เสียงช้าลงไม่ให้ห้วนเกินไป เพราะบางทีพวกเขาอาจฟังไม่รู้เรื่อง!

ธารวารีพยายามใช้ภาษามือป้องกันตัวออกจากการจับลูบคลำแต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ฟังทั้งยังรุมล้อมราวกับหล่อนเป็นของแปลก

            “ไม่ต้องกลัวหรอกครับพวกเขาทำแบบนั้นเพราะชอบคุณ”

            เสียงใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลังธารวารีหันขวับไปมอง พบชายหนุ่มผิวเข้มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาพูดกับหล่อนด้วยภาษาอังกฤษฉะฉานธารวารีถึงกับตาโต ยิ้มกว้าง

ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยแล้วหันไปคุยกับกลุ่มคนที่มาวุ่นวายกับหล่อนด้วยภาษาถิ่นก่อนที่พวกเขาจะซุบซิบกันและล่าถอยไปในที่สุด

“ขอบคุณมากนะคะ”ธารวารีถอนหายใจ “ถ้าไม่ได้คุณ ก็ไม่รู้จะทำยังไง”

“เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านครับ”เขาตอบส่งยิ้มฟันขาว

หญิงสาวสำรวจเค้าหน้าชายหนุ่มผิวเข้มหน้าเหลี่ยมผมหยิกสั้นแบบคนพื้นถิ่นท่าทางเป็นมิตรจนคลายใจ เขาดูไม่มีพิษภัยและออกจะสะอาดสะอ้านด้วยไม่มีกลิ่นเหงื่อไคลแบบพ่อค้าแม่ขายในตลาดที่ตากแดดมอมแมมมาทั้งวัน

บางทีอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน

            “คุณคุยอะไรกับพวกเขาคะ”หล่อนถามด้วยความสงสัย “ฉันพูดเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง”

            “ก็บอกว่าคุณเป็นนักข่าวให้พวกเขาระวังภาพพจน์ต่อคนเมืองอื่นแค่นั้นครับ”

            “ฉันไม่ใช่นักข่าวซะหน่อยค่ะ”

            “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงละครับ”

เขาตอบแล้วมองกล้องถ่ายรูปในมือหล่อนยิ้มๆ ธารวารีโล่งใจและขอบคุณเสียยกใหญ่ แต่ไม่วายข้องใจ

“แบบนี้หรือคะที่คุณบอกว่าพวกเขาชอบฉันทั้งดึงผม ทั้งจับแก้มสารพัดนี่นะ”

หล่อนถามเสียงสูงไม่อยากเชื่อหนุ่มเข้มพยักหน้ายิ้มกว้างฟันเรียงขาวตัดกับสีผิว ดูมีมนุษยสัมพันธ์ดีจนหล่อนคุยด้วยได้อย่างไม่คิดกลัวอันตรายยิ่งเมื่อได้ยินคำตอบจากชายหนุ่ม หล่อนถึงกับหัวเราะ

“เขาบอกว่าคุณผิวขาวนุ่มนิ่มน่ารักผมก็ตรงสวยเหมือนแพรไหม”

“คนแถวบ้านฉันบอกว่านี่เป็นทรงผมสิ้นคิดเพราะไม่ต้องเซ็ทต้องจัดทรงเลยต่างหากละคะ”

ธารวารีลูบผมบ็อบสั้นของตัวเองเบาๆ พูดแล้วก็หัวเราะเมื่อชายหนุ่มทำหน้างง

             “ก็ถ้าขนาดฉันเรียกว่าน่ารักแนะนำว่าให้พวกเขาไปเที่ยวเมืองไทยบ้านฉัน รับรองคนสวยจัดเต็มกว่าฉันเยอะค่ะ”

            “โอว! คุณทำให้ผมอยากไปเที่ยวเมืองไทยเลย ได้ยินมาว่าผู้หญิงไทยสวย คนไทยใจดี”

            “ใช่ค่ะได้ไปเที่ยวสักครั้งคุณจะชอบ นอกจากคนไทยจะใจดี แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติก็สวยมากนะคะ”

            ธารวารีได้ทีโปรโมทไม่หยุดเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มที่แม้จะเป็นคนแปลกหน้าแต่ก็ต้อนรับแขกบ้านได้พอตัวทำให้หล่อนเพลินกับการเดินไปคุยไปจนลืมคู่หูจำเป็นที่บอกให้รออยู่ที่เดิม

            “ว่าแต่คุณชอบถ่ายภาพหรือครับ”

            “ฉันเป็นช่างภาพค่ะแต่ยังไม่เก่งหรอกยังแค่มือสมัครเล่น”

            “แต่กล้องนี่แบบมืออาชีพมากถ้าถ่ายสัตว์คงชัดแจ๋ว”

            “ก็น่าลองค่ะแต่ฉันถนัดภาพวิวมากกว่า”

             หล่อนตอบ เล่าเท่าที่ควรเล่าไม่อยากให้คนแปลกหน้าซักถามมากยอมรับว่าถึงคุยกันได้แต่เรื่องระวังตัวก็ยังต้องมี

             “คุณเป็นของแปลกสำหรับที่นี่ผู้หญิงมักไม่มีใครทำอาชีพแบบคุณ”

           เขาเล่าและมองหล่อนด้วยสายตาชื่นชมธารวารีสัมผัสได้ถึงความซื่อและเขาไม่น่ามีพิษภัย

            “ไปดูการให้อาหารไฮยีน่ากันไหมลานข้าง ๆ นี่เอง ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมเป็นคนเลี้ยงไฮยีน่า รับรองไม่มีอันตราย”

            “จริงหรือคะ ฉันอยากดูมากๆ เลยค่ะ”

เขายิ้มหวานวาจารื่นหูแถมชวนหล่อนด้วยท่าทางปกติไม่มีหลบสายตาเมื่อถูกจ้อง ทีแรกหล่อนลังเล แต่พูดถึงไฮยีน่าใครจะไม่อยากเห็น โอกาสแบบนี้ใช่ว่าจะหาง่าย หล่อนเคยอ่านในหนังสือมาก่อนว่าฮาร์รานอกจากจะมีดีที่แชตแล้วใครมาแล้วไม่ได้ดูไฮยีน่าเท่ากับว่าไม่ได้มาเมืองโบราณแห่งนี้

ธารวารียิ้มรับคำชวนก่อนจะเดินตามชายหนุ่มผิวเข้มไปอีกทาง


ภูบดีถึงกับหงดหงิดที่หาธารวารีจนทั่วแต่ไม่พบหล่อนหายไปไหนในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง นึกแล้วก็ได้แต่โมโหตัวเองที่มัวแต่เสียเวลากำลังจะย้อนกลับไปหาที่โรงแรมก็เจอเข้ากับสาวสวยเจ้าปัญหาเมื่อครู่ภูบดีหลบวูบเข้าตรงมุมตึกเมื่อหล่อนเดินผ่าน

คราวนี้ไม่มีลาแต่หล่อนเหลียวมองสบตาเขา ยิ้มมุมปากคล้ายเยาะชายหนุ่มยืดตัวตรงเมื่อเห็นสายตาท้าทาย

“นี่!คุณ หยุดก่อน

ตัดสินใจเรียกไว้แล้วออกวิ่งตามแต่ไม่สามารถทำความเร็วได้ดั่งใจเพราะคนมากมายและหล่อนกลมกลืนกับฝูงชนเข้าซอกโน้นออกซอยนี้จนเริ่มลานตากว่าจะรู้ตัวว่าโดนเจ้าล่อเอาเถิดอยู่นานก็เดินตามหล่อนมาถึงบ้านหลังใหญ่โตแห่งหนึ่งริมเชิงเขา

บ้านคล้ายคฤหาสน์ปูนกึ่งไม้รูปทรงประหลาดจนดูไม่รู้ชัดว่าเป็นอารยธรรมแบบไหนดูเก่าโบราณแต่สภาพดีมากเสียจนภูบดีตะลึงอะไรไม่เท่าหญิงสาวสวยเข้มหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาทันทีที่เดินตามหล่อนมาจนทัน

“เก่งเหมือนกันที่ตามมาจนได้”

หล่อนยิ้มพูดเสียงอ่อนเสียงหวานเดินเยื้องย่างด้วยกิริยาเย้ายวนมาหยุดตรงหน้ามือเรียวนิ้วยาวดั่งลำเทียนลูบไล้ปลายคางขึ้นไรหนวดของเขาจนขนลุก

ผิดปกติ! เขาบอกตัวเองได้แค่ว่าหล่อนอันตราย...ไม่น่าไว้ใจ

“คุณ...”

ภูบดีหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะหล่อนก้าวเข้ามาใกล้ชิดจนได้กลิ่นน้ำหอม

น้ำหอมที่คล้ายกลิ่นกำยาน!

กว่าจะรู้ตัวชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกหนักอึ้งภูบดีสะบัดหน้าอย่างแรงขับไล่ความรู้สึกแปลก ตาเริ่มมองเห็นภาพข้างหน้าเป็นภาพซ้อนโดยเฉพาะสาวสวยที่กำลังมองเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“คุณเป็นใครกันแน่

“ฉันชื่อมิรี”หล่อนเน้นเสียงหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ “มิรีโวลแด จำไว้ให้ดี”

จบคำพูดของหล่อนเขาก็รู้สึกทรงตัวไม่อยู่ เข่าอ่อนทรุดลงไปพร้อมสติที่ดับวูบลง


ธารวารีจับกล้องมือสั่นเมื่อมองผ่านเลนส์เห็นลีลาการให้อาหารไฮยีนาของชายหนุ่มผิวเข้มลำพังแค่ดูการแสดงที่สวนงู หล่อนยังถึงกับเป็นลม แต่นี่เป็นไฮยีนาทั้งฝูงหล่อนยังยืนขาสั่นมือสั่นอยู่ได้นี่ก็นับว่าแข็งใจมากพอดูแล้ว ไม่รู้เขาทำได้อย่างไรโดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทางจดจ้องของไฮยีนาที่เหมือนจะกระโจนฮุบเหยื่อ และดวงตาหลายสิบคู่สะท้อนแสงแฟลชเป็นสีเขียววูบวาบ

หล่อนลั่นชัตเตอร์แต่ละช็อตด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มหันมามองและหัวเราะขบขัน ท่ามกลางความมืดในลานกว้างใส่ชุดสีสดล่อไฮยีนานับสิบด้วยอาหารสดจำพวกหนังไก่และเศษเนื้อแลกกับค่าชมไม่กี่เบอร์ เป็นอาชีพที่นับว่าเสี่ยงตายไม่น้อย แต่เขากลับไม่รู้สึกรู้สมกลับผิวปากเรียกมันมารับอาหารจากกิ่งไม้ยาวเพียงฟุตที่คาบไว้ในปากหรือบางครั้งก็ใช้ทั้งสองมือป้อน

“ลองให้อาหารมันดูไหม...คุณ” หนุ่มผิวเข้มกวักมือเรียก

ไม่มีทาง!

ธารวารีสะบัดหน้าพรืดแทบไม่ต้องลังเลไม่มีวันที่หล่อนจะเฉียดใกล้ แค่ได้เห็นก็บุญตาแค่ไหนแล้ว อย่าให้ถึงกับต้องใกล้ชิดขนาดให้อาหารเลยหล่อนจะไม่ทน

“ไม่หรอกค่ะฉันยังอยากกลับบ้านอยู่” ธารวารีพูดติดตลกแต่ใจคิดจริง

“นักท่องเที่ยวทุกคนก็พูดแบบคุณ”เขาจ้องหล่อนพลางส่งยิ้มให้ มือยังถือไม้ที่มีเศษไก่ค้าง

“คุณควรจะจ้องพวกมันมากกว่าเกิดมันกระโจนใส่คุณจะหนีทันได้ยังไง”

“พวกเขารู้ว่าควรทำตัวยังไง”เขาตอบกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นหน้าหล่อนซีดเผือด “ไม่แปลกที่ใครจะกลัว ไฮยีนามีสัญชาติญาณอย่างเสือ พวกเขาไม่ใช่หมาอย่างที่ใครๆคิด”

“หมายความว่ายังไงคะ”

หล่อนละสายตาจากภาพหลังเลนส์จ้องตอบคนพูดด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

ไฮยีนาตัวเป็น ๆเวลากระเหี้ยนกระหือรือกินเนื้อสดดิบ ๆ ช่างน่ากลัวหยอกเสียเมื่อไหร่ ทั้งเสียงเล็กแหลมเวลาขู่ท่าทางหวาดระแวงแต่พร้อมกระโจนใส่ทุกเมื่อ ทั้งตัวโตและใหญ่กว่าหมาทั่วไปลักษณะยิ่งไม่ใช่ ใช่อย่างที่เขาบอก

แท้จริงแล้วไฮยีน่าก็คือเสือดีๆ นี่เอง แถมยังปราดเปรียวและดูน่าหวาดหวั่นด้วยซ้ำ

“เขาจะไม่ทำอะไรคุณพวกเขาเชื่องเพราะอยู่ในส่วนแสดง แต่ถ้าหากคุณไปเจอตามทุ่งหญ้าหรือตามป่าเขานั่นน่ะของจริงหลีกให้ไกลได้เท่าไหร่ยิ่งดี”

“ฉันคงไม่ไปเฉียดใกล้เจอจัง ๆ คงวิ่งป่าราบค่ะ” หล่อนตอบไม่ลังเล

หนุ่มเข้มยิ้มมุมปากและเหลือบมองด้วยหางตาครู่เดียวก็หันไปให้ความสนใจกับไฮยีนาต่อธารวารีได้แต่เฝ้ามองและถ่ายภาพช็อตต่อช็อตด้วยความตื่นเต้นไม่ทันได้นึกถึงภูบดีเลยว่าเขาหายไปไหน พอได้จับกล้องแบบตั้งใจหล่อนก็ลืมที่นัดกับคู่หูเสียสนิท

กว่าภูบดีจะฟื้นคืนสติก็เกือบสองทุ่มท้องเริ่มร้องประท้วงว่าต้องการอาหารและน้ำดื่ม คอแห้งผากจนรู้สึกระคายชายหนุ่มขยี้ตาเพ่งมอง ภาพที่เห็นคือห้องสีขาวโล่งตกแต่งแบบชนเผ่า ผนังสีขาวรอบทิศตกแต่งด้วยจานใหญ่น้อยสีแดงลายเหลืองโบราณลักษณะแปลก ๆ คล้ายบ้านที่ไปเจอผู้หญิงอันตรายเมื่อตอนกลางวันที่ดิเรดาวา

ชายหนุ่มชันตัวลุกขึ้นนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างผ้าม่านสีแดงสดพลิ้วสะบัดด้วยแรงลมทำให้อากาศภายในไม่ร้อนเกินไปร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนก่อนจะต้องกุมขมับด้วยความมึนงง

“หลับไปนานนะ”

เสียงหล่อน! ผู้หญิงเย้ายวนคนนั้น

ภูบดีหันขวับมองหน้าประตูมิรียืนอยู่พร้อมกับแก้วทรงสูงด้านในเป็นน้ำใสสีน้ำตาลคล้ายน้ำชาหล่อนเยื้องกรายเข้ามายื่นส่งให้

“คุณคงคอแห้ง”

ชายหนุ่มจ้องน้ำในแก้วแล้วปฏิเสธ

“ผมไม่ดื่ม”

“กลัวโดนวางยาอีกหรือคะ”หล่อนถามย้อนสีหน้าขบขัน

“ผมคงไม่กลัวถ้ามันจะเป็นแค่น้ำชา”

อย่าคิดว่ารู้ไม่ทันหล่อนแค่กลิ่นก็ไม่ใช่ชาแล้ว ถ้าเดาไม่ผิดอาจจะเป็นน้ำสกัดจากใบแชตผู้หญิงเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวคนนี้ต้องการอะไรจากเขากันแน่ เขาจะแสดงความกลัวไม่ได้หล่อนจะได้ใจ

“มิน่า” หล่อนวางแก้วไว้บนโต๊ะหน้าประตู “ฉลาด สมแล้วที่เป็นหมอ”

             ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งที่หล่อนรู้เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่คู่หู จะมีก็แต่กวินซึ่งไม่น่าจะใช่คนปากโป้ง

             “ทำไมไม่ตอบคะเงียบทำไม”

             “คุณรู้ได้ยังไง”ภูบดีผุดลุกขึ้นยืนประจันหน้า “ต้องการอะไร”

             “ฉันนึกแล้วว่าคุณต้องสงสัยฉัน...” หล่อนเน้นเสียงหนักคล้ายจะบังคับกลาย ๆ “ต้องการให้คุณตรวจอาการให้พ่อของฉัน ท่านเป็นโรคหัวใจไม่ยอมไปรักษาตัวตอนนี้ไม่รู้อาการระยะไหนแล้วแต่ดูแย่มาก”

             “ทำไมต้องเป็นผม”

“ต้องเป็นคุณ” น้ำเสียงหล่อนหนักแน่น “ถ้าคุณช่วยฉันมีรางวัลตอบแทน”

ภูบดีมองหล่อนอย่างพิจารณา

            “ทำไมผมต้องช่วย”เขาปฏิเสธทันควัน “คุณไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ”

             หล่อนยิ้มมุมปากดวงตาเรียวหรี่มองจ้องท้าทาย เอ่ยชัดถ้อยคำ

“นายแพทย์ภูบดีพิพัฒนะพงษ์ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านสายสวนโรคหัวใจ ดีกรีมหาวิทยาลัยกรีนแลนด์นิวซีแลนด์ ที่ทำงานสุดท้ายคือมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียและตอนนี้อยู่ระหว่างรอเริ่มงานใหม่ที่เมืองไทย... ใช่ไหมคะ” หล่อนตอบเสียยาวยืด

หล่อนรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นหมอเฉพาะทางโรคหัวใจ!

             ภูบดีสบตาท้าทาย ข้อมูลของหล่อนละเอียดยิบเกินไปทั้งๆ ที่เขาไม่เคยบอกใคร หล่อนเหมือนกับรู้เรื่องราวของเขาเป็นอย่างดีแล้วยังนามสกุลเก่าของพ่ออีก เขาไม่เคยบอกใครว่าเปลี่ยนไปใช้นามสกุลเป็น พีที่เป็นตัวย่อนามสกุลเดิมพ่อ และต่อท้ายด้วย บอร์ด ที่เป็นนามสกุลของพ่อบุญธรรมตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย

            “คุณรู้มากแต่รู้ไม่หมดผมขอตัว”

             ภูบดีเดินผ่านหญิงสาวไปหน้าตาเฉยแต่ยังไม่ทันออกพ้นประตูห้องเสียงหล่อนก็ดังขึ้นแต่คราวนี้ไม่ใช่คำพูดแกมบังคับแต่อ่อนลงมาก

             “ฉันนึกว่าหมอจะมีจรรยาบรรณมากกว่านี้คุณจะดูดายปล่อยให้คนไข้ตายไปต่อหน้าโดยไม่ช่วยได้หรือคะ”

             “ถ้ามีเวลาล่อลวงผมมาได้ขนาดนี้แสดงว่าพ่อคุณ” เขาหันกลับมามองหล่อน “คงยังไม่ตายง่ายๆ หรอก”

              “รู้ได้ยังไงคุณยังไม่ได้ดูท่านด้วยซ้ำ”

              ภูบดีชะงักไปเมื่อหล่อนพูดจบยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อหญิงสาวจากอีกห้องหนึ่งมิรีขานรับแต่ก่อนจะแทรกตัวออกไปไม่วายตวัดหางตามองด้วยความขุ่นเคือง

             “ถ้าคิดว่าฉันโกหกคุณคิดผิด” หล่อนเสียงเข้ม “ถ้าไม่คิดจะช่วยก็อย่าหวังจะได้ออกไป”

             “คุณไม่มีสิทธิ์บังคับใจใครให้ทำอะไรที่เขาไม่ต้องการ”

“คิดซะว่าช่วยได้ไหม”หล่อนคว้าแขนเขาไว้ “อย่างน้อยฉันก็มีเลือดไทยเหมือนคุณแม่ฉันเป็นคนไทย คุณคงไม่แล้งน้ำใจกับคนไทยด้วยกันหรอกนะ”

ภูบดีมองเลยข้ามหล่อนไปยังหญิงชราที่ยืนรีรออยู่อีกห้องสีหน้าหญิงชราในชุดพื้นถิ่นฮาร์ราดูไม่สู้ดีจนชายหนุ่มรู้สึกสับสน ไม่มีหมอคนไหนในโลกที่ปฏิเสธคนไข้ลงตราบเท่าที่ปฏิญาณตนว่าจะอุทิศตนเพื่อผู้ป่วย แต่นั่นต้องไม่ใช่วิธีแบบนี้

            “หมอทั้งประเทศทำไมต้องเป็นผมบอกเหตุผลมาหนึ่งข้อ”

เขาต่อรองอยากรู้ความคิดหล่อนมิรีมีท่าทางลังเลแต่ก็ยอมบอก

            “มีคนบอกฉันว่าคุณเป็นหมอที่เก่งเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ”

            “แล้วคุณก็เชื่อ ‘คน’ ที่บอกโดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครงั้นหรือ”

            “คุณรู้จักเขาดี”

หล่อนหยุดคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะใช้วาจาอ่อนลงมาก

“ฉันขอโทษที่ล่อลวงคุณมาฉันแค่ไม่อยากให้ผู้หญิงที่มากับคุณรู้ ถ้าคุณจะกรุณาช่วยดูพ่อให้สักครู่ฉันจะส่งคุณถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ แถมด้วยรถและคนนำทางไปยังที่ที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการ”

“คุณรู้จักเธองั้นหรือ” เขาถามกลับสีหน้าลังเล “รู้จักได้ยังไง”

“ฉันไม่บอกถ้าคุณไม่ช่วยพ่อ”

พอฟังจบภูบดีถึงกับลังเล เพราะอะไรหล่อนถึงไม่อยากให้ว่าที่พี่สะใภ้ของเขารู้หรือว่าหล่อนจะรู้จักพี่ชายของเขา

ภูบดีถอนหายใจก่อนจะเอ่ย

“งั้นพาผมไปพบพ่อคุณ”

“ขอบคุณนะคะรับรองฉันจะจัดหาทุกอย่างให้ตามที่คุณต้องการเลย”

มิรีถึงกับพรวดเข้ามาจับมือแน่นจนภูบดีอึดอัดรีบชักมือกลับ

เอาเถอะ! ถือว่าวัดดวง ลองดูสักทีก็คงไม่เสียหาย อยากรู้เหมือนกันว่าคำพูดของหล่อนจะจริงแค่ไหน

ภาพที่เห็นคือชายชราวัยเจ็ดสิบปีร่างผอมสูง ดูอิดโรยนอนหายใจหอบเหนื่อยอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องกว้างไอหนักเป็นระยะจนน่าเป็นห่วง

ภูบดีนั่งลงข้างเตียงตรวจชีพจรและกดปลายนิ้วทั้งสี่ยกเว้นนิ้วโป้งหนักเบาบริเวณหน้าอกด้านซ้ายเป็นระยะ ชายชราปัดป้องไม่ให้ความร่วมมือแถมพูดภาษาถิ่นที่เขาฟังไม่เข้าใจมิรีนั่งลงฝั่งตรงข้ามคอยจับไม้จับมือชายชราไม่ให้ออกฤทธิ์เดชได้จนการตรวจอาการเบื้องต้นแล้วเสร็จ

“ผมไม่มีเครื่องมือตรวจที่จะบ่งชี้อาการแน่ชัดได้”

ภูบดีละสายตาจากคนไข้แล้วมองสบตาหล่อนดูวิตกกังวลไม่แพ้แม่ที่เอาแต่คอยถามอาการกับเขาแต่คงเพราะอยู่ที่นี่นานเกินไปทำให้นางพูดสำเนียงแปร่งเหมือนหัดพูดภาษาไทยใหม่ๆ

“พ่อฉันอาการหนักมากไหม”มิรีโพล่งถาม ท่าทีวิตกกังวล “แล้วเราต้องทำยังไงบ้าง”

“จากที่ตรวจคร่าวๆผมคิดว่าพ่อคุณอาจมีอาการหลอดเลือดหัวใจอุดตันซึ่งมันจะอันตรายมากถ้าไม่ได้รับยาต่อเนื่องและอยู่ไกลหมอแบบนี้”
             “แต่พ่อไม่ยอมไป” หล่อนสีหน้ายุ่งยาก ปรายตามองชายชราบนเตียง “บางทีอาจจะต้องบังคับกัน”

“คุณต้องพาท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกลางในแอดดิส-อบาบาให้เร็วที่สุดหรือไม่ก็พาไปโรงพยาบาลในอียิปต์หรือแอฟริกาใต้ก็ได้ที่นั่นเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์พร้อมเพรียงกว่ามาก”

เขาสั่งความทันทีที่เดินออกมาจากห้องมิรีมีท่าทีอ่อนลงจนเห็นได้ชัด หล่อนพูดจาอ่อนหวานขึ้นและเกรงใจเขาค่อนข้างมาก แต่ยังไม่ทันพ้นออกจากบ้านภูบดีก็แต้องสะดุดกับภาพบนฝาผนังห้องรับแขกที่แปลกตากว่าภาพอื่น

มิสมิรีโวลแด พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ....

ภาพผนังห้องบ่งบอกว่าประวัติการศึกษาหล่อนไม่ธรรมดาเพราะจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในแอฟริกาใต้บ่งบอกฐานะได้ระดับหนึ่งว่าครอบครัวมีอันจะกินจนสามารถส่งลูกสาวไปเรียนไกลตาได้ประเทศยากจนแห่งนี้นับว่าหาได้ยาก ไม่แปลกใจที่หล่อนจะสืบข้อมูลของเขาได้

หล่อนอาจมีเพื่อนหรือคนรู้จักแนะนำเพราะเขามีเพื่อนที่มาจากทวีปแอฟริกาไม่น้อย

“ที่แท้คุณก็เป็นพยาบาล”ภูบดีขมวดคิ้ว หันกลับมาหาหล่อน “แล้วทำไมถึง”

“ฉันเคยเป็นแต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้ว” หล่อนตอบ สีหน้าไม่สู้ดีนัก แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะดีใจที่ฉันตัดสินใจไม่ผิดที่เชื่อเขา”

“เขาคือใครครับ คุณพูดถึงคนคนนี้สองครั้งแล้ว มีใครที่รู้จักผมอีกนอกจากคุณ”

ภูบดีตวัดสายตามองหล่อนอย่างค้นหารอให้หล่อนบอกในสิ่งที่เขาเองก็อยากรู้ แต่มิรีโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที่เมื่อรู้ตัว

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะฉันพูดผิดไป ว่าแต่อาการของพ่อ”

“ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าให้มีเรื่องอะไรกระทบกระเทือนจิตใจช่วงนี้ให้ปฏิบัติตามที่ผมสั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามเคี้ยวแชต หรือแม้กระทั่งสูบเพราะถึงไม่ติดเหมือนกัญชาแต่มันบั่นทอนสุขภาพอย่างร้ายกาจ แล้วอีกอย่าง”

“มีอะไรร้ายแรงกว่านี้หรือคะ”

ภูบดีชั่งใจว่าจะบอกหล่อนดีหรือไม่แต่เมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนและบ่งบอกความห่วงใยชายชราอย่างสุดซึ้งแล้วเขาจึงถอนหายใจก่อนจะบอก

“แนะนำว่าควรพาท่านไปให้ถึงมือหมอให้เร็วที่สุดตอนนี้ท่านอายุมากแล้ว ปล่อยไว้นานกว่านี้อาจจะผ่าตัดไม่ไหวภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบอาจเกิดรุนแรงเฉียบพลันแต่ผมระบุไม่ได้แน่ชัดเพราะแค่อาศัยประสบการณ์ไม่มีเครื่องมือตรวจละเอียด”

“คุณเน้นเรื่องเครื่องมือตรวจหลายรอบแล้ว”

“ชีวิตคนหนึ่งคนเราคาดคะเนจากสายตาและประสบการณ์อย่างเดียวไม่ได้หรอกคุณต้องรักษาท่านก่อนที่อาการจะแย่ลงไปกว่านี้เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีหมอคนไหนช่วยได้”

มิรีพยักหน้ารับสีหน้าไม่ดี แต่ก็เดินออกมาส่งและกำชับให้รถไปส่งเขาจนถึงที่พัก

ก่อนจากมิรีเล่าเกี่ยวกับพ่อของหล่อนคร่าวๆให้ภูบดีรับรู้ถึงสาเหตุที่ไม่ยอมไปรักษานั่นเป็นเพราะพ่อของมิรีเป็นมหาเศรษฐีที่มีไร่แชตที่ใหญ่ที่สุดในฮาราร์ มีบ้านหลังใหญ่ที่สุดและเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่แผ่อิทธิพลครอบคลุมไปทั่วฮาร์ราและพื้นที่ใกล้เคียง

เพราะมีคนนับหน้าถือตาและหวั่นเกรงมากทำให้ชายชราเอาแต่ใจมาก จนแม้แต่หมอก็ยังไม่มีใครอยากมารักษาเพราะกิตติศัพท์ความร้ายกาจเข้าขั้นวิกฤติแม้มิรีกับแม่จะเกลี้ยกล่อมให้ไปรักษา ก็ยังดื้อไม่ยอมจนอาการหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

ฟังแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่คิดไม่น่าแปลกสักนิด ที่ลูกสาวจะติดนิสัยเอาแต่ใจมาด้วย

แค่อยากให้เขารักษาพ่อให้ถึงกับต้องทำราวกับจับตัวประกันเรียกค่าไถ่ก็ไม่ปาน

ภูบดีเดินมาถึงหน้าประตูห้องพักพบว่าไฟยังคงปิดมืดสนิทชายหนุ่มเอะใจขึ้นมาจึงรีบวิ่งไปถามแผนกต้อนรับได้ความว่าธารวารียังไม่กลับมาตั้งแต่เย็นชายหนุ่มถึงกับร้อนใจจนทนไม่ไหวต้องรีบออกไปตาม

ยายบ้า! นี่เธอหายไปไหนของเธอ เกือบห้าทุ่มยังไม่กลับ ต้องให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย

ภูบดีกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามถนนลาดชันคับแคบแต่โล่งเพราะผู้คนต่างกลับบ้านกลับช่องกันหมดแล้ว

ตลาดกลางเมืองเงียบเหงา แม้แต่ร้านรวงก็ปิดหมดเหลือเพียงร้านกาแฟตามถนนหนทางหรือคอฟฟี่ช็อปเล็ก ๆ ที่เปิดไม่กี่ร้าน

ภูบดีเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้สอบถามรูปพรรณสัณฐานหญิงสาวแต่ไม่มีสักคนที่คุ้นหรือบอกว่าเคยเห็นหล่อนความกังวลใจทำให้คิดในทางร้าย

หากหล่อนเป็นอันตรายเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาคงยกโทษให้ตัวเองไม่ได้อีกเลย...



[1] แชต: มีฤทธิ์คล้ายกัญชาเป็นพืชในตระกูลใบกระท่อม ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Catha edulis จัดเป็นพืชพื้นเมืองในเขตร้อนแถบแอฟริกาตะวันออกลักษณะต้นเป็นไม้พุ่มเตี้ย มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท กินเข้าไปทำให้เคลิบเคลิ้มอารมณ์ดี และมีความสุข เป็นพืชเศรษฐกิจไม่ผิดกฏหมาย 



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณของแต่งบล็อกสวยๆ จากคุณยายเก๋าและคุณญามี่ค่ะ

ขออนุญาตปิดเมนท์อีกรอบ ช่วงนี้ห่างหายบล็อกอีกนิด

เป็นหวัดงอมแงมไม่หายสักที ไม่ได้ไปเยี่ยมพี่ๆ ที่บล็อกเลย

พบกันตะพาบหน้า ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า

^___^




Create Date : 08 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2559 22:56:43 น. 0 comments
Counter : 1306 Pageviews.

lovereason
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 76 คน [?]









+ ++
Friends' blogs
[Add lovereason's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.