space
space
space
space

ตำนานแห่งอันดามันเหนือ


  ผมไม่เคยไปอันดามันเหนือมาก่อนเลยในชีวิต จนกระทั่ง พ.ศ 2545 ผมชื้อหนังสือ อสท มาอ่านเล่มแรก ผมอ่านไปเรื่อยๆเจอโฆษณากรอบเล็กๆของบริษัทเอวีเอ็น ทัวร์ในขณะนั้น เห็นโฆษณาขายทัวร์สิมิลัน-สุรินทร์ 5 วัน 4 คืนเดินทางช่วงวันหยุด 5 ธ.ค ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรสุรินทร์ อะไรคือสิมิลัน นี่ก็เพิ่งจะเดือนพ.ค ลองโทรไปคุยดูแล้วกัน นั้นแหละครับคือครั้งแรกที่ผมได้คุยกับคุณเก๋ เจ้าของเอวีเอ็น ทัวร์ โทรไปคุณเก๋ก็แปลกใจว่าไม่ค่อยได้เจอลูกค้าที่โทรมาถามแต่เนิ่นๆแบบผม แกก็อธิบายให้ฟังคร่าวๆด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นแบบไม่ใช่อยากขายทัวร์นะครับ แต่เป็นอารมณ์แบบอยากให้ไป ผมก็ฟังคุณเก๋พูดมากกว่าตั้งคำถาม จุดน่าสนใจมากๆคือคุณเก๋ภูมิใจนำเสนอว่า การเหมาเรือใหญ่ทำทัวร์แบบนอนสิมิลัน 2 คืน สุรินทร์ 2 คืน ในทิปเดียวกันแบบนี้ไม่มีใครเคยทำมาก่อน อย่างมากก็ สิมิลันอย่างเดียว 2 คืน สุรินทร์อย่างเดียว 2 คืน หรือถ้าจะควบ 2 อุทยานฯก็แค่สุรินทร์ 1 คืน สิมิลัน 1 คืน ไม่มีใครเคยทำแบบที่แกทำ แม้แต่คุณเก๋ และ เอวีเอ็น ทัวร์ของแกนี่ก็จะเป็นครั้งแรกที่ทำโปรแกรมแบบนี้ ผมบอกโอเคงั้นผมจะทำสถิติจองทัวร์เดินทาง 5 ธค โดยจะจองล่วงหน้า 7 เดือนคือจองเร็วสุดของเอวีเอ็น ทัวร์ แกก็ดูแปลกใจเล็กน้อย เพราะผมฟังอย่างเดียวไม่ได้ถามอะไรมากฟังเสร็จก็จองเลย 
จากนั้นผมก็ไม่ได้ติดต่อกับคุณเก๋อีกเลย นานๆจะโทรหากันครั้ง พอเดือนพ.ยคุณเก๋ก็โทรนัดแนะแจ้งสถานที่ขึ้นรถบัส แจ้งโปรแกรมเดินทางโดยละเอียด และยืนยันว่าทัวร์เดินทางแน่นอนไม่มียกเลิก ซึ่งตอนคุยกันครั้งแรกเดือน พค จากนั้นต่างคนก็ต่างคิดคล้ายๆกันคือคุณเก๋ก็คิดว่าเดี๋ยวผมก็เปลี่ยนใจไม่ไปละแล้วโทรมายกเลิก ส่วนผมก็คิดว่ามันจะออกได้หรือทัวร์แบบนี้แบบที่ไม่มีใครทำกัน นอนบนรถบัส 2 คืน นอนสิมิลัน 2 คืน สุรินทร์ 2 คืน ใช้เรือช้านั่งยาวๆข้ามอุทยาน 
  พอคืนวันที่ 4 ธค 2545 ก็ออกเดินทางคุณเก๋เป็นไกด์ ผมเพิ่งได้เจอหน้าแกก็วันนั้นแหละ แกเป็นผู้หญิงวัยราว30 ผิวขาว ผอมสูงราว 165 ซม  ผมยาว สายตาสั้น ทิปนี้คุณเก๋รับหน้าที่เป็นไกด์ คุณศักดิ์แฟนคุณเก๋ รับหน้าที่คนดูแลทัวร์ ลูกทัวร์ร่วมคณะราว 30 คน เราเดินทางด้วยรถบัสขนาด 40 ที่นั่ง ออกจากกทมราวสองทุ่ม หกโมงเช้าคุณเก๋ก็พาพวกเรามาถึงท่าเรือทับละมุ จ.พังงา นั้นแหละครับคือครั้งแรกที่ผมได้เหยียบดินแดนอันดามันเหนือ คุณเก๋พาคณะทัวร์ใช้บริการเรือช้าชื่อพรรษา ควีนส์ ของบริษัทเม็ดทรายทัวร์ ของพี่แตง ทิปนั้นจากทับละมุเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติสิมิลัน โดยคืนแรกพักบนเกาะแปด คืนที่สองพักบนเกาะสี่ วันถัดมาเดินทางแวะผ่านดำน้ำที่เกาะตาขัย ก่อนพักอีกสองคืนบนช่องขาดอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ก่อนจะมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือคุระบุรี จ.พังงา เป็นการสร้างเสียงเล่าขานเล็กๆในหมู่บริษัทเรือท้องถิ่น และกัปตันเรือท้องถิ่นถึงการนำเรือช้าทำทัวร์สองอุทยานฯในทิปเดียวยาวนานถึง 4 คืนแบบที่ไม่มีใครคิดจะทำมาก่อน แถมเอวีเอ็น ทัวร์ ของคุณเก๋ยังเป็นแค่บริษัททัวร์เล็กๆจากกรุงเทพๆอีกต่างหาก
หลังจากทิปนั้นผมก็เริ่มสนิทกับคุณเก๋มากขึ้นที่ละเล็กทีละน้อย คงเป็นเพราะผมเริ่มสนใจการท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆและคุณเก๋ก็เป็นเพื่อนคุยเล่าเรื่องราวต่างๆตลอดจนเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีมากๆ เอวีเอ็น ทัวร์ของคุณเก๋ก็ยังทำทัวร์ทั้งสิมิลันและสุรินทร์อย่างต่อเนื่องทั้งด้วยเรือช้าและเรือสมัยใหม่อย่างสปีทโบท์ที่เร็วกว่าแต่ไม่คลาสสิคเท่าเรือช้า แต่ก็ไม่มีทิปแบบครั้งโน้นที่ข้ามสองอุทยานเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งปลายปี 2548 ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายของการทำทัวร์สิมิลัน-สุรินทร์ด้วยเรือช้า บ่ายวันหนึ่งในต้นเดือนมค ปี2549 ผมได้มีโอกาสเจอคุณเก๋ที่แม่ฮองสอน แกพูดกับผมว่าก่อนยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปเรามาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้อันดามันเหนือกัน เก๋จะทำทัวร์สิมิลัน 2 คืน สุรินทร์ 2 คืนอีกครั้งแต่คราวนี้จะทำติดกันเลย 2 ทิปช่วงสงกรานต์ปี2549 โดยทิปแรกจากกทมเริ่มสิมิลันไปสุรินทร์จบบ่ายวันสุดท้ายที่คุระบุรี เช้ารุ่งขึ้นทิปที่สองต่อเลยเริ่มสุรินทร์ไปสิมิลันแล้วบ่ายสุดท้ายจบที่ทับละมุ ใช้เรือพรรษา ควีนส์ทั้งหมด 2 ทิปรวม 10 วันเต็ม ผมฟังเสร็จมีนอยู่ 2 นาที ยังไม่ทันพูดอะไรคุณเก๋ก็พูดขึ้นมาอีกว่าเอาตามนั้นเก๋จะทำ ผมได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มมองข้ามไปถึงเมย พ.ศ 2549 เลย สงกรานต์ปีนั้นเป็นปีที่อันดามันเหนือจะต้องจารึกไว้ว่ามีผู้หญิงตัวเล็กๆเจ้าของบริษัททัวร์ชื่อว่าเอวีเอ็น ทัวร์ ได้สร้างทิปที่ทุกคนต้องจดจำไปตลอดชั่วกาลนาน ซึ่งผมนั้นมีโอกาศได้มีส่วนร่วมแค่ครึ่งทิปเท่านั้น แต่ก็ขอยกย่องคุณเก๋ เอวีเอ็น ทัวร์ ให้เธอเป็นตำนานแห่งอันดามันเหนือครับ...2 พย 61




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2561   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 21:57:41 น.   
Counter : 1017 Pageviews.  
space
space
คุณโชด


  เมื่อราวพ.ศ 2546-2548 ผมได้มีโอกาสไปสิมิลัน-สุรินทร์บ่อยครั้ง ไปเองเป็นการส่วนตัวบ้าง ไปกับคุณเก๋เจ้าของเอวีเอ็น ทัวร์บ้างแล้วแต่โอกาส ทิปที่ไปกับคุณเก๋ส่วนมากจะได้เจอไกด์คู่ใจจองคุณเก๋ที่ชื่อคุณโชด ชื่อจริงผมจำไม่ได้ จำได้แค่ชื่อนี้ ไกด์โชดจะเป็นคนตัวเล็ก เอวบาง สูงราว 165 ชม ผิวคล้ำ หน้าหวาน สุภาพ รู้ผู้หลักผู้ใหญ่ พอเจอลูกค้าไกด์โชดจะพยายามเข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก แนะนำตัวเอง จำชื่อลูกค้าและจะปล่อยมุขฮาๆที่ลูกค้ามักจะไม่ฮาเพราะเพิ่งพบกันครั้งแรกยังไม่รู้จักกัน ไกด์โชดไม่เก่งเท่าโน๊ดอุดมที่สร้างความฮาได้เมื่อแรกพบ พอแนะนำตัว สร้างความไม่ฮาเสร็จ ไกด์โชดก็คุยกับลูกค้าและพยายามผูกมิตรด้วยไม่ว่าลูกค้าจะต้องการหรือไม่ก็ตามเพราะมันเป็นงานในหน้าที่ไม่มีเรื่องส่วนตัวแอบแฝง ไม่ว่าใครหน้าไหน สวยๆหล่อๆคุยถูกคอแค่ไหนพอทิปจบทุกอย่างก็จบ ผมรับประกันได้เพราะเฝ้าดูมาหลายทิปละ 
ระหว่างเดินทางคุณโชดจะวางแผนร่วมกับคุณเก๋ก่อนเพราะคุณเก๋เป็นเจ้าของบริษัท เดินทางมาในฐานะหัวหน้าทัวร์มิใช่ไกด์ ทั้งๆที่คุณเก๋ก็มีบัตรไกด์ แต่ไม่ทำเองให้คุณโชดทำ คุณเก๋ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันไว้เล่าให้ฟังวันหลัง 
ทั้งสองเมื่อเจอลูกทัวร์แล้วจะมาหารือสรุปสุดท้ายของแผนที่จะใช้กับลูกทัวร์ คุณโชดก็จะถามต่อเรื่องเรือ เรื่องอาหาร ที่พัก อุปกรณ์ดำน้ำ ผู้ช่วย เวลาสองคนนี้คุยกันจะเหมือนเสือพบสิงห์ จะจ้องกันมากกว่าคุยกัน ผมเสียวคอทุกครั้งที่นั่งฟังสองคนนี้สรุปงานกัน และแกสองคนก็ชอบที่จะให้ผมฟังอยู่ด้วย ใช้ผมเป็นกรรมการ เป็นกระสอบทราย ผมจะได้เสนอความเห็นแค่ประโยคสั้นๆเช่น น่าจะใช่ ควรจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ว่าอย่างนั้น นั้นนะสิ อ๋ออย่างนี้นี่เอง สุดยอดไปเลย เหนือชั้นมาก ซึ่งความเห็นของผมจะสำคัญมากเพราะพูดเหมือนไม่ได้พูด ไม่พูดก็ได้ทำนองนั้น 
  พอถึงท่าเรือไกด์โชดจะดูแลลูกค้าก่อน เอาใจใส่ทุกคนใครไม่มีอะไรผิดปกติแกก็จะเฮฮาด้วย ใครดูเหมือนจะมีอาการไม่สบาย ถึงไม่บอกคุณโชดแกก็ดูออกและแก้ปัญาให้ลุล่วง 
จากนั้นแกก็จะคุยกับเจ้าของบริษัทเรือที่คุณเก๋ใช้คุยถามสารทุกข์สุขดิบ เช่นลูกสาวเป็นไงบ้างโตหรือยัง มีแฟนมั้ยผมยังว่างนะ อันหลังนี้ผมต่อเติมเองครับ เสร็จแล้วแกก็ไปคุยกับกัปตัน ลูกเรือ แม่ครัวบนเรือ ตรวจสภาพเรือร่วมกับกัปตัน คุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ถามเมนูอาการ เช็คเสบียง ตรวจอุปกรณ์ดำน้ำ จากนั้นถึงมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า กินอาหารเช้า สุดยอดครับคนไรถึงคิดทำได้แบบนี้ นี่ยังแค่เริ่มต้นนะครับ
พอได้เวลาขึ้นเรือไกด์โชดจะแปลงร่างเป็นท่านผู้นำ พูดเสียงดังฟังชัด ผมลืมบอกไปทิปตัวอย่างที่ผมยกมาเป็นทิปเรือใหญ่สิมิลัน 3 วัน 2 คืน นอนเกาะสี่ ที่แกต้องพูดเสียงดังฟังชัดเพราะต้องการปลุกลูกทัวร์ให้ตื่น พร้อมทั้งกระตุ้นต่อมประสาทให้สั่งการจะได้ทำอะไรอย่างมีสติและรวดเร็วว่องไว พาสมาชิกลงเรือใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะคุยสรุปครั้งสุดท้ายกับคุณเก๋เจ้าของเอวีเอ็น ทัวร์ และเจ้าของเรือ ว่าลงเรือลำเดียวกันแล้วน้าว่าไงว่าตามกันน้า และขอให้ผมเป็นสักขีพยานเป็นอันจบ
  พออยู่บนเรือคุณโชดก็เริ่มสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้สมาชิกแต่ละกลุ่มทำความรู้จักและคุ้นเคยกัน สร้างความเป็นมิตรให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แกทำทุกอย่างได้ดีเยี่ยมและเป็นธรรมชาติมากแถมยังมีจิตวิทยาชั้นสูงในการรวมคนให้เป็นหนึ่ง เริ่มเล่าถึงโปรแกรม ความเป็นมาของสถานที่ ตลอดจนสอนใช้อุปกรณ์ แนะนำเท็คนิค สร้างความเชื่อมั่นว่า ตามฉันมาแล้วทุกอย่างจะดีเอง คุณโชดทำตลอดการเดินทางช่วงเช้าก่อนถึงอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน 
  งานถัดมาเมื่อใกล้ถึงอุทยานของไกด์โชดคือ ควบคุมโปรแกรมตามที่แกเห็นว่าเหมาะสม ณ ขณะนั้น ไม่ใช่ตามโปรแกรมที่เสนอขายลูกค้า ไม่ใช่ตามที่กัปตันเสนอ แต่ตามที่แกศึกษาและวางแผนมาอย่างดีแล้ว โดยแกดูสมุดน้ำ ดูข้างขึ้นข้างแรม ตามสภาพอากาศ แกทำการบ้านมาอย่างดีนั้นเอง ถึงขณะนี้ลูกค้าอยู่ในความควบคุมของไกด์โชดแล้ว คุณเก๋ตกลงก่อนที่จะลงเรือมาแล้ว เหลือแค่กัปตันที่คุยยากสุดเพราะติดทำอะไรเดิมๆง่ายๆไม่สนใจลูกค้าเพราะกัปตันดูแลเรือและลูกเรือรับคำสั่งจากเจ้าของเรือเท่านั้น ซึ่งก่อนลงเรือคุณโชดถึงต้องคุยกับเจ้าของเรือต่อหน้าคุณเก๋ เพราะคุณเก๋จ่ายเงินให้เจ้าของเรืออีกที พอเราขึ้นเรือ เจ้าของเรือก็โทรไปบอกกัปตันว่าให้ว่าตามไกด์ คุณโชดว่าไงก็ว่าตามนั้น กัปตันถึงบางครั้งไม่พอใจก็ไม่มีทางเลือก ต้องทำตาม แต่คุณโชดก็รู้วิธีรักษาน้ำใจกัปตัน รู้บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ทำยากนะนั้นแต่คุณโชดก็ทำได้แบบหาที่ติไม่เจอ 
เรือจะให้ผู้ช่วยไกด์มา 2 คน ซึ่งจะเป็นแบบงูๆปลาๆ ไกด์โชดก็เรียกมาเข้าคอร์ทเร่งรัดให้ทำตามสเต็ปที่แกต้องการ คุณโชดจะอธิบายแบบฟังง่าย เข้าใจได้เร็ว ทำตามได้คล่อง แค่นี้คุณโชดก็ได้ทีมพาดำน้ำที่จะสร้างความประทับใจแก่ลูกทัวร์ทุกคน เช่นกันครับทีมผู้ช่วยดำน้ำผมเห็นมาหลายทิปละคุณโชดมีภาวะผู้นำสูงมาก เป็นผู้นำที่ดีคนหนึ่งเลยทีเดียว พอแกลองรับรู้ว่าใครเป็นลูกน้องแล้ว แกจะทำตัวเอาใจใส่ ดูแลลูกน้องทุกคนประดุจญาติสนิทมิตรสหายกันเลยทีเดียวผมเห็นกับตา
เอาละเรือถึงเกาะเก้า หมู่เกาะสิมิลันละ คุณโชดก็ให้ลูกทัวร์สวมชูชีพที่ปรับไว้แล้ว เตรียมหน้ากากที่ปรับไว้แล้วเช่นกัน ทยอยลงเรือหางยาวไปจุดดำน้ำ ใครช่วยตัวเองได้ก็ลอยตัวอยู่ใกล้ๆ ใครไม่เป็นก็เกาะแพชูชีพไว้ เกาะนะอย่ากดทำแบบที่ไกด์โชดสอนไว้ตอนนั่งเรือมา ไกด์โชดพูดบนเรือจนทุกคนเชื่อมั่นและไม่กลัวกันแล้ว แถมทุกกลุ่มจะมีแผ่นปลาและปะการังกันน้ำกันคนละแผ่นไว้ดูชื่อปลาชื่อปะการังระหว่างดำน้ำ 
เอาละทุกคนอยู่ในน้ำแล้ว ไกด์โชดขอให้ทุกคนตามแกมาเรื่อยๆลอยตัวนิ่งๆไม่ต้องตีขา ใช้มือช่วยนิดหน่อย หายใจทางท่อ ไม่จำเป็นไม่ต้องเงยหน้า ใช้สัญญาณมือเอา แลัวแกก็เริ่มพาไปจุดแรกแกดำลงไปชี้จุดปะการังต่างๆแบบไม่สัมผัส แล้วให้แต่ละกลุ่มดูในแผนกันน้ำ แล้วชี้ปลารวมๆแล้วให้ดูชื่อในแผ่นกันน้ำ ทำอยู่แบบนั้นราว 20 นาที ก็บอกทุกคนเงยหน้า เลี้ยงตัวตามที่สอนไว้ แล้วบรรยายสรุปสุดท้ายว่าโอเคกันมั้ย เข้าใจปะการัง ปลา กันหรือยัง รู้แล้วน้าว่าควรหรือไม่ควรทำอะไรบ้างระหว่างดำน้ำ โอเค แยกย้ายได้ ใครไม่เป็นก็เกาะแพชูชีพไปต่อ หรือคนเป็นจะตามมาก็ขอให้เงียบๆนิ่งๆปลาจะได้ไม่หนี นี่แหละครับไกด์โชดไกด์จากส่วนกลางที่ทัวร์ปกติจะให้บริษัทเรือหาเตรียมไว้ให้ ซึ่งจะเป็นไกด์ท้องถิ่น แต่คุณเก๋แห่งเอวีเอ็น ทัวร์ไม่ทำอะไรง่ายๆแบบนั้น ถ้าเป็นไปได้จะเรียกใช้คุณโชดเป็นหลัก ซึ่งจุดเด่นของคุณโชดยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะครับท่าผู้ชม
พอดำน้ำเสร็จก็มาขึ้นเกาะแปด คุณโชดก็นำขึ้นหินใบเรืออีก แกปลุกเร้าทุกคนว่า ถ้าใครไม่ยอมขึ้นก็คือมาไม่ถึงหมู่เกาะสิมิลัน ทุกคนเลยต้องขึ้น จะกลัวความสูง จะกลัวไม่ไหวก็ต้องขึ้น ถ้าไม่ไหวจริงๆคุณโชดก็มีวิธีปลอบใจว่า ให้ฝากจิตวิญญาณมาไกด์โชดจะนำพาขึ้นไปเอง แกว่าประมาณนั้น
เสร็จจากหินเรือใบก็กินข้าว ไกด์โชดก็ช่วยคนครัว สต๊าฟอาหารบริการลูกค้าอีก แถมช่วยเคลียลูกค้าว่าอย่ากินเยอะเดี๋ยวดำน้ำเด็ดๆอีกสองจุดก่อนขึ้นเกาะสี่ กินเสร็จทุกคนก็พร้อมใจกันรีบขึ้นเรือเพราะหน้ากากก็ใช้เป็นแล้ว หายใจด้วยท่อก็ได้แล้ว ลอยนิ่งๆบนน้ำก็ทำเป็นแล้ว การลงดำน้ำจึงเป็นอะไรที่บรรเทิงมากๆในชั่วโมงนี้ เช่นเดิมครับอีกสองจุดนั้นไกด์โชดทำเหมือนเดิมอย่างกับไม่รู้จักเหนื่อย ถามแกว่าเป็นไงคุณโชด แกบอกว่าสบายพี่ ทุกคนเข้าที่แล้วง่ายขึ้นเยอะไม่ต้องเป็นห่วง แกไม่รู้หรอกว่าที่ผมถามไม่ได้เพราะเป็นห่วง แต่จะขอติดตามแกไปด้วยอีกซักคน 
เสร็จแล้วก็ขึ้นเกาะ พอเข้าที่พักไกด์โชดก็เอาเลย น้ำลงน้ำลงมาเตะบอลกัน แกก็ไปเอาบอลมาจากไหนก็ไม่รู้ให้ผองเพื่อนร่วมทิปเตะกันอย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งชี้จุดถ่ายรูปมุมสวยๆให้สาวๆ และบอกทุกคนว่าก่อนกินข้าวไปดูพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวเดินไป 200 เมตร หลังกินข้าวไปดูปูไก่ ไกด์โชดพาเดินเลาะเขาไปดูพระอาทิตย์ตกเองเลย ไม่รู้เอาแรงมาจากไหน เมื่อคืนบนรถบัสก็เห็นนอนนิดเดียว ลืมบอกไปทัวร์คุณเก๋สมัยโน้นเดินทางด้วยรถบัส 10 ชม จาก กทม ถึง ทับละมุ 
ดูพระอาทิตย์ตกเสร็จกลับมากินข้าวไกด์โชดก็รอจนลูกทัวร์ได้ครบก่อนแล้วแกค่อยมานั่งกินและกินอย่างรวดเร็วก่อนพากันไปซุ่มดูปูไก่ โดยไกด์โชดจะเน้นว่าเราจะไม่รบกวนมัน ไม่จับมันออกมา เราจะซุ่มดูมันเฉยๆ ใครจะจับก็ช่างเขาเราไม่จับ แกยืนยันอย่างหนักแน่น ทุกคนก็ว่าตามกันรวมทั้งผมด้วย 
เสร็จจากปูไก่ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ไกด์โชดก็ตามอัธยาศัยด้วยเลย แกเอากีตาร์มาด้วย งง ละสิ ไกด์ทะเลพกกีตาร์ แกจะปูเสื่อหน้าหาดชวนใครต่อใครมาล้อมวงพูดคุย ตอนนี้ทุกคนสนิทกันแล้ว คุยกันเฮฮามาก ไกด์โชดนอกจากพาดำน้ำเก่งมากๆแล้ว ที่เก่งมากๆอีกอย่างคือดีดกีตาร์ สาวๆหลงไหลและทึ่งในตัวคุณโชดมานักต่อนัก เพลงอะไรแกดีดได้หมด เพลงที่ไม่เคยฟังขอให้ร้องให้แกฟังเพียงท่อนเดียวแกดีดได้เลย สร้างความตกตะลึงแก่ทุกคนอย่างท่วนหน้า ไกด์โชดสร้างความบรรเทิงตอนดำน้ำแล้วยังสร้างสีสรรยามค่ำคืนด้วยการเล่นกีตาร์อย่างเซียนแถมพาเล่นเกมส์ เล่นไพ่ เตะบอล และที่เด็ดอีกอย่างคือถ้าจังหวะดีดาวเต็มฟ้าแกจะสอนดูดาวที่หน้าหาดเกาะสี่ด้วยเลยสุดยอดมั้ยไกด์โชดของเรา ห้าทุ่มแกค่อยมานอน ก่อนนอนมาหาผมว่าถ้าจะไม่สบายขอพาราฯสองเม็ด แล้วก็ไปนอน ผมยืนงงอ่าวไกด์ตูป่วยแล้วพรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นจะพากันไปดูยังไง
พอตีห้าครึ่งผมก็ลุกมาล้างหน้า แปรงฟัน แล้วเดินไปหาไกด์โชด ว่าจะเอาพาราฯไปให้แกอีก 2 เม็ด ปรากฎว่าแกไม่อยู่ในเต้นท์คงหนีกลับทับละมุไปแล้วแน่ ผมก็คิดไปเรื่อย ผมก็เดินไปหาคุณเก๋บอกว่าคุณโชดไม่อยู่ คุณเก๋ก็ชวนลูกทัวร์
เดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หาดเล็กเดินไป 400 เมตรในความมืด ผมเห็นเดินตามๆกันมามีแต่ผู้ใหญ่ เด็กๆวัยรุ่นคงนอนดึกเลยตื่นกันไม่ไหว เดินไปได้ 300 เมตรถึงทางแยกขึ้นลานข้าหลวง มีเสียงคุยกันจากข้างบน ผมคิดว่าหูแว่วใครจะบ้าขึ้นไปตอนมืดๆ ผมขึ้นไปบ่อยวิวสวยสุดๆส่วนมากขึ้นตอนสิบเอ็ดโมง ไม่เคยซักครั้งที่จะคิดขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น พอพวกเราเดินมาถึงหาดเล็ก พวกข้างบนก็ตะโกนลงมาแซวว่า มาช้าจังมารอนานแล้วน้า ผมจำเสียงได้หนึ่งในผู้ร่วมก่อการคือคุณโชดนั่นเอง คุณเก๋เจ้าของทัวร์เดือนมากไม่รู้หัวร้อนเพราะห่วงลูกทัวร์หรือเดือดเพราะคุณโชดไม่ยอมชวน เลยต้องพลาดของเด็ดที่ไม่มีใครเคยทำ ขึ้นลานข้าหลวงตอนตีห้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไม่มีทัวร์ไหน ไกด์ไหนกล้าทำหรอกตลอดกาล
ดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จก็กินอาหารเช้า เก้าโมงครึ่งก็ออกดำน้ำ โปรแกรมวันนี้จะเป็นเกาะหก เกาะสี่ เกาะหนึ่ง กองหิน ตอนนั้นเกาะหนึ่งยังอนุญาติให้เข้าดำน้ำได้บางจุด แม่ครัวอยากให้กินอาหารกลางวันบนเรือ คุณโชดก็เคลียร์ลูกค้าให้ แม่ครัวก็ยิ้มแฉ่ง สบายละไม่ต้องแบกหม้อไปหาดเล็ก ลูกค้าก็ได้ดำน้ำเยอะๆแบบไม่สดุด มีความสุขถ้วนหน้า บ่ายสี่ก็กลับมาเล่นน้ำสบายๆที่หาดหน้าเกาะสี่ ใครจะไปดูพระอาทิตย์ตกอีกรอบก็ไป กินข้าว แล้วปูไก่อีกรอบก็ตามใจ จากนั้นก็เช่นเคยปูเสื่อหน้าหาดดีดกีตาร์ ร้องเพลง มีไกด์โชดเป็นแกนนำ สาวๆกรีดเอยหัวเราะเอยเป็นระยะ ผมจะไปรวมวงด้วยก็หาที่ว่างลงจอดไม่ได้ เลยต้องนั่งฟังอยู่ห่างๆและสรุปในใจว่า คุณโชดเป็นไกด์ทะเลที่ดีที่สุดในใจผมตลอดกาล...28 ตค 61




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2561   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 21:56:27 น.   
Counter : 354 Pageviews.  
space
space
สาย47


  เที่ยงนี้แดดร้อนออกจากคอนโดเดินมาหน้าโลตัสพระรามสามขึ้นรถเมล์พัดลมสาย180 มาลงตลาดคลองเตย ยืนรอต่อรถหาที่หลบแดดก่อน รอซักครู่รถพัดลมสาย47 มาละขึ้นเลยดีกว่า รถพัดลมเก่าแก่เป็นมรดกคู่กรุงเทพมหานคร รถอยู่ในสภาพใกล้พุพังเต็มที เบาะก็เก่าหน้าต่างก็เปิดได้บ้างปิดไม่ได้บ้าง เป็นเกียร์ธรรมดาเข้าเกียร์ทีดังสนั่น เบรคก็อยู่ในสภาพย่ำแย่เหมือนจะไม่อยากทำหน้าที่ของมัน ทางขสมกก็พยามยามปรับปรุงนะครับ ด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกล เอาจีพีเอสมาใส่นำทาง เอาจอทีวีบอกจุดหมายมาเสริม เพิ่มตู้เก็บเงินอัจฉริยะโดยถอดที่นั่งออกไป 2 ตัว ทำระบบแตะบัตรอันทันสมัย เป็นการปรับปรุงคุณภาพรถแดงที่ชาญฉลาดเอามากๆน่าชมเชย ทั่วโลกน่ามาศึกษาและเอาเป็นแบบอย่างและเชิญท่านผู้อำนวยการ ขสมก ที่คิดเรื่องนี้ไปบรรยายทั่วโลก ให้ทั่วโลกได้ทึ่งในวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำและบริหารจัดการแบบไทยเราทั้ง ขสมก การรถไฟ เป็นแบบอย่างให้ชาวโลกได้ศึกษา น่าภูมิใจความเป็นไทยจริงๆ
พอขึ้นรถได้ก็เดินไปนั่งหน้าซ้ายติดกระจกข้างคนขับ กระเป๋าเดินมาเก็บเงิน ไม่ได้หยอดตู้อัจฉริยะนะครับ มันตั้งเฉยๆแบบนั้นมาหลายเดือนแล้ว ที่แตะบัตรก็ถอดเข้าถอดออกยังใช้ไม่ได้ จีพีเอสนำทางก็เหมือนจะพังไปแล้ว ส่วนจอทีวีก็เห็นฉายวนไปวนมาอยู่คลิปเดียวมาหลายเดือนแล้ว คนขับนั้นแหละครับที่น่าสนใจ เป็นหนุ่มน้อยตัวผอมหน้าตาดีเพิ่งจะมาขับได้ไม่นาน พอคนขึ้นหมดแกก็ออกรถไปแบบช้าๆสบายๆวิ่งมาถึงแยกตัดถนนพระรามสี่แกก็ค่อยๆเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพระรามที่สี่อย่างช้าๆ เลี้ยวเสร็จก็วิ่งมาเข้าป้าย คนก็ขึ้นมาอีดชุดรถเริ่มแน่นที่นั่งเต็มหมด ยืนราว 20 คน จากนั้นคนขับก็ออกรถไปแบบเรื่อยๆไม่เร่งรีบ ผิดกับปกติที่รีบๆขับรีบๆเลิก ขับให้ครบสามรอบเร็วๆจะได้เลิกไวไว ผ่านป้ายการไฟฟ้าไม่มีคนขึ้นลงคนขับเลยไม่ต้องจอด วิ่งมุ่งหน้าแยกไฟแดงทางรถไฟใต้ทางด่วนต่อไป วันนี้รถไม่ติดบางวันจะติดสุดๆ แกขับมาอีก 150 เมตรถึงไปแดง ไฟมันยังเขียวอยู่ ถ้าแกเร่งอีกนิดก็ทันเหลือๆแต่แกกลับวิ่งด้วยความเร็วคงที่ มาแบบหน่วงๆเลยไม่ทันติดไฟแดงไป พอรถติดไฟแดงแกก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นอย่างอารมณ์ดี แต่นี่เป็นรถพัดลมไม่ใช่รถแอร์ ตอนรถวิ่งจะร้อน ตอนรถจอดนิ่งจะร้อนมาก คนขับก็ไม่สนแกเลือกไม่ได้ยังไงก็ต้องขับคันนี้ นั่งเล่นมือถือสบายใจ ส่วนผู้โดยสารนั้นแหละเลือกได้ครับ จะนั่งรถร้อน รถแอร์ แท็กซี่ สามารถเลือกตามอัธยาศัย ไฟแดงๆอยู่ราว 3 นาทีก็เขียว คนขับดูผิดหวังเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะหรรษาต้องขับรถต่อ แกก็เร่งเครื่องเร็วขึ้นมาเข้าป้ายบ่อนไก่ แล้วขับอย่างรวดเร็วข้ามสะพานไทย-เบลเยี่ยม มาเข้าป้ายตึกอื้อจื่อเหลียงจากนั้นแกก็ขับช้าลงอีกครั้งผ่านบ้านอับดุลราฮิมเหลืออีก 100 เมตรถึงไฟแดงแยกตัดถนนสีลม ผมเห็นละมันไฟเขียวอยู่ ข้างหน้ารถไหลไปได้เรื่อยๆ แกค่อยๆขับทิ้งระยะห่างคันหน้าขึ้นเรื่อยๆ แล้วจ้องไปที่ไฟแดงอย่างไม่กระพริบตา รถคันหน้าที่ทิ้งห่างไป 30 เมตรข้ามไฟแดงไปแล้ว ไฟก็ยังเขียวอยู่ คนขับของเราเลยไม่มีทางเลือกต้องข้ามไฟแดงนี้ไปอย่างเสียดาย แกทำหน้าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก รถมาเข้าป้ายตรงข้าม รพ จุฬา คนขึ้นลงเยอะมาก คนขับก็ไม่ได้เร่งอะไร แกกลับมองไปที่ไฟแดงอย่างใช้สมาธิ เหมือนจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้อีก พอคนขึ้นครบกระเป๋าบอกปิดประตูได้ไปเลย แกก็ปิด แต่ยังไม่ออกตัว ผมเห็นละตรงแยกตัดอังรีฯไฟเขียวพอดี ถ้าแกไปเลยมีโอกาสข้ามทัน 70 % แกก็คงเรียนเรื่องความน่าจะเป็นมาเหมือนกัน เลยยังไม่ออกตัว รออีกกว่า 20 วิ ท่ามกลางความร้อนละอุและความแออัดบนรถ พอแกออกตัวไฟยังเขียวอยู่พอรถเคลื่อนมาเหลือ 40 เมตร ไฟก็แดงขึ้นมา คนขับทำหน้าเหมือนตอนที่ทีมชาติไทยยิงประตูทีมญี่ปุ่นได้ ดีใจและสะใจมาก เพียงแต่ไม่ได่ลุกขึ้นมาชูสองมือเท่านั้น แกไม่รอช้าคว้ามือถือขึ้นมาเล่นต่อ ไฟแดงนี้แดงนานซะด้วยถูกใจคนขับมาก คนในรถที่นั่งก็ตากแดด ที่ยืนก็อัดกันแน่นยังกับปลากระป๋อง คนขับก็เล่นมือถืออย่างสบายจิตทำไงได้มันติดไฟแดง เช่นเดิมครับพอไฟเขียวแกก็เอารถมาเข้าป้ายวัดหัวลำโพง แล้วก็เล็งไปแดงหน้า วางแผนกะระยะไฟแดงหน้า แล้วก็ไม่มีพลาดติดอีกไฟแยกวัดหัวลำโพง เล่นมือถือต่ออย่างรวดเร็ว เพราะอีก 2 ไฟหน้าจุฬามันแดงแป๊บเดียวไปยาวๆ ไปติดอีกทีก็หน้าnbkไฟแดงที่แยกปทุมวันแยกเดียวอาจติด 1-2 ครั้ง แล้วก็ไม่มีพลาดเป็นไปตามกลยุทธที่วางไว้ทุกขั้นตอน ถึงมาบุญครองคนลงไปเยอะ แต่ก็ขึ้นมาอีกไม่น้อย พอเลี้ยวซ้ายแกก็เข้าป้ายสนามกีฬา คนที่นั่งบีทีเอสมาก็มาดักต่อกันหลายคน ทำไมไม่สร้างบีทีเอสยาวไปให้ถึงผ่านฟ้าเลยฟ้า ผมคิดในใจ ถ้าสร้างไม่ใช่จะไปใช้บริการนะ แต่จะได้มีคนมาต่อป้ายนี้ลดลง สาย47 จะได้ไม่แน่นมาก พอคนขึ้นๆลงไเสร็จ คนขับก็ออกรถเล็งไปข้างหน้า 5555 ไฟแดงอยู่ไกลมองไม่เห็น ผมหัวเราะเยาะในใจ แต่แกก็ยังไม่หมดความพยายาม พอรถถึงสนามศุภชลาศัยประตูหนึ่งก็ตรงที่ขายบัตรเข้าสนามนั้นแหละ ไฟแดงก็อยู่ในระยะมองเห็น แกก็ปล่อยเท้าจากคันเร่งคนเด้งมาข้างหน้าแทบทั้งคัน นึกว่าคนขับเบรค แต่เปล่าแค่ถอนเท้าจากคันเร่ง อย่างที่บอกรถมันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก ไม่รู้ผ่านการตรวจสภาพมาได้ยังไง ทุกคันนั้นแหละไม่เฉพาะคันนี้ บางคันควันดำมากๆสุดยอด ออกนอกเรื่องไปนานมาต่อกัน ที่แกต้องถอนเท้าเพราะไฟมันเขียวอยู่ ถ้าเราไปด้วยความเร็วนั้น เวลาจะเท่ากับ ระยะทางส่วนด้วยความเร็ว คนขับคงเรียนวิทย์ม.ต้นภาคคำนวณมาอย่างดี เลยรู้ว่ารถจะผ่านเขียวนี้ไปแน่แท้เลยต้องถอนเท้า แยกที่ว่าคือแยกเจริญผลครับ พอติดไฟแดงแกก็ดีใจเหมือนเพิ่งยิงประตูทีมนฤมิตรของผมได้ ส่วนผมนั้นก็หงุดหงิดเหมือนนักฟุตบอลทีมนฤมิตรที่เพิ่งโดนยิงไป เพียงแต่คนขับไม่ได้ยืนขึ้นชูมือ และผมไม่ได้วิ่งเข้าไปกระโดดถีบแกก็เท่านั้น พอผ่านแยกไปอีกสองป้ายถัดมาคือป้ายรองเมืองและป้ายศรีจุลทรัพย์ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นทั้งสองทีมต่างคุมเชิงกันที่กลางสนาม ไม่ใช่ละออกทะเลไปไกล เพราะมันไม่มีไฟแดงให้แกเล็ง แกขับเร็วมากเหมือนได้ปลดปล่อย ขึ้นสะพานยศเสมาอย่างซิ้ง เลี้ยวซ้ายซะเร็ว รถที่เลี้ยวขวามาจากยศเสเบรคแทบไม่ทัน แล้วมาจอดป้ายโรงเรียนเทพศิรินทร์ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของผม ก่อนลงผมคิดแทนคนขับ ไฟแดงที่เหลือก็แยกพลับพลาไชย แยก รพ กลาง แยกวรจักร เลี้ยวขวาไปอีกทีก็แยกแม้นศรี เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดมาได้อีก2 ไฟติดกันที่แยกผ่านฟ้า ถัดมาก็แยกอนุสาวรีย์ปชต และแยกคอกวัว ถัดไปก็แยกสนามหลวง แยกวัดพระแก้ว แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วกระมั๊งพ่อหนุ่มน้อยหน้ามนต์คนขับสาย47 
คิดเสร็จผมก็ลง เกือบลงไม่ทันแกรีบไปให้ถึงไฟแดงจะเล่นมือถือต่อ
ปล.หลังจากวันนั้นผมตัดสินใจซื้อบัตรสัปดาห์ของ ขสมก อาทิตย์ละ 200 บาท ใช้ได้ 7 วัน สัปดาห์สุดท้ายคุ้มสุดใช้ได้ 10-11 วัน ถ้าเป็นเดือนก็ใบละ 800 บาท ใช้ได้ทั้งรถแอร์และพัดลม อันนี้ต้องชมนะครับช่วยผู้มีรายได้น้อยได้เยอะเลย ใครคิดมาให้ผมกอดทีหนึ่ง 
พอมีบัตรเบ่งใบนี้ผมก็เลิกนั่งรถพัดลมหันมานั่งแต่รถแอร์เป็นหลัก 5555 คราวนี้จะเร็วจะช้าจะคลานจะซิ่งก็ตามสบายแล้วแต่อัธยาศัยเลยครับ สวัสดี...24 ตค 61




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2561   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 21:54:42 น.   
Counter : 420 Pageviews.  
space
space
คำมั่น สัญญา




สมัยอยู่มหาวิทยาลัย ตอนปีหนึ่งผมชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นคนสวย เรียบร้อย สุภาพ อ่อนหวาน เรียนอยู่ชั้นปีเดียวกับผม เราเริ่มต้นคบกันในแบบเพื่อน ผมไม่ได้ขอคบเธอ เธอไม่ได้บอกจะคบผม เราก็คุยกันเหมือนเพื่อนร่วมชั้นปกติ เรียนด้วยกัน พักก็นั่งคุยกัน เที่ยงก็กินข้าวด้วยกัน เย็นก็กลับด้วยกัน ผมหมายถึงทำทุกอย่างที่ว่าเป็นกลุ่มๆซึ่งแน่นอนแต่ละกิจกรรมจะทำเป็นกลุ่มก็จริงแต่จะมีสมาชิกร่วมด้วยช่วยกันเปลี่ยนหน้าบ้างซ้ำหน้าบ้าง มีหลายๆกลุ่มย่อยๆบ้าง แต่ทุกกิจกรรมทุกกลุ่มที่เธอเข้าร่วมจะมีผมอยู่ด้วยเสมอ จนเธอเริ่มจะรับรู้ว่าผมคิดอะไร และผมเริ่มจะมั่นใจที่จะส่งสัญญาณแสดงวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนออกไป ทำอย่างที่ว่ากันอยู่ซักพัก ผมก็เริ่มไปส่งเธอที่บ้าน เราก็เริ่มแลกเปลี่ยนสิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบของแต่ละฝ่าย เริ่มคุยปรับทุกข์สุขดิบของชีวิตครอบครัวและปัญหาตลอดจนชีวิตที่ผ่านๆมาของกันและกัน แต่ผมก็ยังไม่ได้ขอคบเธอ เธอก็ไม่ได้จะบอกจะตกลงคบกับผม ทำอะไรก็ยังต่างคนต่างจ่าย เธอยืนกรานให้ทำแบบนั้น 
  ความสัมพันธ์ของเราก้าวหน้าเร็วมาก นอกจากกินข้าวเที่ยงด้วยกัน เย็นไปส่งเธอที่บ้าน เราเริ่มนัดเจอกันในวันหยุด ไปดูหนัง กินข้าว ซื้อของ อ่านหนังสือเมื่อใกล้สอบ เราทำทุกอย่างด้วยกันทั้งๆที่ผมไม่เคยขอคบเเธอ เธอไม่เคยบอกจะคบกับผม จนคนในคณะรู้หมดแล้วว่าสองคนนี้คบกัน แต่เราก็ยังไม่เคยพูดหรือตกลงกันในเรื่องนี้เลย เธอคิดไงผมไม่แน่ใจ แต่ผมคิดไงผมจะบอกครับ ผมคิดว่าผมกล้าๆกลัวๆ สองจิตสองใจ กังวล และกลัวที่จะต้องตัดสินใจ ทั้งๆที่ผมรู้ว่าเธอเป็นคนดี มีความเป็นกุลสตรี มีความรักที่อบอุ่น แกร่ง พร้อมที่จะเดินตามและ
  การพัฒนาความสันพันธ์มันกดหยุดไม่ได้ครับ มันดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติและหมุนไปตามกาลเวลา มันเป็นอีกสิ่งที่ไม่เคยคอยใครนอกจากสายน้ำ เราสนิทสนมกันขึ้นเรื่อยๆแต่ยังไม่เคยแม้แต่จับมือนะครับอย่าคิดไปไกล ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดีนะครับ แต่เป็นเพราะความเป็นกุลสตรีของเธอ ผมชอบฟังเพลงเธอก็เช่นกันมีอยู่วันผมบอกร้องให้ฟังหน่อย ซึ่งคนเรียบร้อยขี้อายอย่างเธอไม่มีทางร้องหรอก เธอก็ไม่ร้องจริงๆนั้นแหละบอกแค่ร้องไม่เป็น ผมตื้อเธอยังไงเธอก็ไม่ยอม ผมคิดในใจว่าดีแล้ว เราอย่าเพิ่งถลำลึกไปกว่านี้เลย 
  วันต่อมาพอเจอกันคุยกัน เรียนด้วยกัน กินข้าวเที่ยงด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน ก่อนลาจากกันที่หน้าตรอก ผมกล่าวว่าพรุ่งนี้เจอกัน กลางคืนอย่าออกไปไหนนะซอยมันมืดหน้ากลัว เธอบอกอือเรารู้แล้ว อะมีของจะให้ แล้วเธอก็หยิบซองเล็กๆให้ผมแล้วบอกให้ไปเปิดที่บ้าน ผมก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย กลับไปถึงบ้านอาบน้ำ ถึงเปิดซองออกมาดู
  สิ่งที่อยู่ในซองผมมั่นใจว่าไม่มีใครทายถูกหรอกครับ เชื่อผมสิ สิ่งนั้นคือเทปคาสเซ็ทครับ สมัยนั้นยังไม่มี ซีดี ดีวีดี mp3 mp4 ผมจับเทปนั้นอย่างงงๆคิดว่าคงเป็นเพลงที่เธอชอบฟังแล้วเอามาให้ผมฟังด้วย ไม่ได้คิดลึกอะไรมากนัก ฉงนนิดหน่อยตรงแค่เทปเพลงทำไมต้องทำซะลึกลับ ผมเอาใส่เครื่องเล่นเทปเปิดเสียงดังมากแบบที่ผมชอบฟังปกติ 
  รอซักครู่พอเสียงมาผมตกใจเบาเสียงแทบไม่ทันในเทปเธอพูดในสิ่งที่เธออยากจะพูดและร้องเพลงในเพลงที่ผมอยากให้เธอร้อง ผมฟังซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ นี่คงเป็นคำมั่นที่เธอให้ไว้ในความสัมพันธ์ของเรา เธอปล่อยให้เวลาผ่านมาจนถึงบทสรุปที่เธอมั่นใจและให้คำมั่นนั้นแกผม
ผมรับรู้และสัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นที่เธอมอบให้และทราบซึ้งใจและคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมต้องแสดงอะไรบางอย่างเพื่อตอบรับคำมั่นที่เธอส่งมาถึงผม แน่นอนครับคงไม่ใช่แค่กล่าววาจาว่าเรามาคบกันเถอะ มาเป็นแฟนผมนะ หรือเราหยุดไว้แค่นี้นะ เพราะเวลาที่จะพูดเพียงประโยคสั้นๆนั้นได้ผ่านไปแล้ว
  ต่อมาอีกไม่นานใกล้ปิดภาคเรียนที่สอง เราก็สานสัมพันธ์ไปเรื่อยๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป เธอให้คำมั่นแล้ว ถึงคราวผมบ้าง ปิดภาคเรียนเธอต้องกลับบ้านที่ภาตใต้ ผมบอกว่าเดี๋ยวผมไปส่งหัวลำโพง แล้วหาวันว่างจะลงไปหา เธอก็เล่ารายละเอียดว่าต้องลงสถานีไหน บ้านเธอไม่มีโทรศัพท์ ถ้าจะโทรหาต้องโทรไปร้านตัดเสื้อใกล้ๆ ฝากเขาบอกนัดเวลาโทรมาอีกครั้ง ก่อนผมจะไปให้โทรไปบอกก่อน เธอจะได้บอกพ่อแม่เธอไว้และจัดห้องน้องชายให้ผมพัก เธอแจ้งรายละเอียดและวิธีการนั่งรถไฟ ขบวนไหนสบายขบวนไหนเร็ว ขบวนไหนสภาพทรุดโทรม เป็นห่วงเป็นไยว่าจะไปไหวเหรอมันลำบากนะ เธอพูดจนผมเข้าใจได้เลยว่านี่เหมือนการขอคำมั่นจากผมเหมือนคราวที่ผมขอให้เธอร้องเพลงให้ผมฟัง
เมื่อเป็นดังนี้ผมต้องตัดสินใจเลือกละคราวนี้ ใจหนึ่งก็คิดว่าน่าจะดี การสร้างครอบครัวร่วมกับเธอเป็นอะไรที่ว่างใจได้ว่า เธอจะดูแลทุกอย่างให้ผมได้ ผมสามารถทำอะไรก็ได้ในอนาคตโดยสบายใจได้ว่าเธอจะอยู่ข้างหลังผมคอยดูแลครอบครัวและผมเป็นอย่างดี
  อีกใจก็คิดว่าผมจะรับภาระความรับผิดชอบนี้ไหวมั้ยในเวลาสั่นๆจากนี้เพียง 3-4 ปี จะโตพอเป็นหัวหน้าครอบครัวได้มั้ย การเป็นคนทำอะไรด้วยใจมากกว่าใช้เหตุผลจะรับความกดดันได้ดีแค่ไหน และจริงๆแล้วผมต้องการคู่ชีวิตที่คอยระวังหลัง หรือต้องการคนที่เอาผมอยู่ถ้าผมทำอะไรเอาแต่ใจมากเกินขอบเขต คิดไปต่างๆนานา
  ท่านทั้งหลายคงคิดกันว่าถ้าไม่มั่นใจก็ยังไม่ต้องเลือกดูๆกันต่อไปก่อน แต่ไม่ได้หรอกครับในเมื่อเธอใหคำมั่นแล้ว ผมก็ต้องตัดสินใจจะปล่อยให้เราทั้งคู่ถลำลึกไปกว่านี้ไม่ดีแน่ เธอให้คำมั่นแล้วเธอจะคิดหรือทำไงกับมันต่อผมมิอาจรู้ แต่สำหรับผมถ้าให้คำมั่นโดยไปพบครอบครัวเธอที่บ้านต่างจังหวัด ผมก็จะทำทุกหนทาง ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อรักษาคำมั่นนั้น และจะแปรเปลี่ยนคำมั่นนั้นเป็นสัญญาและจะรักษามันไว้ด้วยชีวิตของผม.....23 ตค 61




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2561   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 21:55:06 น.   
Counter : 456 Pageviews.  
space
space
หนึ่งในล้าน


เปิ้ลเป็นพี่คนโตมีน้องอีกห้าคนรวมเป็นหก พ่อแม่เป็นคนจีนยุคเก่ามีลูกหลายคน เป็นคนจีนยุคเก่าที่มีหัวก้าวหน้า ลูกๆทั้งหกคนรวมทั้งเปิ้ลล้วนเป็นเด็กที่มีลักษณะเด่นข่มด้อย ขัดแย้งกับกฎทางพันธุกรรมที่ผมเคยเรียนมาตอนสมันเด็กๆ ที่บอกว่าทุกๆ4คนจะต้องมีด้อยอย่างน้อยหนึ่งคน นี่ปาเข้าไปหกคนตั้งแต่เกิดจวบจนวันนี้ที่อายุแต่ละคนราว24-33 ขวบเข้าไปแล้ว แต่ละคนต่างมีลักษณะเด่นและด้อยต่างกันไป แต่ทุกคนจะเป็นแนวเด่นข่มด้อยทั้งสิ้น ไม่น่าเชื่อครับ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากในทางวิทยาศาสตร์ และหาศาสตร์อื่นๆมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถือเป็นครอบครัวที่น่านำมาเป็นกรณีศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

พ่อเปิ้ลเป็นคนไทยเชื้อสายจีนขนานแท้ เรียนน้อย ทำงานหนัก ขยัน อดทน ซื่อสัตย์ จิดใจดีงาน รู้คุณ และมีความรับผิดชอบสูง มองการไกล เชื่อมั่นใจตนเอง และมีความไฝ่สูงในจิตวิญญาน หน้าตาไม่หล่อ ตัวเตี้ย
แม่เปิ้ลเป็นสาวจีนขนานแท้ เป็นแม่บ้าน แม่เรือน เป็นช้างเท้าหลัง ใจดี อัธยาศัยดี มีน้ำใจ รับผิดชอบเรื่องในบ้านทุกอย่าง เป็นทั้งแม่และเพื่อนของลูกๆ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทุกแบบ จะไฮโซก็ได้ จะเฉิ่มเปอะก็ดูดี มองบางมุมก็สวย บางมุมก็น่ารัก บางมุมก็ซิ้ม บางมุมก็คล้ายอาม่าตั้งแต่ยังสาว

ลักษณะเด่นและด้อยของพ่อและแม่เปิ้ลรวมกันผสมผสานผลิดงอกเงยเด็กๆ หญิง 5 ชาย 1 ออกมาดูโลกได้อย่างลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง ดังจะได้กล่าวให้เห็นแจ้งดังต่อไปนี้

เปิ้ลเป็นลูกสาวคนโต หน้าตาน่ารักตั้งแต่เด็กจนโต เป็นคนจิตใจดีงานเสมอต้นเสมอปลาย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับทุกคน ถึงจะเป็นเด็กหัวช้าเรียนปานกลาง ไม่ค่อยทันใจผมเคยโดนผมเอาหนังสือเข็กหัวไปหลายโบ๊ก แต่ก็เรียนจบบัญชี ป.ตรี อย่างสบายๆ การเป็นพี่คนโตนั้นเหนื่อยต้้องช่วยแม่ดูแลน้องทั้งห้า เปิ้ลก็ทำได้อย่างดีและเป็นที่รักของทุกคนที่พบเห็น เป็นคนอดทน อดกลั่น ไม่ย่อท้อ ไม่ขี่เกียจ หัวทันสมัย คบกับใครไม่มากไม่มาย บางทีเปิ้ลก็ทำตัวเป็นทอมจนสาวๆหรือหนุ่มๆประเภทสองมาติดพันธ์ก็หลายคน แต่ดูไงก็ไม่เหมือนพวกทอมโหด ถ้าเปิ้ลเป็นทอมจริงก็คงเป็นทอมที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมรู้จัก พอเปิ้ลเรียนจบก็ทำงานนอกบ้านหาประสพการณ์พักหนึ่ง แล้วเรียนต่อโทรามคำแหง จากนั้นก็มาทำธุรกิจของพ่ออย่างเต็มตัว แถมยังเปิดร้านขายล้อแม็คขยายธุรกิจในครอบครัวให้งอกเงยเพิ่มพูนขึ้นอีก ทำงานไปดูแลน้องๆไปจนอายุเข้ามาถึงวัยสามสิบหน่อยๆแล้วยังไม่มีครอบครัว แต่คิดว่าน่าจะอีกไม่นาน ผมจะคอยดูว่าหนุ่มคนไหนจะโชคดีได้ภรรยาที่แสนดีอย่างน้องเปิ้ลไปร่วมชีวิต

พุทราลูกสาวคนที่สอง ได้นิสัยแม่มาเต็มๆเป็นเด็กนิสัยเด็กกว่าอายุ สมัยม.ต้นขี้งอแง ทำอะไรเหมือนเด็กประถมต้น พูดจาเอ๋อๆเหมือนจะไม่เต็ม ยีนส์ด้อยของพ่อแม่เหมือนจะมาที่พุทราไม่น้อย แต่ช้าก่อนอย่าด่วนตัดสินใจ เปิ้ลว่าน่ารักแล้ว แต่พุทราน่ารักกว่า แถมยังมีความสวยเพิ่มเข้ามาอีก น่ารักผสมสวย สวยผสมน่ารัก ผิวขาว หุ่นดี ในยามที่ไม่เก็บไขมันส่วนเกินไว้กับตัว พุทราจะถือว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่งประจำหมู่บ้านเลยทีเดียวจะบอกให้ แถมในความดูเอ๋อๆกลับซ่อนไว้ด้วยความคม จะพูดอะไรทีวาจาเชือดเฉือนน่าชม พุทราเป็นเด็กหัวช้าไม่ขยัน แต่มีความคิด รู้อดทน พูดรู้เรื่อง สอนรู้ฟัง จิตใจดีงาม รักพี่น้อง มีเมตรา กรุณา มุทิตา อุเบกขา รู้ว่าตัวเองเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่ก็สามารถหาจุดลงตัวให้ตัวเองได้อย่างดี จบป.ตรี ก็ไปเรียนต่อประเทศจีน จนชำนาญด้านภาษาจีน กลับมาก็สอนภาษาจีนในมหาวิทยาลัย เป็นเด็กที่โตขึ้นแล้วแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อสายตา เป็นลูกสาวคนที่สองของครอบครัวนี้ที่ถ้าใครได้ไปเป็นภรรยาแล้วรับรองไม่มีคำว่าผิดหวัง

ลูกสาวคนที่สามชื่อจิ๋ว น้องจิ๋วจะได้หน้าตาพ่อมามากกว่าแม่ ในจำนวนพี่สาวและน้องสาวจิ๋วจะหน้าตาแปลกสุด เพราะเป็นหญิงแต่ดันหน้าตาเหมือนผู้ชายคือเหมือนท่านพ่อ จิ๋วหน้าคล้ายแมว นิสัยใจคอก็ออกจะเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่อ่อนโยน บางอารมณ์จะทำหน้าเหมือนแมวโหด บ้างก็ทำหน้าเหมือนแมวหาเรื่องไม่ยอมใคร บ้างก็ทำหน้าดุร้ายพร้อมขย้ำ บางครั้งก็หน้าเหมือนแมวงอแงเอาแต่ใจ ชิงดีชิงเด่น บ้างก็จะทำหน้าเหมือนแมวตาตี่แสนงอน แสนฉอเลาะ จิ๋วเป็นคนแบบสบายๆไม่คิดมากมาย โกรษใครทีก็เป็นฟืนเป็นไฟ ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดจิ๋วจะหัวดีที่สุด เรียนหนังสือดีกว่าคนอื่น ได้ทั้งคำนวณและภาษา เรื่องหน้าตา นิสัยใจคออาจเป็นรองพี่น้อง แต่จิ๋วก็มีจุดเด่นเรื่องความฉลาดและรอบรู้ กล้าคิดกล้าทำ แถมข้อเสียต่างๆแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินกำลังที่จะแก้ไข นิสัยใจคอก็อาศัยครอบครัวที่ดี สังคมที่ดีเป็นตัวหล่อหลอมให้จิ๋วกลายเป็นเด็กสาวอีกคนที่โตมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ จิ๋วจบ ม.ปลาย ก็เรียนต่อจุฬาๆ พอจบจุฬา ทำงานซักพักก็เรียนโทธรรมศาสตร์ จบแล้วก็ทำงานบริษัทจวบจนวันนี้ แฟนคนล่าสุดก็คบมาซักระยะ คงอีกไม่นานก็จะมีครอบครัว ซึ่งถ้าดูจากฝั่งจิ๋วแล้วลูกๆที่ออกมาต้องหน้าคล้ายแมวบ้างบางคนเป็นแน่แท้

ลูกสาวคนต่อมาคือน้องเกต สิงห์โตคือนิคเนมที่ผมชอบเรียกน้องเกต น่าจะเพราะร่างกายอันดูบึกบึน หน้าอันกลมใหญ่ หัวอันโต จมูกและตาอันตี่ ทำให้ผมชอบเรียกน้องเกตแบบนี้เสมอ เกตจะดูเตี้ยล่ำกว่าพี่สาวทั้งสาม ยิ้มน่ารักชวนให้เข่าอ่อน เกตจะนิสัยคล้ายพุทราแต่จะสับสนกับตัวเองมากกว่า อ่อนแอกว่า งอแงกว่า แต่ด้านดีจะคล้ายๆกันคือน่ารัก อารมณ์ดีในยามที่ไม่งอแง จิตใจดี พูดจารู้เรื่อง ช่างถาม กล้าคิดเองถึงบางครั้งจะเป็นการคิดแบบตาตี่ๆ คิดอะไรง่ายๆก็เถอะ น้องเกตจะหัวช้าคล้ายเปิ้ลกับพุทรา เรียนคำนวณไม่ค่อยเก่ง ส่วนภาษาจะชอบกว่าแต่ก็ไม่ถึงกับเก่ง แต่ก็สามารถมีจุดลงตัวของตัวเอง เรียนจบป.ตรีมาได้แบบสบายๆ จบมาก็คิดแบบตาตี่ทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเอง ถึงจะไม่สวยงามนักแต่ก็ทำให้ได้ประสบการณ์แกร่งขึ้นอีกหลาย และก็ไม่มีอะไรเสียหายมากนัก ตอนนี้ก็เรียนโทเอแบ็คแบบเต็มเวลา ผมว่าก็ดีแล้วจบมาค่อยตั้งต้นนับหนึ่งกันใหม่ น้องเกตจะมีนิสัยอย่างหนึ่งที่ต่างจากพี่สาวคือมีความเป็นคุณหญิงคุณนายอยู่กับตัว ทำตัวเป็นเฒ่าแก่เนี๊ยตั้งแต่ยังสาว ไปช๊อบปิ้งกับเปิ้ลทีไรคนจะนึกว่าน้องเกตมากับสาวรับใช้ เกตเดินเชิดแบบคุณนายจ่ายตลาดได้แนบเนียนมาก อีกหน่อยแต่งงานออกไปคงทำหน้าที่อาซ้อใหญ่ได้อย่างไม่มีที่ติ

ลูกคนต่อมาเป็นผู้ชาย เป็นบุรุษเพศเพียงหนึ่งเดียวในจำนวนพี่น้องทั้งหมดหกคน ชื่อปอนด์แต่ผมมักชอบเรียกว่าตี๋ปอนด์ ตี๋ปอนด์หน้าตาจะเหมือนคนญี่ปุ่นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หน้าเหมือนเด็กที่โดนสารกัมมันตภาพรังสีเข้้าไปเกินขนาดแต่กำเนิด ทั้งหน้าตาและสมองจะออกแนวเป็นเด็กดาวฯ ตอนสิบสองขวบทั้งอายุสมอง การพัฒนาการจะดูอ่อนกว่าวัย จึงเป็นที่หน้าเป็นห่วงมากในวัยเด็กว่าจะเป็นไปตามกฎของเมนเดลเป็นแน่แท้ สมัยประธมปลายตลอดจนมัธยมศึกษาตอนต้น ตี๋ปอนด์จะดูเด็กกว่าวัยเป็นอย่างมาก ตอนม.2 เด็กคนอื่นเริ่มจะมีแฟนกันแล้ว บ้างก็ฝันถึงอนาคตกันแล้ว แต่ตี๋ปอนด์ยังหาเหรียญห้าบาทไปหยอดตู้แก้ว เพื่อลุ้นไข่หลากสีว่าจะได้ลูกแก้วหรือจะได้ตัวอุนต้าแมนหรือไอ้มดแดง ไปหยอดเป็นประจำ ได้ไอ้มดแดงและอุนต้าแมนและลูกแก้วมาเยอะแยะ เล่นและเก็บสะสมมาจนถึงม.3เทอมต้น เล่นจนเบื่อก็เอามาให้ผม จนตอนนี้เวลาจะผ่านมากว่าสิบปี ผมยังเก็บไอ้มดแดง อุนต้าแมน ของตี๋ปอนด์ไว้ตั้งโชว์กว่าสิบห้าตัว การเรียนก็ลุ่มๆดอนๆ ตกๆซ่อมๆ ผ่านมาได้ด้วยความขยัน เชื่อฟัง และไม่ขี้เกียจ ไม่เกเร จิตใจดี อารมณ์อ่อนไหว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รักเพื่อนฝูง เอื้อเพื้อเผื่อแผ่ ธรรมมะธรรมโม ต่นไกล้จะจมมัธยมต้น ตี๋ปอนด์เริ่มมีพัฒนาการที่ตอบสนองต่ออายุมากขึ้น รู้ว่าอยากเรียนวิศวฯ รู้ว่าต้องเรียนสายวิทย์แต่เกรดม.ต้นไม่ถึง แต่รู้ว่าต้องเรียนสายวิทย์เลยไปสอบย้ายสาย และถึงจะอ่อนหน่อยก็ย้ายสายได้ เพราะปีนั้นให้ย้ายสายได้ 50 คน แต่มีคนมาสอบย้ายสายทั้งหมด 48 คน พอขึ้น ม.ปลาย ตี๋ปอนด์เริ่มก้าวกระโดด แบบผูกขาติดกันแล้วกระโดด คือไปไม่ได้ไกลเพราะพื้นฐานอันอ่อนมาแต่เดิม แต่ตี๋ปอนด์ก็รับรู้ เข้าใจ อดทน ไม่ย่อท้อ อุสาหะ บากบั่น ต่อสู้ รู้คิด กล้าทำ เรียนสายวิทย์ถ้าเรียนเพื่อเอาไปใช้มันเรียนไม่ได้ง่ายๆเลย แต่ตี๋ปอน์ดถึงจะเป็นเด็กดาวฯเมื่อสมัยเด็กๆ แต่ก็สามารถเอาชนะปัญหาและฟันฝ่ามาได้อย่างนาอัศจรรย์ใจ ตี๋ปอนด์นอกจากจะเอาชนะกฎของเมนเดลมาได้แล้ว ยังสามารถชนะใจดวกน้อยๆของผมได้ด้วย ตี๋ปอนด์ถือเป็นมนุษย์มหัศจรรย เป็นหนึ่งในอุนตาร์แมน หนึ่งในไอ้มดแดง พอจบม.หก ตี๋ปอนด์ก็สอบได้วิศวฯในมหาวิทยาลัยของรัฐในภาคปกติ เรียนจบในสี่ปี แล้วสมัครเข้าทำงานในบริษัทญี่ปุ่นได้ ทำได้ปี่กว่าๆ บริษัทก็ส่งไปอยู่ญี่ปุ่นอีกสองปีกว่าๆ จากวัยเด็กอันอ่อนแอจวบจนถึงวัยหนุ่มอันสดใส ปัจจุบันตี้ปอนด์เป็นลูกชายที่น่าภูมิใจของพ่อแม่ เป็นพี่น้องอันผึ่งพาได้ของพี่น้อง มีแฟนน่ารัก อนาคตวันข้างหน้าก็คงเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นช้างเท้าหน้าที่ดีของครอบครัว และเป็นไอ้มดแดงในใจผมตราบชั่วกาลนาน

คนสุดท้องชื่อน้องใหม่ เป็นคนที่หก น้องใหม่เป็นเด็กผู้หญิงผอมบาง เอาความน่ารัก ความปัญญาอ่อน ความเอ๋อของพี่ๆทั้งห้ามารวมกัน ใหม่จะปัญญาอ่อนและดูเอ๋อๆแบบพุทรา เกต และปอนด์ จะจิตใตดีแบบเปิ้ล ฉลาดแกมร้ายแบบจิ๋ว และมองโลกในแง่ดีแบบพี่ๆทุกคน จะขี้งอแงตามภาษาลูกคนสุดท้อง ใหม่เรียนสายวิทย์แต่มีความเป็นเด็กศิลป์ตามธรรมชาติ ขยันเรียน ทำตัวดีและไม่สร้างปัญหา จบม.6 ก็เรียนบริหารเอแบ็ค จบมาก็ทำงานโรงแรมห้าดาวแล้วผันตัวมาเป็นแอร์ๆจวบจนบัดนี้ เป็นน้องสุดท้องที่ิผ่านชีวิตวัยเด็กมาได้ดีจนก้าวสู่ชีวิตวัยทำงาน

นี่แหละครับคือเขาเหล่านั้น พี่น้องหกคนที่ผมสรุปว่าสามารถเอาชนะกฎของเมนเดล และทำได้ดีในแบบที่แต่ละคนเป็น ต่างมีจุดต่ำสุดของตนเอง และค้นพบทางที่ค่อยๆไต่สู่จุดสูงสุดในช่วงชีวิตขาขึ้น ต่อจากนี้ช่วงชีวิตของเขาเหล่านี้จะเข้าสู่ช่วงที่สอง ช่วงแห่งการสร้างชีวิตครอบครัวของแต่ละคน ช่วงแห่งการไต่เข้าหาจุดสูงสุดของชีวิต และเตรียมพร้อมสำหรับการมาเยื่อนของช่วงขาลง ผมคิดว่าไม่ว่าก่อนถึงจุดสูงสุดในวันขาขึ้น หรือจะร่วงโรยไปเช่นใดในวันขาลง จากอดีตที่ผ่านมาพวกเขาทั้งหกก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาจะสามารถคิดและทำในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างได้อย่างดีดังเช่นที่แสดงให้เห็นแล้วในอดีต ผมคิดเช่นนั้นครับ สวัสดี...




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2557   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:14:41 น.   
Counter : 1405 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  

k.j
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]






space
space
[Add k.j's blog to your web]
space
space
space
space
space