|
|
ลูกแมวถูกทิ้ง เที่ยงวันนี้ผมแต่งตัวไปทำงานเฉื่อยๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า เตรียมกระเป๋า ทุกอริยาบทล้วนแล้วแต่เป็นไปด้วยความเฉื่อยคงที่ สุดท้ายก็รวบรวมความเชื่อมั่นให้กลับมาอีกครั้ง แล้วออกจากบ้านมาขึ้นมอเตอร์ไซด์ ไปลงสี่แยกแล้วเดินเนิบๆไปใต้ทางด่วน รอขึ้นรถเมล์ เที่ยงนี้ก็เหมือนทุกวัน รถเยอะคนเยอะดูวุ่นวาย แต่วันนี้ฝนไม่ตกถนนไม่แฉะ แต่แดดร้อน ฝุ่นเยอะ ยิ่งมาเจออารมณ์หมดอาลัยตายอยากของตัวเองเข้าให้อีก เลยยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่ ยืนรอรถเมล์เหลือบไปเห็นลูกแมวผอมๆ ตาแฉะๆ สีขาวปนน้ำตาล วิ่งไปวิ่งมาอยู่ริมถนนโดยไม่มีใครสนใจใยดี ผมคิดในใจเดี๋ยวโดนรถทับตายแน่นอน แต่ถ้าโดนทับตายต่อหน้าต่อตา ผมจะยิ่งเสียใจเข้าไปใหญ่ เลยตัดสินใจเดินไปอุ้มมันไปไว้ข้างในทางเดิน ห่างถนนพอสมควร แล้วเดินมายืนรอรถเมล์ต่อ รถเมล์ไม่มาซักที มีผู้หญิงอายุราว 22 คนหนึ่งเดินมา เธอใส่รองเท้าผ้าใบ กางเกงยีนส์ เสื้อยืด ผมยาวรวบไว้ด้วยหนังยาง ใส่แว่นหนา ดูเธอน่าจะเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด สะพายเป้มา 1 ใบ มือถือกระเป๋ามาอีก 1 ใบ เธอนั่งลงรอรถริมข้างทางใต้ทางด่วน เอาอีกแล้วลูกแมวถูกทิ้งตัวนั้น ออกมาเดินริมถนนอีกแล้ว วิ่งไปวิ่งมา รถก็วิ่งกลับรถใต้ทางด่วนมาเร็วๆทั้งนั้น ผมเห็นแล้วก็อ่อนใจเบือนหน้าหนีทำใจไม่มองมัน ซักครู่ผมอดมองมันไม่ได้ ลูกแมววิ่งไปหาผู้หญิงคนนั้น เธอเอารองเท้าเขี่ยคางมัน มันก็เกยเล่นอย่างน่าเอ็นดู เธอเล่นแมวไปรอรถเมล์ไป มันก็ดูจะชอบเธอเอามากๆ ซักพักรถเมล์ที่ผมจะไปก็มาถึงผมเดินไปขึ้น เธอก็ลุกขึ้นมาขึ้นคันเดียวกับผม ผมรอให้เธอขึ้นก่อน พอรถจอดสนิทเธอก็ก้าวขึ้น ยังไม่ทันพ้นทางขึ้น ผมขึ้นตามแล้วก็ต้องหยุดชะงักตามเธอ เธอหันกลับมามองลูกแมว มันวิ่งตามเธอมาจนเกือบถึงรถเมล์ แล้วหยุดมองเธอ ผมหันไปมองลูกแล้วตามเธอ หันกลับมาอีกทีเธอเบี่ยงตัวให้ผมขึ้นไปก่อน แล้วเธอก็ลงไปจากรถเมล์อย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งขึ้นรถเมล์มาใหม่ ในมือเธออุ้มลูกแมวตัวนั้นขึ้นมาด้วย เธอนั่งแล้วเอาลูกแมวใส่กระเป๋า ผมเห็นแล้วน้ำตาซึม หวังว่าวันหนึ่งจะมีผู้หญิงซักคน มาอุ้มชายถูกทิ้งคนนี้ไปดูแล....
Create Date : 27 มิถุนายน 2549 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:09:40 น. |
| |
Counter : 975 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
ผมเป็นศิลปิน ผมไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยว่าจริงๆแล้วตัวเองเป็นคนแบบไหน มีนิสัยยังไง มีอารมณ์ในแต่ละความรู้สึกและแสดงออกมาอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร มีความรู้สึกโกรธเกลียดหรือเปล่า ทุกๆส่วนในตัวผมรวมทั้งอารมณ์การแสดงออก ล้วนไม่สามารถควบคุมหรือทำให้มันเป็นระบบระเบียบได้ ผมเหมือนไม่มีความคงที่ทางอารมณ์ ไม่มีแบบอย่างที่ตายตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง... ลายมือผมเป็นไก่เขี่ยเหมือนลายมือเด็กปัญญาอ่อน สะกดก็ผิดๆถูกๆเป็นมาตั้งแต่เด็ก คุณครูพยายามแก้ไขผม ให้คัดลายมือมาตั้งแต่เด็กขนาดป.5-6 แล้วยังบังคับให้ผมคัดไทยอยู่เลย และให้เขียนไทยทุกวันๆละ20 คำ เขียนผิดแก้ตัวละ 20 สมุดปกแข็งผมใช้ไม่กี่วันก็หมด หมดไปกับการแก้ จนผมจบป.6 ก็ยังแก้ไม่สำเร็จทั้งลายมือและการเขียนผิด จนคุณครูอ่อนใจ แต่ผมดันมาอยากเขียนเล่าเรื่องต่างๆ จะเขียนทีไรผมไม่เคยวางโครงเรื่อง หรือทำบทย่อ หรือวางจุดหลักจุดเสริม หรือหาบทเสริมให้เรื่องมันน่าสนใจเลย และไม่กำหนดจำนวนอักษร ผมนึกได้ขึ้นมาบางทีนั่งอึอยู่ บางทีเดินอยู่ บางทีนอนอยู่ บางทีนั่งรถเมล์อยู่ นึกขึ้นมาได้เล่าให้ตัวเองฟัง แล้วกลับมาก็นั่งเขียนหน้าจอเลย เขียนตามอารมณ์ ณ ขณะที่เขียนตอนนั้นมีความรู้สึก มีอารมณ์อย่างไร มีสภาพร่างกายอย่างไรก็เขียนไปตามนั้น อย่างเรื่องนี้ผมเขียนในเช้าวันนี้ วันที่ผมอยู่ในอารมณ์เศร้าปนเหงา ฟังเพลงมาตั้งแต่เมื่อคืนต่อถึงเช้านี้ลุกขึ้นมาฟังต่อ และนึกอยากเขียนขึ้นมา ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ พอเขียนเสร็จนั่งอ่านที่ตัวเองเขียน ผมจะรู้สึกชอบและรักที่จะอ่านมันมาก ผ่านไปหลายเดือนกลับมาอ่านใหม่ ผมก็ยังตั้งใจอ่านมันทุกตัวอักษร ทั้งๆที่ผมเขียนมันเอง แต่กลับอ่านมันเหมือนไม่เคยอ่านมันมาก่อน ผมไม่เคยเรียนการเขียนไม่ใช่นักเขียนและไม่อยากเป็นนักเขียน ผมเขียนทุกอย่างด้วยอารมณ์ความรู้สึกของผม ใช้ใจเป็นตัวกำหนดคำทุกคำประโยคทุกประโยค ผมไม่ได้อยากขียนให้ใครอ่าน ผมเพียงแต่อยากเขียนและชอบที่ตัวเองชอบอ่านและเก็บไว้อ่านเอง ส่วนใครที่เข้ามาอ่านเรื่องไร้สาระต่างๆของผม ก็ขอได้อย่าตำนิความไม่ได้เรื่องของสำนวณ หรือ โครงเรื่องเลยนะครับ เพราะผมตั้งใจเขียนไว้อ่านคนเดียวครับ ผมเป็นคนชอบฟังเพลงไทยสากลมากๆ ผมฟังมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆซื้อเทปเพลงเต็มบ้านไปหมด ผมยอมอดข้าวเที่ยง 3 วันเพื่อเอาเงินไปซื้อเทป พอมี mp 3 ผมซื้อตั้งแต่แผนละ 600 บาท จนตอนนี้แผนละไม่กี่บาท ผมมีเก็บไว้เกือบครบทุกเดือนกว่า 12-15 ปี ผมฟังเพลงแบบรักที่จะฟังและมีอารมณ์ร่วมไปกับเพลง ผมจะแยกmp3ที่ผมชอบมารวมกันในซีดีต่างหาก แล้วแยกย่อยเป็นเพลงรักกับเพลงเศร้า แล้วก็ค่อยๆคัดเพลงรักที่มีดนตรีและอารมณ์คล้ายๆกันมาทำเป็นซีดีเพลงเอาไว้ฟังอีกที เพลงเศร้าก็คล้ายๆกันผมจะแยกความเศร้าในแต่ละประเภทเข้าไว้ด้วยกัน แล้วเรียงลำดับอารมณ์และดนตรีเพื่อทำออกมาเป็นซีดี ที่ผมทำทั้งหมดนั้นล้วนเอาไว้ฟังเองเท่านั้น และทุกชุดจะมีเพียง 1 แผนเท่านั้น มันจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับผม เพราะในโลกนี้มีเพียงแผ่นเดียว ผมเคยลืมไว้ที่เกาะมันนอก 2 แผ่น ผมยอมขับรถกลับไปท่าเรือเพื่อรอเรือเอาซีดีกลับมาให้ผม 2แผนนั้นผมรักมากมันเป็นเพลงรักที่ผมทำเพื่อบอกความในใจ ให้นางอันเป็นที่รักของผม ทำใหม่ผมจำอารมณ์หรือการเรียงอันดับเพลงไม่ถูกแล้ว ผมไม่เคยมีกำหนดการแน่นอน ว่าจะทำซีดีช่วงไหน เวลาใดทุกอย่างขึ้นอยู่อารมณ์และความอยากของผมทั้งสิ้น ช่วงไม่มีอารมณ์ผมไม่แม้จะมองมันเลย ช่วงอยากทำตกพื้นซักแผ่นผมยังใจหายเลย กลัวมันแตก ผมใช้ใจทำทุกแผ่นทำเสร็จมานั่งฟังผมจะชอบมากมันวิเศษและดีที่สุดในสายตาผม อีกกี่เดือนเอามาฟังใหม่ ผมก็ยังสามารถปลื้ม หรือร้องไห้ไปมันมันได้ แต่มีเรื่องไม่น่าเชื่ออย่างหนึ่งคือผมเป็นคนร้องเพลงไม่เป็น ไม่ชอบร้องเพลงเอามากๆ ไม่เคยร้องคาราโอเกะ ไม่เคยร้องเพลงเวลาไปงานอะไรทั้งสิ้น ไม่เคยร้องเพลงให้ใครฟัง ขนาดตอนม.3 โดนบังคับให้ร้องเพลงผมยังยอมโดนหักคะแนนแต่ไม่ยอมออกไปยืนร้องหน้าห้อง เสียงผมอุบาทมากมาย ร้องไม่เคยเป็นเพลงซักเพลง และเรื่องแปลกสุดๆคือ ขนาดเพลงที่ผมชอบมากๆฟังมาไม่ต่ำกว่า100-200 เที่ยวฟังซ้ำๆทั้งคืนก็มี แต่ผมจำเนื้อเพลงไม่ได้เลย ผมไม่เคยจำขึ้นใจแบบเต็มเพลงได้เลยแม้แต่เพลงเดียว ไม่สามารถท่องจำเนื้อเพลงแล้วร้องหรืออ่านเนื้อเพลงได้ในใจเลยแม้แต่เพลงเดียว ขนาดเพลงที่ชอบที่สุดอย่างรักนิรันดรของภูสมิง หน่อสวรรค์ ผมยังจำเนื้อเพลงได้แค่บางประโยคไม่เคยจำได้เต็มเพลงเลย อาจเป็นเพราะเวลาฟังผมใช้ใจฟัง ฟังไปตามอารมณ์ ฟังแล้วเหมือนเข้าไปล่องลอยอยู่ในบทเพลง ไม่ได้สนใจคนร้อง เนื้อเพลง หรือไม่ได้อยากร้องเพลงเพียงแต่อยากมีอารมณ์ร่วมกับประเด็นต่างๆในเพลงก็เท่านั้น ผมไม่ชอบวาดรูปผมเกลียดเอามากๆตอนเด็กๆเรียนทัศนศิลป์ผมให้เพื่อนทำให้ทุกงาน ไม่เคยวาดเองได้เลยซักรูป เคยลองวาดแล้วสุดห่วยเลย แต่ผมเป็นคนชอบดูภาพเขียนสีน้ำมัน ตอนไปบาหลีทั้งสองครั้ง ผมหลงใหลเกลอรี่ภาพวาดสีน้ำมันของศิลปินต่างๆที่บาหลีมาก ผมจะเข้าไปยืนดู นั่งดูและซึมซับเรื่องราวต่างๆในภาพ เก็บทุกรายละเอียด ถ้าไม่มีใครมายุ่งกับผม ผมอยู่เกลอรี่แห่งหนึ่งได้เป็นวันๆเลย ผมไม่เคยเรียนหรือศึกษาการถ่ายรูป กล้องที่ผมใช้ก็ราคาไม่ถึงหมื่น ไม่ใช่รุ่นใหม่ซื้อตอนลดราคา เวลาผมไปเที่ยวก็เลือกใช้ความละเอียดต่ำๆเพื่อประหยัดหน่วยความจำ ไม่คิดจะไปอัดอยู่แล้วถ่ายมาสะสมในคอมเท่านั้น เวลาผมไปเที่ยวผมจะถ่ายรูป 2 แบบคือถ่ายสถานที่และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสถานที่นั้นๆ ถ่ายแบบเก็บรายละเอียดไม่เน้นสวยงาม อีกแบบคือถ่ายภาพในมุมหรือลักษณะต่างๆที่ผมชอบและอยากถ่าย เช่นภาพด้านหลังของผู้หญิงสวยๆในสถานที่ต่างๆ มีคนว่าผมโรคจิต ชอบถ่ายหลังผู้หญิง แต่เปล่าเลยผมเพียงแต่คิดว่าผู้หญิงสวยๆกับสถานที่งามๆมันเป็นของคู่กัน เข้าคู่กันได้อย่างลงตัว ผมไม่ได้ทำให้เธอเสียหายด้วย มีเพียงด้านหลังที่สุภาพไม่มีอะไรวาบหวิว ผมหลีกเลี่ยงมุมต่างๆที่ทำให้คนในภาพเสียหาย เพียงแต่ขอภาพที่ลงตัวไว้ดูก็เท่านั้น ไม่มีคิดเป็นอื่นขนาดบางครั้งเธอมาคนเดียว เข้าไปคุยได้เลย ผมก็ใช่ว่าจะคุยกับใครไม่เป็น แต่ผมก็ไม่เคยทำตัวแบบนั้นเลย ถ่ายรูปแล้วก็แล้วๆกันไป มุมอื่นๆของผมก็ล้วนแล้วแต่มาจากความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองทั้งสิ้น ผมถ่ายแล้วมานั่งดูก็รู้สึกชอบทุกรูปรักทุกมุมที่ผมถ่าย งานที่ผมทำหาเลี้ยงชีพอยู่ทุกวันนี้ก็เหมือนๆกัน ผมไม่ได้อยากทำเพราะมันต้องทำหรือเพราะมันรายได้ดี ผมเริ่มต้นทำมันเพราะผมคิดว่า ผมเหมาะและรักที่จะทำ ผมรักที่จะทำมันและใช้ใจทำในทุกๆรายละเอียดของงาน ผมไม่มีการเตรียมหรือกำหนดแผนงาน หรือบางเป้าหมายให้แน่นอนในแต่ละงาน ผมจะเข้าไปสัมผัสกับพวกเราที่ผมต้องทำงานด้วย เข้าไปรับรู้ความเป็นตัวตนของทุกคน แล้วค่อยทำงานของผมไปตามที่ผมเห็นว่าเหมาะสำหรับแต่ละคน มันไม่มีวิธีหรือหลักการตายตัว ทุกกลุ่มงานต้องปรับให้เข้ากับพวกเขา แต่ละคนก็มีปัญหา มีจุดต้องปรับปรุง จุดต้องเน้นต่างกัน วิธีการที่จะใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายก็ต้องมีวิธีต่างๆกันไปตามแต่ละคน ผมจะพยายามเข้าให้ถึงแก่นลึกของแต่ละคน เข้าไปให้ลึกที่สุดแล้วมองออกมาข้างนอก แล้วนึกว่าเขามีลักษณะอย่างไร คิดและทำอะไรได้แค่ไหน และอะไรที่เหมาะสมสำหรับเขา แล้วผมจะทำงานของผมในแบบที่เขาคิด เขาทำ ไม่ใช่ผมคิดผมทำ ผมไม่เคยวางแผนหรือเตรียมเครื่องมือต่างๆที่ต้องใช้ทำงานไว้ล่วงหน้าเลย ผมจะทำไปเตรียมไป คิดไป ปรับไป ขนาดงานเดียวกันแต่ทำกับคนละกลุ่มคน ผมยังทำมันออกมาไม่เหมือนกันเลย เพียงแต่ทั้งสองงานมันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี วิธีการต่างกันไปตามกลุ่มคนแต่บรรลุเป้าหมายเดียวกัน แต่การทำงานแบบนี้ของผมมันไม่ง่ายเลย ผมต้องศึกษากลุ่มคนที่ร่วมงาน เข้าใจความเป็นตัวตนของทุกคน วางแผนสดๆ แล้วเลือกใช้เครื่องมือและวิธีการ เพื่อทำให้งานนั้นๆสำเร็จตามเป้าหมาย ต้องใช้จิตใจและสมอง สายตา ไหวพริบ และสิ่งสำคัญที่สุดคือใจ ผมทำมันได้ดีในทุกวันนี้เพราะผมรักที่จะทำมันมาก ไม่ว่าผมจะอยู่ในอารมณ์ไหนผมก็ยังแยกออก และเมื่อไหร่ที่ผมทำงานผมจะรักมันและอยากทำมันให้ดีที่สุด โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรสำคัญกว่ากลุ่มคนตรงหน้าผม ผมรักพวกเขาและทุ่มเทชีวิตจิตใจทำเพื่อพวกเขา และอยู่ข้างในพวกเขาทุกคนจนกว่างานจะบรรลุ ทุกอย่างใช้ใจทำล้วนๆเงินทองมันเป็นผลพลอยได้ เป็นเพียงเปลือกนอกถ้าผมเห็นมันสำคัญกว่าใจผม ก็ไปทำอย่างอื่นนานแล้วได้เงินเยอะกว่ามากมาย แต่ผมกลับเลือกทำในสิ่งที่ผมรัก และรักที่จะทำมัน
Create Date : 26 มิถุนายน 2549 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:09:11 น. |
| |
Counter : 815 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
รอฝันเป็นจริงในวันสิ้นหวัง |
|
รอฝันเป็นจริงในวันสิ้นหวัง เขาพบเธอครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เธออายุน้อยกว่าเขาหลายปี จากวันที่รู้จักกันทำให้มีโอกาสพูดคุยกันหลายครั้ง อาจด้วยพื้นฐานที่คล้ายๆกันทำให้ทั้งสองพูดคุยกันได้ในหลายๆเรื่อง ส่วนใหญ่เขาจะฟังเธอเล่าเรื่องส่วนตัวของเธอ ทั้งเรื่องครอบครัว ความเป็นอยู่ การเรียน เธอเล่าให้เขาฟังอย่างเปิดเผย เขาสัมผัสได้ถึงชีวิตที่ผ่านมาของเธอ ที่ต้องต่อสู้ฝ่าฟันชีวิตมาไม่น้อยตลอดวัยเด็กของเธอ เขาประทับใจและชื่นชมในความแกร่งของเธอ ที่สามารถผ่านชีวิตวัยเด็กมาได้ ทั้งที่เจอเรื่องร้ายๆมามากมาย เขาเข้าใจเธอเป็นอย่างดี เพราะชีวิตของเขาก็มีเรื่องลำบากมาไม่น้อยไปกว่าเธอเลย เขาให้คำปรึกษาเธอในเรื่องการเรียน ให้คำแนะนำให้แนวทางในแง่มุมต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางให้เธอตัดสินใจเลือกเดินในวันข้างหน้า ทั้งคู่มีความเห็นคล้ายกันเรื่องสาขาที่เธอจะเลือกเรียนต่อ โดยเธอมีความฝันที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่วนเขาทำหน้าที่สนับสนุนและชี้แนะแนวทางให้เธอเพื่อไปให้ถึงฝันนั้น ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ของเขา เขาแอบฝันไกลกว่าเธอ เขาวาดฝันให้เธอเรียนในสาขาและมหาลัยที่เธอหวังให้ได้ และจบมาทำงานสร้างฐานะด้วยตัวของเธอเอง เขาฝันอยากเห็นเธอยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเอง สร้างครอบครัวที่อบอุ่นของเธอ ความฝันที่เขาอยากเห็นส่วนใหญ่คือความฝันที่เขาเคยฝัน แต่ไม่มีโอกาสได้ทำสำเร็จ ผลสอบเข้ามาหาวิทยาลัยออกมา เธอสอบได้สาขาที่ต้องการแต่ไม่ถึงมหาวิทยาลัยที่เธอฝัน เขาบอกเธอว่าไม่เป็นไรนี่ก็ดีมากอยู่แล้ว ดีพอที่จะสร้างความฝันในขั้นต่อๆไปได้แล้ว ถ้าอยากไปให้ถึงฝันของเธอปีหน้าสู้อีกปี พอผลสอบปีต่อมาออก เธอก็ไปถึงฝันของเธอจริงๆ เธอได้เรียนสาขาและมหาลัยที่เธอฝัน ถือเป็นความสำเร็จขั้นแรกที่สดใส เขายินดีและดีใจกับเธอ และอดดีใจกับตัวเองที่เธอทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงด้วย เขารู้ว่าฝันไกลของเขาในทุกๆเรื่องมีโอกาสเป็นไปได้ และได้เห็นในอนาคตอันใกล้ จากวันนั้นถึงวันนี้เขารับรู้ว่าเธอกำลังก้าวหน้าไปอย่างมั่นคงไปที่ละขั้น ผ่านปัญหาและอุปสรรคต่างๆไปได้อย่างดี เธอโตขึ้นมีความคิดและมีความเป็นผู้ใหญ่ กล้าตัดสินใจและวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง รักความก้าวหน้า เรียนรู้โลกกว้างและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างดี ด้วยความแกร่งที่เธอสะสมมาแต่เด็ก มันทำให้เธอเอาตัวรอดและไปได้ดี เขาคิดว่าฝันไกลๆของเขามันใกล้เข้ามาแล้ว และแล้ววันนี้วันที่ฝนตก ลมแรงเขายืนอยู่เดียวดาย คนรักของเขาที่คบกันมากว่า 4 ปีได้เดินจากเขาไป เป็นความศูนย์เสียครั้งใหญ่ของเขา เพราะนี่คือความรักครั้งสุดท้ายของเขา เขาหดหู่ หมดแรง หมดกำลังใจไม่อยากคิดไม่อยากทำอะไรต่อ ไม่มีอะไรจุดประกายดวงใจเขาให้มีกำลังใจก้าวต่อไปในวันข้างหน้า ในคืนที่เขาข่มตานอนยังไงก็ไม่หลับ หัวใจเต้นแรง มือสั่น หายใจติดขัด ใจอ่อนล้าเต็มที อย่างที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ มันเจ็บปวดเกินกว่าเขาจะทนไหว ความคิดหนึ่งได้เข้ามาในสมอง เขายังมีความฝันเล็กๆอีกชิ้นที่ยังไม่ได้เห็น ความฝันที่เขาอยากเห็นน้องคนนี้ไปให้ถึงฝัน ในฝันที่เขาก็มีส่วนช่วยคิดช่วยสร้าง ถึงวันนี้เขาจะไม่มีส่วนร่วมสร้างต่อแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถรอดูความฝันนี้ให้เป็นจริง รอยินดี ดีใจ ปลื้มใจ ที่คนที่เขารักและเป็นห่วงได้ไปถึงจุดหมาย เพียงแค่นี้ก็พอแล้วที่เขาจะพยายามรวบรวมสติอีกครั้ง แบกความเจ็บปวดในครั้งนี้ติดตามไปให้ถึงวันนั้น วันที่ฝันของเขาจะเป็นจริง....
Create Date : 21 มิถุนายน 2549 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:08:46 น. |
| |
Counter : 857 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
เวลาและสายน้ำที่ไม่เคยหวนกลับ |
|
พี่เล็กเกิดที่จ.ลพบุรี ตอนเด็กๆอยู่กับยายที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง พ่อพี่เล็กติดคุกก่อนแม่พี่เล็กจะคลอดพี่เล็กราว 3 เดือน หลังคลอดออกมาไม่นานแม่พี่เล็กก็ไปทำงานที่พัทยา แล้วไม่เคยกลับไปหาพี่เล็กและยายอีกเลย ทั้งหมดนี้เป็นคำบอกเล่าจากยายทั้งสิ้น เพราะตั้งแต่เด็กจนโตพี่เล็กไม่เคยได้พบหน้าพ่อและแม่เลย ยายก็เลี้ยงพี่เล็กมาด้วยความยากลำบาก ขัดสนเรื่องเงินทองยายต้องเก็บผักไปขายแลกเงินมาซื้ออาหารเลี้ยงพี่เล็ก ตาพี่เล็กเสียไปก่อนพี่เล็กเกิดหลายปีแล้ว มีเรื่องที่จังหวัดโดนยิงตาย นี่ก็ฟังจากปากยายเช่นกัน พี่เล็กโตขึ้นอย่างตามมีตามเกิด ยายก็ดูแลได้ไม่ตลอดต้องหาเลี้ยงชีพ โรงเรียนก็ไม่ได้ไปเพราะยายไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน พี่เล็กก็เล่นอยู่แถวๆหมู่บ้าน วิ่งเล่นอยู่แถวโต๊ะสนุก ตามวงไฮโลวงตีไก่ ที่เป็นแหล่งรวมนักเลงหลายๆหมู่บ้าน คนพวกนี้ก็ให้เงินให้ขนมและอาหารให้พี่เล็กกิน เพราะเห็นที่มาวิ่งเล่นและต่างก็รู้จักตาและพ่อพี่เล็กเป็นอย่างดี ทั้งตาและพ่อพี่เล็กมีชื่อโด่งดังในหมู่นักเลง พี่เล็กได้ฟังเรื่องของ ตา และพ่อ พี่เล็กหลายเรื่องได้รู้ว่าทำไมตาโดนยิง ทำไมพ่อติดคุก ฟังไปฟังมาพี่เล็กไม่มีความรู้สึกเศร้า แต่กลับมีแต่ความโกรธแค้นกับคนที่ทำให้ตาและพ่อต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้น จนพี่เล็กอายุได้ 15 ก็เริ่มส่อแววเจริญรอยตามตาและพ่อ เริ่มเรียนรู้ทุกๆอย่างจากกลุ่มนักเลงที่คลุกคลีด้วยตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนในที่สุดพี่เล็กก็ได้เข้ากลุ่มกับโจรกลุ่มหนึ่งในละแวกนั้น พี่เล็กเริ่มงานแรกด้วยการปล้นป้ำน้ำมันแห่งหนึ่ง งานนั้นจบลงด้วยดีไม่มีคนตาย ได้เงินมาพอสมควรนี่ เป็นเงินก้อนแรกที่พี่เล็กหาได้ พี่เล็กเอาไปให้ยายบอกยายว่าต่อไปนี้ไม่ต้องลำบากแล้ว พี่เล็กจะหาเงินเลี้ยงยายเอง ยายถามว่าเงินมาจากไหน พี่เล็กโกหกยายว่ารับจ้างร้านขายของชำส่งของ แต่ยายไม่เชื่อหรอกเงินที่พี่เล็กเอามาให้มันมากกว่าที่จะได้จากงานแบบนั้น แต่ยายทำอะไรไม่ได้เลย 2-3 ปีที่ผ่านมาพี่เล็กอยู่แต่กับพวกในบ่อน ยายเคยห้ามและไม่ให้พี่เล็กไปบ่อน พี่เล็กก็ไม่ฟังและไม่สนใจคำตักเตือนของยาย งานต่อมาปล้นรถขนสินค้าก็ผ่านไปด้วยดี จนงานที่สามปล้นร้านอาหารงานนี้ เจ้าของร้านและลูกจ้างขัดขืนและมีอาวุธ และแจ้งตำรวจทันควัน ผู้ใหญ่ทั้งสามคนหนีเอาตัวรอดไปได้ แต่พี่เล็กที่อายุเพิ่ง 17 หนีไม่รอดโดนตำรวจจับได้ แล้วส่งไปบ้านเมตตาที่กรุงเทพ ยายตามไปเยี่ยมด้วยความยากลำบากได้เพียงครั้งเดียว พี่เล็กสงสารยายบอกไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวมีอะไรจะส่งข่าวไปหา พี่เล็กไม่เสียใจกับการโดนจับ ไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ศาลคดีเด็กตัดสินให้พี่เล็กฝึกอบรมในบ้านกรุณาจนถึงอายุ 24 พี่เล็กก็โดยย้ายจากบ้านเมตตาไปบ้านกรุณา ที่อยู่แถวบางนาเมื่อยายรู้เรื่องก็มาเยี่ยมด้วยความยากลำบากอีกครั้ง พี่เล็กก็บอกยายว่าไม่ต้องมาหรอกพี่เล็กอยู่ในนี้สบายดี ยายบอกด้วยน้ำตาว่ายายคิดถึง ถ้าเก็บเงินได้จะมาอีก ที่บ้านกรุณาพี่เล็กได้เรียนหนังสือ ได้ฝึกงานและได้รู้จักเพื่อนหลายคนที่มาจากต่างถิ่นต่างคดี พี่เล็กเรียนรู้อะไรอีกหลายเรื่องและเมื่ออยู่ครบ 2 ปีเริ่มก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้า ช่วยพ่อบ้านดูแลหอ และเป็นหัวหน้างานโยธา พี่เล็กมีความเป็นผู้นำเป็นขวัญใจของเด็กๆในบ้านกรุณา แต่สิ่งที่ได้รับยกย่องทุกเรื่อง ล้วนแล้วแต่เป็นทางด้านมืดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรื่องสัก เรื่องปล้น เรื่องการพนัน และความโหดและเด็ดขาด เวลามีเรื่องในบ้านกรุณา ขณะเดียวกันพี่เล็กก็เคารพและอยู่ในกฎของบ้านกรุณา และเป็นที่รักของพ่อบ้าน และขณะเดียวกันพ่อบ้านก็รู้สึกกลัวในความโหดของพี่เล็กด้วยเช่นกัน พี่เล็กอยู่จนอายุ 20 ก็ได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนด แต่ต้องมารายงานตัวทุก6เดือน พ่อบ้านกังวนเรื่องนี้กว่าใคร ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพ่อบ้านได้คุยกับพี่เล็กบ่อยครั้ง และให้คำชี้แนะพี่เล็กเสมอๆ พี่เล็กเคารพและรักพ่อบ้านมาก พี่เล็กจะเรียกว่าพ่อเสมอ สิ่งที่พ่อบ้านกังวลคือออกไปแล้วพี่เล็กจะทำอะไรได้ ญาติก็ไม่มีสักก็เต็มตัว คงหนีไม่พ้นกลับไปเข้ากลุ่มเดิมๆ พ่อบ้านก็รู้ว่าไม่มีทางเตือนพี่เล็กได้หรอก พี่เล็กมีความคิดและโตมากับสิ่งเหล่านี้ เกินกำลังที่พ่อบ้านจะช่วยอะไรได้ วันปล่อยตัวพ่อบ้านให้เงินค่ารถ หาเสื้อผ้าให้พี่เล็กเปลี่ยน และมองตามพี่เล็กไปด้วยความกังวล โดยที่พี่เล็กไม่รับรู้ถึงความหวังดีและห่วงใยนี้เลย พี่เล็กคิดแต่ว่าจะต้องทำงานหาเงินและไม่พลาดโดนจับอีก พี่เล็กกลับไปเยี่ยมยาย ยายดูแก่ลงไปมาก ยายดีใจมากที่ได้เห็นหน้าพี่เล็ก และบอกว่าที่ผ่านมามีคนเอาเงินและอาหารมาให้บ่อยๆแต่ไม่บอกว่าใคร พี่เล็กรู้ว่าพวกที่ร่วมปล้นคงเอามาให้ เป็นการตอบแทนที่พี่เล็กไม่ซักทอดใคร พี่เล็กรู้สึกซึ้งใจนักเลงเหล่านี้ที่ไม่ทิ้งยาย อันเป็นญาติคนเดียวของพี่เล็ก พี่เล็กกลับเข้ากลุ่มอีก และเริ่มออกปล้นเช่นเดิม 2-3 งานแรกผ่านไปอย่างดี มามีปัญหาเอางานต่อมาที่ปล้นร้านทอง พี่เล็กอยู่ฝ่ายระวังหลัง มีปืนพกเป็นอาวุธ คนเข้าไปปล้นทองออกมาโดดขึ้นรถจักรยานยนต์ เจ้าของร้านวิ่งออกมาเอาปืนจะยิ่ง พี่เล็กยืนอยู่ตรงมุมตึก ด้วยความตกใจและกลัวลูกพี่โดนยิง พี่เล็กเลยชักปืนยิงเจ้าของร้านตาย พี่เล็กตกใจมากเพิ่งเคยฆ่าคนเป็นครั้งแรก พี่เล็กทิ้งปืนแล้ววิ่งหนีแต่ไปไม่รอด โดนจับได้เช่นเดิมพี่เล็กไม่ซักทอดใคร ตำรวจจับพี่เล็กส่งศาล พี่เล็กอายุ 22 แล้วศาลยังทำอะไรไม่ได้ พี่เล็กต้องทันบนฑ์อยู่ที่ศาลคดีเล็กต้องส่งไปบ้านกรุณาและฝึกอบรมถึงอายุ 24 ก่อน พี่เล็กก็กลับเข้าบ้านกรุณาอีกรอบ รอบนี้ต่างกับรอบแรกพี่เล็กอายุมากกว่าเด็กคนอื่นๆที่มีอายุราว 12-16 พ่อบ้านก็ดูไม่แปลกใจที่เจอพี่เล็กอีก ให้พี่เล็กเป็นหัวหน้าหอ และหัวหน้าโยธาเช่นเดิม เช่นเดิมพี่เล็กเป็นขวัญใจของเด็กๆ ทุกคนยกย่องและกลัวพี่เล็กมาก พี่เล็กปกครองแบบเด็ดขาดแต่ยุติธรรม พี่เล็กจะคุยกับเด็กทุกคนถามว่าโดนคดีอะไรมา บางคนลักทรัพย์ บางคนวิ่งราว บางคนติดกาว บางคนซ่องโจร พี่เล็กจะด่าเด็กๆเหล่านี้เสมอว่าพวกมึงวันๆไม่ทำอะไร เอาแต่ทำเรื่องพวกนี้อยู่ในนี้ก็เรียนหนังสือ ฝึกช่างซะออกไปจะหามีอาชีพหางานทำให้เป็นเรื่องราว พี่เล็กเริ่มรู้สึกแล้วว่าตนไม่ใช่แบบอย่างที่ดีของเด็กเหล่านี้เลย ยิ่งเด็กพวกนี้เลื่อมใสพี่เล็กมากเท่าไหร่ พี่เล็กยิ่งไม่สบายใจไม่อยากให้เด็กๆเหล่านี้เจริญรอยตามตนเอง ทำไมพี่เล็กถึงคิดขึ้นมาได้ อาจมาจากคำสอนของพ่อบ้านและวัยที่ย่างเข้า 24 แล้วทำให้พี่เล็กเริ่มคิดขึ้นมาได้ พ่อบ้านยังเคยให้กำลังใจพี่เล็กเลยว่าถ้ามึงไม่มีอะไรทำมาเป็นยามที่นี่ก็ได้ พ่อบ้านจะฝากหัวหน้าให้พ่อบ้านพูดแล้วก็หัวเราะทั้งน้ำตา พักหลังๆยิ่งใกล้เวลาครบกำหนดฝึกอบรม พี่เล็กยิ่งเปลี่ยนไปในสายตาของเด็กๆ เริ่มจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนแอบสูบบุหรี่ และห้ามไม่ให้มีการสักบนหอ ห้ามเล่นการพนันทุกชนิด และอบรมสั่งสอนเรื่องการทำตัวแก่เด็กๆ เด็กบางคนซุบซิบกันว่า คิดไงมาสั่งสอนทีตัวเองยังเป็นถึงขนาดนี้เลย พี่เล็กก็รู้และเจ็บปวดพี่เล็กจะด่าหรือสั่งสอนใครทีไร พี่เล็กจะพูดได้ไม่เต็มปากและเจ็บปวดใจทุกครั้ง เมื่อนึกถึงตนเอง แต่พี่เล็กก็ต้องทำเพราะพี่เล็กเดินกลับไปแก้อดีตตัวเองไม่ได้แล้ว มีแต่อนาคตที่มืดมนเท่านั้นคอยพี่เล็กอยู่ แต่เด็กๆพวกนี้ทำผิดกันแค่เล็กๆน้อยๆยังพอแก้ไขและกลับมามีอนาคตที่ดีได้ พ่อบ้านก็เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยความเศร้าและเจ็บปวดไม่น้อยกว่าพี่เล็ก อีก 7 วันครบกำหนดปล่อยตัว เด็กๆทุกคนในบ้านกรุณาต่างจัดกลุ่มฉลองให้พี่เล็ก เอาของกินที่ญาตินำมาเยี่ยมให้พี่เล็ก ต่างหาเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมมาให้พี่เล็ก และทุกคนเริ่มเข้าใจที่พี่เล็กสั่งสอน และรักพี่เล็กมากขึ้นก่ายกอง และต่างหวังว่าออกไปแล้วจะได้ไปเยี่ยมเยียนพี่เล็กที่บ้านบ้าง ไม่มีใครรู้อนาคตอันมืดเลยนอกจากพี่เล็กและพ่อบ้าน จนคืนก่อนปล่อยตัว ทุกคนขอพ่อบ้านเลี้ยงฉลองให้พี่เล็กบนหอ ทุกคนแปลกใจในท่าทีของพ่อบ้านที่อนุญาตด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง ทุกคนไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อบ้านไม่ดีใจที่พรุ่งนี้พี่เล็กจะพ้นโทรแล้ว พ่อบ้านถามพี่เล็กว่ามึงจะไม่บอกอะไรพวกเด็กๆหน่อยเหรอ พี่เล็กบอกผมคิดไว้แล้วผมจะคุยกับพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ว่าแล้วพี่เล็กก็เข้าหอไปและเรียกทุกคนมานั่งเรียงแถวกัน พี่เล็กยืนพูด....พี่ขอบใจในความรักที่พวกเรามอบให้พี่ พี่เกิดมาไม่มีพ่อ-แม่ อยู่กับยาย ไม่มีความรักความอบอุ่น จนมาถึงคืนนี้ที่มีพ่อบ้านและพวกเราเป็นความอบอุ่นของพี่ พี่ทำสิ่งต่างๆมามากในวันนี้พี่กล้าพูดแบบลูกผู้ชายว่าทุกสิ่งที่พี่ทำมามันผิด ถ้าย้อนกลับไปได้พี่จะไม่ทำแบบนั้น พี่จะเรียนหนังสือและหางานทำอย่างถูกกฏหมาย เป็นคนดีของสังคมไม่เป็นอย่างที่พวกเราเห็นอยู่ในขณะนี้ ส่วนพวกเราทุกคนมีพ่อ-แม่ และมีครอบครัวถึงมันจะไม่สมบูรณ์นักก็ขอให้แก้ปัญหาต่างๆให้ได้อย่างมีสติ ไม่หันไปหาหรือคิดทำในสิ่งที่ไม่ดี อย่างน้อยเมื่อเรามาอยู่ในบ้านกรุณาเราก็ได้รับการอบรมสังสอนในหลายๆเรื่อง พี่เองก็เริ่มสำนึกและเริ่มแก้ตัวใหม่ตั้งแต่เข้ามาในรอบนี้ มันอาจสายไปแต่พี่ก็คิดว่าดีกว่าไม่เริ่มเลย และพอปล่อยตัวออกไปพี่จะเป็นคนดีของสังคม หางานสุจริตทำไม่ไปทำสิ่งที่ไม่ดีอีก หวังว่าพวกเราจะเข้าใจและเอาอย่างพี่ ไม่ทำแบบที่พี่เคยทำมาในอดีต ขอบใจและลาก่อนทุกคน.....พูดจบเด็กทุกคนตบมือและโห่ร้องให้พี่เล็ก แต่ต่างเข้ามาขอจับมือพี่เล็ก บางคนตะโกนบอกว่า ออกไปผมจะเป็นคนดีครับพี่ผมสัญญา พ่อบ้านนั่งฟังด้วยน้ำตาอยู่ข้างนอก พ่อบ้านร้องให้ทั้งดีใจและเสียใจ เป็นครั้งแรกที่พ่อบ้านเจ็บใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ในเรื่องนี้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามเวลาและกระแสน้ำ เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของพ่อบ้านดังขึ้น นี่เพิ่งตีห้าเองทำไมเร็วนัก ปลายสายเป็นเสียงของหัวหน้าผู้คุมบอกว่าได้เวลาแล้ว เดี๋ยวเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธจะขึ้นไปบนหอ ขอให้พ่อบ้านเตรียมสั่งให้เด็กทุกคนนอนหลับตา ห้ามลุกจากที่นอน พ่อบ้านตอบกลับไปด้วยความโมโหว่า ไม่ต้องทำกับลูกผมถึงขนาดนั้น ไม่ต้องส่งใครขึ้นมาเดี๋ยวจะพาตัวไปส่งเอง มีอะไรพ่อบ้านจะรับผิดชอบทุกอย่าง อย่าทำร้ายจิตใจกันไปกว่านี้เลย พอบ้านรู้ว่ามันเป็นระเบียบปกติของสถานพินิจ แต่พ่อบ้านก็คิดว่าถ้าจะมีอะไรทำเพื่อลูกคนนี้ได้ซักครั้งก็อยากทำ พี่เล็กก็รู้ว่าเสียงโทรศัพท์เสียงนั้นคือสัญญาณว่าได้เวลาแล้ว พี่เล็กก็ยิ้มบอกลาเด็กๆทุกคน แล้วเดินไปที่ประตูหอ พ่อบ้านเปิดประตูให้พี่เล็กออกไป ทั้งสองต่างไม่พูดอะไรเพียงมองสบตากัน แล้วเดินลงหอไปเดินไปที่ประตูบ้านกรุณาเซ็นเอกสารปล่อยตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรับของมีค่าเป็นอันจบพิธีการปล่อยตัว พี่เล็กก้มลงกราบพ่อบ้านเป็นครั้งสุดท้าย แล้วบอกพ่อบ้านว่า...พ่อผมสัญญาชาติหน้าผมจะเป็นคนดี พ่อให้อภัยผมด้วยนะผมไม่ได้อยากฆ่าคนเลย ทุกวันนี้เมื่อผมหลับผมยังฝันร้ายทุกคืน พ่อบ้านตอบทั้งน้ำตาว่า..พ่อเข้าใจใครจะสาปแช่งเล็กยังไง ขอให้รู้ไว้มีพ่อคนหนึ่งที่เข้าใจเล็ก เล็กไม่ผิดหรอกสังคมเราต่างหากละที่โหดร้าย ปล่อยเด็กคนหนึ่งให้เกิดมาแล้วไม่รับผิดชอบ ไปเถอะถึงวันข้างหน้าจะหนักแต่ก็ต้องสู้ต่อไป พี่เล็กก็เดินออกมาจากประตูชั้นในยังไม่ทันพ้นขอบประตู ตำรวจ 4 นายพร้อมอาวุธครบมือเข้ามาล๊อกคอใส่กุญแจมือ และจับพี่เล็กใส่รถตำรวจไป แล้วนำเอกสารมาให้พ่อบ้านเซ็น พ่อบ้านรับด้วยน้ำตา ตำรวจผู้นั้นถามพ่อบ้านแบบงงๆว่า คุณไปสงสารอะไรโจรห้าร้อยเลวๆพันนั้น แค่คนเลวๆอีกคนไปอยู่ในที่สมควรจะอยู่ก็สมควรแล้ว พ่อบ้านไม่ตอบและไม่สนใจกับคำด่าทอนั้น ส่งเอกสารคือตำรวจแล้วจากไป พี่เล็กอยู่บนรถตำรวจมองบ้านกรุณาเป็นครั้งสุดท้าย รถวิ่งออกมาติดไฟฟ้าที่สี่แยกไฟแดง พร้อมๆกับที่ยายลงจากรถบัส ยายได้จนหมายจากฝ่ายสงเคราะห์ว่าพี่เล็กปล่อยตัววันนี้ ยายดีใจเก็บเงินและตั้งหน้าตั้งตารอวันนี้วันที่จะมารับพี่เล็กกับบ้าน ยายไม่รู้ว่าตำรวจได้อายัดตัวพี่เล็กไปดำเนินคดี ปล้น และเจตนาฆ่า พี่เล็กไม่เห็นยาย ยายก็แก่เกินกว่าจะมองเห็นรถตำรวจที่จอดติดไฟแดง จบแล้วพี่เล็ก วันเวลาและกระแสน้ำไม่เคยหวนกลับหรอกพี่เล็ก.......
หมายเหตุ...พี่เล็กติดคุกที่เรือนจำบางขวาง สู้คดีกว่า 3 ปี สุดท้ายศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต และถูกส่งไปที่เรือนจำราดยาว ติดคุกต่อมาได้ 5 ปี สุดท้ายโดนแทงเสียชีวิตที่ราดยาว หวังว่าทุกคนคงอโหสิให้กับการกระทำที่ผ่านๆมาของพี่เล็ก
Create Date : 18 มิถุนายน 2549 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:08:20 น. |
| |
Counter : 773 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
อาม่า อาม่าเป็นคนจีนมาจากแผนดินใหญ่รุ่นแรกๆ อาม่าแต่งงานและขายข้าวหมูแดง มีลูกทั้งหมด 8 คน ผู้ชาย 2 ผู้หญิง 6 อาม่าเป็นจนเชื้อสายจีนที่มาอยู่ในเมืองไทยแบบรุ่นบุกเบิก มีความเป็นจีนแท้คือขยัน อดทน ขี้เหนียว พูดจาเสียงดัง พูดไทยไม่ชัด อ่านภาษาไทยไม่ออก ผมเจออาม่าครั้งแรกราวปี 2526 ไปกินข้าวหมูแดงอันแสนจะอร่อย ในร้านตึกแถวเก่าๆที่ไม่ได้รับการปรับปรุง และอาม่าก็ไม่คิดจะปรับปรุง ผมรู้จักกับลูกสาวอาม่า2-3 คนเลยทำให้คุ้นเคยกับอาม่า อาม่าจะเรียกผมว่าอาตี๋ ซึ่งไม่มีใครเรียกผมแบบนี้นอกจากอาม่า อาม่าแกเอ็นดูผมเจอผมทีไรแกจะส่งสายตาและรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเมตตาแบบจีนๆ อาม่าขยันขันแข็งทำงานตัวเป็นเกลียว เลี้ยงลูกถึง8 คน อาม่าจะเลี้ยงลูกสาวแบบคนจีนโบราณ อาม่าสอนทุกคนต้องขยัน ทำงานหนักต้องรู้จักอดทน การเรียนหนังสือไม่สำคัญเท่าต้องทำมาหาเลี้ยงครอบครัว เรียนก็เรียนได้ แต่งานต้องมาก่อน ทุกคนต้องช่วยกันขายของจนถึงเวลาอันควรที่จะมีคนมาสู่ขอแต่งงานออกไป แต่ตอนอยู่รวมกันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทำมาหากิน ไม่เรียนไม่เป็นไรแต่ไม่มีกินจะพากันอดตายหมด อาม่าสอนลูกสาวทุกคนว่า โตขึ้นต้องแต่งงานออกและเป็นแม่บ้านที่รักใคร่ของแม่สามี ทำงานบ้านอย่าให้ขาดตกบกพร่อง และต้องอยู่ในโอวาทของสามีทำหน้าที่แค่ที่ผู้หญิงควรจะทำ คือทำงานบ้าน เลี้ยงลูกและดูแลคนในครอบครัวของสามี ด้วยความอดทน อาม่าสอนลูกแบบนี้ ตอนผมเจออาม่า ลูกสาวแกแต่งออกไปแล้ว 3 คน อาม่าเล่าให้ฟังว่าได้สามีดี 2 คน อีกคนไม่ไหวมีแต่ปัญหามาให้อาม่าปวดหัวเสมอ ส่วนลูกสาวอีก 3 คนก็ยังอยู่กับอาม่ารวมทั้งลูกชาย 2 คนด้วย อาม่าก็ยังเลี้ยงลูกสาวที่เหลือแบบเดิม ให้ทำงานขายข้าวหมูแดง ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ทุกวัน เรียนหนังสือแกก็ไม่ห้ามแต่แกสั่งเด็ดขาดว่างานต้องไม่เสีย เช่นเดิมคือเรียนหรือไม่ไม่สำคัญขอให้ทำงานเป็น และเตรียมเป็นแม่บ้านที่ดีในบ้านสามีเป็นใช้ได้ อาม่าตาแหลมแกจะเลือกลูกเขยคนจีนแท้ๆให้ลูกสาวแกแต่ละคนได้ดี อาม่าเน้นครอบครัวคนจีน และแกเลือกที่เห็นว่าเหมาะกับลูกสาวแก สำคัญคืออาม่ามั่นใจในการเข้มงวดและการสอนสั่งลูกสาวทุกคนมาตั้งแต่เด็ก ว่าสามารถเป็นแม่บ้านที่ดีไม่ทำให้แม่สามีตำนิเอาได้ คนอื่นจะมองว่าอาม่าลำเอียงไม่ชอบลูกสาว ให้ทำแต่งาน ไม่ส่งเสริมการเรียน ให้เงินใช้แค่พอตัว และดุด่าว่ากล่าวลูกสาวแรงๆ อาม่าก็ไม่สนแกมั่นใจในสิ่งที่แกทำ ส่วนเจ้าลูกชาย 2 คนนั้นอาม่าไม่มีปัญญาสั่งสอน อาม่าเลี้ยงลูกชายไม่เป็น เอาแต่ตามใจและไม่ดุด่าว่ากล่าวจนทั้งสองคนไม่เป็นโล้เป็นพาย อาม่าไม่เก่งเรื่องเลี้ยงลูกชาย พอราวปี2532 สามีแกก็จากไป อีกไม่กี่ปีลูกสาวทั้ง 5 ก็แต่งงานออกไปหมด อีกคนไม่ได้แต่งก็ออกไปทำงานนอกบ้าน เหลือเพียงอาม่าและลูกชาย 2 คน ที่เป็นภาระให้อาม่ายังต้องขายข้าวหมูแดง ในวัยย่าง 70 พักหลังๆผมเจออาม่าไม่บ่อย เดินผ่านก็แวะไปนั่งคุยกับแกบ้าง แกบ่นหมู่นี้ขายไม่ค่อยดี คนไม่เข้าร้านแต่ไม่อยากหยุดขายหยุดแล้วเหงา และถามว่า...อาตี๋สบายดีอ๊ะเปล่า กินข้าวไม๊เดี๋ยวอาม่าทำให้ .... อาม่าก็ยังเรียกผมในแบบที่แกเรียกมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ จริงๆแล้วอาม่าน่าจะพักผ่อนสบายๆได้แล้ว ลูกสาวทั้ง 6 ก็มีครอบครัวสบายดีทั้งหมดแล้ว แต่ที่อาม่ายังต้องการขายเพราะอาม่ารักและภูมิใจในร้านข้าวหมูแดงร้านนี้ ที่ทำให้ลูกๆของแกทุกคนมีกินและโตมาได้จนเดี๋ยวนี้ และอีกเรื่องคือแกห่วงเจ้าลูกชายที่ไม่เป็นเรื่องจะไม่มีข้าวกิน จะอดตาย และแกรู้สึกผิดที่เลี้ยงลูกชายไม่เป็น ทำให้ไม่มีอาชีพอะไรเป็นเรื่องเป็นราวทำ อาม่าเลยรับผิดชอบต่อไปทั้งๆที่แกเริ่มจะอ่อนแรงลงทุก จนพักหลังๆบางวันร้านก็ไม่เปิด หรือเปิดก็ไม่มีคนเข้า เดินผ่านทีไรผมต้องมองเข้าไปในซอยหาอาม่า ด้วยความกังวลและเป็นห่วงแกทุกครั้ง อาม่าไม่อยากไปอยู่เป็นภาระของลูกสาวคนใดคนหนึ่ง และแกถือว่าคนจีนเขาถือแม่ต้องอยู่กับลูกชาย จะไปอาศัยอยู่กับครอบครัวลูกสาวไม่ได้ อาม่ายึดมั่นแบบนี้ จนมาวันหนึ่งอาม่าต้องฝืนสังขารขึ้นมาทำอาหารทำบุญให้สามี พรุ่งนี้จะครบวันที่สามีจากไป แกเลยทำอาหารในวันนี้ ด้วยการที่ไม่ค่อยได้เปิดร้านในช่วงนี้ ร่างกายแกเลยไม่พร้อมทำอาหารแล้วเป็นลมล้มไป ผมได้ข่าวว่าอาม่าอยู่ห้องไอซียู อาการไม่ดี ผมไม่ได้เป็นญาติและไม่ได้ขอลูกสาวแกซักคน แต่ผมได้ข่าวนี้ก็รู้สึกใจหายและกังวลอย่างมาก อาม่าเหมือนแบบอย่างที่ผมยึดมาศึกษาตลอดเวลาที่รู้จักแก อาม่าเหมือนตัวแทนของอะไรซักอย่างที่อยู่ในใจผมเสมอมา ซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก นี่อาม่าจะมาจากผมไปอีกคนแล้วหรือ นับวันเสาหลักที่ค้ำจุนชีวิตผมไว้จะค่อยๆจากผมไป อย่างอาม่าที่แม้หลังๆจะไม่ค่อยได้เจอ แต่ผมเชื่อว่าแกมีจิตใจที่ดีๆให้ผมเสมอ นับวันผมยิ่งจะโดดเดี่ยวมากขึ้น จากการศูนย์เสียสิ่งดีๆในจิตใจไปทีละน้อย ถ้าแม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงผมจะทำเช่นเดียวกับอาม่าคือส่งจิตใจอันเต็มไปด้วยความศรัทธาและเคารพไปช่วยให้อาม่าจงอยู่เป็นเสาค้ำยันผมต่อไป......แด่อาม่าผู้หญิงแกร่ง
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2549 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:07:52 น. |
| |
Counter : 824 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|