|
โจ้ กุลสตรีไทยผู้มีจิตใจอันอบอุ่น |
|
โจ้ กุลสตรีไทยผู้มีจิตใจอันอบอุ่น นี่ก็ยังเป็นความรักในวัยเด็ก ในวัยที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ ความรักในวัยนั้นก็คือการเป็นเพื่อนที่สนิท และมีความอบอุ่นสบายใจ ไม่มีอะไรให้เสียหาย มีเพียงความทรงจำดีๆติดมาจนถึงวันนี้ วันที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป และไม่มีเส้นทางชีวิตเกี่ยวข้องกัน มีคนเคยพูดไว้ว่า ...คนเราอย่าจริงจังอะไรกันมากนัก คบกันเดี๋ยวเดียวก็ต้องจากกันไป สำคัญตอนคบกันต้องมีความจริงใจต่อกัน
คำพูดนี้น่าจะเป็นจริง และความรักแบบเด็กๆของเราก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากที่ห่างๆกับตุ๊กไป ยังเหลือเวลาอีก 1 ปีจะจบชั้นประถม ช่วงนี้เริ่มต้องเตรียมตัวสอบเข้ามัธยม และงานในโรงเรียนก็ถึงจุดอิ่มตัว ไม่มีอะไรท้าทายหรือน่าสนใจอีกต่อไปแล้ว เริ่มเล่นกีฬาเยอะขึ้น เล่นฟุตบอลทุกครั้งที่ว่าง ส่วนเวลาในห้องเรียนหลังจากแยกกลุ่มกับตุ๊ก ห้องมันก็เล็กนิดเดียวนักเรียนก็แค่ 50 คน แต่เหมือนเราอยู่ห่างกันไกล ผมเป็นหัวหน้าห้องก็ต้องคุยกับทุกกลุ่ม แต่ห่างๆกับกลุ่มตุ๊กไปมาก ช่วงนั้นพออยู่นอกห้องผมจะเล่นฟุตบอล พอต้องอยู่ในห้องเรียน ชั่วโมงไหนคุณครูให้อ่านหนังสือ หรืออยู่กันเอง ผมจะมานั่งคุยกับกลุ่มของโจ้ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมากจะคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ค่อยได้คุยกับโจ้ เพราะโจ้ สูง 160 ซม ผมยาว ตาโต ยิ้มหวาน พูดน้อย ขี้อาย เรียบร้อย ไม่ชอบเป็นผู้นำ ไม่ออกความคิดเห็น แต่เป็นผู้ช่วยทำงานอยู่เงียบๆ และเก็บรายละเอียดงานได้ดี ฉลาด นิ่ง ผมเพิ่งสังเกตเห็นโจ้จริงๆจังๆก็ตอนนี้นี่เอง เวลาคุยกับกลุ่มเธอ โจ้จะเป็นผู้ฟังที่ดี มีรอยยิ้มที่อบอุ่น มีแววตาที่เข้าใจและมักจะแสดงความคิดเห็นออกมาทางแววตา ครอบครัวโจ้เป็นคนไทยแท้ๆ คุณตา-คุณยาย คุณพ่อ-คุณแม่ ล้วนเป็นข้าราชการในแบบวิถีไทยๆ บ้านโจ้อยู่ใกล้โรงเรียนอยู่ในย่านคนไทยโบราณที่อยู่ต่อกันมาหลายชั่วอายุคน โจ้จึงเป็นหญิงไทยแท้ๆ มีความเป็นกุลสตรี แรกๆคุยกันผมก็ไม่ค่อยสนใจอะไรโจ้มากนัก เพราะไม่ใช่ผู้หญิงในแบบที่ผมชอบ ต่างกับตุ๊กคนละเรื่องคนละราว และได้คุยกันจริงๆในแต่ละวันแทบนับประโยคได้ ความสัมพันธ์ของเรางอกงามขึ้นมาได้จากตรงไหน ผมว่าไม่มีใครทายถูกหรอกเชื่อผมสิ เรื่องเริ่มจากวันหนึ่งเราก็นั่งคุยกันเป็นกลุ่ม 5-6 คน ตามปกติเช่นเดิมโจ้พูดน้อยมาก ก่อนพักเที่ยงจะแยกย้ายกันไปกินข้าว ตอนลุกขึ้นแยกย้ายกันไป โจ้ส่งหนังสือที่ยืมผมไปเมื่อวานคืนให้ผม ผมก็รับมาแล้วไม่ได้เปิดดู เอากลับไปใส่กระเป๋านักเรียน กลับมาถึงบ้านเอาหนังสือมาทำการบ้าน เปิดดูก็เจอจดหมายผมเปิดอ่าน เป็นจดหมายที่โจ้เขียนถึงผม ข้อความไม่มีอะไรเป็นเรื่องเสียหายหรือไม่ดีเลย เป็นการเขียนเล่าหรือเขียนเหมือนคุยกัน อ่านไปเหมือนเรากำลังคุยกันอยู่ทางตัวหนังสือ ผมแปลกใจที่ได้รับจดหมายจากโจ้ ไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้น อ่านไปแบบเหมือนคุยกัน ผมอ่านเสร็จก็เขียนตอบไป ซึ่งก็เขียนเหมือนเราคุยกันธรรมดาๆนี่เอง ไม่มีเรื่องเสียหายหรือเรื่องการแสดงความชอบพอในข้อความที่ผมเขียนไป ลายมือผมเท่านั้นที่เป็นปัญหา และการสะกดคำก็ผิดซะเยอะ วันรุ่งขึ้นผมก็หาจังหวะส่งจดหมายให้เธอ อีก 2-3 วัน เธอก็ส่งจดหมายฉบับต่อมาให้ผม ทำให้เราได้คุยกันได้รู้จักกันมากขึ้น ได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมา และชีวิตประจำวันของต่างคน ต่อหน้าคนอื่นเราคุยกันนับประโยคได้เช่นเดิม และไม่มีทีท่าว่าจะสนิทกันมากกว่าเดิมเลย มีเพียงตอนเที่ยงบังเอิญกินข้าวโต๊ะเดียวกันบ่อยกว่าเมื่อก่อน นอกนั้นแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วเราเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ต่างก็รับรู้เรื่องราวของกันมากมาย เมื่อก่อนโทรศัพท์เป็นเรื่องไกลตัว โทรศัพท์บ้านมีแล้วแต่บ้านโจ้ดุทั้งบ้าน ทั้งพี่สาว-แม่-ป้า-ยาย ล้วนดุทั้งครอบครัว เรื่องโทรคุยกันแบบเด็กสมัยนี้ไม่ต้องพูดถึง เราก็ไม่มีปัญหาเขียนจดหมายคุยกันอย่างต่อเนื่อง จนเราสนิทกันแบบที่คนอื่นๆเริ่มมองออก ว่าคู่นี้ทำไมมันดูเหมือนเข้าใจกันเป็นปี่เป็นขุ่ย โจ้ต่างกับตุ๊กมาก ผมจะรู้สึกชื่นชม ศรัทธา และเชื่อมั่น เชื่อถือในตัวตุ๊ก และเธอยังน่ารักแบบหมวยๆในแบบที่ผมชอบ และน่ารักทุกครั้งที่มอง ส่วนโจ้ผมจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ มีคนค่อยขัดเกลาความคิด หรืองานที่ผมริเริ่ม รู้สึกเบาใจที่จะมีคนฉลาด ละเอียดถี่ถ้วนคอยจัดการสิ่งต่างๆให้ มองโจ้ทุกครั้งจะเห็นใบหน้าที่สวย ตาโต ยิ้มที่จริงใจอบอุ่น ทำให้สบายใจ เราคุยกันทางจดหมายกว่า 9 เดือนจนเราเชื่อมั่นว่านี่คือความรักในวัยเด็กของเรา ความรักที่จริงใจ ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่มีเรื่องไม่ดีเข้ามาเกี่ยวข้อง มีแต่จิตใจดีๆต่อกัน จนเราเรียนจบก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง ผมย้ายไปอยู่บ้านลุงอันไกลแสนไกล ชีวิตพลิกผันมากมาย เราห่างกันแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย นานๆเจอกันทีแต่ผมเชื่อมั่นว่าโจ้จะมีความจริงใจ ความอบอุ่น ความรักให้ผมเสมอ ในยามที่ผมมีปัญหาโจ้จะเป็นห่วงผมเสมอ เรื่องนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงในอีก 2 ปีต่อมา เรายังเป็นเรา ที่รักกันด้วยใจจริง แต่ห่างไกลกันตามคำพูดที่มีคนเคยพูดไว้ว่า...คนเราอย่าจริงจังอะไรกันมากนัก คบกันเดี๋ยวเดียวก็ต้องจากกันไป สำคัญตอนคบกันต้องมีความจริงใจต่อกัน
แด่ รัชยา อุดรพิมพ์ กุลสตรีไทยผู้มีจิตใจอันอบอุ่น
Create Date : 07 สิงหาคม 2551 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:12:13 น. |
| |
Counter : 917 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
ส้มโอเป็นลูกรักของพ่อ พ่อตามใจและเอาใจส้มโอมาแต่เด็ก ส้มโอเป็นคนตัวเล็ก ผมสั้น ผิวคล้ำ หน้าหยิ่งๆ เชิดๆ เจ้าอารมณ์เล็กๆ เอาแต่ใจตัวเองเป็นบางครั้ง แต่เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ทำงานเก่งและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ส้มโอเจอแฟนคนนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่ง ผู้ชายคนนี้หน้าตาดี พูดจาเปิดเผยและเป็นผู้ชายน่ารักในสายตาของสาวๆรวมทั้งส้มโอด้วย ตั้งแต่เธอตกลงปลงใจกับเขา ดูเหมือนโลกทั้งใบ ส้มโอจะมีเขาเพียงคนเดียว เมื่อคบกันปีแรกแฟนของเธอก็พยายามทุกวิถีทางที่จะเอาชนะใจเธอ ไม่นานทั้งคู่ก็เป็นแฟนกัน ส้มโอตัดสินใจง่ายดาย อาจเป็นเพราะเขาคือคนที่ใช่สำหรับเธอ ส้มโอตกหลุมรักชายคนนี้ เขาเป็นคนที่ใช่ของส้มโอทุกประการ เป็นหนุ่มหน้าตาดี สำอางค์ ขี้เล่น จริงใจ เปิดเผย คุยสนุก โรแมนติก มีหลากอารมณ์ เมื่อความรักเกิดข้อเสียต่างๆก็ถูกมองข้ามไปเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องเจ้าอารมณ์ ขี้โมโห เอาแต่ใจตัวเอง เจ้าชู้ ส้มโอล้วนรับได้หมด
สมัยเรียนมหาลัยเพื่อนสนิทส้มโอเคยเตือนเธอเรื่อง ทำไมแฟนส้มโอถึงเจ้าอารมณ์กับเธอถึงขนาดนั้น เตือนบ่อยๆเข้าส้มโอก็แก้ตัวแทนและพาลโกรธคนที่เตือนเธอ จนเพื่อนๆเอือมส้มโอไปตามๆกัน พอใกล้จบก็มีเรื่องแฟนส้มโอไปควงสาวอื่นให้เพื่อนๆได้เห็น เพื่อนๆก็บอกส้มโอด้วยความหวังดี แทนที่ส้มโอจะขอบใจเพื่อน ส้มโอกลับเชื่อแฟนเธอว่าไม่มีอะไร ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นน้องเฉยๆ แล้วมาแก้ตัวแทนแฟนเธอ และพูดให้เพื่อนเสียใจเล็กๆเรื่องเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าให้ส้มโอฟัง จนเพื่อนๆงงไปตามๆกันว่าอะไรจะขนาดนั้น ส้มโอไม่สนใจเสียงรอบข้าง แค่แฟนเธอเอาใจและให้เวลาส้มโอตามที่เธอต้องการส้มโอก็พอใจแล้ว
พอจบมาส้มโอก็ทำงาน แฟนส้มโอก็ไปเรียนต่ออเมริกา ส้มโอก็ตั้งหน้าตั้งตารอแฟนกลับมาโดยไม่สนใจผู้ชายคนอื่นเลย ทำตัวคงเส้นคงวาตลอดช่วงเวลากว่าสองปีที่แฟนไปเรียนเมืองนอก แฟนเธอต่างหากกลับมีเรื่องแว่วมาเข้าหูส้มโออยู่บ่อยๆว่าควงสาวอื่น แต่ส้มโอก็ไม่สนใจแฟนเธอพูดไงเธอก็เชื่อตามนั้น พอแฟนส้มโอกลับมาก็มาทำงานที่เดียวกับส้มโอ ช่วงนั้นส้มโอมีความสุขมากๆ ได้ทำงานที่เดียวกับคนที่ใช่ ทั้งคู่ก็เปิดเผยเป็นแฟนกัน ส้มโอก็เอาใจเขาทุกอย่าง ส่วนแฟนเธอก็เหมือนเดิม น่ารัก สำอางค์ ขี้เล่น จริงใจ เปิดเผย คุยสนุก โรแมนติก มีหลากอารมณ์ เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห เอาแต่ใจตัวเอง เจ้าชู้ คู่นี้คบกันแบบที่ทำให้คนรอบข้างเห็นแล้วรู้สึกขัดๆตา ส้มโอดีกับแฟนเธอมากๆ แต่แฟนเธอกลับไม่ค่อยรักษาน้ำใจเธอ และมีเรื่องผู้หญิงอื่นให้เพื่อนๆที่ทำงานของส้มโอได้เห็นเสมอ แรกๆเพื่อนๆก็เตือนส้มโอด้วยความหวังดี เหมือนเพื่อนตอนเรียนมหาลัย แต่ผลที่ได้คือส้มโอจะแก้ตัวแทน และแสดงความไม่พอใจคนที่เอาเรื่องเหล่านี้มาเล่า จนทุกคนงงไปตามๆกัน ส้มโอไม่สนใจเสียงรอบข้าง เธอสนใจและเชื่อมั่นเพียงชายตรงหน้า คนที่เธอคิดว่าใช่เพียงคนเดียวเท่านั้น เธอทำทุกอย่างเพื่อคนที่เธอรัก ขนาดตอนแฟนเธอเรียนโทไปทำงานไป วิชาไหนยากๆเรียนไม่รู้เรื่องเธอก็เอาหนังสือมาอ่านและติวให้เขาไปสอบ และช่วยแฟนเธอทำรายงานส่งเสมอๆ ไม่ได้เพิ่งมาทำตอนแฟนเธอเรียนโท เธอทุ่มเทช่วยเขาแบบนี้มาตั้งแต่เรียนป.ตรี นอกจากเรื่องเรียนเธอก็ตามใจแฟนเธอทุกอย่าง รักและเอาใจใส่ หวังดีคอยเป็นห่วง ทำทุกอย่างที่เขาต้องการ และเชื่อคำแก้ตัวในทุกเรื่องที่ได้ยินมาหรือจับได้ด้วยตนเอง เกี่ยวกับผู้หญิงอื่นที่เขาไปยุ่งเกี่ยว ขนาดคนที่แฟนเธอคบด้วยนานสุดพอเธอจับได้ด้วยตัวเอง แทนที่เธอจะโทษแฟนเธอ ส้มโอกลับโทษผู้หญิงคนนั้นว่ามายุ่งกับแฟนเธอเอง รู้ว่าผู้ชายมีแฟนแล้วยังจะมายุ่งกับเขาอีก ส้มโอบอกผมแบบนั้น
พอแฟนเธอจบโทก็เปลี่ยนที่ทำงาน ทำให้ส้มโอเหงาไปถนัดตา มาถึงตอนนี้ส้มโอก็อายุ 27 แล้วใกล้จะถึงเวลาที่จะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว คุณพ่อที่รักและตามใจส้มโอมาตลอด และคนอื่นๆก็เริ่มเตือนส้มโอถึงเวลาอันเหมาะสมนั้นแล้ว มีเพียงแฟนเธอเท่านั้นที่ไม่รับรู้และไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจถึงเหตุผลนี้ กลับทำตัวเป็นเพย์บอยมีเรื่องสาวๆถี่ขึ้น คุยกับส้มโอน้อยลงจากที่โทรคุยกันทุกวันเหลือแค่คุยกันแค่บางวัน และเจอกันแค่วันอาทิตย์วันเดียว และส้มโอจะเป็นฝ่ายมาหาเขาที่บ้าน ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายไปรับเธอที่บ้าน สร้างความกังวลกับคนรอบข้างที่หวังดีต่อส้มโอ มีเพียงส้มโอเท่านั้นที่สุขใจ เธอพอใจเวลาที่เขาแบ่งปันให้ และยึดมั่นพักดีต่อชายอันเป็นที่รักอย่างเหนียวแน่น ขนาดเรื่องร้ายแรงที่สุดเรื่องหนึ่งเธอยังรับมันได้ เรื่องมีอยู่ว่าแฟนเธอไปเที่ยวต่างจังหวัดกับผู้หญิง ขับรถไปแวะร้านขนมบังเอิญไปเจอพ่อแม่เธอพอดี ทุกคนเห็นตำตาว่าแฟนเธอมากับผู้หญิง กลับมาเล่าให้เธอฟัง เธอเอาเรื่องนี้ไปถามแฟนเธอ เขาบอกว่าไม่มีอะไรไปกันหลายคนแต่ต่างคนต่างไป เขาเจอน้องคนนี้เลยรับมาด้วย ส้มโอก็เชื่อแล้วไปอธิบายให้พ่อแม่ฟัง และขู่แกมบังคับว่าห้ามไปถามแฟนเธออีก ให้เชื่อตามนั้นสร้างความงุนงงให้พ่อแม่เธอรวมทั้งผมด้วย ทุกคนได้แต่ปล่อยเลยตามเลย เพราะนี้ก็คบกันแบบนี้กว่า 10 ปีแล้ว
จนวันนี้วันที่ผมเล่าเรื่องนี้อยู่ ส้มโอก็อายุย่าง 30 แล้ว ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ส้มโอก็ยังพร้อมเสมอที่จะตายแทนชายอันเป็นที่รัก ส่วนคนที่ใช่ของเธอก็ยังห่างเหินเธอขึ้นเรื่อยๆ และมีหญิงอื่นให้แวะเวียนเข้ามาผูกพันธ์ด้วยเสมอ ส้มโอก็รู้แต่ไม่สนใจ ส่วนเธอนั้นก็มีผู้ชายดีๆพยายามเข้ามาจีบเธอ แต่ซักพักทุกคนก็รู้ว่าเธอมีกำแพงที่ไม่อาจทลายลงได้ในชั่วชีวิตนี้ ชีวิตที่มีเพียงเขาคนเดียว ผมแน่ใจว่าต่อให้นัทเอ้ยต่อให้แฟนเธอแต่งงานไป เธอก็จะไม่แต่งมีความหวังแค่ซักวันเขาจะเลิกราแล้วกลับมาหาเธอ ด้วยความสุขความหวังเล็กๆแค่นี้เธอก็จะยินดีรอด้วยความสุข ในสายตาของคนรอบข้างเธอเหมือนจะมีความทุกข์ แต่สำหรับส้มโอแล้วเพียงความหวังเล็กๆเธอก็จะยินดีหวังด้วยความสุขใจ ....แด่น้องส้มโอที่น่ารักของผม
Create Date : 10 มกราคม 2551 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:11:41 น. |
| |
Counter : 736 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
รักครั้งแรก...ตุ๊กผู้หญิงที่เก่งที่สุดในโลก(สำหรับผม) |
|
รักครั้งแรก...ตุ๊กผู้หญิงที่เก่งที่สุดในโลก(สำหรับผม) นี่เป็นความรักในวัยเด็ก วันที่ยังอ่อนต่อโลกแต่ผมก็ถือว่านี่คือรักครั้งแรกสำหรับผมและสำหรับเราทั้งสอง ตุ๊กเป็นลูกคนจีนตาตี่ ผอม สูง หน้ารี ตัวขาว หน้าตาจัดได้ว่าน่ารักมากๆ เราเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกัน เธอเข้ามาเรียนก่อน 2 ปี ผมถึงได้เข้ามาเรียน โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนเล็กๆ แต่ละชั้นเรียนมีเพียง 2 ห้อง ผมได้อยู่ห้องเดียวกับเธอ แรกๆก็ไม่มีอะไร เราก็เล่นกันสนุกสนานตามประสาวัยเด็ก ทำการบ้าน ทำกิจกรรม คุยกัน เล่นกันตามมีตามเกิด จนเวลาผ่านไป 1 ปี เราก็เริ่มสนิทกัน คุยกันถูกคอและต่างก็นับถือซึ่งกันและกัน ทั้งเรื่องการเรียนที่แข่งกันเกือบทุกวิชา ยกเว้นภาษาอังกฤษ เวลาเราทำงานกลุ่มก็มักอยู่กลุ่มเดียวกัน ผมเป็นหัวหน้าห้อง เธอเป็นรองหัวหน้า ผมเป็นผู้นำในขณะที่ตุ๊กจะคอยทำหน้าที่เก็บรายละเอียด ตุ๊กอยู่บ้านอาม่าแถวโรงเรียน บ้านพ่อแม่อยู่แถวหัวลำโพง เลิกเรียนผมจะเดินไปส่งเธอที่บ้านอาม่า กับกลุ่มเพื่อนๆที่กลับบ้านทางนั้นบ่อยๆ ทั้งๆที่บ้านผมอยู่คนละทางกับบ้านเธอ แรกๆก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่รู้สึกสบายใจและสนุกสนานเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆผ่านเข้ามาให้เราได้ร่วมกันฟันฝ่า หลายต่อหลายเหตุการณ์ ทำให้ผมชื่นชมและชมชอบในตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องหนักที่สุดคือโรงเรียนผมเล็กๆก็จริง แต่ครูใหญ่ท่านส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตรให้เด็ก ด้วยการให้ชั้นที่สูงที่สุดสองชั้นในโรงเรียนทั้งสี่ห้อง ต้องส่งตัวแทนห้องละ 3 คน ลงสมัครเป็นประธานนักเรียน แล้วให้นักเรียนทั้งโรงเรียนเป็นผู้เลือก มีการหาเสียง แบบเลือกตั้งจริงๆ ซึ่งปกติพี่ชั้นสูงสุดห้องหนึ่งจะชนะการเลือกตั้งเสมอ ในปีที่ผมอยู่ชั้นก่อนสูงสุดก็ลงสมัครเป็นประธาน ส่วนตุ๊กก็ลงด้วยพร้อมเพื่อนอีกคน ด้วยความที่อายุพวกเราพอๆกับพี่ชั้นสูงสุด เราจึงทุ่มเทกับการหาเสียงอย่างเต็มที่ ด้วยหวังจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์โรงเรียนคือ รุ่นรองสูงสุดชนะการเลือกตั้ง ผมเองในใจก็หวั่นๆกล้าๆกลัวๆหลายๆอย่าง ใจหนึ่งก็อยากชนะ อีกใจก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ และไม่อยากชนะรุ่นพี่ที่ผมสนิทชิดเชื้อด้วยตลอดที่เรียนมา 2 ปี และใครๆก็บอกว่าไม่มีทางที่จะชนะ แต่ตุ๊กไม่คิดเช่นนั้น ตุ๊กกลับบอกว่าถ้าลงแข่งต้องเต็มที่ ถ้าเรามั่นใจว่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่า ทำประโยชน์ให้โรงเรียนได้มากกว่า เราก็ต้องกล้าอาสาเข้ามาทำ ไม่มีการเกรงใจในเมื่อโรงเรียนให้แข่งกันอาสาก็ต้องแล้วแต่คะแนนเสียงของทุกคนในโรงเรียน และตลอดการแข่งขันเราก็ร่วมแรงร่วมใจกันหาเสียงอย่างไม่ย่อท้อ ผมมักใจอ่อนเสมอแต่ตุ๊กกลับเด็ดขาด เด็ดเดี่ยว และคอยกระตุ้นผมและเก็บรายละเอียดให้ผมเสมอ จนเราสามารถเอาชนะรุ่นพี่ได้ แต่ผมก็ได้เป็นประธานนักเรียนคนเดียวในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนที่มาจากชั้นก่อนสูงสุด ความสำเร็จกว่าครึ่งมาจากตุ๊กทั้งสิ้น จนมีเพื่อนบางคนพูดว่าเธอน่าจะได้ตำแหน่งมากกว่าผมซะอีก แต่เธอก็ไม่แสดงอะไรออกมา แถมยังสนิทและเข้าใจผม ช่วยงานผมในทุกๆเรื่องตลอด เราเริ่มเป็นมากกว่าเพื่อน ในแบบที่เราก้เรียกไม่ถูกในขณะนั้น เพราะมันยังเด็กเกินกว่าจะคิดกันขนาดนั้น สิ่งต่างๆมันดำเนินไปตามสภาวะและความสำพันธ์ของเราทั้งสอง มีเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เช่นผมถามเธอว่าบ้านตุ๊กอยู่ใน เธอบอกอยู่แถววัดแก้วแจ่มฟ้า ผมถามไปหาได้หรือเปล่าที่บ้าน เพราะวันเสาร์ผมจะไปบ้านลุงที่ตรอกจันเสมอๆ ผ่านวัดแก้วแจ่มฟ้าทุกครั้ง เธอบอกว่าได้แต่ไม่บอกซอยนะ ให้ไปเดินหาเอาเอง ผมบอกใครจะไปหาถูก และเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันต่อ เธอคงคิดว่าผมไม่ไปหาหรอก ผมก็คิดว่าไม่ไปหาหรอก แต่วันเสาร์ต่อมาผมไม่รู้คิดยังไง ก็จะไปตรอกจันนั้นแหละ นั่ง203ไปต่อสาย1ที่สนามหลวง พอรถถึงวัดแก้วแจ่มฟ้าก็ลง และคิดว่าเอาว๊ะยังไงก็ต้องเดินหาให้เจอ รู้ว่าบ้านตุ๊กเป็นโรงพิมพ์ แต่ไม่รู้ซอยไหน รู้แค่ว่าตุ๊กกลับบ้านตั้งแต่วันศุกร์แล้ว ผมเดินหามันตั้งแต่ซอยสว่าง 1ยันสว่างอะไรก็ไม่รู้ วนไปวนมากว่า 3 ชม จึงเจอเธอที่หน้าบ้านพอดี บ้านเธออยู่ซอยสว่าง 7 เธอเจอผมก็ตกใจปนแปลกใจ เราทักกันเพียงสองสามประโยคก็ลาจากกัน กลัวพ่อแม่ตุ๊กจะมาเห็น ผมกลับมาด้วยความภูมิใจและอิ่มใจ ที่เราทำสำเร็จหาบ้านเธอจนเจอ เป็นความภูมิใจในวัยเด็ก และเมื่อผ่านไปอีกหลายปี เราจึงร่วมใจกันบันทึกเรื่องเราต่างๆของเราและสรุปว่า นี้คือรักครั้งแรกของเรา แม้มันจะเป็นเพียงแค่ปีกว่าๆเท่านั้น แต่ก็เพียงพอที่เราจะจดจำมันได้ แม้เราจะไม่ได้เจอกันอีกกว่า 6 ปี แต่เมื่อเธอเจอเพื่อนผม ที่เข้ามหาลัยเดียวกับเธอได้ เธอก็พูดอย่างภูมิใจว่าผมเป็นแฟนคนแรกของเธอ ตุ๊กกล้าพูดต่อหน้าคนอื่นๆแบบเปิดเผย ขนาดเพื่อนผมยังอดอิจฉาผมไม่ได้ว่า คนน่ารักแบบนั้นกลับกล้าประกาศออกมาเช่นนั้น ผมซะอีกกลับเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เล่าสู่ใครฟัง จนมาถึงวันนี้ถึงได้เขียนบันทึกความรักครั้งแรกไว้ ความรักของเราจบลงอีกราวๆหนึ่งปีต่อจากนั้น พอเราขึ้นชั้นสูงสุด ก็ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกปี ปัญหาคือเพื่อนๆแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้ผมเป็นต่ออีกปี อีกฝ่ายคิดว่าหน้าจะเปิดโอกาสให้ตุ๊กเข้ารับตำแหน่ง ทั้งสองกลุ่มต่างขัดแย้งกันลึกๆ ทำความลำบากใจให้เราทั้งสองคนเป็นอย่างมาก ผมนั้นไม่ค่อยเด็ดขาดไม่พูดอะไรออกมาชัดเจน และไม่ยอมเสนอตำแหน่งให้เธอ ตุ๊กซะอีกกลับประกาศอย่างชัดเจนว่าเธอจะทำหน้าที่รองประธานเช่นเดิม แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ยอมกัน ต่างถือว่าคะแนนของคนทั้งโรงเรียน จะเป็นตัวตัดสิน เรื่องนี้จึงเป็นต้นเหตุให้ห้องเรา แตกเป็นสองสามฝ่าย เราทั้งคู่ก็ห่างๆกันไป ไม่รู้สึกสนุกสนานเมื่ออยู่ใกล้กันอีกต่อไป ถึงลึกๆเราจะมีความผูกพันธ์ยากที่คนอื่นจะเข้าใจ แต่สุดท้ายเราก็ต้องกลายเป็นเพื่อนกันเท่านั้น คุยกันน้อยลง ทั้งๆที่อยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ มันไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอก มันมีเรื่องเล็กๆอีกหลายเรื่อง แต่อย่างไรก็ตามนี้คือความรักแบบบริสุทธ์ไม่มีสิ่งใดเจอปนของเด็กสองคน ที่มีความรู้สึกดีๆต่อกัน ถึงมันจะเกิดผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย และเธอยังคงเป็นความทรงจำที่ดีๆของผมตลอดมา ไม่ว่าเรื่องการทำงาน ร้านราดหน้าที่เธอชอบ ที่นั่งคุยริมน้ำข้างบ้านอาม่า ของขวัญที่เราให้กัน และการข้ามเรือไปติดฝนจนมืดที่หอสมุดแห่งชาติ และอื่นๆอีกมากมายที่จะเป็นความทรงจำดีๆของผมตลอดไป แด่ นุชรี ตันติวิจิตร ผู้หญิงที่เก่งที่สุดในโลกตลอดกาล สำหรับผม....
Create Date : 26 มิถุนายน 2550 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:11:07 น. |
| |
Counter : 1227 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
23 ธ.ค 49 ผมเฝ้าคอยวันนี้มากว่าปี วันที่ผมจะได้เจอคุณ เช่นเคยกว่าผมจะมาถึงก็มืดแล้ว ผมตื่นเต้นมากที่จะได้พบคุณอีกครั้ง รถมาถึงไฟที่ห้องอาหารและซุ้มประตูสวยมากเลยคุณ พอผมลงจากรถเจ้าของคุณก็มาต้อนรับ ไม่ได้เจอเธอ1ปีเธอน่ารักเช่นเดิม อากาศหนวาเหน็บกว่าปีที่แล้วอีก พอผมเข้าไปในเรือนพัก คุณรู้ไม๊ผมแปลกใจมากทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวันที่ผมจากไปเลย มีเพิ่มมาก็เล็กน้อย พวกต้นไม้ ชุดนั่งเล่น และรูปวาดเด็กเท่านั้นที่หายไป คุณยังสวยและมีเสนห์ชวนให้ผมลุ่มหลงเช่นเดิม บรรยากาศเก่าๆมุมนั่งดูดาวของเรา ชานยื่นไปในหน้าผานอนฟังเพลงหวานๆของเรา ห้องไม้ไผ่ของผม เหมือนผมเพิ่งจากไปเมื่อวานนี้เอง ขอบคุณเจ้าของคุณมากนะที่ถนอมคุณให้น่ารักสม่ำเสมอ
25 ธ.ค 49 วันนี้แล้วสินะที่ผมต้องจากคุณไปอีกครั้ง ผมจะไม่มีวันลืมความสุขที่คุณมอบให้แก่ผมเลย ผมเสียใจด้วยนะที่คุณต้องเสียเจ้าหมาแสนน่ารักไป 1 ตัว มันคงทำให้คุณเหงาไปไม่น้อย ผมขอโทษนะที่ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนคุณได้นานกว่านี้ หมู่นี้งานผมเยอะมากเลย ผมไม่อยากกลับเลยอยากอยู่กับคุณไปนานแสนนาน ผมหวังว่าเจ้าของผู้น่ารักของคุณ จะยังไม่ขายคุณไปให้คนอื่น ขนาดผมเป็นคนนอกผมยังหลงรักคุณถึงขนาดนี้ คุณอ้อมเขาก็คงรักและผูกพันคุณมากกว่าผมหลายเท่า ผมว่าคุณก็คือชีวิตจิตใจของเธอนะ สุดท้ายผมจะกล่าวว่า...ผมรักคุณสบป่อง ริเวอร์อินน์...
Create Date : 03 มกราคม 2550 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:10:33 น. |
| |
Counter : 817 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
รางวัลแด่คนช่างฝัน ไม่ได้เขียนเรื่องการเมืองมานาน เพราะตั้งแต่ยุบสภาก็รู้แล้วว่าความวุ่นวายกำลังตามมา และไม่มีทางแก้ปัญหาอะไรที่ดีไปกว่าการฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วเขียนกันใหม่ทั้งฉบับหรอก แก้ไปแก้มาก็เท่านั้นฉีกทิ้งนั้นแหละเป็นการแก้ที่ดีที่สุด เข้าเรื่องเราดีกว่าเรื่องนี้เขียนถึงท่านนายกทักษิณโดยเฉพาะ ท่านเป็นคนธรรมดาๆเติบโตมาแบบคนสามัญชน ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจแบบคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความสามารถ มีความอดทน มองการไกล กล้าเสี่ยง และมายืนอยู่บนจุดสูงสุดได้ด้วยฝีมือล้วนๆ ไม่มีทางลัด ไม่ได้รับจ้างทำแทนใคร ทำทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมาตลอดชีวิตธุรกิจของท่าน ผมกล้าพูดแบบนี้เพราะ ถ้าที่ผ่านมาท่านทำอะไรทุจริตไว้ ไม่มีทางลอดพ้นสื่อมวลชนไปได้หรอก โดนเอามาแฉไม่เหลือซากแล้ว ไม่รอดมาถึงป่านนี้หรอก ทุกวันนี้ที่ด่าๆกันก็เห็นแต่ข้อกล่าวหาลอยๆ ไม่เห็นมีหลักฐานซักชิ้น พอท่านนายกทักษิณอิ่มตัวจากการทำธุรกิจก็ไม่มีอะไรท้าทายให้ทำอีก การเมืองแบบเดิมๆดูแล้วท่านก็ไม่อยากเล่นหรอก มันน้ำเน่าแบบที่เห็นๆกันกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ท่านลองเข้าพรรคพลังธรรมของท่านมหาฯ เข้าไปไม่นานก็ถอยออกมา จนประเทศไทยเข้าสู่ช่วงที่หลอกตัวเองว่าพร้อมแล้วที่จะมีประชาธิปไตยแบบเต็มใบ มีการร่างรัฐธรรมนูญโดยประชาชน โดยไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีก่อน ร่างแบบสวยหรูแต่เวลากว่า6ปีที่ผ่าน ก็แสดงชัดแล้วว่ามีปัญหาอันเกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับ สสร มากมายแค่ไหน ท่านนายกทักษิณก็หลวมตัวเข้ามา โดยคิดว่าจะใช้ความสามารถของท่านจัดการปัญหาต่างๆของประเทศไทย และนำพาประเทศชาติให้ก้าวทันและแซงหน้า นานาประเทศให้จงได้ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ผู้ชายคนหนึ่งที่มีเงินแบบเอาคนในครอบครัว รวมทั้งญาติพี่น้อง คนใช้ คนสวน และคนขับรถมารวมกัน แล้วหารเงินทั้งหมดที่มี ใช้อีกหลายชาติก็ไม่หมด แทนที่จะอยู่สบายๆในช่วงปลายชีวิต กลับกระโดดเข้ามาสู่การเมืองไทย มาแบบคนธรรมดาๆ มีแต่ตัวกับหัวใจและเงินที่สะสมมาตลอดชีวิต เข้ามาทำงานหนักแสนหนักตลอด 6 ปี ทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่เรื้อรังมากว่า 100 ปี ท่านพยายามบริหารประเทศแบบใช้ความสามารถของคนมากกว่าฐานะทางสังคม ทำทุกเรื่องอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันตา พาประเทศไทยมองไปข้างหน้า ทำทุกอย่างพร้อมๆกันไปหมด ท่านลืมคำนึงถึงสังคมไทย สังคมที่มีชนชั้น มีระบบแบบเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นสังคมจอมปลอม ท่านนายกทักษิณพลาดที่คิดจะแก้หรือเปลี่ยนสังคมไทยในชั่วข้ามคืน แค่ความตั้งใจ หวังดี และหวังทำประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน แค่นี้ไม่เพียงพอที่จะนำพาประเทศไทยไปไกลได้หรอก สังคมไทยมีอะไรละเอียดอ่อนกว่านั้นเยอะมาก และตัวอย่างของท่านนายกทักษิณ ก็เป็นอีกบทพิสูจน์สังคมไทยได้ดี คนธรรมดาคนหนึ่ง ยอมเสียสละตัวเองเข้ามาเหนื่อยแสนสาหัส ทำงานแบบไม่คิดชีวิต จริงอยู่ว่าการบริหารแบบท่านนายกทักษิณ ก็มีจุดให้ตำหนิเยอะมาก และมีจุดล่อแหลมเยอะเหมือนกัน แต่แทนที่สังคมไทยจะพูดกันดีๆ หรือว่ากันตามกติกา แต่กลับด่ากัน และโจมตีกันแบบเสียๆหายๆ เล่นกันแบบชนิดที่ว่าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เลย ด่าท่านนายกทักษิณเหมือนท่านเลวมาจากนรก เล่นกันเหมือนไม่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินไทยตามๆกันมา ทุกคนก็โตตามๆกันมานั้นแหละ เห็นกันแต่เด็ก นี้หรือสังคมไทยคนไทย รางวัลสำหรับคนที่อาสายอมเสียสละเข้ามาทำงานแบบเต็มกำลัง เราให้รางวัลสำหรับคนกล้าแบบนี้กันหรือ ถ้าเป็นเช่นนี้ผมว่าสังคมไทย คนไทย ก็ไม่ใช่คนที่จะคบเป็นเพื่อนแท้ได้หรอก ไม่มีประเทศไหนกล้าคบเราแบบสนิทใจหรอก ไม่รู้จะโดนเราเหยียบเมื่อไหร่ สำหรับผมตัวจริงท่านนายกทักษิณก็ไม่เคยพบ ประโยชน์ทางตรงจากการบริหารแผ่นดินของท่านก็ไม่ได้รับ ประโยชน์ทางอ้อมพวกระบบais ก็ไม่ได้ใช้(มันแพง) ก่อนมีพรรคไทยรักไทยผมก็เลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตลอด 6 ปีที่ท่านนายกทักษิณบริหารประเทศมา ที่ติผมก็เคยเขียนไปหลายรอบ ที่ไม่ชอบใจก็มีหลายเรื่อง แต่รวมๆแล้วท่านถือเป็นแบบอย่างผู้นำที่ผมให้ความยอมรับ เป็นผู้นำที่ดีน่าเอาแบบอย่าง ท่านจะเป็นผู้นำที่ผมจะเล่าให้ลูกหลานฟังอย่างเต็มปากเต็มคำ ว่าครั้งหนึ่งก็เคยมีคนไทยธรรมดาๆคนหนึ่ง กล้าอาสาเข้ามาทำงานอันแสนหนัก และแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นผู้นำที่น่าเอาแบบอย่าง พักผ่อนให้สบายเถอะท่าน ปล่อยวางประเทศไทยไปเถอะครับ...
Create Date : 20 กันยายน 2549 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:10:05 น. |
| |
Counter : 805 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|