|
ฟุตบอลในวัยเด็กกับยอดคน(ที่ผมรู้จัก)ภาคสอง |
|
ตอนที่แล้วพูดถึงทีมฟุตบอลของผมในช่วงม.1-2 พอขึ้นม.3เราก็สลายทีมไปตามแผนที่ตั้งใว้ เพราะเรารู้ว่าขึ้นม.3 เราต้องแยกห้องกันตามเกรดเฉลี่ยและม.3เป็นปีที่สำคัญบางคนต้องไปสอบเตรียมอุดม สอบชิงทุนต่างๆ คนที่เกรดไม่ค่อยดีแต่เดิมก็ต้องพยายามขยันเพื่อให้ได้เรียนต่อ เราจึงเพลาๆเรื่องกีฬาลงไป พอจบม.3 ผมก็ไม่ได้ไปไหนอยู่เรียนสายวิทย์ที่เทพศิรินทร์ต่อ ผมอยู่ห้อง4 มีเพื่อนห้องเดิมมาอยู่ด้วยไม่มาก เพราะส่วนใหญ่อยู่ห้อง5 พอเริ่มคุ้นๆกับเพื่อนๆเราก็มาตั้งทีมฟุตบอลกันใหม่ชื่อนฤมิตรเหมือนเดิม วางแผนว่าจะรวมกัน2ปีเช่นเดิมโดยผมตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าทีมเช่นเดิม และเริ่มหาตัวนักบอลต่างๆโดยเน้นเพื่อนร่วมห้องก่อน หาไปหามาหาได้เพียง 15 คนเท่านั้นเพราะไม่ครบ 22 คนเลยต้องมีการดึงตัวเพื่อนๆห้องอื่นมาเสริมในตำแหน่งที่ขาดและได้พี่เพื่อนมาร่วมทีมด้วย 1 คน จนครบ 22 คน จากนั้นเราก็ประชุมทำความเข้าใจ วางกฏระเบียบในการฝึกซ้อมและตารางซ้อมจนเป็นที่ยอมรับของทุกคน ใครมีอะไรขัดข้องก็ว่ากันให้จบก่อนลงเรือลำเดียวกัน ซึ่งยากกว่าตอนม.ต้นมากเพราะม.4 พวกเราเริ่มโตเป็นวัยรุ่น แต่ละคนมีความคิดแตกต่างกันออกไป บางคนเริ่มคบเพื่อนในสภาพแวดล้อมที่เกินวัยไปนิด การจะพูดให้เข้าใจและยอมรับกติกาที่คนส่วนใหญเห็นด้วยต้องใช้ความอดทนและจิตตวิทยาพอควร ในที่สุดเราก็สร้างกติกาและทำให้ทุกคนยอมรับกับกฎต่างๆเช่น 1สัปดาห์ทุกคนต้องวิ่งรอบโบสถ์อย่างน้อย 3 วันๆละ10 รอบ มีคนคอยจดสถิติ ต้องเล่นบอลพลาสติกตอนเย็นด้วยกันอย่างน้อย 3 วันใน 5 วัน ต้องมาประชุมแผนตอนเย็นอาทิตย์ละ 1 วัน และ 1 เดือนต้องไปซ้อมทีมที่สนามกีฬาหัวหมากวันอาทิตย์อย่างน้อย 3 อาทิตย์ ทุกคนต้องทำตามกติกานี้อย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ เพื่อความฟิตและมีความพร้อมสำหรับการแข่งขัน ดูโหดๆอยู่เหมือนกันแต่ทุกคนก็ทำได้ไม่ว่าเด็กเรียนหรือเพื่อนบางคนที่ออกนอกทางไปบ้าง ทุกคนทำตามกฏได้อย่างสม่ำเสมอ ชีวิตส่วนตัวเป็นไงไม่สำคัญแต่ถึงเวลาเข้าทีมทุกคนต้องพร้อม แรงจูงใจที่สำคัญที่สุดคือ...ทุกคนอยากเล่น...ทีมชุดนี้เราตัดเสื้อทีมเหมือนทีมชาติเยอรมันในสมัยนั้น สวยดีครับเสียดายหารูปไม่เจอไม่รู้ไปไหนหมด เราร่วมซ้อม ร่วมเล่น ร่วมแข่งด้วยกันแบบนี้ตลอด 2 ปี แข่งเยอะมากในโรงเรียนไม่เท่าไหร่ ส่วนมากจะนัดห้องอื่นๆทั้งม4-6 แข่งกันเองนอกรอบที่สนามกีฬาหัวหมาก ซึ่งมีสนามฟุตบอลถึง 6 สนาม ผลการแข่งขันอย่าไปพูดถึงไม่สำคัญเท่าไหร่แต่ที่น่าจดจำคือยอดคนต่างๆที่ผมได้รู้จักและจดจำมาถึงทุกวันนี้... เพื่อนพระ...พระเป็นคนที่ผมพูดถึงเป็นคนแรก พระเป็นเด็กสายวิทย์แต่เป็นตัวแทนตอบปัญหาธรรมมะมือหนึ่งของเทพศิรินทร์ เคยได้ที่หนึ่งของประเทศไทยด้วย เพื่อนๆและอาจารย์งงกันเป็นแถวๆ เพราะพระไม่ได้แสดงอะไรให้เห็นว่าเป็นคนอยู่ในศิลธรรมเลย พระชอบกวนอาจารย์ คบเพื่อนกลุ่มซนๆมีหนังสือทุกประเภทให้เพื่อนๆยืมเสมอ แต่ตอบปัญหาธรรมมะทีไรชนะเลิศทุกทีเพื่อนๆงง พระเล่นฟุตบอลในตำแหน่งปีกขวา มีความใวและเล่นบอลฉลาด ดูกวนๆไม่ค่อยเอาเรื่องแต่จริงๆแล้วแฝงความคมใว้ในตัวมากมาย พระเป็นที่ปรึกษาที่ดีพูดอะไรตรงไปตรงมา กล้าแสดงความคิดเห็นบางทีก็ดูจริงจังบางทีก็ขี้เล่น พระขี้เกียจซ้อมหาเรื่องโดดไม่วิ่งรอบโบสถ์ประจำแต่ก็วิ่งครบตามกฏ แต่ถ้าให้เลือกไม่วิ่งได้ก็ไม่วิ่ง แต่ให้วิ่งก็วิ่งได้ไม่ต้องคอยจี้เพราะพระไม่ชอบทำเองได้ แต่เลือกไม่ทำได้ก็ไม่ทำ พระกวนอาจารย์และผู้อื่นได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายพอๆกับการซ้อมและเล่นฟุตบอล คนไม่รู้จักจะว่าพระเป็นคนกวน(ตีน) แต่ลึกๆแล้วพระมีดีอยู่ในตัวเสมอแต่ต้องดูดีๆ พอจบม.6 ด้วยการเรียนวิทย์เพราะตามใจพ่อ พระเลยสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ พระตัดสินใจเรียนนิติราม ตามที่ตัวเองชอบเพราะพระชอบท่องถึงตอบปัญหาธรรมมะเก่งไง พระเรียนนิติราม 3 ปีครึ่งจบ สอยเนติฯได้ในปีถัดมา และอีกปีก็สอบเป็นผู้พิพากษาได้ กลายเป็นผู้พิพากษาที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย นี้แหละเพื่อนพระที่ผมว่ามีดีอยู่ในตัวเสมอ... เพื่อนกือ...กือเป็นนักบอลที่มีปัญหาที่สุดเพราะขาดซ้อมบ่อย แต่กือก็มีเหตุผลที่ต้องขาดซ้อมคือ กือต้องขี่รถขายซาลาเปาในวันหยุด บ้านกือยากจนกือต้องหาเงินเรียนและช่วยที่บ้านด้วย กือเลยไม่ค่อยได้ซ้อมและมาเรียนไม่ค่อยทัน แต่ถึงกือจะยากจนแต่กือก็ไม่ใช่เด็กเรียบร้อยเลย กือคบเพื่อนกลุ่มซนๆสนุกสนามไปวันๆ แต่กือเป็นคนฉลาด มีไหวพริบรู้จักพูดและเพื่อนๆรัก ขนาดรู้ทั้งรู้ว่าโดนกือหลอกแต่เพื่อนๆก็เต็มใจให้หลอก กือเรียนเก่งแต่เก็บเงียบภายนอกดูไม่สนใจเรียนแต่กือซุ้มตลอด กือลอกการบ้านเพื่อนให้เพื่อนติวให้แต่สอบทีไรกือได้คะแนนต้นๆเสมอ ในทีมบอลกือเล่นตำแหน่งศูนย์หน้าผมไม่ค่อยชอบกือนัก เพราะกือขาดซ้อมบ่อยเพื่อนๆดูออกและมักช่วยพูดแก้ตัวให้กือเสมอ กือไม่ค่อยได้ซ้อมแต่ก็แสดงความตั้งใจที่จะร่วมเล่น ได้เล่นทีไรกือเล่นได้ดีและปรับตัวเก่ง กือมีความเร็วเป็นเลิศ แทงบอลไปข้างหน้ากือวิ่งแซงกองหลังทีมคู่แข่งเป็นประจำ จนบางครั้งกือวิ่งแซงบอลก็ยังเคย กือจึงเป็นศูนย์หน้าที่เร็วที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น กือเป็นคนหน้ากลัวยิ้มๆหน้าตาหล่อเหลาและแฝงใว้ด้วยอะไรก็ไม่รู้ แต่เพื่อนๆก็รักกือเพราะกือมีมนุษย์สัมพันธ์ดีเข้าได้กับทุกคน จบม.6 กือก็แสดงความเก่งให้เห็นสอบเข้าวิศวฯ จุฬาได้ จบ 4 ปีกือก็เรียนโทด้วยทุนของวิทยาลัยมหานครต่อ และเป็นอาจารย์สอน2ปีกือก็ไปต่อด๊อกเตอร์ด้วยทุนของมหานครต่อ กือเป็นด๊อกเตอร์ตอนอายุ20 กว่าๆเองปัจจุบันกือเป็นอาจารย์อยู่มหานคร ครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีขึ้นกันถ้วนหน้า นี้คือเพื่อนกืออันแสนจะน่ากลัวของผม... เพื่อนยักษ์...ยักษ์เป็นกลางหลังตัวหลักของผมต่อจากอาโน ยักษ์มีระเบียบวินัยเคร่งครัดต่อหน้าที่ ขยันซ้อม เป็นคนนิสัยดีมากๆเป็นที่รักของเพื่อนๆทุกคน ยักษ์เป็นกองหลังตัวหลักที่เล่นบอลได้ดีและวางใจได้ แต่ด้วยนิสัยที่ดีมากๆของยักษ์ทำให้ยักษ์ขาดความโหดแบบอาโน เล่นบอลขี้เกรงใจกลัวกองหน้าทีมอื่นๆเจ็บยักษ์ไม่เคยเข้าบอลแรงๆและไม่โหด แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ยักษ์ก็ไม่ค่อยให้ใครเข้าไปยิงประตูทีมเราง่ายๆ ยักษ์หยุดกองหน้าและเป็นที่อุ่นใจของเพื่อนๆร่วมทีมเสมอเวลาอยู่ในสนาม ส่วนนอกสนามยักษ์ก็เป็นคนใจดี เป็นพี่ๆของเพื่อนๆที่ซนๆและซ่าๆ ยักษ์คอยตักเตือนเพื่อนๆเสมอ แต่ไม่เคยว่าเพื่อนแรงๆยักษ์ได้แต่บ่นเพราะกลัวเพื่อนจะเสียใจ ยักษ์เป็นตัวอย่างของคนดีคือดี สุภาพ คิดแต่สิ่งดีๆมีความจริงใจให้ทุกคน แต่ไม่โง่และไม่ซื่อบื้อ ทันคนมีความคิดความอ่าน และทันสมัย ยักษ์จบม5ก็สอบเทียบได้แล้วสอบติดวิศวฯบางมด ผมบองยักษ์ว่าอย่าเอาเลยปีหน้าได้จุฬาแน่นอน ยักษ์บอกที่บ้านรอยักษ์จบวิศวฯแล้วกลับไปช่วยงานที่บ้าน พี่ๆยอมเสียสละเรียนน้อยแล้วทำงาน แต่ให้ยักษ์ได้เรียนสูงๆ ยักษ์ต้องรีบจบเพื่อไปช่วยงานพี่ๆ เรียนวิศวฯที่ไหนก็เหมือนกันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า ผมฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะพูดไม่ออก... เพื่อนเบี้ยว....เบี้ยวเป็นเด็กเรียนเก่งนิสัยดีใจเย็นยิ้มตลอด ให้เพื่อนลอกการบ้านและคอยติวฟิสิกส์ เคมี เลขฯให้เพื่อนๆเป็นประจำ เบี้ยวไม่ได้ชอบเล่นบอลมากนักแต่และก็เล่นไม่ค่อยเก่งแต่เดิม แต่พอได้รับหน้าที่ให้เล่นกองกลางเบี้ยวก็เริ่มฝึกฝน และพัฒนาตนเองตามแบบฉบับความเก่งของเบี้ยว ฝึกหนัก อดทน ขยันศึกษาวิธีการเล่น เบี้ยวเล่นบอลเหมือนเรียนหนังสือคือทุ่มเทให้กับทุกอย่างอย่างเต็มที่ หุ่นเบี้ยวไม่ดีตัวเล็กแต่ฟิตและขยัน เล่นๆไปก็ฉลาดขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นตัวจริงที่เพื่อนๆให้การยอมรับ เบี้ยวทำทุกอย่างตามตำรา เล่นการเมืองไม่เป็นไม่ค่อยมีเลห์เหลี่ยม ทำอะไรตรงไปตรงมาเวลาเล่นบอลหรือชีวิตประจำวันก็เป็นแบบนั้นคือตรงไปตรงมาตลอด และไม่ค่อยพลิกแพลงซึ่งเป็นจุดด้อยของเบี้ยวในสายตาคนโฉดๆอย่างผม เบี้ยวจบม6ก็สอบเข้าวิศวฯลาดกระบังได้ เบี้ยวก็เรียนเก่งเหมือนเดิมแต่ผมเป็นห่วงความตรงไปตรงมาของเบี้ยว ไม่รู้ในอนาคตมันจะมีผลเสียต่อตัวเบี้ยวหรือเปล่า แต่เบี้ยวเป็นคนดีจริงๆอีกคนที่ผมรู้จัก
Create Date : 01 กันยายน 2548 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:01:24 น. |
| |
Counter : 799 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
ฟุตบอลในวัยเด็กกับยอดคน(ที่ผมรู้จัก)ภาคแรก |
|
ตอนเด็กๆผมชอบเล่นกีฬาเล่นหลายชนิดทั้ง ฟุตบอล ปิงปอง แบดฯ แชร์บอล วอลเลย์บอล เทนนิส ว่ายน้ำ วิ่ง กระโดดยาง ตี่จับ มีกีฬาชนิดหนึ่งที่เขาฮิตกันแต่ผมไม่ชอบเล่นคือบาสเก็ตบอล ผมไม่ชอบลูกก็หนัก ห่วงก็เล็ก และอะไรก็ไม่รู้ผู้ชายด้วยกันมายกมือกันๆ กอดๆแย่งๆแบบใกล้ชิดกัน ไม่เห็นสนุกเลย แต่กีฬาที่เล่นมากๆยิ่งตอนเรียนมัธยมแล้วยิ่งเล่นมากคือฟุตบอล ฟุตบอลในวัยเด็กของผมเมื่อมองย้อนกลับไปแล้วก็มีสิ่งดีๆให้จดจำมากมาย โดยเฉพาะยอดคนที่ผมรู้จักดังที่จะเล่าต่อไปนี้
ตอนช่วงป.5-6 ที่โรงเรียนศิริมงคลศึกษาเป็นช่วงแรกที่ผมเล่นฟุตบอล โรงเรียนเราเล็กมีสนามปูนใหญ่กว่าสนามบาสหน่อยหนึ่ง เราเลยเล่นได้เพียงบอลพลาสติก ตอนนั้นเราเล่นรวมกันทั้งป.5-6 เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานทุกเย็น เรามีคุณครู 2 ท่านมาเล่นด้วยเป็นประจำ ท่านหนึ่งอ้วนแต่เก๋า อีกท่านสูงเล่นบอลฉลาด ครูทั้งสอง เล่นกับเราเกือบทุกเย็นที่ว่าง เล่นไปสอนพวกเราเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆทำให้พวกเราพัฒนาฝีมือกันขึ้นมาจนอยู่ชั้นแนวหน้าของตลาดกันเลย พูดจริงนะไม่ได้โม้แถวซอยจรัญฯ47ไม่มีใครเคยชนะเราได้ เพราะเราไม่เคยแข่งกับใคร พูดถึงครูทั้งสองท่านนี้เวลาท่านสอนหนังสือ ท่านก็สอนเราจริงจัง สอนทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่านสอนเราทุกเรื่องทั้งวิชาการและชีวิตประจำวัน นอกเวลาเรียนนั่งเล่นหมากรุก หรือนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ หรือเล่นฟุตบอลกัน ท่านก็สอนเราหลายๆเรื่องแบบที่เราไม่รู้ตัว คุณครูทั้งสองจริงจัง ตลก ขี้เล่น และทำตัวแบบที่คนธรรมดาเขาเป็นกัน วางตัวน่าเคารพแต่เป็นกันเองและจริงในกับพวกเราเสมอ แต่จริงใจแค่ไหนนั้นผมไม่เคยลองยืมเงินท่านดูเลยไม่รู้ครับ นี้คือยอดคนในวัยเด็กที่ผมเริ่มจำความได้ครับ
พอจบป.6ผมก็มาสอบเข้าโรงเรียนเทพศิรินทร์ แล้วเข้าเป็นนักเรียนม1/8 ที่นี่ก็มีสนามบอลใหญ่ขึ้น(แต่ไม่ให้เล่นเท่าไหร่) ต้องอาศัยเล่นสนามบาสแคบๆคนก็เยอะ แต่ฟุตบอลช่วงนั้นฮิตมากเด็กร้อยละ 70 เล่นฟุตบอลกัน พอเข้ามาได้ซักพักโรงเรียนก็จัดฟุตบอลภายในแข่งบอลหนังข้างละ 11 คนแบ่งเป็นม.ต้นและม.ปลาย ผมซึ่งเป็นหัวหน้าห้อง1/8 เลยตั้งตัวเป็นหัวหน้าทีม ระดมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้ 20 กว่าคนจัดแจงเตรียมทีมสมัครเข้าแข่งขัน ทั้งๆที่เล่นบอลหนังกันยังไม่ค่อยเป็นเลย เพราะตอนเด็กๆเล่นแต่บอลพลาสติก แต่คิดแค่ว่าอีกหลายเดือนกว่าจะแข่งหัดเล่นและซ้อมกันทัน และเราตั้งเป้าใว้ว่าปีนี้เป็นหมูสนามไปก่อน ปีหน้าค่อยหวังผล พอคิดได้ดังนั้นก็นำเรื่องประกาศและขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆในห้องจนได้ข้อสรุปร่วมกันแบบเด็กๆว่าเอาไงเอากัน ใครอย่างเล่นมาหัดกันใครไม่ชอบเล่นก็เป็นเป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุน เราเริ่มหาที่ซ้อมบอลและได้ที่สนามกีฬาแห่งชาติข้างๆสนามเทพหัสดิน เป็นสนามทรายในขณะนั้น เราใช้ที่นั่นเป็นที่ซ้อมตลอด 2 ปีต่อมา
ต่อมาเราก็เล่นบอลพลาสติกวันธรรมดาที่โรงเรียนซะส่วนใหญ่ และซ้อมกันแบบจริงๆจังๆในวันเสาร์ เราจำเอาวิธีการซ้อมมาจากในทีวีเริ่มหัดกันตั้งแต่พื้นฐาน เลี้ยงบอล จับบอล ส่งบอล เตะลูกโด่ง โหม่ง ยิงประตู และวิ่งเพื่อสร้างความฟิตให้ร่างกาย ซ้อมไปเรื่อยๆดูบอลโรงเรียนและดูบอลทางทีวีและซื้อสตาร์ซอกเกอร์มาอ่าน ต่อมาใครมีแววตำแหน่งไหนก็จัดตำแหน่งกันและซ้อมพื้นฐานกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละคนก็เปลี่ยนไปทีละน้อย บางคนจากไม่เป็นเลยก็ค่อยๆเข้าที่ บางคนพัฒนาเร็วมาก มีระเบียบวินัย ทำอะไรทำจริงจัง ทุ่มเทเต็มที่ บางคนมีพรสวรรค์อยู่แล้ว ฝึกเดี๋ยวเดียวก็เก่งแต่ไม่ค่อยมีความอดทนแต่ต้องซ้อมตามโปรแกรมเพราะอยากลงแข่ง(เรามีกฏเหล็กใครไม่ซ้อมไม่ได้เล่น) คนที่มีความอดทนมีระเบียบวินัย ขยันและตั้งใจซ้อมก็ทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ แต่เราก็ไม่เสียการเรียน การเรียนยังมาก่อนเป็นอันดับแรก เรื่องอื่นๆเป็นเรื่องรอง กลับบ้านก็เล่นเกมส์ ดูทีวีทำอะไรอื่นๆอีกมากมายตามที่เด็กๆเขาทำกัน ส่วนคนที่ไม่ค่อยตั้งใจซ้อม ต้องคอยใช้กฏเหล็กควบคุมกัน บางคนมีพรสวรรค์อยู่แล้วซ้อมน้อยแต่เก่งเร็วและเล่นบอลได้ดี แต่ไม่ค่อยอดทนแต่ต้องซ้อมตามโปรแกรมเพราะอยากเล่น เวลาเรียนก็ไม่ค่อยยอมเรียน เรียนๆหลับๆก็เป็นไปตามแบบฉบับของแต่ละคน
แต่ทั้งหมดนี้ก็คือพวกเราที่รวมกันเป็นทีมฟุตบอลที่ได้ชื่อทีมว่า...นฤมิตร... และมีชุดทีม(ได้เงินสนับสนุนจากผู้ปกครอง) คล้ายทีมชาติอังกฤษในยุคนั้นมีหมายเลข 1-22 เต็มทีม เราหัดเล่นบอลกันไปเพิ่มทักษะในทุกๆด้าน เวลาเราไปดูบอลโรงเรียนแข่งเราก็นั่งด้วยกัน ใครเล่นตำแหน่งไหนก็ดูนักบอลโรงเรียนตำแหน่งนั้นเป็นแบบอย่าง คุยปรึกษากันเกี่ยวกับแผนการเล่นต่างๆ พอเริ่มจะเข้าที่แล้วเราก็ลงเล่นเป็นทีมแข่งกับทีมอื่นๆแถวๆนั้น วันเสาร์บ้างวันอาทิตย์บ้างบางครั้งเจอทีมผู้ใหญ่เตะเอาซะปางตาย แต่เราก็รู้สึกสนุกและเล่นอย่างเมามันส์ทุกครั้งที่ได้เล่น เราทำกันอย่างงี้ไม่เว้นปิดเทอมตลอด 2 ปี(ม1-2) ผลการแข่งขันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจนัก แต่เพื่อนๆแต่ละคนของผมที่ได้ร่วมเล่นด้วยกันมาตลอด 2 ปีมียอดคนที่ผมได้รู้จักเยอะเลยครับ เริ่มจาก
เพื่อนยุ่น....ยุ่นเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นสูงใหญ่ ขี้โรคเล่นกีฬาไม่เป็น พอเราจัดทีมขึ้นยุ่นเดินมาหาผมแล้วถามว่าอย่างกูจะพอเล่นตำแหน่งไหนได้บ้าง ผมตอบว่ามึงต้องเล่นตัวเปิด ยุ่นถามว่าปีกรึ ผมบอกว่าเปล่าตัวเปิดกระป๋องน้ำ ยุ่นไม่ละความพยายามบอกอย่างน่าสงสารว่า กูเป็นคนอ่อนแออยากเล่นกีฬาเป็นบ้างเผื่อจะแข็งแรงกว่านี้ ให้กูเล่นเถอะตำแหน่งไหนก็ได้ ตัวสำรองก็ยังดีผมเห็นความตั้งใจของยุ่นแล้วก็ต้องยอมให้ยุ่นเข้าทีม ในตำแหน่งผู้รักษาประตูยุ่นสูงเกือบ 170 ซม(ในขณะนั้น) แต่เล่นกีฬาไม่เป็นจริงๆไร้ทักษะ พอเริ่มซ้อมยุ่นตั้งใจมากให้ทำอะไรยุ่นทำเต็มที่ ซ้อมหนักแค่ไหนยุ่นไม่มีบ่น ซ้อมยังไงยุ่นก็ไม่เก่งขึ้นเพราะขาดทักษะ แต่ยุ่นแข็งแรงขึ้น เข้าใจเกมส์ฟุตบอลทุกอย่างแต่ทำยังไงก็ไม่เก่งขึ้น ยุ่นไม่สนตั้งหน้าตั้งตาซ้อมตามที่บอกอย่างเต็มที่ ลงแข่งทีไรยุ่นไม่เคยได้ลงยุ่นก็ไม่ว่าอะไรเพราะรู้ตัวเองดี ผมซึ้งยุ่นมากแต่ก็ช่วยอะไรยุ่นไม่ได้แต่เห็นยุ่นสนุกผมก็สบายใจ ผิดกับโกล์ตัวจริงของผมซื่อโฮกเล่นบอลเก่งมาก ถ้าเอาจริงได้ซักครึ่งของยุ่นป่านนี้เป็นโกล์ทีมชาติไปแล้ว แต่วันๆโฮกเอาแต่กวนประสาท เรียนก็ไม่เรียนหาเรื่องให้ปวดหัวได้ทุกวัน อู้ซ้อมเป็นประจำแต่ทักษะดีมากบอกอะไรทำได้หมด ถ้าไม่บอกทำไม่ได้ต้องบอกทุกอย่างและคอยคุมให้ทำ ผิดกับยุ่นราวกับฟ้ากับดิน ยุ่นทำอะไรทำจริงทุกเรื่อง เรียนก็เก่งเกือบที่สุดในโรงเรียน พอจบม2 เพื่อนยุ่นก็สอบเทียบม3 ได้แล้วสอบเข้าเตรียมอุดมได้ตอนจบม.2 เรียนเตรียมอุดมฯแค่ม.5 ก็สอบเทียบม6 ได้แล้วสอบติดวิศวฯจุฬาได้ ป่านนี้คงทำงานเป็นใหญ่เป็นโตไปแล้ว ถึงจะไม่ได้ข่าวกันอีกแต่ผมมั่นใจได้ ยุ่นเอาจริงในทุกเรื่อง รุ่งแน่นอน
เพื่อนสุย...สุยเป็นคนสุภาพพูดจาฉลาด เวลาคุยกับสุยต้องคิดตลอดสุยมักจะพูดอะไรแล้วเราต้องคิดตามถึงแปลความหมายออก สุยเล่นบอลเป็นนิดหน่อยแต่เล่นกีฬาเป็นหลายอย่าง ทักษะด้านกีฬาดี สุ่ยเข้าทีมมาผมจัดให้สุยเล่นตำแหน่งแบ็คขวา สุยขยันซ้อมมีการให้ความคิดเห็นและมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการซ้อมเสมอ อะไรไม่ถูกสุยไม่ลังเลที่จะออกความคิดเห็น แต่ต้องแปลให้ดีเพราะสุยชอบพูดให้คิด ผมถูกสุยด่าแบบไม่รู้ตัวก็หลายครั้ง สุยเล่นบอลไม่ได้ใช้กำลังแต่ใช้สมอง สุยทำทุกอย่างด้วยสมองสุยถามทุกอย่างที่เป็นหลักการแล้วสุยจะเจาะลึกมันด้วยตัวเอง สุยเล่นบอลในตำแหน่งของตนเองได้อย่างไม่มีที่ติไม่ว่าจะหนักแค่ไหนสุยหยุดได้หมด ปีกซ้ายทีมไหนก็อย่าหวังจะผ่านสุยไปได้ง่ายๆเลย งานของสุยสุยรับผิดชอบเต็ม 100 และทำได้ดีแต่สุยจะไม่ยอมตายเพื่อใคร เพราะสุยเชื่อว่าการทำอย่างนั้นโง่สิ้นดีไม่มีประโยชน์ สุยจบม.3ก็ไปเข้าเตรียมอุดม จบเตรียมม6ก็เข้าหมอจุฬาต่อป่านนี้สุยคงเป็นหมอที่ฉลาดคนหนึ่ง แต่ยังไงสุยก็ไม่ยอมตายเพื่อใครเพราะสุยบอกว่ามันโง่สิ้นดีที่ทำอย่างนั้น
เพื่อนเฮี้ยง...เฮี้ยงเป็นเด็กตัวเล็กหน้าตี๋เล่นบอลไม่เก่งแต่เรียนรู้เร็ว มีความพยายามและหัวดีไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในตัวเองแต่มองโลกในแง่ดี มีความเห็นในทางที่ดีๆให้เพื่อนๆเสมอ เฮี้ยงก็เหมือนสุยกับยุ่นคือเรียนดี มีความขยันมีความคิดและหัวไว เฮี้ยงเล่นตำแหน่งปีกขวาไม่เด่นเท่าไหร่แต่รับผิดชอบดี ทำอะไรตามหลักการและวางแผนก่อนทำอะไรเสมอ ไม่ค่อยประยุกต์ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เฮี้ยงเป็นตัวอย่างที่ดีของเพื่อนที่รู้จักหาปมเด่นมาข่มข้อด้อยของตนเอง รู้ว่าเล่นบอลสู้เพื่อนๆหลายคนไม่ได้ ก็รู้จักอยู่ฝ่ายวางแผนและเป็นสมองแทนเพื่อนๆหลายคนที่เก่งแต่ไม่ค่อยโต เฮียงจบม3สอบเข้าเตรียมอุดมไม่ได้ เฮี้ยงก็เรียนที่เทพศิรินทร์ต่อ พอม5 เฮี้ยงก็สอบเทียบม.6 ได้แล้วสอบติดบัญชี จุฬาจากนั้นก็เจอเฮี้ยงน้อยลงหลังสุดเห็นเป็นใหญ่อยู่ฝ่ายบัญชีของ nec เฮี้ยงเล่นบอลไม่เก่งและไม่ชอบฟุตบอลเท่าไหร่แต่เฮี้ยงเป็นตัวจริงในทีมของผมทั้งม.ต้นและม.ปลาย ในชีวิตจริงตอนนี้เฮี้ยงก็คงเก่งแบบนั้นแหละครับ
เพื่อนเทพ...อดิเทพเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในทีมผม มีพรสวรรค์ในแบบที่นักบอลดังๆมีกัน เทพเล่นบอลเหมือนซีดานรวมกับแบ็คแฮ่ม เทพมีความเก่งเหลือเฟือ หน้าตาดีหล่อเหลา คารมเป็นต่อแต่นิสัยพร้อมที่จะเป็นเพลย์บอย ไม่ค่อยมีระเบียบเป็นคนสบายๆไม่ชอบอะไรยุ่งยาก ชีวิตมีแต่เรื่องสบายๆต้องคอยดึงเอาใว้ไม่ให้เสียคนแต่เวลาเล่นบอลเทพเด่นเสมอ ใครเห็นใครต้องชมถ้าเทพมีระเบียบอีกนิดรับรองติดทีมโรงเรียนสบายๆ เทพเป็นเด็กบ้านหมี่อยู่บ้านเช่ากับพี่ๆในกรุงเทพฯ เทพมักชวนเพื่อนๆไปบ้านดูวีดีโอดูหนังสือ...พอจบม2 เทพก็อยู่คนละห้องกับผมเลยห่างๆกันไป เทพก็ไปเรื่อยๆจบม3ก็ออกจากเทพศิรินทร์ไป ได้ข่าวว่าชีวิตไม่ค่อยสวยนักแต่ก็จนปัญญาได้แต่ส่งใจไปช่วย ยังไงเทพก็เป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากคนหนึ่งเพราะเราร่วมเป็นร่วมตายในทีมนฤมิตรด้วยกัน ชีวิตเทพจะเป็นไงก็แล้วแต่ แต่เรื่องฟุตบอลเทพไม่เคยทำให้ผมผิดหวังและเป็นนักบอลที่เก่งที่สุดที่ผมเคยร่วมทีมด้วยตลอดกาล
เพื่อนโน...อาโนเป็นนักบอลตำแหน่งเซ็นเตอร์อาโนเรียนไม่เก่งพื้นฐานการเรียนไม่ดี ครอบครัวยากจนอาโนเอาดีทางเรียนไม่ค่อยได้เพื่อนๆต้องช่วยเสมอ แต่เรื่องฟุตบอลอาโนแกร่งไม่เป็นรองใคร อาโนขยันซ้อม มีความเด็ดขาด ตายแทนเพื่อนๆได้เป็นกองหลังที่เพื่อนๆอุ่นใจได้เสมอ ทุ่มเทเกิน100 ไม่เคยกลัวใครทำทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ เป็นมือปืนประจำตัวของผมที่ฝากชีวิตไว้ด้วยได้ อาโนรักเพื่อนมีความจริงใจ เรียบง่ายอดทน แข็งแกร่ง แต่พื้นฐานครอบครัวไม่ดีและอาโนเอาชนะมันไม่ได้ จบม.3อาโนก็ต้องออกจากเทพศิรินทร์ไปและเรียนพาณิชย์และชีวิตก็ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่...
Create Date : 01 กันยายน 2548 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 22:00:34 น. |
| |
Counter : 865 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
แนะแนวการเรียนในระดับม.4-6 |
|
หลังจากที่จบม.3มาเรียบร้อยและเลือกแผนการเรียนกันได้แล้ว ก็เริ่มตั้งเป้าหมายและวางแผนการเรียนใน3ปีต่อจากนี้ที่ต่างไปจากช่วงม.ต้น เพราะทุกเรื่องที่เรียนใน3ปีต่อจากนี้ต้องนำไปใช้ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั้งหมด เรียนแล้วลืมไม่ได้ต่างจากตอนม.ต้น ก่อนวางเป้าหมายก็มองไปในอนาคตกันซักนิด วิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังสับสนกันอยู่ แถมยังมีสอบตรง อินเตอร์ ภาคพิเศษมั่วไปหมด ไม่ต้องสนใจครับเราทำตัวเราให้พร้อมที่สุด ไม่ว่าผู้ใหญ่เขาจะให้เราแข่งกันด้วยวิธีไหนเราก็ต้องพร้อมแข่ง ยังไงก็ต้องแข่งไม่มีการเข้าเรียนได้แบบมหาวิทยาลัยใกล้บ้านหรือเอาแต่เกรดในโรงเรียนไปสมัครเข้าก็ได้แล้วหรอกมันเป็นไปไม่ได้ สำคัญเรียนอะไรไปขอให้รู้จริง และเข้าใจในทุกๆมิติของเรื่องนั้นๆจะเรียนแบบสมัยก่อนอีกไม่ได้แล้ว เพราะโลกวันหน้าเป็นของผู้ที่รู้จริงและมีความสามารถจึงจะผ่านการคัดเลือก แบบที่ท่องเยอะๆเรียนหนักๆกวดทุกวันหมดสมัยแล้วครับ
สำหรับน้องๆที่เลือกเรียนสายวิทย์-คณิต แบ่งเป็น2กลุ่มคือ
กลุ่มที่ต้องการสอบคณะหมอทั้งหลาย ต้องเริ่มเข้มตั้งแต่ม.4เลยครับ ภาษาอังกฤษ ไทย สังคม เป็นพื้นฐานต้องได้ในระดับ65% ฟิสิกส์ เคมี ชีวฯ คณิตฯ ต้องเริ่มเก็บให้หมดใน 2 ปีแรกจะเรียนกวดอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ต้องเริ่มตอนม.4 เลย พยายามเต็มที่ถ้าหลุดหมดก็ต้องเรียนวิทยานะครับ เหนื่อยหน่อยก่อนเริ่มคิดให้ดี ดูตัวเองซักนิดว่าไหวหรือเปล่าหรือชอบจริงหรือเปล่า อย่าคิดสั่นๆแค่แม่อยากให้เรียน เรียนแล้วรวย ดูว่ากลัวเลือด กลัวผีหรือมีความชอบช่วยเหลือคน มีความเสียสละให้ส่วนรวมหรือเปล่า อย่าเลือกเล่นๆเพราะมันเหนื่อยและต้องทุ่มเทมาก ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอกครับจำไว้
กลุ่มที่เรียนวิทย์เพราะอยากเรียนวิศวฯ ม.4ก็ยังไม่ต้องอะไรมากปรับตัวให้ได้กับการเรียนในม.ปลายก่อน เริ่มโตเป็นวัยรุ่นวางตัวไงดี ในโรงเรียนก็เรียนแบบหลักสูตรใหม่เน้นทำรายงานทำโครงงาน เน้นค้นคว้าด้วยตนเอง ทำงานเป็นทีมหลักการดีแต่ทำจริงเหนื่อยกันหน่อยต้องปรับตัวกันพอควร ส่วนเรื่องการเรียนพิเศษทั้งฟิสิกส์ เคมี คณิตฯ เรียนที่ไหนก็ดีหมดแหละถ้าตั้งใจไม่โดด และให้คิดว่าในโรงเรียนก็เรียนเพื่อพัฒนาไปส่วนหนึ่ง การไปเรียนกวดก็ทำให้ได้ความรู้ในอีกมิติหนึ่ง และเติมเต็มด้วยการหาคู่มือและโจทย์มาทำเพื่อให้ครบถ้วน ทุกๆบทที่เรียนไปต้องใช้ตอนสอบเข้าทั้งสิ้น เรียนไปบทละรอบเท่านั้นจากนั้นต้องวางแผนทบทวนอย่าสม่ำเสมอเองตลอด 3 ปี วิศวะมีให้เลือกเยอะคะแนนก็ไม่สูงสอบเข้าได้ไม่ยาก แต่เลือกที่ตนชอบและเรียนให้จบมันยากพอควร จบแล้วก็ต้องทำงานในสายงานนั้นๆอีกเกือบ 40 ปีต้องเลือกให้ดีๆ และที่สำคัญอีก2เรื่องคือภาษาอังกฤษจำเป็นมากในอนาคต ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอกอย่าทิ้ง อีกเรื่องคือคอมพิวเตอร์ใครเก่งได้เปรียบ โลกยุคใหม่คอมฯทำได้ทุกอย่าง อย่าเอาแต่เล่นเกมส์เพียงอย่างเดียว
สำหรับน้องๆที่เลือกเรียนศิลป์-คำนวณ
ก็สบายๆเรียนคณิตฯ ภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอไว้ มีเวลาก็เรียนภาษาอื่นๆเพิ่ม ภาษาไทย สังคมก็อ่านเองได้ ไปเรียนกวดตอนม.5นิดหน่อยก็พอ วิทย์-กายก็อ่านเองได้สบายๆ วิชาที่ยากที่สุดน่าจะเป็นภาษาไทยเพราะบางคนอ่านหนังสือไม่เป็น จับใจความไม่ได้ วิเคราะห์ไม่แตก ไปเรียนพิเศษยังไงก็ไม่คืบหน้าเพราะฐานไม่ดี ลองๆดูตัวเองนะว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่าถ้าเป็นฝึกอ่านหนังสือเยอะๆซะ ส่วนคณิตศาสตร์ก็ทำโจทย์เยอะๆทำให้จำให้ได้ในทุกบทและทำหลากหลายก็ไม่น่ามีอะไรมาก ยกเว้นว่าอ่อนคำนวณมาแต่เดิม เรียนสายนี้ว่างๆก็ดูตัวเองว่าจะสอบคณะอะไร บัญชี บริหาร เศรษฐฯ นิติ รัฐศาสตร์ มนุษย์ อีกเยอะแยะค่อยๆหาจุดเหมาะสมของตัวเอง
Create Date : 01 กันยายน 2548 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 21:59:57 น. |
| |
Counter : 1335 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
แนะแนวการเรียนในระดับม.1-2 |
|
แนะแนวการเรียนในระดับม.1-2 โดยรวมๆแล้วสำหรับน้องๆในช่วงนี้จะเริ่มเปลี่ยนจากวัยเด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่น ปัจจัยแวดล้อมจะเริ่มเข้ามามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของแต่ละคน ช่วงม1-2 นับว่ามีความสำคัญต่ออนาคตของน้องๆมาก หลักสูตรในโรงเรียนจะเน้นการเรียนเป็นกลุ่ม ฝึกให้น้องๆคิดเองทำงานเป็นกลุ่ม รายงาน โครงงานต่างๆรวมทั้งกิจกรรมในวิชาต่างๆจะมีมากมาย ปัญหาของโรงเรียนคือนักเรียนจะเยอะมากจนอาจารย์ดูแลและสอนได้อย่างไม่ทั่วถึง ทำให้บางครั้งไม่สามารถทำตามที่หวังไว้ได้อย่างมีประสิทธิผลเต็มที่ น้องๆแต่ละคนต้องปรับตัวและพัฒนาตนเองไปตามพื้นฐานของแต่ละคนโดยแยกเป็นกลุ่มๆได้ดังนี้ สำหรับน้องๆที่เรียนดีมาตั้งแต่ป.6และมีความคิดพอสมควรแล้ว ซึ่งมีเพียง 10 %ของเด็กทั้งหมด ม1-2 ก็เป็นช่วงที่ดีในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพราะมีเวลามาก ฝึกปรับตัวเข้ากับสังคมที่ใหญ่ขึ้น วางตัวให้ดีเมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนที่หลากหลายขึ้น ค่อยๆฝึกเป็นผู้ให้ที่ดีเป็นคนมีน้ำใจ ไม่เอาเปรียบใคร สร้างความยอมรับการเริ่มเป็นผู้นำในสังคม ขณะเดียวกันก็พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ด้านทักษะพื้นฐานทางการอ่าน การเขียน ความจำ การคำนวณ ด้านภาษา ทักษะที่ควนเน้นอย่างมากในช่วงนี้คือ คอมพิวเตอร์เพราะมีความสำคัญอย่างมากในอนาคต ควรลงโปรแกรมเองเป็น แก้ปัญหาต่างๆด้านพื้นฐานได้ ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆได้หมด เริ่มพัฒนาตัวเองสู่การเขียนโปรแกรมได้ ถ้าชอบทางด้านนี้อย่างจริงจัง อย่าเล่นแต่เกมส์เพียงอย่างเดียว ทักษะต่อมาคือภาษาอังกฤษควรทำความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ อย่าทิ้งหรือไม่ชอบเพราะจะเป็นปัญหาเมื่อเรียนต่อไปในชั้นสูงๆ ต่อมาคือเรื่องทักษะการคำนวณฝึกให้แม่น คิดเร็วและแก้จุดอ่อนต่างๆของตนเองทั้งเรื่องการคิดช้า คิดผิดๆถูกๆ ตื่นเต้นเมื่อต้องคิดเร็วๆและไม่ค่อยชอบคิดเลขเยอะๆ ทักษะต่อมาคือการเริ่มฝึกเป็นคนมีวิสัยทัศน์โดยเริ่มสนในความรู้รอบตัวทั้งเรื่องใกล้ตัว เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและเรื่องต่างๆในโลกนี้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้แก่ตัวเองให้เริ่มเป็นคนมีความคิดก้าวไกล เพื่อวางแผนให้กับตนเองในช่วงต่อๆไป สำหรับน้องๆที่เรียนปานกลางซึ่งมีถึง60 %ของเด็กทั้งหมด ผ่านป.6มาแบบเรื่อยๆ พ่อแม่มีส่วนอย่างมากในการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆมาโดยตลอด ในชั้นม.1-2นี้ก็ควรเริ่มต้นค่อยๆฝึกทำอะไรด้วยตนเอง ฝึกมีความคิดเป็นของตนเอง ฝึกมีความรับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆ เรื่องพื้นฐานต่างๆด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน จำ ถ้ายังไม่ค่อยแน่นก็ค่อยๆฝึกให้ดีขึ้นซะ จากนั้นค่อยว่ากันในเรื่องต่างๆตามเพื่อนกลุ่มแรกต่อๆไป สำคัญที่สุดคือทำให้ตนเองเรียนเป็น คิดเป็น มีความอยากที่จะเรียนรู้ และอยากเก่งซะก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยว่ากัน มีข้อสังเกตอยู่นิดหนึ่งคือที่ผ่านๆมาน้องๆที่อยู่ในกลุ่มนี้ถ้าปรับตัวได้ในช่วงม.1-2นี้ จะพัฒนาไปได้เร็วและแรงมากบางคนแซงเพื่อนในกลุ่มแรกได้เลยเพระสมองยังไม่ได้ถูกใช้ก่อนเวลาอันควรมากเกินไป ทำให้รับรู้สิ่งต่างๆที่สำคัญได้มากในเวลาที่เหมาะสม แต่ขณะเดียวกันถ้าไม่มีการเริ่มพัฒนาตนเองขึ้นในช่วงนี้ และยังอยู่แบบเดิมๆที่ต้องให้คนอื่นคอยคิดแทนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นแบบนี้จะพัฒนาไม่ทันในช่วงต่อไปและ ถ้าติดเพื่อน ติดเกมส์ ติดทีวี ติดการ์ตูน ติดเที่ยว จะทำให้ยิ่งจะไปกันใหญ่และอาจสายเกินไปที่จะพัฒนาในช่วงต่อๆไป สำหรับน้องๆที่เรียนอ่อนเอามากๆซึ่งมี 30 %ของเด็กทั้งหมด และยังไม่มีทักษะอะไรติดตัวมาจากช่วงประถมเลย เขียนยังไม่เป็นตัวอ่านก็ไม่ค่อยออกพูดก็ไม่ค่อยเป็นเรื่อง จำอะไรก็ไม่ค่อยได้ aถึงz ยังงงๆอยู่เลย วันๆเอาแต่เล่นๆๆๆเรียนผ่านๆไปเป็นหน้าที่ อันนี้ท่านผู้ปกครองต้องมาดูแล้วครับว่าจะแก้ปัญหาร่วมกันยังไง จะปล่อยให้กาลเวลาเป็นผู้แก้ปัญหา หรือหวังให้ครูที่โรงเรียนเป็นผู้แก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้แทนท่านหรือ ในเมื่อท่านเป็นผู้ที่รู้ปัญหาดีที่สุด และปัญหาบางส่วนของน้องๆก็ท่านนั้นแหละที่สร้างขึ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม ถึงเวลาแล้วครับที่จะร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้ความอดทนและให้กำลังใจน้องๆ และต้องเข้าใจว่าปัญหาต่างๆไม่ได้เกิดในเวลาอันสั้น เรื่องต่างๆได้เกิดต่อเนื่องมาจนกลายเป็นความเคยชินของน้องๆแต่ละคนไปแล้ว การจะแก้ปัญหาต่างๆไม่ใช่เรื่องง่ายต้องใช้เวลา แต่ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้แต่สำคัญคือต้องยอมรับและเริ่มต้นที่ จะร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่การพัฒนาตามแบบกลุ่มข้างต้นต่อไป
Create Date : 01 กันยายน 2548 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 21:59:07 น. |
| |
Counter : 835 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
แนะแนวการเรียนในระดับป.4-ป.6 |
|
แนะแนวการเรียนในระดับป.4-ป.6 เด็กในระดับนี้เป็นเด็กที่กำลังเริ่มต้นพัฒนาไปในแนวทางต่างๆ แบบอย่างในครอบครัวมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาที่จะตามมาในอนาคต ผู้ปกครองควรเข้าใจถึงธรรมชาติของเด็กและมองจุดเด่นจุดด้อยให้ออก ค่อยๆปลูกฝังสิ่งที่ดีงามในด้านต่างๆให้กับเด็ก อะไรที่เป็นนิสัยเสียที่ติดตัวมาแต่กำเนินก็ค่อยๆหาวิธีแก้หรือหาจุดเด่นมาลบข้อเสียเหล่านั้น ควรเริ่มต้นวางรากฐานและพื้นฐานของเด็กให้ดีเสียก่อน สอนให้เด็กคิดและทำในสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง และเข้ากับสภาพความเป็นอยู่ในสังคมของตนเอง อย่าเริ่มสอนหรือฝึกให้คิดในแบบที่ขัดต่อความเป็นจริง และผู้ปกครองต้องมีความเข้าใจและวางแนวทางในด้านต่างๆของลูกหลานของท่าน เพื่อเริ่มต้นค่อยๆฝึกความพร้อมในด้านต่างๆเช่น ความรับผิดชอบ ความมีคุณธรรม ความมีน้ำใจ การรู้หน้าที่ การรู้ว่าอะไรควรไม่ควร และความมีเหตุผล ความมีไหวพริบ ความเฉลียวฉลาด และความสามารถในทักษะการอ่าน พูด ฟัง เขียน ความจำ และความคิด ต้องเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำได้ในเวลาอันสั้น การเรียนของเด็กในระดับนี้พื้นฐานเป็นเรื่องสำคัญ ท่านสามารถทดสอบเด็กได้ว่าอ่านออกเขียนได้ดีหรือยัง มีสมาธิหรือไม่ เข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมาแค่ไหน ความจำมีระยะยาวแค่ไหน ทักษะทางด้านคำนวณและภาษาเป็นอย่างไร ถ้ามีด้านไหนบกพร่องท่านต้องรีบแก้ก่อนและสามารถฝึกเด็กของท่านเองได้ที่บ้าน อย่าคิดแต่ว่าเรียนที่โรงเรียนหรือไปเรียนพิเศษคือการแก้ปัญหาแล้ว ซึ้งเป็นการคิดที่ผิดอย่างมากท่านอาจทำให้ปัญหาเหล่านั้นเลยเวลาที่จะแก้ไข จนกลายเป็นจุดอ่อนของเด็กในอนาคต เด็กระดับ ป.4 ป.5 เป็นระดับที่ปรับพื้นฐานง่ายที่สุด ถ้าท่านเข้าใจปัญหาและมุ่งเตรียมความพร้อมในทุกๆด้านของเด็ก อย่าไปเน้นแต่ว่าจบป.6 เด็กต้องสอบเข้าให้ได้โรงเรียนโน้นโรงเรียนนี้แล้วโหมแต่ให้ไปเรียนอะไรที่ยากๆเกินกำลังและลืมดูพื้นฐานของเด็กไปว่ามีอะไรบกพร่อง พยายามกดดันให้เด็กรับในสิ่งที่เกินกำลังหรือเรียนในสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลา ฝึกให้เด็กเริ่มคิดหรือทำผิดขั้นตอนจนกลายเป็นความเคยชิน และทำทุกอย่างให้เด็กโดยไม่ค่อยๆฝึกให้คิดเอง ทำให้เด็กเริ่มทำหรือเรียนอะไรเพราะท่านต้องการ ไม่ใช่ทำเพราะความต้องการหรือมีแรงจูงใจให้อยากทำ และเมื่อถึงป.6 เด็กที่มีพัฒนาการที่ดีพอ เด็กกลุ่มนี้จะโตเร็วมีความคิดและเก่งได้เลยในชั้นนี้ ซึ่งมีไม่มากนักและใช่ว่าจะดีเสมอไปถ้าลูกหลานของท่านเป็นเด็กในกลุ่มนี้ ท่านต้องดูแลให้ดีอย่าให้เครียดเกินไปและอย่าให้สร้างนิสัยที่ผิดๆติดตัวไปในวันข้างหน้า ส่วนเด็กปานกลางซึงเป็นเด็กกลุ่มใหญ่ก็ค่อยๆพัฒนากันต่อไปเวลายังมีอีกยาวไกลไม่ต้องรีบร้อน ส่วนกลุ่มเด็กอ่อนซึ่งมีไม่มากนักแต่น่าเป็นห่วง ท่านปล่อยให้ปัญหาสะสมต่อกันมาจนถึง ป.6 ซึ้งเริ่มจะเป็นปัญหาที่นับวันจะแก้ยากขึ้นทุกที ถ้าเด็กขึ้นป.6 ยังอ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่เป็นตัว จำไม่ค่อยได้ คิดไม่ค่อยเป็น ทักษะคำนวณไม่มีท่านต้องอดทนนับหนึ่งใหม่และคิดเสมอว่าเวลายังพอมีที่จะแก้ไขและเข้าใจว่าปัญหาส่วนหนึ่งเป็นนิสัยเสียที่ถ่ายทอดจากตัวของท่านเองสู่เด็กครับ ข้อเสียที่ติดตัวมากับเด็กในระดับนี้อีกกลุ่มคือ ความขี้เกียจ ความเฉื่อย ความซน ความกร้าวร้าว สิ่งเหล่านี้บางอย่างเด็กเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ บางอย่างติดมาจากท่าน วิธีแก้ปัญหาคือฝึกให้เด็กทำอะไรที่ตรงข้ามกับความเคยชินเดิมๆ ฝืนเด็กบ้างถ้าจำเป็น อธิบายให้เห็นข้อเสียที่เกิดขึ้นถ้าเป็นอยู่อย่างนั้น ใช้การอธิบายพยายามหลีกเลี่ยงการสั่งให้ทำเพราะเด็กจะครับลูกเดียวจนเคยชิน สุดท้ายฝากถึงน้องๆที่อยู่ป.6 แล้วคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะแข่ง ให้คิดเสมอว่าการเรียนพิเศษเรียนเอาแนวทางส่วนการจะเก่งแค่ไหนอยู่ที่การฝึกด้วยตนเองในทุกๆวิชา คณิตศาสตร์ก็ทำโจทย์เยอะๆทำสม่ำเสมอ วิทย์ก็อ่านและฝึกวิเคราะห์อย่างเป็นขบวนการ สังคมก็อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้าและดูข่าวทีวีด้วย ภาษาไทยสำคัญเพราะทุกวิชามีตัวหนังสือทั้งนั้น อังกฤษยากที่สุดถ้าพื้นฐานดีโตขึ้นได้เปรียบ ส่วนข้อสอบวัดความถนัดการเรียนรู้ก็คือวัดไอคิวของเรานั้นเองถ้าคิดว่าฉลาดก็ทำได้อยู่แล้ว อยากสอบเข้าสาธิต หรือโรงเรียนรัฐบาล หรือเรียนนานาชาติก็สุดแท้แต่ขอให้เข้าใจว่าสังคมใหญ่ๆที่มีตัวอย่างเยอะๆหลากหลายย่อมดีกว่าสังคมที่ปรุงแต่งมาแล้ว และมีหลักง่ายๆสำหรับคนเก่งว่า....คนที่จะเก่งไม่ต้องให้ใครมาสอนมาก คนที่ต้องเรียนตลอดเวลาไม่มีวันเก่ง....
Create Date : 01 กันยายน 2548 | | |
|
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 21:58:38 น. |
| |
Counter : 1221 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|