For The Good Times เพลงที่แต่งโดย Kris Kristofferson นักแสดง นักแต่งเพลง และศิลปินแนวคันทรี่ชาวอเมริกัน ที่โด่งดังในยุค ๗๐ โดย Bill Nash นำมาร้องเป็นคนแรกในปี ค.ศ. ๑๙๖๘ ก่อนที่ Kris Kristofferson จะนำมาร้องเอง บรรจุอยู่ในอัลบั้มแรกของเขาที่ชื่อ Kristofferson เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๐
คนไทยเรารู้จักและซาบซึ้งเพลงนี้กันเป็นอย่างดีจากเสียงร้องของ Perry Como ที่ออกอากาศเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. ๑๙๗๓ กลายเป็นเพลงฮิต ไต่ขึ้นถึงอันดับ ๗ ในชาร์ตเพลงของอังกฤษเมื่อเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน และอยู่ในชาร์ตนานถึง ๒๗ สัปดาห์ หรือเกือบ ๆ ๗ เดือนเลยทีเดียว
Perry Como เป็นศิลปินชาวอเมริกันที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Pierino Ronald Como ด้วยพรสวรรค์และความสามารถที่หลากหลาย ทั้งนักร้อง นักแสดง พิธีกรรายการทีวี โด่งดังที่สุดในช่วงยุค ๕๐ - ๖๐ และกินเวลามายาวนานกว่า ๕๐ ปี
Perry Como หรือ เพอร์รี่ โคโม (๘ พ.ค. ๒๔๕๕ - ๑๒ พ.ค. ๒๕๔๔) เกิดที่ Canonsburg รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นลูกชายคนที่ ๗ จากทั้งหมด ๑๐ คน ของคุณพ่อ Pietro Como และคุณแม่ Lucia Travaglini ครอบครัวชาวอิตาเลียนที่อพยพมาจากอิตาลี ถึงแม้จะยากจน แต่ครอบครัวนี้ก็มีออร์แกนเก่า ๆ ตั้งอยู่ในบ้านที่ซื้อมาในราคาถูก เพราะบิดาเป็นคนชอบเล่นดนตรี ทำให้ Perry Como รักเสียงดนตรีตั้งแต่ยังเล็ก ปีนป่ายขึ้นไปดีดออร์แกนเล่น โดยสามารถเลียนแบบ เล่นเป็นทำนองเพลงได้ จากเพียงแค่ได้ยินเสียงโน้ต
เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น Perry Como มีพรสวรรค์สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลาย ทั้งทรอมโบน กีตาร์ และออร์แกน หารายได้จากการเป็นนักดนตรีรับเล่นตามงานและสถานที่ต่าง ๆ เช่น ตามงานแต่งงาน และตามโบสถ์ แต่ถึงแม้จะมีพรสวรรค์และความสามารถทางด้านดนตรี อาชีพที่ Perry Como ใฝ่ฝันอยากจะเป็นคือ ช่างตัดผม
Perry Como เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้าง จนมีร้านพร้อมลูกน้องเป็นของตัวเอง ลูกค้าของเขาส่วนมากคือคนงานในโรงงานเหล็ก ต่อมาลูกค้าคนหนึ่งจะเข้าพิธีแต่งงาน และมาตัดผมเสริมหล่อที่ร้านของเขาพร้อมเพื่อนเจ้าบ่าว ซึ่ง Perry Como ก็จะร้องเพลงรักขับกล่อมในขณะที่ให้บริการ จนเป็นที่ติดอกติดใจของเจ้าบ่าวและเพื่อน ๆ บอกต่อ ๆ กันออกไปจนเขากลายเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะช่างตัดผมสำหรับงานแต่งงาน มีว่าที่เจ้าบ่าวจองคิวตามมาใช้บริการมากมายทั้งในรัฐเพนซิลวาเนีย ลามไปจนถึงรัฐโอไฮโอ
ในปี ค.ศ. ๑๙๓๒ Perry Como ได้ย้ายเมือง ไปทำงานที่ร้านตัดผมของลุงที่ตั้งอยู่ในโรงแรมที่มักมีวงดนตรีแวะเวียนมาเล่นอยู่เป็นประจำ วันหนึ่ง Perry Como ได้มีโอกาสขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีกับวง Freddy Carlone and Ted Weems ซึ่งเจ้าของวง Freddy Carlone ถูกอกถูกใจ ถึงกับชวนเขามาร่วมงานด้วยในทันที ซึ่งเขาก็ตอบตกลงทั้ง ๆ ที่รายได้น้อยกว่ามากในตอนนั้น และนั่นคือก้าวแรกในการเป็นศิลปินของเขา
สามปีต่อมา Perry Como ได้ย้ายไปสังกัดกับวงออเคสตร้าของ Ted Weems เปิดโอกาสให้เขาได้ร้องเพลงอัดแผ่นเสียงเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. ๑๙๓๖ ก่อนที่ในภายหลังจะลาออกจากวง และมีแผนที่จะกลับมาเปิดบาร์เบอร์อีกครั้งในปี ค.ศ. ๑๙๔๒ แต่ก็ต้องล้มเลิกแผนไปเมื่อได้รับการชักชวนให้เป็นศิลปินภายใต้สังกัดการดูแลของ Tommy Rockwell ซึ่งสัญญาจะป้อนงานต่าง ๆให้เขาอย่างมากมาย
และ Rockwell ก็ทำได้ตามอย่างที่พูด Perry Como มีรายการวิทยุกับ CBS เป็นครั้งแรก และได้เซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียง RCA ซึ่งต่อเนื่องยาวนานในเวลาต่อมาถึง ๔๔ ปี รวมถึงการได้เซ็นสัญญากับบริษัทภาพยนตร์ 20th Century Fox เป็นเวลานานถึง ๗ ปี ในปี ค.ศ. ๑๙๔๓ และต่อมามีรายการโทรทัศน์เป็นของตัวเอง ในชื่อ The Perry Como Show ทางสถานีโทรทัศน์ NBC ที่ทำให้เขาได้รับรางวัล Emmys หรือ เอ็มมี่ ถึง ๕ ครั้ง ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๕๕ - ๑๙๕๙
และรายการโทรทัศน์นี้เอง ที่ทำให้ Perry Como โด่งดัง เป็นที่คลั่งไคล้ของสาว ๆ อเมริกันทั้งประเทศ ต่างยกให้เขาเป็น สามีแห่งชาติ และในปี ค.ศ. ๑๙๕๘ ได้รับเสียงโหวตจากวัยรุ่นทั่วทั้งประเทศ ยกให้เป็นนักร้องชายยอดนิยม แซงหน้าซูเปอร์สตาร์อย่าง Elvis Presley ที่เคยครองตำแหน่งนี้มาแล้วก่อนหน้านี้ และประสบความสำเร็จความมีชื่อเสียงมาอย่างต่อเนื่องในยุค ๖๐ และ ๗๐
ในปี ค.ศ. ๑๙๘๒ Perry Como ได้รับการเชิญจากทำเนียบขาว ให้ไปเป็นแขกรับเชิญร้องเพลงในงานเลี้ยงสเตท ดินเนอร์ ต้อนรับประธานาธิบดีอิตาลี ร่วมกับศิลปินอีกท่านที่มีเชื้อสายอิตาเลียน นั่นคือ Frank Sinatra สร้างความประทับใจให้กับตัวท่านประธานาธิบดีอิตาลีมากมายถึงกับลุกขึ้นมาร่วมร้องเพลงด้วย
และอีกครั้งในปีถัดมา ในงานเลี้ยงสเตท ดินเนอร์ ถวายการต้อนรับควีน เอลิซาเบธที่สอง ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง Perry Como ได้รับเชิญให้มาร้องเพลงในงานนั้น เพราะเป็นพระราชประสงค์ของควีนเอลิซาเบธที่สองเอง
Perry Como จากไปในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๑ ขณะมีอายุได้ ๘๘ ปี มาร่วมรำลึกถึงคุณลุงอีกครั้งด้วยเพลง For The Good Times เพลงนี้กลายเป็นเพลงรักเพลงฮิตติดอันดับสำหรับหนุ่ม ๆ สาว ๆ บ้านเราในยุคนั้น และกลายมาเป็น เพลงฮิต ตลอดกาล มาจนถึงทุกวันนี้