วันวารฯ - บททื 5
วันรุ่งขึ้นลลิตาโทรศัพท์ไปหาพี่ชาย ขอนัดทานอาหารกลางวันกับเขา ที่ห้องอาหารแห่งหนึ่งใกล้ที่ทำงานของเขา ตอนแรกชนะชัยอึกอักทำท่าจะปฏิเสธโดยอ้างเรื่องงานหรืออะไรบางอย่าง ทั้งๆที่เธอขอนัดตอนเที่ยงซึ่งเขาควรจะว่าง

“พี่ชัย ออกมาพบลิตาหน่อย เรามีเรื่องต้องคุยกัน เมื่อวานนี้ลิตาเห็นพี่ที่ห้องอาหารในโรงแรม” ลลิตาพูดประโยคสำคัญที่รู้ว่ามันจะได้ผลด้วยเสียงเรียบๆ

พี่ชายของเธอนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ลลิตาคิดว่าเขาคงตกใจที่มีคนรู้ความลับที่เขาคงจะปกปิดมานานหลายปี แล้วในที่สุดก็ตะกุกตะกักตอบเธอ

“เอ้อ..ตกลง เที่ยงนี้เจอกัน”

ชนะชัยนั่งรออยู่แล้วที่โต๊ะอาหารตัวที่อยู่ด้านในสุด ขณะนั้นเลยเวลาเที่ยงไปสิบนาทีแล้วแต่ก็ยังมีโต๊ะว่างอยู่อีกหลายโต๊ะ ลลิตาลงนั่งตรงข้ามแล้วสำรวจสีหน้าของพี่ชาย เห็นหน้าเขาค่อนข้างเครียดเและแววตากังวล หญิงสาวรู้ว่าเขาคงกลัวเธอจะนำเรื่องที่พบเห็นไปบอกมารดา ซึ่งจะทำให้เขาและอาจจะรวมถึงผู้หญิงคนนั้นและเด็กอีกหนึ่งคนครึ่งต้องเดือดร้อน เพราะทั้งเขาและลลิตาต่างก็รู้ดี ว่ามารดาไม่มีทางที่จะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาไปได้เลย

ลลิตาเหลือบมองแก้วเบียร์ตรงหน้าชนะชัย เธอคิดว่าเขาคงเครียดมาก เพราะปกติเธอไม่ค่อยเห็นเขาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ หลังสั่งอาหารเสร็จลลิตาก็เป็นฝ่ายตั้งคำถาม เพราะดูจากท่าทางของพี่ชายแล้วก็รู้ว่า เขาคงจะไม่ยอมหรือไม่กล้าเปิดปากเริ่มต้นก่อน

“ผู้หญิงกับเด็กนั่นเป็นอะไรกับพี่ชัยหรือเปล่าคะ?”

ลลิตาก็ถามไปอย่างนั้นเอง เพราะไม่รู้จะตั้งคำถามอะไรที่ดีไปกว่านั้น

ชนะชัยยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวครึ่งแก้ว ก่อนจะตอบสั้นๆโดยไม่มองหน้าน้องสาว

“ลูกกับเมียพี่”
“พี่ชัย!”

ถึงจะแน่ใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว แต่ลลิตาก็ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะตอบอย่างหนักแน่นขนาดนั้น แม้แต่สีหน้าของเขาตอนนี้ก็ดูแตกต่างไปจากชนะชัยคนเดิม ที่มีสีหน้าแววตาที่อ่อนโยนเหมือนเด็กหนุ่มๆ ที่ไม่มีอะไรในชีวิตให้ต้องรับผิดชอบมากมาย สีหน้าของเขาขณะนี้ดูมุ่งมั่นและเด็ดขาดเหมือนยอมเผชิญหน้ากับความจริง และพร้อมที่จะต่อสู้กับใครก็ตามที่เข้ามาขวางทางเขา

“แม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหมคะ?” ลลิตาทำเสียงอ่อนๆถามเขา

ชนะชัยไม่ตอบ รินเบียร์ลงในแก้วยกขึ้นดื่มอีก แล้วนิ่งอั้นอยู่อย่างนั้นแต่เมื่อเห็นน้องสาวมองอย่างคาดคั้นรอคำตอบ เขาก็พูดออกมาว่า

“ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นแหละ ตอนนี้ก็มีแต่เธอคนเดียวที่รู้”
“แล้วทางครอบครัวเขาล่ะคะ รู้เรื่องหรือเปล่า?”
“แม่กับน้องสาวเขารู้ พ่อเขาตายไปนานแล้ว”

พูดกันได้แค่นี้พนักงานเสิร์ฟก็นำอาหารที่สั่ง มาวางให้ตรงหน้าของแต่ละคนแล้วถอยออกไป หญิงสาวพยายามจะคลี่คลายบรรยากาศ ที่เริ่มตึงเครียดจากสีหน้าท่าทางของชนะชัย ด้วยการลงมือรับประทานอาหารทั้งๆที่ไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

“ทานกันก่อนเถอะ พี่ชัย เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อ”

แต่พี่ชายของเธอเหลือบมองอาหารตรงหน้าแว่บเดียวอย่างไม่แยแส ตั้งหน้าตั้งตาดื่มเบียร์ต่อไป

ทานอาหารไปได้ครึ่งจานลลิตาก็ถามว่า “แล้วพี่คิดจะทำยังไงต่อไป? ผู้หญิง..เอ้อ..แฟนพี่ก็กำลังท้องอีกคนอยู่ไม่ใช่หรือคะ?”

ชนะชัยเหลือบมองหน้าน้องสาวเหมือนจะพยายามอ่านใจเธอ ว่ารู้สึกอย่างไรและมีจุดประสงค์อะไร หญิงสาวคิดว่าเขาคงยังไม่แน่ใจว่าเธอจะยืนอยู่ข้างเขาหรือไม่

“พี่ไม่ต้องห่วง ลิตาไม่คิดจะบอกแม่หรอก นั่นควรจะเป็นหน้าที่ของพี่”

“เธอคิดว่าพี่ควรจะบอกแม่ยังงั้นหรือ?” คราวนี้เขามีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นเล็กน้อย

“ถ้าลิตาเป็นพี่ ลิตาจะบอกให้พ่อแม่รู้ อย่าลืมว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่พี่กับแฟนพี่สองคนเท่านั้น มีลูกโตแล้วหนึ่งคนและอีกคนก็คงหลายเดือนแล้ว”

ชนะชัยต่อให้ว่า “สี่เดือนกว่าแล้ว”

หญิงสาวพยายามลดความเครียดของเขาลง ด้วยการถามถึงลูกของเขา “ลูกคนโตของพี่กี่ขวบแล้วคะ”

“สามขวบกว่าๆ” ชนะชัยตอบด้วยสีหน้าที่คลายความเครียดลงไปเล็กน้อย มีร่องรอยของความรักความเอ็นดูอยู่ในน้ำเสียงของเขา

ลลิตาพยายามจะให้เขาเล่าออกมาให้หมด ด้วยการทำเสียงอ่อนๆแบบเห็นใจเขา

“ลิตาเห็นใจพี่ที่ไม่กล้าบอกแม่ ถ้าแม่รู้ก็คงเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง ถึงจะโกรธบ้างแต่แม่ก็อาจจะดีใจที่พี่มีหลานให้ก็ได้ แล้วแฟนพี่ชื่ออะไรหรือคะ ที่ถามเพราะลิตาไม่อยากเรียกเขาว่าแฟนพี่..แฟนพี่อยู่แบบนี้ มันคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไร”

“เขาชื่อนลินี พี่เรียกเขาว่าแอ๋ว”

หญิงสาวคิดว่าเขาคงจะรู้สึกดีขึ้นแล้วตอนนี้ เพราะเธอเห็นเขาวางแก้วเบียร์ลงแล้วเริ่มต้นรับประทานอาหาร

“พี่กับเขาไปพบกันได้ยังไงคะ” เธอคืบหน้าหาข้อมูลต่อไป
“เขาทำงานเป็นเลขาฯอยู่ที่เดียวกับพี่”

ชนะชัยทำงานอยู่ในบริษัทอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยางแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหารการจัดซื้อและส่งออก ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง ลลิตารู้จากมารดาว่าเขาได้เงินเดือนสูงทีเดียว

“ตอนนี้ก็ยังทำงานอยู่หรือคะ?”
“ไม่หรอก พอท้องลูกคนแรก พี่ก็ให้เขาออกจากงานมาอยู่บ้านเฉยๆ”

พูดจบชนะชัยก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อไป ไม่เป็นฝ่ายเสนอให้ข้อมูล ลลิตารู้ว่าเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องซักไซ้หาข้อมูลจากเขาเอง เพราะปกติเขาเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยจาอยู่แล้ว

“หลานลิตาชื่ออะไรคะ?” เธอรู้ว่าการให้ความสนใจยอมรับลูกของเขาเป็นสิ่งที่เขาคงคาดหวังอยู่แล้ว

“นล” ชนะชัยตอบสั้นๆ
“ชื่อจริงหรือชื่อเล่นคะ?”
“ทั้งเล่นทั้งจริงนั่นแหละ มีชื่อเดียว”
“พี่อยู่บ้านแม่เขาหรือเปล่าคะ”

ชนะชัยชะงักไปนิดหนึ่งก่อนให้คำตอบว่า “พี่ซื้อบ้านไว้หลังหนึ่ง ให้แม่กับน้องสาวเขามาอยู่เป็นเพื่อน เธอก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพี่ต้องกลับบ้านทุกคืนอยู่แล้ว จะดึกแค่ไหนก็ต้องกลับ ไม่งั้นแม่จะเป็นห่วงแล้วก็อาจจะสงสัยขึ้นมาได้” คราวนี้เขาพูดยาวทีเดียว สีหน้าของเขาก็เริ่มดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก

หญิงสาวนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่งถึงคำถามต่อไป ว่าเหมาะหรือไม่ที่จะถาม เพราะเขาอาจจะไม่พอใจแล้วเลยเลิกพูดไปเลยก็ได้ แต่แล้วก็ตัดสินใจถามเพื่อความกระจ่าง

“พี่แต่งงานหรือจดทะเบียนกับเขาหรือเปล่าคะ?”

“ไม่ได้จด แต่จดทะเบียนรับรองลูก” แล้วชนะชัยก็สงสัย “ถามทำไม?”

ลลิตาไม่ตอบแต่กลับถามว่า “แฟนพี่กับแม่เขายอมหรือคะ ที่พี่ไม่จดทะเบียนสมรส?”

“แอ๋วเขาเป็นคนไม่เรื่องมาก เขารู้ว่าพี่ยังไม่อยากให้ทางบ้านรู้ เขาก็เลยยอมเสียสละ ไม่จดก็ไม่จด แค่จดทะเบียนรับรองลูกเขาก็พอใจแล้ว”

ฟังเสียงพี่ชายแล้วลลิตาก็รู้สึกว่า เขาคงรักผู้หญิงคนนั้นมากทีเดียวและคงสงสารเห็นใจด้วย ผู้หญิงคนนั้นเล่าคิดอย่างไรกันแน่กับเรื่องทะเบียนสมรส ยอมเป็นเมียไม่มีทะเบียนได้จริงๆหรือ? เจ้าหล่อนรู้หรือไม่ว่าฐานะครอบครัวเขาเป็นอย่างไร? แต่หญิงสาวก็แน่ใจว่าคงจะรู้ เพราะทำงานอยู่ที่เดียวกันก็คงต้องรู้จักชนะชัยดีพอสมควร ก่อนจะตกลงปลงใจกัน

แม่เขายอมหรือคะ ที่ลิตาถามอย่างนี้ก็เพราะคิดว่าถ้าเป็นแม่เรา คงไม่ยอมให้ลิตาไปอยู่กับใครโดยไม่จดทะเบียนแน่”

ตอนนี้ชนะชัยรับประทานอาหารเสร็จแล้วกำลังดื่มน้ำอยู่ เขาตอบเหมือนไม่สนใจว่า “เขาก็คงอยากให้พี่จดทะเบียนกับลูกเขานั่นแหละ พี่ก็เลยให้แม่ลูกเขาไปพูดกันเอง หลังจากนั้นก็เห็นแม่เขาเฉยๆนี่”

ลลิตาอดคิดไม่ได้ว่าสุ้มเสียงของพี่ชายเธอ เวลาพูดถึงมารดาของผู้หญิงที่ชื่อนลินี มีสำเนียงแบบดูแคลนปะปนอยู่เล็กน้อย ทำให้เธอคิดว่าครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นคงค่อนข้างยากจน เพราะพ่อก็ไม่มี แม่และน้องสาวก็คงไม่มีทางไป จึงต้องมาอาศัยอยู่กับลูกสาวคนโต ที่บุญพาวาสนาส่งให้ได้เจอผู้ชายที่มาจากครอบครัวฐานะดีอย่างชนะชัย

“คุณแอ๋วเนี่ยอายุสักเท่าไรคะ พอๆกับลิตาไหม?”

ชนะชัยเหลือบมองหน้าน้องสาว ตอนนี้สีหน้าเขาเป็นปกติแล้ว ลลิตาคิดว่าเขาคงโล่งใจ ที่อย่างน้อยก็มีคนในครอบครัวคนหนึ่งรู้เรื่องแล้ว ซึ่งคงจะทำให้เขาหายอึดอัดไปได้บ้าง

“เขาอ่อนกว่าเธอสองปี” แล้วในที่สุดเขาก็ถามว่า “เมื่อกี้เธอบอกว่าพี่ควรจะบอกให้พ่อแม่รู้ใช่ไหม? พี่ก็รู้ว่าควรต้องบอกเพราะลูกพี่ก็โตขึ้นทุกวัน ในท้องนั่นอีกไม่กี่เดือนก็จะตามออกมาอีกคน แต่เธอคิดหรือว่าแม่จะรับแอ๋วได้ เธอก็รู้ว่าแม่หวังให้พี่มีเมียประเภทไฮโซ ที่เป็นลูกเศรษฐีหรือผู้ดีเก่า เรียนจบจากเมืองนอก ประเภทนั้นแหละ แต่แอ๋วไม่มีอะไรใกล้เคียงกับที่แม่หวังสักอย่าง”

ลลิตานึกสงสารพี่ชายอยู่เหมือนกัน เมื่อเห็นหน้าเขาเศร้าลงเมื่อพูดเช่นนั้น แต่ถึงแม้จะสงสารเขา เธอก็นึกเห็นใจมารดาด้วย ที่จะต้องผิดหวังเป็นครั้งที่สอง หญิงสาวรู้ว่าตอนที่เธอกับคริสเลิกกันนั้นมารดาของเธอผิดหวังและเสียใจมาก รวมทั้งรู้สึกเสียหน้าด้วย คุณลักษณาเที่ยวบอกใครต่อใครว่าเธอขอเลิกกับคริสเอง เพราะเพิ่งรู้ถึงความไม่ดีของเขา ที่ออกลายมาให้เห็นหลังจากที่รักกันมาหลายปี ถ้าต้องมาผิดหวังกับลูกชายคนโปรดอีกคนมารดาจะรับได้หรือ เพราะเรื่องของชนะชัยนั้นน่าจะใหญ่กว่าเรื่องของเธอ เขาไม่ได้แค่แอบไปมีผู้หญิงเอาไว้นอกบ้านเท่านั้น แต่ยังมีลูกตาดำๆด้วยกันอีกสองคนเป็นพยานบุคคล ที่คุณลักษณาจะทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ มารดาของเธอจะเสียใจและเจ็บปวดผิดหวังขนาดไหน ที่เรื่องของลูกสาวยังไม่ทันจางหายไปจากความสนใจของคนรอบตัว ยังจะมีเรื่องลูกชายฉาวโฉ่ขึ้นมาให้เป็นขี้ปากชาวบ้านอีก

หญิงสาวนิ่งคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องของชนะชัย เพื่อให้คุณลักษณาเสียใจน้อยที่สุด แต่เมื่อยังคิดอะไรไม่ออกเธอก็บอกพี่ชายว่า

“ลิตาคิดว่าพี่ควรบอกให้ทางบ้านรู้ เพราะลูกพี่ก็จะโตขึ้นทุกวัน ลิตาจะหาวิธีช่วยพี่ แต่ขอเวลาให้ลิตาคิดสักสองสามวันว่าจะทำอย่างไร ตอนนี้พี่ก็ควรกลับบ้านให้เร็วขึ้นหน่อย เห็นแม่บ่นหลายหนแล้วว่าพี่กลับบ้านดึกมาก วันหยุดก็ไม่เคยอยู่บ้าน แม่เขาน้อยใจพี่มากนะที่ทิ้งให้เขาอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียว คุณพ่อน่ะก็อย่างที่เรารู้ กลับบ้านดึกเป็นประจำอยู่แล้ว”

“เอายังงั้นก็ได้ พี่จะรอว่าเธอมีแผนอะไร พี่จะพยายามกลับบ้านให้เร็วขึ้น ไปเอาใจแม่หน่อย เผื่อแม่จะใจอ่อนกับเรื่องของพี่บ้าง”

แล้วเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมเธอต้องไปอยู่อพาร์ตเมนท์ด้วยล่ะ บ้านช่องเราก็ออกใหญ่โต มีคนอยู่ไม่กี่คนเอง”

ลลิตายิ้มให้เขา “โธ่ พี่ชัย พี่ก็รู้นี่ว่าลิตาทนอยู่บ้านกับแม่ทุกวันไม่ไหวหรอก แล้วอีกอย่างอพาร์ตเมนท์ของลิตาก็อยู่ใกล้ที่ทำงานนิดเดียวเอง พี่นั่นแหละอยู่กับแม่ต่อไป อีกหน่อยพอแม่ใจอ่อนพี่ก็พาครอบครัวพี่เข้ามาอยู่เสียที่บ้าน ขี้คร้านแม่จะดีใจ”

แล้วพี่น้องก็แยกทางกัน ต่างคนต่างก็กลับไปทำงาน สีหน้าของชนะชัยดูปลอดโปร่งโล่งใจขึ้น ในขณะที่ลลิตามีสีหน้าที่หมกมุ่นครุ่นคิด กว่าตอนขับรถมาหาพี่ชาย

หลังจากนั้นอีกสามวันลลิตาก็โทรศัพท์ไปหาพี่ชายอีกครั้งหนึ่ง

“พี่ชัย พี่จะขัดข้องไหม ถ้าลิตาจะขอพบคุณแอ๋วสักครั้ง”

ชนะชัยเงียบไปอึดใจเต็มก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “อยากพบเขาทำไม?”

“ลิตาอยากช่วยพี่เท่านั้นเอง ลิตายังไม่รู้จักเขาเลย ไม่มีข้อมูลอะไรทั้งนั้น ถ้าได้พูดคุยกับเขาบ้าง ลิตาคงจะหาทางช่วยพี่กับครอบครัวของพี่ได้ แต่ถ้าพี่ชัยไม่ไว้ใจลิตาก็ไม่เป็นไร ลิตาจะลองหาวิธีอื่น แต่ก็คงจะยากกว่าวิธีนี้ เพราะข้อมูลทางอ้อมอาจจะไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร”

ลลิตาเริ่มขุดหลุมล่อ เธอรู้ว่าในที่สุดเขาจะต้องยอมเพราะหวังว่าเธอจะช่วยเขาได้ ตอนนี้เธอเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของเขา และเขาก็ยังรู้อีกด้วยว่าแม้เธอกับมารดาจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก เพราะความหัวแข็งที่ไม่ค่อยจะยอมทำตามความต้องการของมารดา แต่คุณลักษณาก็เกรงใจเธอมากกว่าเขา

“ก็ดีเหมือนกัน” ชนะชัยตกลงในที่สุด “จะนัดเจอกันที่ไหน?”

หญิงสาวทำเป็นใช้เวลาคิดหาสถานที่ แต่ความจริงเธอวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว

“เอางี้ดีไหมคะ ลิตาไม่อยากให้การพบของเราประเจิดประเจ้อ เพราะอาจจะไปเข้าหูแม่เสียก่อนก็ได้ อีกอย่างลิตาก็ไม่อยากรบกวนคนท้องให้ต้องวุ่นวายออกมาพบกับลิตา ทางที่ดีให้ลิตาไปพบคุณแอ๋วที่บ้านน่าจะเหมาะกว่า หรือพี่ชัยคิดว่าเราควรจะพบกันข้างนอกดีกว่า”

ชนะชัยนั้นถึงจะไม่ใช่คนโง่แต่เขาก็เป็นคนซื่อที่ไม่เคยรู้ทันน้องสาว เขาทำเสียงโล่งอกเมื่อตอบว่า “พบกันที่บ้านก็ได้ เธอจะไปวันไหนล่ะ พี่จะได้บอกแอ๋ว ไม่งั้นจู่ๆเธอโผล่ไปเขาคงตกใจตายเลย”

หลังจากวันนั้นเพียงสองสามวันลลิตาก็ขับรถไปพบผู้หญิงที่ชื่อนลินี ที่บ้านในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งแถวบางนา บ้านหลังนั้นเป็นตึกสองชั้นหลังไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณหกสิบตารางวา มีรั้วรอบขอบชิด

นลินีในชุดคลุมท้องสวยงาม เดินตามชนะชัยออกมารับถึงประตูทางเข้าบ้าน หญิงสาวผู้นั้นซึ่งคงรู้ว่าลลิตาอายุมากกว่า ยกมือขึ้นทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม

เมื่อเข้าไปในห้องรับแขกด้านหน้าซึ่งได้รับการตกแต่งสวยงามพอประมาณ ลลิตาก็ได้พบคนอีกสองคน คือนางประนอมมารดาของนลินี และน้องสาวของนลินีที่ชื่อนิรมล ซึ่งมาคอยต้อนรับอยู่แล้ว แต่ไม่เห็นเด็กชายนลซึ่งมารู้ทีหลังว่านอนหลับอยู่ข้างบน

นิรมลนำน้ำเย็นมาเสิร์ฟแล้วเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง ส่วนนางประนอมยังนั่งอยู่ที่เดิม นางมองลลิตาอย่างสำรวจตรวจตรา

ลลิตาเริ่มต้นการสนทนาด้วยการถามว่า “คุณแอ๋วจะคลอดเมื่อไหร่คะ?”

หญิงสาวผู้นั้นซึ่งยังมีท่าทางอึดอัดกับการมา ของน้องสาวสามีตามพฤตินัย ตอบเบาๆว่า “อีกหลายเดือนค่ะ ประมาณกลางเดือนธันวาคม”

มารดาของเธอพูดสอดขึ้นมาว่า “อาจจะเร็วหรือช้ากว่านั้นก็ได้ ดูแต่นลสิ ยังเกิดก่อนกำหนดตั้งสองอาทิตย์ วุ่นวายกันเกือบตายเพราะคืนนั้นคุณชัยกลับบ้านไปแล้ว ฉันก็เลยต้องวิ่งวุ่นให้เด็กออกไปเรียกแท็กซี่ แท็กซี่ก็หายากหาเย็น แต่ยังไงก็ต้องหาทางหอบกันไปโรงพยาบาลจนได้แหละ พอไปถึงโรงพยาบาลไม่นานก็คลอดแล้ว กว่าพ่อจะมาก็เช้าอีกวัน หมอยังบ่นเลยว่าทำไมคลอดเร็ว ปกติท้องแรกน่ะเจ็บท้องนานหลายชั่วโมง แต่นี่กลับคลอดง่ายคลอดดาย”

ลลิตาเห็นชนะชัยทำหน้าเหมือนรำคาญหรือไม่พอใจ กับการสอดแทรกของแม่ยาย เขาตัดบทด้วยการถามว่า “น้าไม่ขึ้นไปดูหลานหน่อยหรือ ตอนนี้อาจจะตื่นแล้วก็ได้ จะได้พาลงมาไหว้อาลิตา”

พอได้ยินเช่นนั้นนางประนอมก็กระวีกระวาดลุกขึ้น เดินออกจากห้องนั้นไปอย่างรวดเร็วทั้งๆที่เป็นคนอ้วนอุ้ยอ้าย ลลิตายกแก้วน้ำขึ้นจิบ ตาที่ชำเลืองสำรวจไปรอบห้อง เห็นว่าเครื่องประดับตกแต่งห้องอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ คือไม่ใช่ของคุณภาพต่ำแต่ก็ไม่ได้เลิศหรู เหมือนบ้านของมารดาหรือแม้แต่อพาร์ตเมนท์ของเธอ

ส่วนหญิงสาวที่ชื่อนลินีนั้นจัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง ท่าทางสุภาพเรียบร้อยสงบเสงี่ยม แต่ก็ไม่ถึงกับทำท่าบีบเนื้อบีบเพื่อหวังประจบประแจงเธอ ซึ่งเป็นญาติฝ่ายชนะชัยคนแรกที่มาปรากฏตัวในบ้านหลังนี้

“ลิตาอยากรู้อะไรก็ถามแอ๋ว” ชนะชัยบอกน้องสาว

“ลิตาไม่ได้อยากรู้อะไรนักหรอก ที่มานี่ก็เพื่อมารู้จักกันไว้ชั้นหนึ่งก่อน จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อไป แล้วก็อยากรู้จักครอบครัวคุณแอ๋วด้วย”

ลลิตาพูดอย่างเรียบร้อย มีเหตุมีผล หน้าตายิ้มแย้มอย่างมีไมตรี

“พี่บอกแอ๋วแล้วละว่าเธอกำลังหาทางจะช่วยเรา เพราะเห็นแก่หลานที่จะโตขึ้นทุกวัน แต่แอ๋วเขากลัวคุณแม่มาก ไม่อยากจะเข้าไปอยู่ในบ้านเรานักหรอก”

พอพูดจบชนะชัยก็ลุกขึ้นยืน บอกน้องสาวว่า “คุยกันไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่ลงมา มีอะไรต้องทำนิดหน่อย”

แล้วเขาก็ลุกออกจากห้องไป เขารู้จักน้องสาวดีว่าเธอไม่ต้องการให้เขาอยู่ตรงนั้น เพราะอาจจะไม่สะดวกในการพูดคุย

เมื่อพี่ชายลับตัวหายขึ้นชั้นบนไปแล้ว ลลิตาก็หันไปสบตานลินี

“ลิตาอาจจะมีคำถามบางอย่าง ที่อาจจะทำให้คุณแอ๋วอึดอัดบ้าง แต่อย่าเข้าใจผิด ลิตาไม่ได้จะมาขุดคุ้ยอะไร ลิตาเพียงแต่ต้องการรู้เรื่องของคุณแอ๋วและครอบครัวบ้าง เพื่อจะได้หาวิธีช่วยคุณแอ๋วกับหลานของลิตา

คุณแม่ของลิตาน่ะท่านช่างซักช่างถาม ถ้าท่านถามบางเรื่องเกี่ยวกับทางนี้แล้วลิตาตอบไม่ได้ มันอาจจะทำให้เรื่องยากขึ้น คุณแอ๋วคงเข้าใจเจตนาของลิตานะคะ”

นลินีตอบว่า “เข้าใจค่ะ” ทั้งที่ความจริงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรนัก แต่เธอก็ทำตามที่ชนะชัยบอกเอาไว้ตั้งแต่คืนที่ผ่านมาแล้ว ว่าน้องสาวของเขา จะมาพูดคุยกับเธอเพื่อหาทางช่วย ถ้ามีอะไรที่พอจะบอกได้ก็ให้บอกไป

ลลิตามองความว่าง่ายของอีกฝ่ายอย่างพอใจ “พี่ชัยบอกว่าคุณพ่อคุณแอ๋วเสียไปแล้ว เสียนานหรือยังคะ?”

“หลายปีแล้วค่ะ ตอนที่เสียแอ๋วเพิ่งเรียนจบ ปวส.เข้าทำงานได้ไม่กี่เดือนเอง” เธอผู้นั้นตอบเบาๆ

“คุณพ่อทำงานอะไรหรือคะ เป็นข้าราชการหรือเปล่า? ถ้าเป็นข้าราชการมีบำเหน็จบำนาญ ทางบ้านคงไม่เดือดร้อนเท่าไหร่กระมัง”

ลลิตาค่อยๆสืบหาข้อมูลที่ต้องการ เพื่อประเมินฐานะทางบ้านของหญิงสาวคนนั้น ไม่ใช่ประเมินว่ารวยหรือจน แต่ประเมินเพื่อให้รู้ว่าจนแค่ไหนต่างหาก

“ค่ะ คุณพ่อเป็นข้าราชการ ตอนนี้คุณแม่ก็รับบำนาญของคุณพ่อทุกเดือน”

“คุณพ่อคุณแอ๋วเป็นข้าราชการระดับใดคะ?”
“หัวหน้ากองค่ะ”

ลลิตาประเมินอย่างรวดเร็ว แล้วลงความเห็นในใจว่าตำแหน่งก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร มารดาเธอน่ะหรือจะพอใจสะใภ้จากครอบครัวแบบนี้ แล้วยังนางประนอมมารดาของนลินีอีกเล่า ท่าทางเป็นชาวบ้านไม่น้อยเลย แถมยังไม่รู้จักกาละเทศะและคงจะเค็มอีกต่างหาก หญิงสาวประเมินเอาจากลักษณะการพูดจาและสีหน้าเข้มคมของหญิงวัยกลางคนคนนั้น

“คุณแอ๋วมีน้องสาวคนเดียวหรือคะ?”

“ค่ะ แอ๋วก็เหลือแต่แม่กับน้องสาวเท่านั้น คุณชัยเลยบอกให้มาอยู่เสียด้วยกัน จะได้เป็นเพื่อนแอ๋ว แล้วแม่ก็ช่วยเลี้ยงหลานด้วย” นลินีบอกด้วยเสียงอ่อนๆ

“น้องคุณแอ๋วยังเรียนอยู่หรือเปล่า?”
“ทำงานแล้วละค่ะ เขาเพิ่งจบปริญญาตรีเมื่อปีที่แล้ว เพิ่งได้งานทำไม่กี่เดือนเอง งานหายากมาก”

“เรียนจบอะไรมาคะ?”
“เขาเรียนทางด้านการเงินหรือบัญชีนี่แหละค่ะ ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับสต็อคสินค้าอยู่ซูเปอร์มาร์กเก็ตใกล้บ้าน”

ลลิตานึกถึงผู้หญิงสาวหน้าตาเรียบๆ อายุประมาณต้นๆยี่สิบที่ชื่อนิรมล แล้วลงความเห็นว่าถึงจะสวยสู้พี่สาวไม่ได้ แต่ท่าทางเป็นคนฉลาดและรู้กาละเทศะไม่น้อย ส่วนนางประนอมผู้มารดานั้นเธอไม่ให้เครดิตเลย แถมยังลงความเห็นในใจเสียอีก ว่าบุคลิกลักษณะไม่ได้ดีกว่าแม่ครัวที่บ้านของเธอเลย ครอบครัวจนๆแบบนี้น่ะหรือ ที่ครอบครัวของเธอจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องรับมาเกี่ยวดองด้วย แต่ถึงจะคิดในทางเหยียดหยามเช่นนี้

ลลิตาก็ไม่ใช่คนมองอะไรแต่เพียงผิวเผินหรือตื้นๆ ความคิดเกี่ยวกับครอบครัวนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าเธอเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง



Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2568
Last Update : 1 มีนาคม 2568 0:15:53 น.
Counter : 233 Pageviews.

7 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณmultiple, คุณหอมกร, คุณnewyorknurse, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณกะริโตะคุง, คุณtuk-tuk@korat, คุณปัญญา Dh, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณ**mp5**, คุณปรศุราม, คุณร่มไม้เย็น, คุณกาปอมซ่า, คุณสองแผ่นดิน, คุณSleepless Sea, คุณNior Heavens Five, คุณSweet_pills, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณpeaceplay, คุณThe Kop Civil, คุณtanjira, คุณอุ้มสี

  
เรื่องความรักนี่ หญิงสาวกับชายหนุ่ม ทำงานใกล้ชิดกัน
เหมือนน้ำมันกับไฟ ถึงจะเป็นเจ้านาย ลูกน้อง ก็ พร้อมจะสปาร์คได้ทุกเมื่อเลยนะครับ

แล้วก็ความลับไม่มีในโลก ลลิตา เป็นคนฉลาด
แต่ก็ไม่อยากให้พี่ชายได้เมียจน ฐานะไม่เท่าเทียมกันในสังคมอีก
แต่อีกใจก็น่าจะมี คุณธรรม สงสารเด็กๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
แต่อีกใจก็เกลียดแม่ของ น้องสะใภ้ เรื่องราวหนักใจแบบนี้
ถ้าเป็นอาจารย์เต๊ะ ต้องกลุ้มใจ ผมร่วงหมดหัวแน่ๆ อิอิ

จขบ บอก ข้าว่าเอ็ง น่าจะต้องมีประสบการณ์โชกโชน
เพราะผมเอ็งก็หรอมแหรมเต็มทีแล้วนะเนี่ย เย้ย 555

โดย: multiple วันที่: 1 มีนาคม 2568 เวลา:5:12:34 น.
  
ดูทางแล้วเรื่องของพี่ชายนี่
น่าจะจบดีแหละค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 1 มีนาคม 2568 เวลา:6:01:32 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

มาอ่านต่อแล้ว จ้ะ บล็อกนี้ เป็นเรื่อง ครอบครัวของพี่ชาย ลลิตา
ซึ่งเป็นครอบครัวที่น่าเห็นใจ เพราะฐานะไม่เท่าเทียมกัน เลยเปิดเผย
ให้พ่อแม่ฝ่ายชายทราบไม่ได้ เฮ้อ ! มนุษย์เรา ทำไม เป็นเช่นนี้ น่าจะ
ทุกยุคทุกสมัยเนาะ จึงเกิดสำนวน สมกันยังกับ กิ่งทองใบหยด ถ้า
ไม่เหมาะสมกันในด้านฐาน ก็จะไปเปรียบเทียบว่า ดอกฟ้ากับหมาวัด
อิอิ ต้องติดตามต่อไปว่า ลลิตา จะช่วยนลินี ได้สำเร็จไหม

โหวดหมวด งานเขียน ฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 1 มีนาคม 2568 เวลา:15:48:57 น.
  
มาทักทายกันยามดึกนะคะ
โดย: กาปอมซ่า วันที่: 1 มีนาคม 2568 เวลา:21:50:31 น.
  
สวัสดีครับ
โดย: Nior Heavens Five วันที่: 2 มีนาคม 2568 เวลา:21:39:17 น.
  
ตามมาอ่านย้อนหลังค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 5 มีนาคม 2568 เวลา:9:56:52 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 6 มีนาคม 2568 เวลา:9:16:30 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]



New Comments
Group Blog
กุมภาพันธ์ 2568

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
21
22
23
24
25
26
27
 
 
28 กุมภาพันธ์ 2568
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com