► ►► ..ก า ล ค รั้ งห นึ่ ง สา ม ร้ อ ยย อ ด . . .( ต อ น ที่ 1 )◄

เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อปลายเดือนห้าต้นหน้าฝนปีนี้นี่เอง
เรื่องมันเริ่มจากพี่หนุ่ย กับพี่โจน ชาวราชบุรีและชาวระยองตามลำดับ
ได้ชักชวนเราไปเที่ยวด้วยกันที่ปากน้ำไม่ใช่ปากน้ำภาษีเจริญ แต่เป็นปากน้ำปราณบุรี
ปราณบุรี อยู่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เคยเห็นแต่ในทีวีไม่เคยเห็นตัวจริงซักที ปราณบุรีเป็นเช่นไรอยากจะเห็นกับตา
เราก็เลยปฏิเสธไป
ที่ปฏิเสธไปแบบนางเอกหนังไทยพยายามปิดบังว่าใครเป็นพ่อเด็ก ก็เพราะช่วงที่จะไปนั้น งานคงยุ่งพอดี
เนื่องจากร้านขายมะยมดองในศูนย์การค้าใหญ่แห่งหนึ่งที่เราเป็นลูกจ้าง
มีกำหนดเปิดช่วงนั้นพอดี
แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้โทรไปเช็คกับผู้รับเหมา(เดาว่าคงจะวิญญานแห่งการอยากเที่ยว)
ก็ทราบว่ากำหนดการณ์นั้นเลื่อนออกไปจากเดิมพอดี
ทำให้การเดินทางไปปราณบุรีครั้งนี้ เป็นอันสำเร็จลุล่วง แฮปปี้เอนดิ้ง
หลังจากตั้งหน้าตั้งตานับวันนับคืนจนเหม็นหืนไปหลายรอบ
ในที่สุด ฟ้าก็เป็นใจ เป็นสีฟ้าสดใสวิ้งๆ
เหมาะกับการเดินทางออกเที่ยวโลกกว้างสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตเป็นที่สุด
การเดินทางครั้งนี้ ไปกับเพื่อนเก่าจำนวนสามคนที่เหลือเป็นคนที่ยังไม่รู้จักกันเลย
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะทริปนี้ไปกับคณะทัวร์คณะหนึ่ง ที่พี่หนุ่ยบังเอิญไปเจอในเว็บไซต์
เจ้าของเว็บเป็นสาวชาวไทยคนหนึ่ง เธอว่าเธอชื่อ ดิว เปิดเว็บมาหลายปีแล้ว
เปิดมาเพื่อชวนคนแปลกหน้าออกไปเที่ยวด้วยกันโดยเฉพาะ เที่ยวแบบออกตังค์ช่วยกัน
หารกันทุกอย่าง ซึ่งดีมาก เพราะค่าใช้จ่ายถูกฟิกซ์ไว้แล้ว มีคนจัดการไว้ให้แล้ว
ซึ่งก็คือดิวนั่นเอง ดิวเป็นคนดิวทุกอย่างสมชื่อ
เพื่อนเก่าสามคน ประกอบด้วยพี่หนุ่ย พี่โจน และพี่แตน ซึ่งคนหลังสุด พกเพื่อนมาด้วย
ขับรถมาจากสกลนคร ถึงกรุงเทพฯแล้วเที่ยวต่อเลย นับว่าทรหดเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อนที่พี่แตนพามาด้วย ชื่อพี่หนิง
จุดนัดพบคือปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ล้อหมุนเวลาเจ็ดนาฬิกา ปลายทางอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ 248 กิโลเมตร

.
.
.
พี่แตนและพี่หนิง
นั่งรออยู่ในร้านกาแฟพร้อมโทรศัพท์เครื่องใหม่
และกล้องที่เพิ่งซ่อมเสร็จจากการเปียกเมื่อครั้งไปเกาะล้าน
ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววของดิว
พี่หนุ่ยกับพี่โจน รออยู่แถวๆปั้มน้ำมันย่านพระรามสอง หลังจากตรงดิ่งมาจากระยอง
ถึงเวลานัด
เราทั้งสามได้ทราบว่าดิวได้ทำการรอพวกเราอยู่หน้าร้านเซเว่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เราจำดิวได้ เพราะเคยเห็นในเว็บ แต่ดิวไม่รู้จักเราทั้งสามคน
พอเข้าไปใกล้ๆผู้หญิงกางเกงขาสั้นสีขาวคนนั้น ซึ่งก็คือดิว เราก็เอ่ยประโยคทองของวัน
“ไปด้วยกันครับ!”
ความรู้สึกแห่งการเป็นผู้ชนะที่จำดิวได้ ถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของดิว
หัวเราะเพราะเห็นแว้บแรก เธอนึกว่าเราเป็นผู้หญิง
ฮึ่ม
คนที่เท่าไหร่แล้ว ขี้เกียจนับ เราอาจจะเหมือนจริงๆก็ได้เนอะ

ภาพถ่ายโดย พี่หนุ่ย
.
.
.
.
ตลอดการเดินทางด้วยรถตู้สีขาวคั้นนั้น ซึ่งดำเนินการขับโดยพี่หนึ่ง เราก็คุยกันบ้างหลับบ้าง
คุยกันเรื่องกล้องตัวใหม่ของพี่โจน คุยกันเรื่องการถ่ายภาพ
คุยถึงปูมหลังของแต่ละคนกว่าจะมารู้จักกัน
แวะกินข้าวเช้ากันที่เขาย้อย คนเยอะมาก ไม่น่าเชื่อว่าคนจะหิวข้าวพร้อมกันมากขนาดนี้
ก่อนจะถึงสามร้อยยอดไม่ไกลนัก ฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี
มีสีเทาๆของเมฆฝนเข้ามาแจมอีกแล้ว พวกเราใจเสีย
แต่ก็มองโลกในแง่ดีว่า มันอาจจะเป็นเมฆปลอมก็ได้นะ
จากการสอบถามชาวบ้านถิ่นนั้นได้ความว่า ไม่ต้องห่วง ที่นี่ฝนไม่ตกมานานแล้ว
เราใจหายวูบ ประโยคนี้ช่างคุ้นโสตยิ่งนัก คล้ายๆว่าเคยได้ยินที่ไหนซักที่

.
.
.
.
.
หลังจากตีตั๋วเข้ามาในอุทยานและแวะเข้าห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อย
ก็มาถึงเป้าหมายแรกของเรา นั่นคือ ร้านอาหาร พวกเรากำลังหิว
เลยแวะกินข้าวกันเมื่อเวลาก่อนจะเลยเพลเล็กน้อย
ร้านอาอาหารอยู่ริมหาด
กินไปพลางทางร้านเปิดเพลงคันทรี่ไปพลาง
ฟังแล้วรู้สึกอยากควบม้าไล่ต้อนวัวไปตามริมชายหาดตามอารมณ์เพลง
แต่ต้องอดใจไว้ เพราะแถวนี้ไม่มีวัวเลย
อาหารอร่อย ทานไปมองทะเลไป น้ำทะเลสีขุ่นเพราะน้ำกำลังลง
น้ำขึ้นให้รีบตัก น้ำลดมดกินปลาโบราณว่า
กินเสร็จ เดินออกมากลางแจ้ง ฝนก็ลงเม็ด
นั่นไง ใครทำฝนตกก็ไม่รู้
 .
.
.
.
เป้าหมายต่อไปคือ ถ้ำพระยานคร ซึ่งตัวเราเองก้เคยเห็นแต่ในภาพถ่าย
ยังไม่เคยเห็นของจริงเลยซักครั้ง
ทางไปถ้ำนั้น มีสองทาง คือ ทางบกกับทางทะเล
ทางบกต้องเดินข้ามเนินเขาไป สำหรับใครที่ชอบเดินและต้องการวอร์มเข่าก่อนขึ้นถ้ำ
ทางน้ำสำหรับคนชอบปลานีโมหรืออยากโดนน้ำสาดกระเซ็นใส่ตัวให้สดชื่น
พวกเราเลือกไปทางน้ำเพื่อประหยัดเวลา เผื่อฟลุคได้เจอแสงเทพแบบที่เคยเห็นแต่คนอื่นถ่าย
ซึ่งจริงๆแล้ว เราควรจะมาเร็วกว่านี้อีกนิด จะได้แสงเทพพอดี
แต่คนมันบ้านไกล ทำไงได้
นั่งเรือมาราวไม่ถึงสิบนาทีดี เรือสองลำที่เราแยกกันนั่งมาลำละห้าหกคน
ก็มาเกยตื้นที่หน้าหาดซึ่งเต็มไปด้วยต้นสนแห่งหนึ่ง
เพื่อนร่วมทริปครั้งนี้ทั้งหมดเก้าชีวิต ก็พากันขึ้นบก
พี่แตนทำกางเกงเปียก เพราะต้องลุยน้ำลึกเท่าเข่าขึ้นเรือลงเรือ

.
.
.
.
ดิวยืนสองขาเท้าสะเอวด้วยความมั่นใจ
งานนี้ดิวขาเจ็บจากการที่ไปลุกๆนั่งๆมาจากพัทยา
เห็นว่าไปแกลลอรี่ที่จัดแสดงภาพสามมิติที่กำลังบูมแห่งหนึ่ง
 .
.
.
.
เมื่อไปถึงเชิงเขาอันเป็นที่ตั้งของถ้ำพระยานคร
เราก็ถ่ายภาพกันไปเรื่อยตามประสาคนแปลกหน้าของแถวนี้
ซักพักก็มีเสียงคนเรียก น้องๆ
ไม่รู้น้องไหน คนเรียกเป็นเจ้าหน้าที่ของอุทยาน ท่าทางเป็นผู้ชาย
เป้าหมายที่เขาเรียกคือพี่หนุ่ยนั่นเอง เราเองก็เดินเข้าไปด้วยเผื่อเกิดมีการชกต่อยกันขึ้น
จะได้เป็นพยานปากเอกให้
คนเรียกเป็นผู้ชายจริงๆด้วย เขาเรียกเข้าไปสอบถามว่าเข้ามาถ่ายรายการอะไรรึเปล่า
ถ้าถ่ายรายการไปออกทีวี ต้องมีใบสั่งจากทางสำนักนายกรัฐมนตรีนะ อะไรทำนองนี้
พวกเราก็งงแตกกันสิครับ กล้องถ่ายภาพคนละตัว จะมาถ่ายรายการอะไร?
ทีมงานก็ไม่มี พี่หนุ่ยท่าทางไม่พอใจพี่คนนี้มาก ถึงกับพูดออกมาเลยว่า
“เปล่าค่ะ มาเที่ยวเฉยๆ”
พี่คนนี้เขาก็งงๆ คงนึกได้ว่ากูทำอะไรลงไปวะเนี่ย
เลยเดินจากกันมาแบบ งงๆ
 .
.
.
.
ก่อนทางขึ้น มีร้านค้าร้านขายอยู่เชิงเขา
ขอแนะนำให้ซื้อน้ำขึ้นไปด้วย เอาขวดเล็กๆก็พอ
ทางขึ้นเป็นทางชัน ประมาณ 45 องศา ระยะทาง 430 เมตร
ด้วยความที่เป็นเขาหินปูน ทำให้เดินยากพอสมควรจนชวนให้ถอดใจ
เราเองก็จะเป็นลมอยู่หลายตลบ ด้วยความที่เพิ่งกินข้าวเพลมาหมาดๆ
ร่างกายกำลังระดมเลือดไปย่อยอาหาร การที่ต่องแบ่งเลือดมาเลี้ยงขา ทำให้หัวใจทำงานหนัก
จนอยากหยุดพักชั่วคราวกันเลยทีเดียว
 .
.
.
.
สิ่งที่ควรมีแต่ไม่มีคือ ป้ายบอกทางว่าตอนนี้ เราเดินถึงไหนแล้ว
อีกกี่เมตร จะได้ประเมินกำลังตัวเองว่าจะเดินถึงรึเปล่า?
เราได้แต่เดินเรื่อยๆไปตามยถากรรม ประมาณว่า เป็นลมเมื่อไหร่ช่วยหามเราลงไปด้วย
ที่นำหน้าเราไปคือพี่แตนกับพี่หนิง
เราเดินกับปาน หนึ่งในเพื่อนร่วมทริปและพี่หมวย
ตามมาด้วยไผ่ เพื่อนร่วมทางชันอีกคน
เดินไปซักพักใหญ่ๆ ก็เจอค่าง
เป็นค่างหายาก ชื่อว่าค่างแว่นถิ่นใต้มากันเป็นฝูงใหญ่
ปานหยิบเลนส์เทเลขึ้นมาเปลี่ยน เราใช้เลนส์ซูมคอยถ่าย
เสียงชัตเตอร์ดังรัว
ค่างแว่นที่นี่ เชื่องมาก แต่โอกาสเหมาะจริงๆ ถึงจะมีโอกาสเห็น
นับว่าเป็นโชคดีของคณะเรา

.
.
.
.
.
ขณะกำลังเพลินกับค่างจนลืมแสงเทพอยู่นั้น
เราก็พบว่า เราได้ถึงปากถ้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แหม ยังอยากเดินต่ออยู่เลย
ตอนหน้าจะพาเข้าถ้ำ
ลาไปด้วยภาพค่างแว่นสองตัว ชื่อ ปีโป้ กับ โยโย่
พบกันใหม่ตอนหน้า เร็วๆนี้

. .
.
.
ลงนาม
เป็ดสวรรค์
ชายผู้วิ่งขึ้นเขาโดยไม่หยุดหายใจ
ปอลิงกัง ทำภาพเล็กลงแล้ว เพื่อการโหลดที่ไวขึ้น
. . . . .
.
ขำจัง ไดอารี่จริง เขียนโดนใจ อย่าลืม

การแข่งขันทำให้เราพัฒนาครับ แต่อย่าจริงจังกับมันมาก เอาหนุกๆก็พอ เนอะ
            
ชวนไปพบปะกันในเฟสบุ๊ค
กดไปตามนี้โลด
Create Date : 17 มิถุนายน 2555 |
|
39 comments |
Last Update : 22 มิถุนายน 2555 0:30:43 น. |
Counter : 2815 Pageviews. |
|
 |
|