กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 25

โอ้..อินเดีย 25

เช้าวันนี้พวกเราถูกปลุกตั้งแต่ เช้ามืด
เพราะหัวหน้าทัวร์ต้องการให้ไปดู...แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี
ที่อินเดียนี่ มีอะไรแปลก ๆ มากมาย
คนอินเดีย ก็คิดอะไร เชื่ออะไรแปลก ๆ เยอะแยะ
อันนี้ตามความคิดของผมแต่ผู้เดียวนะ...
คนที่นี่เค้ามีนิยายปรัมปรา หลายเรื่องที่พวกเค้ารู้สึกเป็นจริงเป็นจัง
เช่นเรื่อง มหาภารตะ , รามเกียรติ์ , วิกรมาทิตย์ .......
ซึ่งหลาย ๆ เรื่องนั้นมีชื่อเมืองเกี่ยวพันกับ พาราณสี เกือบทั้งนั้น
พระอาจารย์วิทยากร ท่านก็บอกว่า พาราณสีเป็นอินเดียแท้ ๆ
ใครอยากเข้าใจคนอินเดีย ก็ให้มาที่นี่

อีกประการก็คือ เมืองนี้ถือว่าเป็นหัวใจ หรือเป็นป้อมปราการ ของศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู
ไม่มีใครหรือศาสดาองค์ไหน เข้าแทรกแซงทำลายได้
แม้แต่ พระพุทธองค์บรมศาสดา ของพวกเราก็ยังหลีกเลี่ยงไม่อยากยุ่งเกี่ยวเท่าใดนัก
หากว่าในตอนนั้น ปัญจวัคคีย์ ไม่ได้อยู่ที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
เราก็อาจจะไม่ได้ยินชื่อเมืองนี้ ในประวัติพุทธศาสนาเลยก็ได้
เมื่อโปรดปัญจวัคคีย์ และพระสาวกรุ่นแรกรวม 60 องค์
แล้วส่งไปประกาศพระศาสนายังทุกสารทิศ
ส่วนพระพุทธองค์เอง ก็ไปที่ ตำบลอุรุเวลา เพื่อโปรดสอนพวกชฎิล 3 พี่น้อง
ซึ่งมีสาวกอยู่รวมถึง 1,000 คน
ยุทธศาสตร์ของพระองค์แยบยลมาก ใช้หลัก...ยิงคนให้ยิงม้า จับโจรให้จับหัวหน้า
ท่านปราบพี่ใหญ่ อุรุเวลกัสสปะ ให้ยอมรับอย่างราบคาบได้
ทำให้น้อง ๆ คือ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ก็ยอมตามด้วย
แล้วพระบรมศาสดา เห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นนับถือการ...บูชาไฟ มาตลอด
จึงทรงแสดง อาทิตตปริยายสูตร อันว่าด้วยโทษแห่ง ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ
จนกระทั่งบรรลุธรรมทั้งหมด
แล้วจึงนำขบวนไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ในกรุงราชคฤห์
โดยพระองค์ท่านก็ไม่ได้คิดจะข้องแวะ พาราณสี เมืองที่ตั้งมั่นของฮินดูอีกเลย

ต่อมาพวก อิสลาม บุกรุกรานเข้ามามีอำนาจในอินเดียอย่างมาก
แต่ก็ทำอะไรเมืองพาราณสี ไม่ได้
ถึงแม้จะมาในยุคหลังที่ อังกฤษ เข้าปกครองอินเดียทั้งประเทศ
แต่ก็ทำอะไร เปลี่ยนแปลงอะไร หรือครอบงำเมืองนี้ไม่ได้เลย
ความเจริญทางวัตถุ และไลฟ์สไตล์ตะวันตก คนที่นี่ปฏิเสธหมด

ระหว่างทางที่รถวิ่งไปยัง แม่น้ำคงคา ผมเห็นสิ่งที่นึกไม่ถึง...
มีรถตู้คันหนึ่งแซงรถบัสของเรา ผมมองไปเห็นคนนั่งอยู่เกือบเต็มรถ
แต่บน...หลังคา...มีสัมภาระบางอย่างถูกมัดอยู่ ลักษณะเป็นห่อผ้ายาว ๆ
เมื่อเข้ามาใกล้หน้าต่างที่ผมนั่งอยู่ถึงได้เห็นชัด ๆ ว่า
สิ่งที่เค้ามัดเทินไว้บนหลังคารถน่ะ...ไม่ใช่สัมภาระ
แต่เป็น...ศพคนตาย ห่อผ้าขาวไว้มิดชิด
แทนที่จะใส่ไว้ในตัวรถอย่างที่บ้านเมืองอื่นเค้าทำกัน
ดั๊น..น..เอาไปมัดไว้บนหลังคา...บนหลังคา นะนายจ๋า
ผมเห็นแล้ว ช๊อค ไปชั่วขณะ

เราไปถึงในเวลายังเช้ามืดมาก
หัวหน้าทัวร์ สั่งให้รถบัสไปจอดให้ใกล้แม่น้ำ ให้มากที่สุด
แต่ก็ยังห่างจาก ท่าน้ำ มากพอสมควร
พวกเราต้องลงเดินไปตามทางเล็ก ๆ ทางน้อย ๆ อีหลุกขลุกขลักชะมัด
แต่ระหว่างทางก็ได้เห็น เรื่องราว ความเชื่อ ความจริงของชีวิตคนอินเดีย
ผู้คนที่อยู่ด้วย ศรัทธา หรืออะไรบางอย่างพยุงชีวิตพวกเค้าไว้
ตลอดทางที่เดินไป ผมแทบจะไม่เห็นสิ่งที่เป็นเรื่องยั่วยุกิเลส ตัณหา เหมือนบ้านเมืองอื่น
เห็นก็แต่คนเร่ร่อน ขอทาน คนยากจน ระเกะระกะไปหมด
มีวัว แพะ นอน หรือเดินไปมาแบบไม่มีการบังคับ หรือผูกมัด
จะยืน จะเดิน จะนอน จะขี้...ตามสบาย
บนถนนก็มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งวุ่นวาย บีบแตรลั่นตลอดเวลา
มีรถสามล้อถีบ จักรยาน และก็ วัว ชุลมุนไปหมด
ยิ่งใกล้ถึงท่าน้ำ ก็จะเจอพวกโยคี หรือนักบวชประเภทต่าง
คนทั้งหลายพากันเดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน คือ ท่าน้ำ
ซึ่งเห็นว่ามีทั้งหมดตั้ง 64 ท่า

หลังจากเดินกันอย่างเลิ่กลั่ก ระมัดระวังเหยียบ...ขี้
ไม่รู้ว่า ขี้ อะไรบ้างมันทั้ง ขี้วัว ขี้แพะ ขี้แขก ขี้คน
แล้วก็มาถึงบริเวณท่าน้ำจนได้...
ทางหัวหน้าทัวร์เหมาเรือให้พวกเรา 2 ลำ
สังเกตุดูนะ โอ้โฮ...ผู้คนมากมาย ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งผู้แสวงบุญ
ทั้งคนแขกอินเดียทั้งชาย ทั้งหญิง ทั้งนักบวช โยคี และอื่น ๆ อีกมากมาย
ในน้ำก็มีเรือนักท่องเที่ยวแสวงบุญ นักท่องเที่ยวฝรั่งผจญภัย นักท่องเที่ยวแบบเศรษฐีก็มี
ที่ท่าน้ำตลอดทางมีคนมาอาบน้ำ ซักผ้า ดำผุด ดำว่าย
บางพวกก็ยืนพนมมือท่วมหัวภาวนาไม่สนใจใคร
บางคนก็ทำอาการคล้าย ๆ โยคะ หรือนั่งสวดมนต์ออกท่าออกทางต่าง ๆ
คนขับเรือก็พาพวกเราแล่นช้า ๆ เลียบตามริมฝั่งไปเรื่อย ๆ
จนมาถึงบริเวณที่เค้าบอกว่า ท่ามณีกรรณิการ์ อันโด่งดัง
ท่าน้ำที่เชื่อกันว่า กองไฟของการเผาศพ ไม่เคยดับมอดมาเป็นพันปีแล้ว
คนอินเดียเชื่อกันอย่างจริงจังว่า แม่น้ำคงคา คือแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
ผู้ใดได้มาอาบ มาดื่มกิน มาสวดมนต์ภาวนา
และมา ตาย ที่นี่จะได้ขึ้นสู่สวงสวรรค์...ไม่ว่าจะเป็นคนดี หรือเลวแค่ไหนก็ตาม
เพราะฉะนั้นทุกคน...ทู๊ก.ก..คน ก็จะพยายามตะเกียกตะกายมาถึงให้ได้
ถ้าแค่ใกล้ตาย ยังไม่สิ้นลม ก็จะให้ญาติพี่น้องช่วยพามาเช่าที่พักอยู่ริมแม่น้ำคงคานี้
ซึ่งมีมากมายเป็นอาคารขนาดใหญ่แบ่งห้องเล็ก ๆ ไว้
เรียกกันว่า...มรณาโฮเต็ล
เมื่อสิ้นใจ ตาย ก็ต้องรีบเผาที่ริมแม่น้ำภายในไม่เกิน 24 ชั่วโมง
เท่าที่เห็น ศพ ยังไม่ทันแข็งตัวก็เผาแล้ว
บางรายแก่มาก ป่วยหนัก รีบมาเช่าพักอยู่แต่อยู่ไปหลายวันแล้วไม่ตาย
ญาติก็ต้องพากลับไปบ้านก่อน เอาไว้ใกล้ตายอีกทีค่อยมากันใหม่
แต่บางราย ไม่ตาย เกิดหายจากโรคที่เป็น
ทว่าธรรมเนียมบางแห่งมองว่าเป็น กาลกิณี ไม่ให้เข้าบ้านแล้วก็มี
โธ่...น่าเศร้าที่สุด

พวกเราลอยเรือมาถึงท่าน้ำที่ใช้เผาศพนี้ พอดีมีการหามศพมาเตรียมไว้
พระอาจารย์เลยให้คนขับพาเข้าไปหยุดดูใกล้...แต่ห้ามถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เด็ดขาด
เราเลยโชคดีได้เห็น พิธีการ อย่างละเอียด
คนงานที่หามมาแล้วก็ต้องเอาจุ่มน้ำชำระล้าง 3 – 5 ครั้ง
แต่ทว่า ศพ รายนี้เป็นผู้ชายแก่ตัวใหญ่มาก อ้วนอีกต่างหาก
เลยไม่สามารถหามลงไปจุ่มน้ำได้ จึงใช้วิธีแก้เอาผ้าพันห่อศพออก
พวกเราถึงได้เห็นกันอย่างชัดเจน ไม่มีเซนเซอร์
ศพชายแก่ร่างใหญ่นี้ มีเพียงผ้าขาวนุ่งมาผืนเดียวเท่านั้นเอง
พวกเขาจับ ศพ นั่งแล้วตักน้ำในแม่น้ำมาราดรดทำความสะอาดไปทั่วตัว
ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วค่อยพันผ้ากลับเข้าไปใหม่
จากนั้นก็ช่วยกันแบกไปวางไว้บนกองฟืนที่เตรียมไว้
เอาฟืนอีกหลายท่อนวางทับไปบนร่างอีกที แล้วก็ราดน้ำมันจุดไฟเผากันสด ๆ เห็น ๆ
ใหม้หมดฟืน พอไฟมอดทิ้งให้เย็นแล้วโกยเถ้าถ่านทิ้งลงแม่น้ำ
ซึ่งพระอาจารย์อธิบายว่า ฟืนที่อินเดียนี้ราคาแพงมาก
ถ้ารวยหน่อย พอมีเงินซื้อฟืนได้เยอะ ก็จะเผาได้หมดเกลี้ยง
แต่ถ้ายากจนไม่ค่อยมีเงิน ก็จะซื้อฟืนได้นิดเดียว เผายังไม่ทันหมดทั้งตัว ไฟก็มอดแล้ว
ก็ต้องโกยเอาที่เหลือทิ้งลงไปในแม่น้ำอยู่ดี
ระหว่างนั้นก็เห็นมีศพอื่น ๆ หามมารอคิวเผากันอีกหลายราย
อ้อ...ท่านอธิบายว่า มีศพบางประเภทที่เขาไม่เผา
แต่ห่อผ้าแล้วหย่อนลงแม่น้ำคงคาไปเลย
ถ้าจำไม่ผิดก็ นักบวช , หญิงม่าย , เด็ก และคนที่ถูกงูกัดตาย
แล้วบางทีก็มีนักบวชนิกายประหลาด ที่เรียกว่า...อกุลี
จะคอยแอบเก็บเอาไปทำ พิธีกรรม บางอย่างต่ออีกที
ฟังแล้วออกแนวไสยมืดยังไงก็ไม่รู้ แฮะ

ระหว่างที่เรากำลังดูการเผาศพอยู่นั้น ก็เห็น...หมา สุนัขนั่นแหละ
เดินป้วนเปี้ยนไปมาหลายตัว แล้วเจ้ากรรม เอ๊ย....
มีตัวหนึ่งมันเดินลุยลงไปในน้ำตื้น ๆ ไปคาบ...แขน ที่มีมือติดมาด้วย
เอามานั่งแทะกิน...อึ๋ย..ย...ย เห็นแล้วจะอ๊วก

ดูจนหนำใจแล้ว เราก็แล่นเรือออกไปกลางแม่น้ำ ทำพิธีลอยกระทงที่ทำจากใบไม้
เพื่อขอขมา...พระแม่คงคา
ระหว่างที่ลอยเรืออยู่กลางแม่น้ำ ยังเห็นมีห่อผ้าที่มีอะไรบางอย่างข้างใน
ลอยกะผลุบกะโผล่ อยู่ก็มี
แสดงว่านับเนื่องกันมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว
ในท้องแม่น้ำคงคาสายนี้ จะต้องมีกระดูกคนทั้งที่เผาแล้ว และไม่ได้เผา
อยู่จำนวนมากมายมหาศาลซักแค่ไหนเนี่ยะ

พระอาจารย์มหาเกษม ที่อยู่ลำเดียวกับพวกผมอธิบายว่า...
ที่อินเดียนี่ มีข้อดีอย่างหาที่ไหนไม่ได้ คือ...สัจจธรรม
เราจะเห็น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างชัดเจน
พวกเค้าได้ใกล้ชิดความเป็นจริง โดยไม่มีการปิดบังอำพราง
มากกว่าคนในสังคมอื่น ประเทศอื่น
ทำให้พวกเค้าเหล่านั้น ปล่อยวางกิเลส ตัณหา อุปาทานได้ง่าย
ให้สังเกตุดูนะ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่แบบง่าย ๆ ปฏิเสธความฟุ้งเฟ้อแบบสังคมตะวันตก
เพราะเขาเห็นเทวทูตทั้ง 4 อยู่แทบทุกวัน
เข้าใจดีเลยว่า...จะเอาอะไรไปมากมาย เดี๋ยวก็ตายกลายเป็นศพ
นอนบนกองฟืน แล้วก็มอดไหม้หมดไม่มีเหลือ
ที่บ้านเมืองของเราซะอีก นะ...ปกปิดความเป็นจริง
ความน่าเกลียด ความตายก็ใส่โลงปกปิดติดลวดลาย อย่างสวยงาม
เผากันในเตา กันอุดจาดไม่มีใครเห็น
ทิ้ง ความดี ไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชม
เหลือแต่ ความชั่ว เอาติดตัวไปเท่านั้น
เอ๊ะ...พระอาจารย์พูดยังไง ชอบกล

แต่น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งหลายเอาทุกสิ่งไปฝากไว้กับพระเจ้า
และเทพที่มีอิทธิฤทธิ์ช่วยดลบันดาล ให้พ้นความทุกข์ที่เกิดขึ้นสารพัด
ไม่คิดที่จะทวนกระแส ด้วยกำลังของตัวเอง
เอาแต่วิงวอน และทำทุกอย่างให้ถูกใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ไม่คิดที่จะพัฒนาตนเองให้ มีฤทธิ์ มีเดช สามารถต่อสู้กับมารในจิตใจ
เห็นความจริงอันเป็น ทุกข์ อยู่ต่อหน้าแท้ ๆ
เห็นสัจจธรรม การเกิด ดับ อยู่ตำตา
แต่ไม่ใช้...อริยสัจ
อันที่จริงชาว ฮินดู เป็นมังสวิรัติซะส่วนใหญ่
ดำเนินชีวิตก็ ละ ลด ปลด วาง มัธยัสถ์กันอยู่แล้ว
ศาสนาของเขาเน้นการทำให้เทพเทวาพอใจ
ร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือ ความเห็นใจ
เซ่นสรวงบูชาด้วยอามิส ด้วยชีวิตสัตว์
แล้วก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่รู้อีกกี่ภพ อี่กกี่ชาติ...

เฮ้อ...น่าเสียดาย
น่าเสียดาย...


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2555    
Last Update : 4 มิถุนายน 2555 15:22:20 น.
Counter : 3757 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 24

โอ้..อินเดีย 24

เล่าค้างไว้ถึง ธัมเมกขสถูป สารนาถ
ออกจากบริเวณพระสถูปแล้วก็เดินข้ามถนนไปที่...พิพิธภัณฑ์สารนาถ
เพื่อชม...พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา
เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 800 - 1000
ยุคนี้ นับว่าเป็นยุคที่มีความเจริญสูงสุด แห่งพุทธศิลป์
พระพุทธรูป ที่ถูกค้นพบ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
องค์พระสร้างจากหินทรายเมืองจูนาร์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีหินทรายคุณภาพดีที่สุด
มีความสูงจากฐานถึงพระรัศมี 1.6 เมตร หน้าตักกว้าง 0.79 เมตร
ประทับนั่งในท่าขัดสมาธิเพชรบนพระแท่น
พระหัตถ์อยู่ในท่าทรงแสดงธรรม สื่อความหมายถึงการไขปริศนาธรรมที่ถูกปกปิดมานาน
ด้านบนมีพระรัศมีแผ่เป็นวงกลม ปรากฎเป็นรูปเทวดา ๒ ตน กำลังโปรยดอกไม้บูชาพระพุทธองค์
ตรงกลางฐานพระพุทธรูปแกะสลักเป็นวงล้อพระธรรมจักรอยู่บนแท่น
มีกวางสองตัวหมอบอยู่ทั้งสองข้าง มีรูปพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ขนาบสองข้าง
ด้านซ้ายมีรูปสลักสตรีและเด็ก สันนิษฐานว่า เป็นเจ้าภาพผู้สร้างองค์พระพร้อมบุตร

พระพุทธรูปปางปฐมเทศนานี้ ถือกันว่า เป็นพุทธปฏิมาที่งดงามมาก
ที่อินเดียมีการประกวดพุทธปฏิมากันหลายครั้ง องค์นี้ก็ชนะทุกครั้งจนต้องห้ามส่งเข้าประกวดอีก
นับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดในโลกองค์หนึ่งก็ว่าได้...
สวยงามล้ำลึก ทั้งในความหมายและรูปแบบทางศิลปะ

ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่งดงามล้ำลึก
มีวงล้อธรรมจักร สลักจากหินทราย ทั้งแฝงความหมาย ทั้งสวยงามมาก
ว่ากันว่า รูปธรรมจักร ที่เราเห็นกันทั่วไปก็จำลองมาจากอันนี้ทั้งนั้น
แล้วยังมีหัวเสารูปสิงโตสี่ตัวหันหลังชนกัน สลักจากหินทรายเมืองจูนาร์เหมือนกัน
เพราะเป็นหัวของเสาอโศกนั่นเอง ฝีมือละเอียดอ่อน วิจิตรบรรจงอย่างยิ่ง
ประเทศอินเดียได้ใช้รูปสิงโตนี้เป็นสัญญลักษณ์ด้วยนะ

จากนั้นพวกเราก็พักอาศัยกันที่...วัดไทยสารนาถ
วัดแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นวัดราษฏร์ ไม่ใช่วัดหลวง คือไม่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลไทย
พระครูประกาศสมาธิคุณ (สังเวียน ญาณเส วี) จากวัดมหาธาตุ สนามหลวง กับเพื่อนพระชาวศรีลังกาช่วยกันสร้าง
มีโบสถ์ที่สวยงาม และแปลกมากในสายตาของผม
เพราะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน หน้าและหลัง
มีพระประธานในโบสถ์ 2 องค์ 2 ชุด สลักจากหินทรายทั้ง 2 องค์
แต่เป็นคนละปางกัน
แต่ที่ตื่นตะลึงที่สุดคือ พระพุทธรูปยืนเด่นเป็นสง่า สูงประมาณ 30 เมตร
เป็นศิลปะแบบคุปตะ หรือคันธาระแต่ผมว่าดูแล้วเหมือนกับทางพวก กรีกโบราณ ซะมากกว่านะ
หลวงพ่อรักษาการเจ้าอาวาส เล่าให้ฟังว่า
ตั้งใจสร้างให้เหมือนกับพระพุทธรูปยืนที่เมือง บามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน
ที่ถูกพวกกบฏตาลีบัน ทำลายด้วยระเบิดไดนาไมท์
พระพุทธรูปองค์นี้ สูงใหญ่ ยืนตระหง่านอย่างสง่างามมาก
ในเมืองสารนาถนี้ มองเห็นองค์ท่านได้ชัดเจนมาก
เป็นแลนด์มาร์คได้เลย
สลักจากหินทรายสีชมพูจากเมือง จูนาร์ เหมือนกัน
แต่ต้องใช้หินสลักก้อนขนาดประมาณ 1 เมตร ถึง 600 ก้อน
ผมไปยืนองค์พระท่านด้วยความตื่นตะลึง ปนกับความภูมิใจ
งามสง่ามาก จริง จริง
แต่ดูไปดูมาก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะลักษณะพระกร มือซ้ายท่านเหมือนหิ้วอะไรซักอย่าง
ท่านรักษาการเจ้าอาวาส ก็ช่วยบอกว่า...มือซ้ายท่านจับยกชายจีวร เพื่อก้าวเดิน
เพื่อสื่อถึงการออกประกาศพระศาสนาของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วัดแห่งนี้ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกคือ
เป็นที่พักอาศัยของ พระสงฆ์ ที่มาเล่าเรียนในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก หลายรูป
ตามความประสงค์ของท่านเจ้าอาวาส ที่ตั้งใจสร้างวัดไว้เพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษาของพระไทย
และช่วยเหลือการแสวงบุญ ของคนไทย
พวกคณะผู้แสวงบุญอย่างพวกเรา ก็ได้อาศัยกินอาหารไทย รวมถึงน้ำชา กาแฟสารพัด
อาศัยอาบน้ำอาบท่า ปลดถ่ายทุกข์ และนอนกันอย่างสุขสบายด้วยแหละ
อย่างที่เคยบอกไปแล้ว มาวัดไทยในอินเดียแล้ว
บรรยากาศความรู้สึก มันก็บ้านเรานั่นเอง...อบอุ่น ปลอดภัย สบายใจ

หลังจากกินอาหารกันอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว พวกคุณสาว ๆ ก็คุยกันเรื่องจะไปซื้อผ้า
ที่เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องผ้าทอ...ผ้ากาสี
ของแท้ต้องทอด้วยมือ แฮนด์เมด และต้องที่เมืองนี้เท่านั้น
ผมเองมีชีวิตใกล้ชิดกับ พาหุรัด และเรื่องผ้าผ่อน แพรพรรณ
ต้องเดินไปเลือกซื้อผ้าทุกอาทิตย์ โดยเฉพาะพวกผ้าทอ ผ้าทอง ผ้าไหม ฯลฯ
แต่พอมาเจอผ้ากาสีแท้ ๆ ก็ยอมรับนะครับว่า...ของเค้าสวยจริง ๆ
ทว่าราคาก็พอสมควรเชียวแหละ
อีทีนี้ พวกคุณสาว ๆ ก็พากันเฮละโลไปที่ร้านขายผ้า...หน้าวัด
ใช่ครับ หน้าวัดไทยสารนาถ นี่เอง
เพราะวงการนักช๊อปเค้ากระจายข่าว บอกกันต่อ ๆ มาว่าร้านเนี๊ยะถูกที่สุดแล้ว
ผมก็เดินตามคุณหมอทั้งหลายไปกับเค้าด้วย
แต่โอ้โฮ...ร้านคูหาห้องเดียว ทั้งทัวร์ยัดกันเข้าไปได้ตั้งเกือบ 70 คน
ในร้านน่ะผู้หญิงทั้งน้าน..น... คุณผู้ชายได้แต่ยืนรอข้างนอก
อาบังเจ้าของร้านก็แสนจะดีใจ...ลูกค้ากระเป๋าหนักแน่นร้านเลย
แกขนผ้าออกมากองให้เลือกอย่างจุใจ ผมเองขนาดเบื่อ ๆ เรื่องผ้า ยังอดมองไม่ได้
ที่สำคัญราคามันถู๊ก..ก..ถูก
ที่ซื้อกันจนแทบหมดโรงงาน ก็ผ้าพันคอแพรเนื้อนุ่มนิ่ม มีลายในเนื้อผ้า
ถ้าจำไม่ผิดนะ ผืนละ 50 บาทเอง ถูกเป็นบ้า
แต่ละคนก็ขนซื้อกันคนละหลายสิบผืน เห็นว่าจะเอาไปเป็นของฝาก
แต่มันเนื้อนุ่มดี ลายสวย ใช้ได้เลยแหละ คนรับก็น่าจะชอบมาก ๆ ด้วยนะ
ยิ่งสีขาวด้วยแล้ว เห็นว่าซื้อไปฝากผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน
ใช้ได้ทั้งพันคอ หรือเป็นสไบพาดห่มอก ก็ดูดีมากเลย

ที่ขำไม่ออก คือร้านที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณเดียวกันมีตั้งร่วม 10 ร้าน
แต่ไม่มีใครยอมไปซื้อร้านอี่น ทนเบียดกันร้านแทบปริอยู่ได้ที่ร้านนี้
บรรดาเจ้าของร้านอื่นก็ค่อย ๆ เดินมามองทำตาปริบ ๆ
บางคนออกอาการอิจฉาตาร้อน อย่างออกหน้าออกตาก็มี
แล้วก็จับกลุ่มกันหาวิธีพยายามแย่งลูกค้า
ถึงขนาดเดินมายืนกระซิบกระซาบข้าง ๆ ...
ของผมก็มีนะ...ของผมดีกว่านะ...ของผมถูกกว่านะ...
ไปดูก่อนนะ ไปนะ ไปนะ... มายืนบ่นออดอ้อนอยู่นั่นแล้ว
ต้องยอมรับว่า คนอินเดีย นี่เค้าทรหดอดทนเรื่องการทำมาหากิน การค้าขายชะมัดยาด
ทำทุกอย่าง ตื้อสารพัด โน้มน้าวอย่างที่สุด
จนบางคนที่เข้าไม่ถึงเพราะในร้านมันแน่นเอี๊ยด..ด...ด ก็ใจอ่อนเดินตามอาบังไปหลายคนเหมือนกัน
แต่หายไปสักพักใหญ่ เดินหน้ามุ่ยกลับมาบ่นอุบ...
บอกแต่ว่า สวยสู้ไม่ได้ และก็แพงกว่าด้วยแน่ะ
ในที่สุด คุณผู้หญิงแต่ละคนก็หอบกันคนละหลายถุง พะรุงพะรังไปหมด
ผมว่าผ้าน่าจะหมดไปซักครึ่งร้านละมั๊ง
กว่าร้านจะปิดหมดลูกค้าก็เกือบ 4 ทุ่ม
หัวหน้าทัวร์ต้องมาตามให้ไปรีบนอน เพระพรุ่งนี้เราต้องออกไปกันแต่เช้ามืด
ไป...แม่น้ำคงคา


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2555    
Last Update : 3 มิถุนายน 2555 22:13:42 น.
Counter : 3765 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 23

โอ้..อินเดีย 23

วันนี้พวกเราเดินทางไปถึง เมือง...สารนาถ สถานที่แสดงปฐมเทศนา
เป็นสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 แต่เป็นแห่งสุดท้ายของคณะแสวงบุญของเรา
สารนาถ นั้นเป็นชนบทอันสงบเงียบชานเมือง...พาราณสี ที่เป็นศูนย์กลางของ ศาสนาฮินดู
เป็นอย่างนี้มากว่า 4,000 ปี แล้ว และก็ยังไม่มีใครหรือศาสนาใดมาแทนที่ได้

คณะ สังคมทัวร์ อันมีผู้แสวงบุญ 80 ชีวิต
แบ่งเป็น 2 รถบัสมีพระอาจารย์วิทยากร 5 รูป
นำโดยท่านพระครูพิศาล ฯ รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม
คณะทัวร์ทรหดของเราเดินทางมาถึง บริเวณที่เคยเรียกว่า...ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ปัจจุบันนี้รัฐบาลอินเดีย ได้กำหนดเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา
มีการขุดค้นบูรณะ และดูแลอย่างดีพอสมควรทีเดียว
เรียกว่า...ธัมเมกขสถูป
สถานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมครั้งแรก โปรดปัญจวัคคีย์
บริเวณสังเวชนียสถานแห่งนี้ กว้างใหญ่มากทีเดียว
มากกว่าทุก ๆ แห่งที่ไปมาแล้ว
เพราะได้รวมเอาจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างใน พุทธศาสนา
มีพระสถูปเจดีย์หลายองค์ คือ
เจาคันธีสถูป จุดที่พระพุทธเจ้า เดินทางมาพบกับปัญจวัคคีย์
ธัมเมกขสถูป พระเจดีย์อนุสรณ์สถานที่ทรงแสดงพระปฐมเทศนา
ธัมมราชิกาสถูป พระเจดีย์อนุสรณ์สถานที่ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร
ยสะสถูป หรือ ปัญจายตนเจดีย์ จุดที่พระองค์ท่านแสดงเทศนาต่อ พระยสะ
มูลคันธกุฎี จุดที่เป็นกุฏิที่ประทับของพระพุทธองค์ และเป็นที่ทำงานของท่านในพรรษาแรก
เจดีย์ราย ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิธาตุของพระอรหันต์อีกมากมาย
เสาศิลาจารึกพระเจ้าอโศกที่หักเป็น 4 ท่อน
ซากอาคารกุฏิพระสงฆ์
และมีสวนกวาง ที่สามารถซื้ออาหารให้กวางได้ด้วย

อย่างที่บอกนะครับ ว่าสถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่มาก
มีร่องรอยว่าเคยมีสิ่งก่อสร้างที่แข็งแรงใหญ่โตอย่างดี
แม้แต่ มูลคันธกุฎี หรือที่ประทับของพระพุทธเจ้า ที่นี่ก็ไม่เหมือนที่อื่น ๆ
ใหญ่โตกว่า และมีการก่อกำแพงผนังสูงขึ้นมาร่วม 3 เมตร
เห็นถึงโครงสร้างห้องหับได้ชัดเจน
วันที่พวกเราไปถึงนั้น แดดค่อนข้างแรงทีเดียว
แต่ก็ดูแล้วสะอาดสะอ้านดี สนามหญ้าเขียวขจีตัดแต่งไว้ดีมาก
พระอาจารย์วิทยากร ท่านพาเดินพร้อมกับบรรยายความสำคัญของแต่ละจุด แต่ละแห่ง
แล้วก็พากันมาถึงสนามหญ้ารอบ ธัมเมกขสถูป ซึ่งเป็นจุดที่พระพุทธองค์ท่านแสดงธรรมเป็นครั้งแรก
จนกระทั่ง พราหมณ์โกณทัญญะ ได้เข้าใจบรรลุเป็น พระโสดาบัน
พร้อมทั้งขอบวชเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นคนแรก
ทำให้เกิดมี พระรัตนไตร ครบถ้วนขึ้น

พวกเรานั่งลงบนสนามหญ้าในตำแหน่งที่แดดร่ม สายลมพัดอ่อน บรรยากาศดีม๊าก..ก มาก
แล้วพระอาจารย์ก็นำสวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน
ขณะที่พวกเรากำลังรวมจิตให้เป็นหนึ่งได้กำลังดี...
ตุ๊ง...ตุ๊ง...ตุ๊ง ตุ๊ง ตุ๊ง..........
อีกแล้ว...เสียงนี้อีกแล้ว ผู้แสวงบุญน่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือเกาหลี นี่แหละ
เดินเวียนสวดมนต์ พร้อมเคาะกลองเข้าจังหวะ เวียนรอบองค์พระเจดีย์
อย่างไม่เกรงใจใคร เล๊ย...
เฮ้อ...ศรัทธาของเค้า วิธีของเค้า เอ้า...ไม่ว่ากัน
แต่พวกเราก็ไม่ได้หยุดปฏิบัติกรรมฐาน ยังคงหลับตาสงบนิ่งกันทุกคน
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถรวมจิตได้อีก แต่ก็ยังพิจารณาสิ่งที่มากระทบกาย ใจ
ได้รู้สึกถึงทุกสิ่งรอบกาย
ได้ยินเสียง นกแขกเต้า หรือนกแก้ว บินไปเกาะบนพระเจดีย์
ส่งเสียงดัง...แก๊กก แก๊กก แก๊กก คุยกันลั่น
ผมเองเคยได้ยินชาดกเกี่ยวกับนกแขกเต้า มาเหมือนกัน
แต่จำเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว...
เพิ่งจะได้เห็นตัวจริง ชีวิตจริงที่เป็นธรรมชาติไม่ใช่อยู่ในกรงก็ที่นี่แหละ

แล้วความคิดก็โลดแล่นไป...
นึกถึงเหตุการณ์ประมาณเมื่อ 2,600 ปีก่อนนั้น
พระบรมศาสดา ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ทรงเสวยวิมุตติสุข พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ค้นพบ
พิจารณา...ปฏิจจสมุทปบาท ธรรมที่อิงอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น
พิจารณาย้อนทวนไปมาทั้งสายเกิด และสายดับ
ทรงพิจารณาแล้วว่า ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั้น...
ลึกซึ้งเกินกว่าบุคคลทั้งหลายที่ยังยินดีในกามคุณ จะเข้าถึงได้
เป็นการยากยิ่งเกินไปที่จะทำให้คนทั้งหลาย เข้าใจในความซับซ้อนของความเป็นไปแห่ง เหตุ และผล ของสิ่งต่าง ๆ นั้น
แต่แล้วก็ยังทรงคิดได้ว่า ยังมีคนบางจำพวกที่พอจะสั่งสอนได้ เรียนรู้ได้
บางคนต้องใช้เวลามาก ความเพียรมาก แต่ก็ยังบรรลุธรรมได้
ด้วยพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ท่านตัดสินพระทัยว่าจะสั่งสอน...เวไนยสัตว์ทั้งหลาย

เมื่อพิจารณาว่าผู้ใดสมควรแก่การสั่งสอนก่อน ก็ได้พบว่าอาจารย์ที่เคยไปร่ำเรียนมานั้นได้ตายหมดแล้ว
เมื่อระลึกถึงเหล่าปัญจวัคคีย์ บุคคลทั้ง 5 ที่เคยปรนนิบัติพระองค์
คิดดูนะครับ...พระเมตตาของท่านช่างยิ่งใหญ่นัก
คนที่เคยละทิ้งท่าน ไม่เอาท่านแล้ว ทอดทิ้งท่านไปแล้ว
แต่ท่านก็ยังระลึกถึงบุญคุณที่เคยกระทำกันไว้
และปรารถนาให้พวกเขาได้พบ สัจจธรรมอันยิ่งใหญ่ด้วย
พระพุทธองค์ท่าน ต้องเดินด้วย...พระบาทเปล่า..เปล่า
เหยียบย่ำไปบนหินแข็ง ดินกระด้าง หนามไหน่ทิ่มตำ
บุกลุยฝ่าป่าดง ท้องทุ่งชนบทอันกันดาร...ในช่วงหน้าร้อน
ซึ่งในอินเดียนั้น ร้อนจนแม้แต่ควายยังตายเลย
คิดแล้วสงสารพระองค์ท่านจริง ๆ ...ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น
ระยะทางก็ไม่ใช่น้อย กว่า 250 กิโลเมตรเชียวนะครับ
ทรงเดินด้วยพระบาทเปล่าเป็นเวลาถึง 11 วัน
แสดงว่าต้องเดินทางไม่ได้หยุด ได้พักเลยทีเดียว
เพื่อโปรดสั่งสอน...คนที่หันหลังละทิ้งท่านมาก่อน
หลังจากนั้น แทนที่จะอยู่เสวยสุขให้สบาย...
แต่กลับทรงตรากตรำพระวรกาย เพื่อชักชวนชี้แจงให้เห็นสิ่งที่ขัดกับความเชื่อดั้งเดิมของชาว ฮินดู อย่างสิ้นเชิง
เหน็ดเหนื่อยหนักอยู่ถึง 45 ปี จนกระทั่งพระชนม์ถึง 80 พรรษา
สอนวิธีหลีกหนีออกจากสังสารวัฏ จนนาทีสุดท้ายของชีวิต
โอ้...น้ำพระทัยเมตตา พระกรุณาคุณที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ช่างมากมายยิ่งใหญ่อย่างสุดประมาณ

สถานที่นี้ ตรงหน้านี้แหละ...เคยเป็นที่คนธรรมดาหลายคน
นั่งลงตั้งใจฟัง ปล่อยจิตตามกระแสเสียงเทศนาของพระพุทธองค์
ฟัง ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร พระธรรมแรกที่ทรงสั่งสอน
ว่าด้วยเส้นทางสุดโต่ง 2 ทางที่ไม่ควรเดิน ไม่ควรปฏิบัติ
เพราะเป็นทางแห่ง...ทุกข์
ทุกข์ที่มีอยู่เดิม และทุกข์ที่แสวงหาเอง
ก็เพราะต้นเหตุคือ...กิเลส ตัณหา ความเพลิดเพลิน
แล้วยังทรงแนะนำเส้นทางที่ควรเดิน เพื่อไปสู่การดับแห่ง ทุกข์ ทั้งหลายนั้น
ซึ่งบุคคลแรกที่พิจารณาไตร่ตรองตามแล้วเข้าใจบรรลุธรรมอันลึกซึ้ง
คือ ท่านโกณทัญญะ ได้เข้าใจชัดแจ้งแห่งความเป็นจริง
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา...
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็แปรเปลี่ยนไป
ไม่มีสิ่งใดควรแก่การยึดถือทั้งสิ้น...
ในเวลาต่อ ๆ มา เหล่าปัญจวัคคีย์ที่เหลือก็ทยอยกันบรรลุถึงธรรมทั้งหลายอันเป็นที่สุดนี้ได้

ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถ
สถานที่แห่งนี้เอง ที่มีคนฟังธรรมจากพระโอษฐ์
ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ร่างกาย และสรรพสิ่งในโลกหล้านี้
กล่าวถึง ทาน ศีล สวรรค์ โทษแห่งกาม และการออกจากกาม
บริเวณรอบ ๆ นี้ ที่ผมและคณะฯ กำลังนั่งอยู่นี้
เคยมีคนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ตาม ๆ กันถึง 60 องค์
แล้วพระบรมศาสดา โปรดให้แยกย้ายกันไปเผยแผ่สิ่งที่ประเสริฐสุดนี้ไปทุกสารทิศ
เป็นการเริ่มต้น...หมุนกงล้อพระธรรมจักรให้เป็นไป
เริ่มต้นบอกเล่าให้คนทั้งโลกได้เข้าใจ...อริยสัจ 4
ความจริงอันประเสริฐที่สุด ว่า
นี้คือ...ทุกข์ อันควรกำหนดรู้
นี้คือ...สาเหตุแห่งทุกข์ อันควรละ
นี้คือ...ความดับทุกข์ อันควรทำให้แจ้ง
นี้คือ...หนทางดับทุกข์ อันควรเจริญ

เมื่อพระอาจารย์ฯ เห็นว่าสภาวะจิตของทุกคนมีความสงบดีแล้ว
ก็นำพากันเดินสวดมนต์เวียนรอบองค์พระเจดีย์
ท่านพาพวกเรา...ก้าวเดินเข้าสู่กระแสแห่งธรรม
เดินตามคำสอน เดินตามแนวทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางไว้
ก้าวเดินตามรอยบาทพระองค์ท่าน
เดินออกจากสังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่แสนล้านชาติภพมาแล้ว
เดินทีละก้าว..ทีละก้าว
อีกแม้จะยาวนานไม่รู้สักเท่าไหร่ แต่ก็ตัดสินใจ...ก้าวเดินแล้ว
ขอปฏิญาณ...จะเดินตามไปไม่หยุด
เดินด้วยศรัทธา ด้วยวิริยะ ด้วยสติ ด้วยความเข้าใจ
จนกว่าจะไปถึงจุดหมาย ขอไปให้ถึงซึ่ง...
พระนิพพาน ด้วยเทอญ.
สา.......ธุ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2555 21:44:48 น.
Counter : 3526 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 22

โอ้..อินเดีย 22

ที่จริงตอนนี้ อยากจะเล่าเรื่องสถานที่ต่อไป
แต่ด้วยความที่ สาวัตถี มีความเกี่ยวข้องกับ ศาสนาพุทธ ของเราอย่างสำคัญหลายเรื่อง
ก็เลยขออีกตอนเดียว นะครับ

ก่อนจะออกจากสาวัตถี ต้องพูดถึงคนสำคัญคือ...พระเจ้าปเสนทิโกศล
พระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็ง และทรงอิทธิพลอย่างมากในสมัยนั้น
ปกครองแคว้นสำคัญ ๆ ในชมพูทวีปตั้งหลายแคว้น
แม้แต่แคว้นสักกะ แห่งศากยะวงศ์ ของพระพุทธองค์ ก็ยังขึ้นอยู่ในการปกครองของพระเจ้าปเสนทิโกศล ด้วย
อีกอย่างหนึ่งพระองค์ท่าน มีอายุเท่า ๆ กับพระพุทธเจ้าพอดี
ได้รู้จักก็เพราะ พระพุทธองค์ ได้รับนิมนต์จาก อนาถะบิณฑิกะเศรษฐี ขอให้ไปประทับจำพรรษาที่เมือง สาวัตถี นี้แหละ
พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นผู้ที่สนใจด้าน ศาสนา อย่างมาก
ก่อนที่จะได้รู้จักกับ พระพุทธเจ้า ของเรานี้
ท่านนับถือพวกพราหมณ์ที่เน้นการวิงวอนขอต่อพระเจ้า ด้วยการ...บูชายัญ
ครั้งหนึ่ง พราหมณ์ได้บอกให้ทำการบูชายัญครั้งใหญ่ ด้วยสัตว์ต่าง อย่างละ 700 ตัว
ซึ่งพระองค์ก็เชื่อ สั่งให้เตรียมการกันขนานใหญ่ แต่โชคดีที่พระมเหสีชื่อ...พระนางมัลลิกาเทวี
ได้ทรงทัดทานไว้อย่างชาญฉลาด แนะนำว่าเรื่องใหญ่แบบนี้ควรปรึกษากับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งขณะนี้ประทับอยู่ใน เมืองสาวัตถึ เรานี่แล้ว
นั่นแหละจึงทำให้กษัตริย์พระองค์นี้ได้พูดคุยกับ พระพุทธองค์ อย่างตั้งใจ
จนเกิดความเลื่อมใสในสิ่งใหม่ที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนอย่างมาก
จนกลายเป็นกษัตริย์ที่อุปถัมภ์พุทธศาสนาอย่างเข็มแข็งทีเดียว

ในสมัยนั้นมีเจ้าลัทธิศาสนา ตั้งตนเป็นศาสดาสั่งสอนธรรมอยู่หลายท่าน
ที่มีชื่อเสียงได้รับยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ๖ ท่าน คือ
ปูรณกัสสป , มักขลิโคศาล , นิครนถนาฏบุตร , สัญชัยเวลัฏฐบุตร , ปกุธกัจจายนะ และอชิตเกสกัมพล
ซึ่งมักจะรวมเรียกว่าศาสดาทั้ง ๖
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบกิตติศัพท์ เสียงเล่าลือดังกล่าว
ก็อยากจะพบ พระอรหันต์ ผู้ประกาศตนว่าเป็น พุทธะ เป็นสัพพัญญู ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
จึงโปรดให้นิมนต์ศาสดาทั้ง ๖ ไปรับพระราชทานอาหารในพระราชวัง แล้วทรงตรัสถามตรงๆ ว่า
ท่านทั้งหลายกล้ายืนยันได้หรือไม่ว่าเป็น พุทธะ ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธญาณ แล้วจริง
ศาสดาทั้ง ๖ เกรงพระบรมเดชานุภาพของพระราชา
คิดว่าถ้าหากตอบมั่วว่าตนเป็นพุทธะ พระเจ้าปเสนทิโกศลจะตรัสถามธรรมะที่ลึกซึ้งอันเป็นพุทธวิสัย ก็จะตอบไม่ได้แน่
แล้วก็จะถูกลงโทษฐาน หลอกลวงมหาชน จึงได้นิ่งเสีย
ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิญาณว่าตนเองเป็นพุทธะ
เมื่อถูกถามซ้ำอีกไม่มีทางตอบบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่น จึงต้องยอมรับว่าพวกตนมิได้เป็นพุทธะ เป็นแต่คณาจารย์ธรรมดา
คำที่เล่าลือกันว่าเป็นพุทธะนั้นเป็นเรื่องของสาวกบริวารที่ยกย่องพูดกันไปเอง
อ้อ...โทษลูกศิษย์ไปโน่นเลย

เมื่อครั้งที่ได้พบกับ พระพุทธเจ้า ในคราวแรก ๆ พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน แล้วทูลถามว่า...
ท่านพระโคดม ทรงยืนยันได้หรือไม่ว่าได้ตรัสรู้...พระสัมมาสัมโพธิญาณ แล้ว
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า.... พระองค์ทรงปฏิญาณว่าพระองค์ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยมแล้ว
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า บรรพชิตเหล่าอื่น เช่น ศาสดาทั้ง ๖
เมื่อพระองค์ตรัสถามคาดคั้นว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณจริง เหรอ...
ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายืนยันสักคน ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว
และเป็นเจ้าลัทธิที่โด่งดังมหาชนยกย่อง
ส่วนพระพุทธเจ้า...ยังทรงหนุ่มอยู่ ผนวชมาก็ไม่สู้นาน ไฉนพระองค์จึงกล้าปฏิญาณเล่า
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า " ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นของ ๔ อย่างว่าเป็นของเล็กน้อย " คือ
1. อย่าดูถูก ดูหมิ่นกษัตริย์ว่ายังทรงพระเยาว์
เพราะพระมหากษัตริย์แม้ยังทรงพระเยาว์ แต่ก็มีพระราชอำนาจมาก หากทรงพิโรธขึ้นอาจลงพระราชอาญาอย่างหนักได้
2. อย่าดูถูก ดูหมิ่นงูว่าตัวเล็ก
เพราะงูพิษแม้ตัวเล็กก็กัดคนให้ตายได้
3. อย่าดูถูก ดูหมิ่นไฟว่าเล็กน้อย
เพราะไฟเพียงเล็กน้อยก็อาจเผาบ้านเรือนผลาญชีวิตคนได้
4. อย่าดูถูก ดูหมิ่นภิกษุว่ายังหนุ่มอยู่
เพราะพระภิกษุแม้ยังหนุ่ม แต่ก็เป็นผู้มีศีล ผู้ใดประทุษร้ายต่อภิกษุผู้มีศีล ผลแห่งกรรมชั่วย่อมแผดเผาผู้นั้น บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัติของผู้นั้นย่อมพินาศ
ของ ๔ อย่างนี้ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อยไม่สำคัญ
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสจบแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลที่มีอายุเท่ากับพระบรมศาสดา ฟังแล้วรู้สึกโดนใจแจ่มแจ้ง
ปฏิญาณตนเป็นอุบาสก
ขอถึงซึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิตตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป

ในภายหลังนั้น กษัตริย์หนุ่ม พระองค์นี้ได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา และรัก พระพุทธองค์เป็นที่ยิ่ง
ความเคารพเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนา และการระลึกถึงพระรัตนไตร อย่างยิ่งยวด
ได้แพร่จากตัวองค์ พระเจ้าปเสนทิโกศล ไปยังคนใกล้เคียงลามเลยไปทั่วถึงประชาชน พสกนิกรทั้งหลายทั้งปวง
ถึงขนาดว่า ประชาชนก็แสดงออกด้วยการทำบุญกุศลตามอย่างที่กษัตริย์เจ้าแผ่นดินทำ
เท่านั้นยังไม่พอ ยังพยายามทำให้มากกว่า ประณีตลึกซึ้งให้มากกว่า
จนเกิดการแข่งขันกันอย่างเอิกเกริก ระหว่างราชวงศ์ และประชาชน
เอ้อ...เมืองนี้เค้าแข่งกันทำบุญ ทำกุศล ทำความดีประชันกัน

ด้วยความรักใน พระบรมศาสดา อย่างจับใจทำให้ พระเจ้าปเสนทิโกศล
ถึงกับคิดที่จะหาทาง เกี่ยวดอง เป็นญาติกับพระพุทธเจ้าให้ได้
จึงไปสู่ขอ เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ศากยะ กับพระเจ้ามหานามะ ที่ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจาก พระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดาของพระพุทธองค์
แต่ราชวงศ์นี้ก็แปลก หวงชาติพันธุ์ดีเอ็นเอของตัวเองซะจนเกินไป
เลยย้อมแมวส่ง...เจ้าหญิงวาสภขัตติยา
ซึ่งเป็นลูกสาวของ พระเจ้ามหานามะ กับนางทาสหญิงรับใช้คนหนึ่ง
เรียกว่าไม่ใช่ลูกกษัตริย์แท้ ๆ แต่เป็นลูกกษัตริย์กับคนรับใช้
ไม่ใช่ศากยะวงศ์แท้ ๆ ทั้งวรรณะก็กลายเป็นลูกผสม ซึ่งในอินเดียตั้งแต่ยุคโบราณกาลจนถึงปัจจุบันนี้ถือนักหนาว่าเป็น พวก...จัณฑาล ไปโน่นเลย
พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เชื่อว่าเป็นลูกกษัตริย์แท้ ๆ แต่งตั้งให้เป็นถึงอัครมเหสี
จนมีพระโอรส ชื่อ...วิฑูฑภะ
ต่อมาอีกหลาย ๆ ปี เรื่องราวก็แตกออกอย่างนึกไม่ถึง
พอรู้ว่า เจ้าหญิงวาสภขัตติยา เป็นธิดาของนางทาสี ทรงโกรธกริ้วมากที่ถูกหลอก สั่งปลดพระนางวาสภขัตติยาจากตำแหน่งอัครมเหสี
ปลดเจ้าชายวิฑูฑภะ จากตำแหน่งรัชทายาท
แล้วไปฟ้องพระพุทธเจ้า ด้วยความน้อยพระทัยว่าพระญาติของพระพุทธองค์ท่าน ประทานลูกทาสีมาให้เป็นอัครมเหสี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า " มหาบพิตร พวกเจ้าศากยะไม่สมควรทำอย่างนี้ ธรรมดาเมื่อจะให้พระธิดาก็ควรให้พระธิดาที่มีพระชาติเสมอกัน "
เป็นการแสดงความเห็นใจ ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงคลายความขุ่นพระทัยลงที่ทรงเห็นว่าเป็นฝ่ายเดียวกับพระองค์
ไม่เข้าข้างฝ่ายพระญาติ
พระพุทธองค์ ยังทรงชี้แจงต่อไปว่า พระนางวาสภขัตติยาเป็นราชธิดาของกษัตริย์
ได้รับการอภิเษกในตระกูลของกษัตริย์ แม้แต่เจ้าชายวิฑูฑภะกุมาร ก็ถือกำเนิดจากกษัตริย์
วงศ์ตระกูลฝ่ายมารดาไม่สำคัญ วงศ์ตระกูลฝ่ายบิดาเท่านั้นเป็นสำคัญ
พระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งในสมัยโบราณก็เคยพระราชทานตำแหน่งอัครมเหสีแก่หญิงผู้ยากจนมีอาชีพหาบฟืน
และโอรสที่เกิดจากอัครมเหสีนั้น ต่อมาก็ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสดับพระโอวาทแล้วทรงเห็นจริงว่าวงศ์ตระกูลของบิดาเท่านั้นเป็นสำคัญ
จึงโปรดให้คืนยศและตำแหน่งแก่ พระนางวาสภขัตติยา และวิฑูฑภะ พระโอรสดังเดิม
แต่...เรื่องนี้ยังอีกยาว และเศร้าสะเทือนขวัญมาก
เพราะสร้างความเคียดแค้นแก่ เจ้าชายวิฑูฑภะ อย่างที่สุด
ขอให้ยกทัพไปแก้แค้น แต่พระบิดาคงจะเห็นแก่พระพุทธองค์ ไม่ยอมทำตาม
ทำให้เรื่องบานปลายถึงกับยึดอำนาจจากพระบิดา ขึ้นครองราชย์แทน
ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ตัองวิ่งไปขอความช่วยเหลือจาก พระเจ้าอชาติศัตรู
แต่ด้วยพระชนม์มายุมากถึง 80 ปี ทำให้ทรงเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนสิ้นพระชนม์ที่ประตูเมืองราชคฤห์ นั่นเอง
ส่วนเจ้าชายวิฑูฑภะ เมื่อยึดอำนาจได้แล้วก็ยกทัพบุก กรุงกบิลพัศดุ์ ไปแก้แค้นราชวงศ์ศากยะ
ด้วยการ ฆ่าเอาเลือดล้างตระกูลอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่เด็กและสัตว์เลี้ยงก็ไม่เว้น
จนกระทั่งบางคนที่หนีเล็ดลอดออกมาได้ต้องอพยพมาตั้งเมืองกบิลพัสดุ์ใหม่ ห่างไปร่วมร้อยกิโลเมตร
ส่วนกองทัพเจ้าชายวิฑูฑภะ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจชำระแค้นแล้ว ก็ยกทัพกลับผ่านมาถึงริมแม่น้ำ...อจิรวดี
ขณะนั้นเวลาค่ำจึงหยุดพักตั้งค่ายกันที่ริมหาดทรายแม่น้ำนี้ ด้วยความเหนื่อยอ่อน
คืนนั้นเอง...มีพายุฝนตกกระหน่ำอย่างหนัก ถึงหนักมาก..ก..ก
เกิดมีน้ำป่าทะลักทะลาย ท่วมพัดเอากองทัพชำระแค้นของเจ้าชายวิฑูฑภะ ทู๊ก..ก....ก คนจมหายไปในสายน้ำทั้งหมด
โอ้...กรรมทันตา

ที่เล่าเรื่องมาตั้งมากมาย ก็เพราะอยากจะบอกว่า...
แต่ก่อนนั้น ผมก็ได้ฟังเทศน์ ฟังเรื่องราวพุทธประวัติ หรือชาดกมาเหมือนกัน
แต่ก็เหมือนฟังนิทาน ฟังเอาสนุก หรือเอาเนื้อหา
ทว่ามันไม่ประติดประต่อกัน เหมือนดูชิ้นส่วนรถยนต์ที่ถอดออกวางไว้ทีละชิ้น ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง
นึกภาพไม่ออกว่าเอามารวมกันแล้ว จะเป็นยังไง
แต่พอได้มา อินเดีย ได้เห็นผู้คน เห็นสถานที่ต่าง ๆ ได้ฟังข้อมูลเรื่องราวที่เคยได้ฟังมาบ้าง ทั้งเรื่องใหม่ ๆ ที่เพิ่งได้ยินจากพระอาจารย์วิทยากรบ้าง
มันเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง สามารถลำดับเวลาร้อยเรียงเรื่องราว ได้ง่ายขึ้นเยอะ
จินตนาการเห็นภาพในหัว ตามเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างสนุกสนานเร้าอารมณ์
จนสุดท้ายได้ สติ ปัญญา สลดสังเวช เห็นถึงสัจจธรรมดังที่พระบรมศาสดา ท่านสอนไว้
ทุกสิ่งอย่างมันเกิดได้ก็เพราะมีเหตุมีที่มา...อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น
ทุกสิ่งมันไม่เที่ยงแท้ เป็นอนิจจัง...ทุกขัง...อนัตตา
ยิ่งใหญ่ มั่นคง ยืนยงแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนแปลงสูญสลายไป
สำหรับตัวผมนะ สิ่งที่สำคัญก็คือ...
พุทธประวัติ...ไม่ใช่นิทานอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
มีตัวบุคคล มีสถานที่ให้สัมผัส มีบันทึกมากมายสืบค้นได้
คิดไปคิดมา...เอ๊ะ เราไม่ใช่ พุทธตามทะเบียนบ้าน อีกต่อไปแล้วนะ
แต่เป็นคนที่สนใจ พุทธศาสนา ขึ้นมากับเค้าด้วย

เฮ้อ...อินเดีย และ สังเวชนียสถาน
มันช่างมีมนต์ขลังซะ จริง จริ๊ง..ง..ง
ถ้าไม่ได้มา ก็คงจะพลาดสิ่งดี ดี ในชีวิตไปอย่างใหญ่หลวง
ไม่แน่นะ สิ่งที่ได้รู้สึกสัมผัสนี่อาจจะเป็น พละปัจจัย
จุดประกายให้ได้ไปถึงซึ่ง...พระนิพพาน ในเร็วพลัน
สา...ธุ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2555 11:19:41 น.
Counter : 3371 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 21

โอ้..อินเดีย 21

สวัสดีครับ วันก่อนเล่าค้างไว้ถึงเมือง สาวัตถี
ที่เมืองนี้มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับ พุทธศาสนา มากมายเหลือเกิน
คงเล่าได้ไม่หมด เอาแค่ที่เห็นสถานที่สำคัญ ๆ ก็แล้วกันนะ
เราไปดูซากสถูปแห่งหนึ่งซึ่งเป็นอนุสรณ์ถึงการแสดงปาฏิหารย์ ของพระบรมศาสดา
หรือที่เรียกว่า...ยมกปาฏิหารย์
สถานที่แห่งนี้เป็นเนินดินสูงมีซากสถูปเป็นอิฐหินเหมือน ๆ กับแถวสุโขทัยเรา อยู่ข้างบน
เรื่องมันเกิดก็เพราะว่า...
ตั้งแต่ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้และออกประกาศศาสนาใหม่
ในตอนนั้นก็มี ลัทธิ หรือ ศาสนา อื่นอยู่แล้วมากหลาย
ผู้เป็นศาสดาต่างก็ประกาศตัวเป็น พระอรหันต์ กันแทบทั้งนั้น
ในบรรดาเหล่านี้ก็มีพวกที่ได้ ฌานสมาบัติ ถึงขั้นที่แสดงอภินิหารได้
โดยเฉพาะพวกที่เล่นทาง กสิณ อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือพวกที่ฝึกฝนการแสดงมายากล เพื่อหลอกลวงประชาชนก็มีอยู่เยอะ
มีคนหลงเชื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เอาลาภสักการะไปให้ก็มากมาย
แต่พอ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ออกประกาศพระศาสนาในช่วงแรก ๆ
พระองค์ท่านก็ยังเป็นหนุ่มอายุไม่เท่าไหร่ แถมยังไม่เคยแสดงปาฏิหารย์อวดใคร
นอกจากกรณีที่จำเป็นจริง ๆ ก็แสดงกันเฉพาะตัวต่อตัวซะมากกว่า
เรียกแบบสมัยนี้ก็ว่า พระองค์ท่านไม่ชอบโชว์ออฟ
ต่อมาเมื่อ พระเจ้าพิมพิสาร ได้หันมานับถือโดยละทิ้งพวกพราหมณ์ เดียรถีย์ หรือนิครณถ์ ที่เคยอุปถัมภ์อยู่
ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเสียสปอนเซอร์อุปฐากรายใหญ่
แถมยังมีประชาชนคนที่เคยเชื่อ พากันเลิกสนใจหันไปนับถือ พระพุทธเจ้ากันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ทำให้สูญเสียรายได้ขนานใหญ่ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ คงจะแย่แน่
จึงหาวิธีโจมตีจุดอ่อน ซึ่งในความคิดของพวกนั้นคงมองว่า พุทธศาสนา คงเป็นเพียงแนวคิด ปรัชญา ซะมากกว่า
เลยใช้วิธีท้าทายในเรื่องการแสดงปาฏิหารย์ต่าง ๆ เพราะรู้ว่าพระองค์ท่านห้าม และไม่ชอบเรื่องแบบนี้

ถ้ามาย้อนคิดกันนะว่า...คนทั่ว ๆ ไปในทุกสังคม ทุกประเทศ
ก็จะชอบเรื่องปาฏิหารย์ มหัศจรรย์พันลึกกันทั้งนั้น
ที่ไหนแสดงได้แนบเนียนดี ก็พากันเฮละโลไปนับถือไม่ลืมหูลืมตา
แม้แต่พวกเราทั้งหลายก็เถอะ นะ...
นับถือครูบาอาจารย์ที่ ดี..ดี อย่างเช่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่มั่น ครูบา...หลวงพ่อ...........อะไร ต่อมิอะไร กันมากมาย
ต้องขอประทานโทษนะครับ ผมมันพวกขวางโลกนิดหน่อย
เห็นคนห้อยพระ แขวนภาพบูชาหลวงพ่อองค์นั้น องค์นี้กันสารพัด
โดยที่ไม่เค๊ย..ไม่เคย ไปหาดูกันเลยว่า ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น ต้องการสอนอะไร เน้นอะไร
กระผมเองแต่ก่อนก็...โง่ ไม่ใช่น้อย
เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน เค้าว่าให้ไปหารูป...หลวงพ่อสด มาบูชาแล้วจะร่ำรวย ค้าขายดี
มองไปทางไหน ร้านไหน เค้าก็มีรูปท่านกันทั้งนั้น
ผมก็เอาบ้างซิ ไปซื้อมาจากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญเลยแหละ
ไม่ใช่แค่รูปภาพท่านเท่านั้นนะ รูปเหมือนทำด้วยพลาสติกก็มี
จุดธูปบูชา ถวายน้ำ ถวายผลไม้ทู๊ก..ก..วัน
อ้อ...มีสารพัด ทั้งแม่นางกวัก กุมารทอง ต้นกาหลง แม้แต่ปลัดคิ๊ก ก็มี
สารพัดเค้าว่าอะไรดี เอาหมด
ถ้าแม่นางกวัก เฮี้ยนจริงก็คงเอา ปลัดคิ๊ก ขว้างหัวผมซะนานแล้ว
ฐานทะลึ่งเอาของน่าเกลียดอย่างนี้มาวางไว้ด้วยกันกับอิชั้น ได้ยังไง...บ้า
เปิดร้านได้สักระยะก็ เจ๊ง...เพราะความโง่ ความไม่รู้
ตอนที่เจ๊งใหม่ ๆ ไม่โทษตัวเองหรอก โทษว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์สารพัดทั้งหลายไม่ยอมช่วย
หรือเราถวายเซ่นไหว้ไม่ครบเครื่อง แน่ะ

แต่พอหันมาสนใจ แก่นหลักพุทธศาสนา ก็ต้องเขกหัวตัวเองอย่างแรงซะหลายที
ผมเคยปากเปราะ ถามคนที่แขวนภาพหลวงพ่อทั้งหลาย หรือรูปเสด็จพ่อรัชการที่ 5
ว่า...ท่านเหล่านั้นศักดิ์สิทธิ์ ยังไง
โอ๊ย...ตอบกันมาหลากหลายสารพัด อย่างโน้น อย่างนี้
แต่พอถามต่อไปว่า...แล้วรู้มั๊ยว่า ท่านเหล่านั้นสอนอะไร เน้นอะไร ให้เราปฎิบัติอะไร
ถามไปหลาย..ย..คน เกือบจะเตะผมซะทู๊ก..ก คน
แปลกนะ...ตอบไม่ได้ก็โกรธด้วย แฮะ
เคยได้ยินท่าน ติช นัท ฮันห์ บอกว่า
คนเราไม่ได้สนใจเลยว่า ท่าน...ชี้ให้ดูอะไร
แต่ทะลึ่ง ดู อยู่แต่นิ้วท่านที่ชี้นั่นแหละ...

อ้าว... กลับมาต่อที่ว่า พวกเดียรถีย์...ทั้งหลายพยายามท้าทาย
หรือแกล้งพูดจากระทบกระเทียบ ทำนองว่า ถ้าแน่จริงมาแสดงอิทธิฤทธิ์แข่งกันมั๊ยล่ะ
พอเรื่องนี้พูดกันมาก ๆ เข้า พระพุทธองค์ ท่านคงจะเกรงว่า
บรรดาคนที่ไม่รู้เรื่องก็จะพากันคิดปรามาส พูดจาดูถูก พระอรหันต์ หรือเลยมาถึงท่านด้วย
อันจะเป็นเหตุให้พวกเขาเหล่านั้นต้องเป็นบาปกรรมหนัก
เลยประกาศว่าจะแสดงปาฏิหารย์ให้ดู ที่ใต้ต้นมะม่วง
บริเวณสวนมะม่วง ณ.เมืองสาวัตถี ในอีก 4 เดือนข้างหน้า

ฝ่ายตรงข้ามพอได้ยิน ก็รีบไปลงขันกันโค่นต้นมะม่วงซะหมดสวน หรือแทบจะหมดเมืองทีเดียว
ในตอนนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาผู้เป็นใหญ่...มาก ของเมืองนี้
ก็ยังไม่ค่อยรู้จัก พระพุทธองค์ เท่าไหร่
แถมยังนับถือพวก พราหมณ์ เดียรถีย์ และชอบเรื่องการบูชายันต์อยู่มาก
เลยค่อนไปทางถือหางพวกนั้นด้วยซ้ำไป
ไม่รู้ว่าอันนี้จะเป็นเหตุหนึ่งหรือเปล่าที่ทำให้ต้องตัดสินใจ เปิดการแสดงข่มเดียรถีย์ให้อยู่หมัด
เมื่อถึงวันนัด ประชาชนคนทั้งเมืองก็แห่กันมาดู มาจับผิด
แต่ก็ไม่มีต้นมะม่วงเหลือซะแล้ว
ยังดีที่มีคนถวาย มะม่วงสุก ผลหนึ่ง
พระบรมศาสดา ท่านให้พระอานนท์นำไปฝานเอาเนื้อไปทำน้ำปานะ
คงจะเป็น น้ำมะม่วงคั้น ละมั๊ง
แล้วเอาเมล็ดมาปลูกกันเดี๋ยวนั้น เสร็จแล้วพระองค์ท่านก็ล้างพระหัตถ์ โดยเอาน้ำล้างมือนั้นรดลงไป
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางสายตาประชาชนที่มาคอยจ้องดู จ้องจับผิดทั้งหลาย
เกิดเหตุอัศจรรย์ ต้นมะม่วงค่อย ๆ โตผุดขึ้นจากพื้นดิน....
แล้วค่อย ๆ โตขึ้นตลอดเวลาอย่างรวดเร็วทันตาเห็น
จนออกกิ่งถึง 5 กิ่ง ยื่นยาวออกไปโดยรอบถึง 50 ศอก
พลันก็ออกดอก ออกผลเป็นทั้งผลดิบ ผลสุก อยู่อร่ามเต็มต้นไปหมด

จากนั้น พระพุทธองค์ ได้เหาะขึ้นไปเดินจงกรม อยู่บนอากาศเหนือต้นมะม่วง
แล้วได้ทำให้เกิดประกายไฟออกทางพระวรกายด้านบน
ให้สายน้ำออกจากพระวรกายเบื้องล่าง
ให้ไฟออกทางเบื้องซ้าย น้ำออกทางเบื้องขวา
เป็นอย่างนี้โดยตลอด ซึ่งเป็นการแสดงฤทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดทำได้
บรรดาพวกที่เล่นทางกสิณ ก็จะทำได้อย่างเก่งเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ไม่สามารถทำให้สิ่งตรงกันข้ามมาแสดงพร้อมกันได้อย่างนี้
หลังจากนั้น พระองค์ท่านได้เปล่ง...ฉัพพรรณรังสี
เป็นแสงสีสลับกันรวม 6 สี คือ
เขียว เหลือง แดง ขาว หงสบาท (สีแดงปนเหลือง,สีแดงเรื่อหรือสีแสด)
และประภัสสร (สีเลื่อมพราย เหมือนแสงอาทิตย์แรกขึ้น)
แล้วต่อด้วยการเนรมิตร่างเหมือนอีกหลายร่าง พูดโต้ตอบ
ถามปัญหาข้อธรรมะ และตอบชี้แจงธรรมะเหล่านั้นให้ได้ยินโดยทั่วกัน
ว่ากันว่า ในครั้งนั้นมีผู้ที่ได้ยินแล้วบรรลุเป็น พระอรหันต์ ตั้งมากมายเลยทีเดียว

พวกเราแทบทุกคนในคณะทัวร์แสวงบุญ ได้ปีนขึ้นไปบนซากพระสถูป
ยืนบนยอดแล้วมองออกไปรอบ ๆ จะเห็นวิวทิวทัศน์ไปได้ไกล
จินตนาการเห็นภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น
ไปกราบสักการะบูชา ทำให้ความรู้สึกดีใจที่ได้มายืนอยู่ ณ.จุดนี้ที่เป็นสถานที่ และเหตุการณ์สำคัญของศาสนาพุทธเรา
ไม่รู้ว่าในวันที่ พระพุทธเจ้า ทรงแสดงปาฏิหารย์อันยิ่งใหญ่นั้น
พวกเราอาจจะได้อยู่ร่วม เป็นแขกมุงกับเค้าด้วย
เพียงแต่บาปหนาไปหน่อย เลยไม่ได้บรรลุอะไรซักกะนิด
ดีแต่ว่ายังได้เศษ ๆ กุศลส่งให้มาเกิดเป็นคน
ได้พบ และสัมผัส แก่นพุทธศาสนา
แม้จะล่วงเลยมานานแล้วก็เถอะ

ท่านผู้สนใจเลื่อมใสใน แนวทาง ที่พระบรมศาสดาได้วางไว้
ได้ฟังครูบาอาจารย์ ร้อยคนเล่า พันคนอธิบาย
คงได้อ่าน ได้ศึกษา ได้ท่องจำ กันจนปรุหมดแล้ว
แต่ผมว่านะ...ยังไงก็ยังไม่อินน์ ไม่ถึงใจ
ไม่เท่ากับ สัมผัส ด้วยกาย ด้วยธาตุขันธ์
ของท่าน เอง...



อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 8 ตุลาคม 2555 19:55:45 น.
Counter : 3504 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.