กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

วัดป่า...มหาสนุก 21

วัดป่า...มหาสนุก 21

( เล่าจากเรื่องจริง แต่ให้อ่านเป็นนิยาย...อย่าอ่านเอาเรื่อง นะครับ )

พูดถึงเรื่องการ ปฏิบัติฯ ภาวนา กรรมฐานที่ได้เล่าไปตั้งเยอะแล้ว
ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า....เป็นเรื่องของผมคนเดียว วิธีการของผมคนเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะครับ

ตอนที่หัดปฏิบัติฯใหม่ ๆ มันก็ งง ๆ ทำไม่ค่อยถูกเหมือนกันทั้งนั้นแหละ
นั่งแล้วปวดเมื่อยเป็นเรื่องธรรมดา ของคนที่ไม่เคยทำมาก่อน กระดูกกระเดี้ยว เส้นเอ็น กล้ามเนื้อมันไม่เคย
มันก็ไม่ยอม ออกฤทธิ์ให้เจ็บให้ปวดสู้กับเรา
บางครูบาอาจารย์ จะไม่ยอมให้กระดิกตัวเลย ซึ่งพอเรารู้ว่า...ห้ามกระดิก มันยิ่งอยากขยับใจจะขาด
นั่งสมาธิใหม่ ๆ ปวดขา...ผมก็ขยับให้หายปวดเมื่อย แล้วก็นั่งต่อไป อดทนต่อไป
แต่ถ้าไม่ไหว ก็ขยับอีก...ผมไม่ค่อยเคร่งครัด จนไม่กระดิกแล้วทนปวดเป็นบ้า เป็นบอจนภาวนาไม่ได้หรอกครับ

เปรียบเทียบเหมือนกับการ...หัดขี่จักรยาน นั่นแหละครับ
ใหม่ ๆ ก็กระด๊อก กระแด๊กกก ส่ายเป็นงูเลื้อย เอาขาขึ้นถีบไม่ได้สักที
พอถีบไปสองที รถจะล้มต้องเอาขาลงอีก ...ถีบไปอีกสองสามที ต้องเอาลงอีกแล้ว น่าโมโหจริง ๆ
แต่พอหัดมันทุกวั๊นน...ทุกวัน เดี๋ยวมันก็ค่อย ๆ เก่งขึ้นเอง
ถีบได้นานขึ้น สนุกขึ้น ไม่ต้องเอาขาลงพื้นบ่อย ๆ อีกแล้ว....
ผมก็คิดแบบนั้น ถ้าปวดเมื่อยทนไม่ไหว ยิ่งทนจิตมันยิ่งแส่ส่ายไม่ไปไหนกันพอดี
พอทำบ่อย ๆ ทำทุกวัน วันละหลายรอบ...กระดูกหัวเข่า เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มันเริ่มยืด เริ่มคุ้นเคยก็จะปวดน้อยลง นิ่งได้นานขึ้น

หลวงพ่อ...ท่านจะคอยให้กำลังใจ บอกให้ทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เข้าที่ทำได้เองแหละ...ใจเย็น ๆ แต่ต้องทำสม่ำเสมอ
จะขยับตัว จะลุกจะเดินจงกรม ก็ต้องไม่ทิ้งคำภาวนา..พุทโธ 
แต่ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นแค่ขั้นต้น เป็นเพียง...อุบาย ทำให้จิตนิ่งเท่านั้น
อย่างที่เคยบอกไว้...ใจ ของเราเปรียบเหมือน แก้วใส ที่มีแต่น้ำโคลนขุ่นอยูเต็มแก้ว
เราต้องหาวิธีหยุดแกว่งไกวใจ ของเราให้นิ่งซะก่อน
น้ำโคลนมันจะได้...ตกตะกอน เมื่อน้ำใสแล้ว เราก็จะมองเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น
ถ้าเรียกอย่างนักวิชาการ คือการทำ...สมถะสมาธิ

ต่อจากนั้น สิ่งที่จะต้องทำขั้นต่อไปคือ...การมองทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง
คือมองว่าเรื่องราวทั้งหลาย ของทุกสิ่ง มันเกิดขึ้นมาจากไหน
ความทุกข์ร้อนที่กำลังเกิดขึ้นกับ ใจ ของเรา....มันมาจากไหน มาจากเรื่องอะไร
เอาเรื่องที่กำลังทุกข์นั้นมาแยกแยะ แยกย่อยมันออก แยกเหตุปัจจัยองค์ประกอบของมัน
นั่นคือการทำ...วิปัสสนา สมาธิ

การทำสมถะ และวิปัสสนา เป็นของควบคู่กัน
เหมือนการขี่จักรยาน เริ่มต้นด้วยการเลี้ยงตัวให้รถมันนิ่ง แล้วหลังจากนั้นก็ถีบต่อไปให้มันวิ่งต่อไปไม่ล้มลงมา
จักรยานมันมี...กฏทางฟิสิกส์อยู่แล้วว่า ถ้าล้อหมุน รถมันจะตั้งตรง
การทำสมาธิ แบบของผมคือ...พุทโธ ไว้เรื่อย ๆ ใจมันจะนิ่ง
แล้วหลังจากนั้น เราจะพามันเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปทางไหนก็ได้...ถีบไป เลี้ยงตัวไป เลี้ยวไป
ก็...พุทโธ ไปเรื่อย ๆ ใจก็นิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วค่อยหยิบยกเรื่องราวปัญหา เอามาพิจารณาไปเรื่อย ๆ 
ถ้าเราไม่ภาวนาให้ติดต่อกัน ใจมันก็หลุดลอยไป
ถ้าไม่ถีบจักรยาน รถก็จะล้ม....
อันนี้เป็นการเปรียบเทียบแบบของผมเองนะครับ

หลวงพ่อ...ท่านจะไม่ให้ ทำสมถะสมาธิ อยู่อย่างเดียว
มันจะกลายเป็น...ติดสมาธิ ไม่ไปไหน เสพแต่ความสุข ความสงบอย่างเดียว
เหมือนเด็กที่หัดขี่จักรยาน...วนอยู่แต่ในสนามหลังบ้าน ไม่ไปไหนสักที
ท่านจะให้เดินปัญญา คือ หยิบยกเรื่องราวขึ้นมาพิจารณา หาเหตุของมัน ผลของมัน องค์ประกอบของมัน
ยกตัวอย่างที่พวก ครูบา ท่านต้องใช้เป็นประจำคือ...พิจารณา อสุภะ 
เอาร่างกายเรา มาแยกย่อยออกเป็นส่วน ลอกออกทีละชั้น ...หนัง เนื้อ พังผืด เส้นเลือด เส้นเอ็น กระดูก ตับ ไต ใส้พุง
นึกถึงรูปร่างของผู้หญิงสาว นึกไปเรื่อยว่าเมื่อเริ่ม เหี่ยวย่น แก่เฒ่า จะเป็นยังไง
หญิงสาวที่ว่า สวยนักหนา ถ้าลอกออกทีละชั้นจะเป็นอย่างไร
ส่วนตัวผมเอง ชอบมอง...แม่กับลูก ยายกับหลาน
วันนี้สวยสดใส แต่วันข้างหน้าก็...ยายแก่ เหี่ยวย่น หนังยาน

มีครั้งหนึ่ง....ชาวบ้านใกล้วัด มีลูกสาวไปได้ผัวฝรั่ง ชาวสวิสเซอร์แลนด์ อยู่เมืองนอกหลายปี จนมีหลานสาวอายุ 17 แล้ว
โอ๊ยยย...หลานสาวลูกครึ่ง สวยจริง ๆ ทั้งรูปร่างหน้าตา ไปเล่นหนังได้สบาย ๆ แถมแต่งตัวไม่ค่อยมิดชิดแบบเด็กฝรั่ง น่ะ
พวกครูบา เห็นแล้วตื่นตาตื่นใจ ก็แหมมม เค้าสวยจริง ๆ เนื้อนมไข่ น่าร๊ากกก สุด...สุด 
พอมาถึงหมู่บ้าน อีนังยายก็พามากราบหลวงพ่อ...ให้เป็นสิริมงคลทันที ไม่ทันได้นั่งพักเลย
คงตั้งใจพามาอวดชาวบ้านที่กำลังมาทำบุญกันด้วย แหละ
ครูบา บางท่านที่อายุพรรษายังไม่มาก ยังหนุ่มแน่น ฉกาจฉกรรจ์ รีบมารับใช้หลวงพ่อ...ไม่ยอมห่าง
แต่หลานสาว แสนส๊วยยย สวยนั่นคงจะเหนื่อยเพลียอะไรสัก เพราะนั่งรถเหนื่อยมาจากสนามบิน 
ยังไม่ได้พักทำธุระส่วนตัว ก็โดนพามาวัดซะก่อน ...เธอ ทำหน้าทำตาประหลาด ๆ ชอบกล
ฝ่ายนังยาย ก็คุยอวดไม่เลิก...หลานสาวก็เหลียวหน้า เหลียวหลัง มองซ้ายทีขวาที
พวกครูบา หนุ่มแน่นก็นั่งแอบอยู่มุม ๆ ไม่ให้หลวงพ่อ...มองเห็นตรง เพื่อใกล้ชิดสาวน้อยลูกครึ่งให้มากที่สุด เท่าที่จะพอทำได้
หลังจาก แหม่มสาวลูกครึ่งสวิสฯ แสนน่ารัก...สุด สุด เธออดทนอยู่ระยะนึงแล้ว 
พยายามสะกิดเรียก ยาย...แต่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ฝ่ายแม่ก็มัวคุยอวดผัวฝรั่งกับเพื่อนบ้านห่างออกไปอีกมุมนึง
สาวน้อย ที่แสนจะน่าร๊ากก ก็ทนเมื่อยขบไม่ไหว ขยับไปขยับมา...
โถ น่าสงสาร คนไม่เคยนั่งพับเพียบมาก่อน คงจะเมื่อยขบน่าดู
คนสวย...ทำอะไรก็ไม่ผิด ทำอะไรก็น่ารักไปหมด .....พวกครูบา ท่านให้อภัยทุกอย่าง
และในที่สุดน้องแหม่มลูกครึ่ง ก็อดรนทนต่อไปไม่ไหวแล้.... ขยับถอยห่างจากหลวงพ่อ ออกมาข้างหลัง
แต่ไม่ได้สังเกตุว่าไปใกล้พวก ครูบาหนุ่ม ๆ ที่นั่งแอบมุมเสาหลบสายตาหลวงพ่อ...
เธอก้มหน้า...เอียงก้นนิดนึง แล้ว...ผายลมออกมา ฟืดด.ด..ด ใหญ่ ถึงแม้จะพยายามเก็บเสียงอย่างสุดความสามารถ
แต่ก็ยังมีเสียง ...ปู๊ดด ..ปี๊ดดดด เล็ดรอดออกมา พร้อมกลิ่นพระพาย พัดผ่านอาหาร บูดดด ที่คงคั่งค้างมาจากสวิสเซอร์แลนด์
เหล่าครูบา หนุ่มแน่น 2 - 3 ท่านมีอันผงะหงาย รับกลิ่นสาวลูกครึ่งไป. เต็ม ๆ ถึงกับขมขื่นในลำคอ
พวกท่านพลัน...ได้สติ ถอยออกจากศาลา พากันกลับกุฏิ ไปเดินจงกรม พิจารณา...อสุภะ กรรมฐาน อย่างแจ่มแจ้งในจิต
สาวสวยสดใส ภายนอกช่างน่ารัก...สุด สุด แค่ไหน แต่ข้างในก็...เน่าเหม็น เหมือนกันหมด ทู้กกก คน

จะว่าไปแล้ว วัดป่า...คิดไปคิดมาแล้วเหมือน....ค่ายมวย อ่ะ
หลวงพ่อ...เปรียบเหมือนเจ้าของค่าย ที่เคยเป็นแชมเปี้ยน ชกมาอย่างโชกโชน ชนะเลิศมาถึงที่สุดแล้ว
ทุกวันเหล่า นักมวย จะต้อง...วิ่งออกกำลังกายให้แข็งแรงอยู่ตัว
พวกเราก็ต้องหมั่นทำสมาธิภาวนา เพื่อออกกำลังใจให้หนักแน่น เข้มแข็ง
นักมวย ต้องซ้อมชกลม เตะกระสอบทราย ชกซ้าย ชกขวาอยู่ตลอดเวลา
เราต้อง ภาวนา...พุทโธ อยู่ทุกขณะจิตเหมือนกัน
เมื่อชกลม ชกกระสอบทรายจนเก่งดีแล้ว ก็ต้องเริ่มซ้อม...ชกกับคู่ต่อสู้ จริง ๆ
เหมือนกับเรา ภาวนาจนใจนิ่งดี จิตใจแข็งแกร่งดีแล้ว ก็ต้องหยิบยกเอาเรื่องต่าง ๆ มาพิจารณาแยกแยะ
แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียง...การซ้อม การปฏิบัติภาวนา อยู่กับตัวเองเท่านั้น
นักมวย ที่ฝืกฝนมาอย่างดีแล้ว ก็ต้องออกหาสังเวียนขึ้นชกไต่อันดับ
ศัตรู คู่ต่อสู้ของนักปฏิบัติฯ ภาวนา มันคือ...สิ่งที่มากระทบทั้งหลาย กิเลสตัณหา 
อันนั้นแหละคือ ...ของจริง โดนไอ้ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็นมันไล่ถลุงชกเอา ๆ ซะน่วม
ปิดป้องทันบ้าง ไม่ทันบ้าง หลงอยาก หลงโกรธ หลงเกลียดไปซะก่อนมากมาย
กว่าจะดึง...สติ ยกการ์ดหมัดขึ้นมาก็โดนไปหลายหมัด
ยิ่งบางทีเจอหมัดฮุค ด้วยตัณหาราคะ ความอวบอึ๋มมม ถึงกับมัวเมา ลุ่มหลง
หลายครั้งที่ปัดป้องได้สารพัด มาเสียท่าเอาไม่เด็ด....ความอิจฉา ริษยาคนอื่น
พญามาร ท่านไล่ทุบเราด้วยแม่ไม้มวย...ความโลภ ความโกรธ ความหลง
นี่แหละ...นักภาวนา กับนักมวย มันดูไปดูมา ก็คล้ายกัน นะครับ

เวลาหน้าเทศกาลทอดกฐิน เราจะได้เห็นของสิ่งหนึ่งคือ...ธงกฐิน
ซึ่งมีลักษณะเป็น ธงยาว ๆ หรือ ธงสามเหลี่ยม มีลวดลายเป็น...จรเข้ หรือ นางเงือก นางมัจฉา
อันที่จริงแล้ว คนโบราณท่านเตือนสติ พระปฏิบัติฯ เอาไว้
ความหมายของ...ธ ง ก ฐิ น
พระพุทธเจ้าทรงตักเตือนพระภิกษุสามเณร ผู้บวชในพระพุทธศาสนาให้ระวังภัย 4 อย่าง
ที่จะเป็นเหตุให้ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ได้ไม่ยั่งยืน ต้องลาสิกขาไป 
โดยทรงอุปมาภัย 4 อย่าง ของพระภิกษุสามเณร กับภัยของผู้ที่ลงไปในน้ำ

ภัยจากคลื่น  ผู้ที่ว่ายน้ำในทะเลอาจจะถูกคลื่นซัดออกจากฝั่ง หรือถูกคลื่นซัดจมน้ำตายได้
คือ อดทนต่อคำสอนไม่ได้ เกิดความขึ้งเคียด คับใจเบื่อหน่ายคำตักเตือนพร่ำสอนต้องลาสิกขาไป

ภัยจากจระเข้ ในน้ำอาจจะมีจระเข้ คาบไปกินเป็นอาหารได้
คือ เห็นแก่ปากท้อง ทนความอดอยากไม่ได้ ถูกจำกัดด้วยระเบียบวินัยเกี่ยวกับการบริโภค ทนไม่ได้ต้องลาสิกขาไป 
( จระเข้เป็นสัตว์ที่เห็นแก่กิน กินสัตว์ทุกชนิด จึงนำมาเปรียบเทียบกับคนที่เห็นแก่กิน )

ภัยจากน้ำวน ในแม่น้ำใหญ่หรือทะเล อาจจะมีน้ำวน ผู้ที่ว่ายเข้าไปในกระแสน้ำวนอาจจะถูกกระแสน้ำดูดให้จมลงไปได้
คือ ห่วงพะวงใฝ่ทะยานในกามสุขเพลิดเพลินในกามคุณ ตัดใจจากกามคุณไม่ได้ จมลงในกระแสน้ำวนของกามคุณ 5 แล้วต้องลาสิกขาไป

ภัยจากปลาร้าย ในน้ำอาจจะมีปลาร้าย เช่น ปลาฉลาม ปลาปักเป้า ทำอันตรายถึงชีวิตได้
คือ เกิดความปรารถนาทางเพศ รักผู้หญิง หรือเกิดความราคะ ทนอยู่ไม่ได้ ต้องลาสิกขาไป 

..ผู้ใดไม่กลัวภัยเหล่านั้น ผู้นั้นสามารถดำรงอยู่ศาสนานี้ได้ คือ
 พระพุทธโอวาทที่ทรงตักเตือนพระภิกษุสามเณร ให้ระวังภัยแห่งพรหมจรรย์
โดยเปรียบเทียบภัยของผู้ที่ลงไปในน้ำนี้ นักปราชญ์ได้นำมาเป็นปริศนาธรรมเพื่อเตือนพระภิกษุสามเณรผู้รับกฐิน
ให้ระวังภัย 4 อย่าง โดยทำเป็นรูปธง 2 ผืน 
 สรุปว่า
1. ภัยคือคลื่น : เป็นชื่อแห่งความโกรธ อดทนต่อคำสอนไม่ได้
2. ภัยคือจระเข้ : เป็นชื่อแห่งความเป็นผู้เห็นแก่กิน
3. ภัยคือน้ำวน : เป็นชื่อของกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส
4. ภัยคือปลาฉลาม : เป็นชื่อของมาตุคาม (ผู้หญิง)

ผู้ที่ทำธงกฐินรุ่นใหม่ ๆ ไม่เข้าใจปริศนาธรรมข้อนี้ จึงคิดทำธงกฐินเป็นรูปต่างๆ เช่น รูปนางฟ้าถือผ้าไตรบ้าง 
รูปสัตว์น้ำอื่นบ้าง เช่น เต่า ม้าน้ำ ช้างน้ำ กุ้ง ปู ฯลฯ ซึ่งไม่ตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธองค์เลย

มีคนมากมาย ที่อยากจะเข้ามาบวช ใน...วัดป่า เป็น...พระป่า
เพราะคิดว่าน่าเลื่อมใส หรือดูเท่ห์กว่า การเป็นพระธรรมดาทั่วไป
ก็อยากจะเตือนไว้ให้จงหนัก ผมเห็นมาหลายราย หลายท่านที่อดรนทนความยากลำบากไม่ได้
แล้วทำผิดพลาด อาบัติเล็ก อาบัติน้อย ไปจนถึงอาบัติใหญ่ และปาราชิกในที่สุด
แทนที่มาเป็น...พระป่า จะได้บุญยิ่งใหญ่
แต่กลับแบกเอา...บาปกรรมหนักหนาเอากลับติดตัวไป
ผมเห็นมากับตา ไว้จะเล่าให้ฟัง ครับ

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
093-149-9564

วัดป่า...มหาสนุก 22
https://pantip.com/topic/39212009




 

Create Date : 19 กันยายน 2562    
Last Update : 19 กันยายน 2562 21:50:09 น.
Counter : 297 Pageviews.  

วัดป่า...มหาสนุก 20

วัดป่า...มหาสนุก 20

( เล่าจากเรื่องจริง แต่ให้อ่านเป็นนิยาย...อย่าอ่านเอาเรื่อง นะครับ )

มีคนอยากให้เล่าเรื่องการปฏิบัติฯ ภาวนาต่ออีก....
หลวงพ่อ....ท่านให้
คำสั่งแรก คือ เอาความรู้ที่ได้อ่านมา เรียนมาฟังมา เอาออกไปซะก่อน ให้เริ่มต้นนับ 1 กันใหม่หมดที่นี่

คำสั่งที่สอง...ท่องคำว่า พุ ท โ ธ. อย่างเดียวไม่มีอย่างอื่น ไม่ต้องสนใจลมหายใจ ไม่ต้องมีรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้น 

แค่...พุทโธ อย่างเดียว จะช้า จะเร็ว ตามสบายเอาที่ตัวเราถนัด
แต่ก็แนะนำว่า ตอนเริ่มต้น จิตใจ มันยังว้าวุ่น ให้ พุทโธ เร็ว ๆ ๆๆๆๆๆๆ
หรือขณะที่กำลังกำลัง ภาวนา พุทโธ ไปเรื่อย ๆ เหมือนรถที่วิ่งเลาะเรียบไปตาม ชายทะเล เครื่องยนต์เดินเรียบสม่ำเสมอดี
แต่...มีอะไรมาตัดหน้า หรือมากระตุ้นเราให้หลุดจากการท่องภาวนา จิตใจ แส่ส่ายไปแว่บนึง
ให้รีบ ท่อง พุทโธ เร็ว ๆๆๆๆ เพื่อให้ใจมันกลับมาอยู่ที่คำบริกรรมอีกครั้ง
ถ้าเผลอลืม หรือหลุดจาก พุทโธ...ก็ไม่เป็นไร กลับมาต่อใหม่ได้เสมอ
เคล็ดลับสำคัญ...คือทำไปเรื่อย ๆ ทำไปบ่อย ๆ 
ถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้ว ... มันก็เหมือนกับเรามีเป้าหมายจะเดินขึ้น ดอยสุเทพ
เรามายืนที่เชิงดอย ตีนเขา แล้ว... เราก็แค่ ก้าวเดินออกไป ทีละก้าว ทีละก้าว ๆๆๆๆๆ
เดิน ...เดิ๊นนน เดิน ๆๆๆๆ แค่ ก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แค่นั้นเอง
แต่บางทีมันหยุด กินน้ำกินข้างทาง แวะฉี่ แวะพักแก้เมื่อยบ้าง...ก็ไม่เห็นเป็นไร
ก็แค่...กลับมา ก้าวเดินต่อไป. พุทโธ ต่อไป
หรือเอาแบบผู้หญิงหน่อย เปรียบเหมือนคุณกำลัง...ถักทอ เสื้อคลุมวิเศษตัวหนึ่ง
เราใช้...พุ ท โ ธ  เป็นดั่งเส้นไหมทองคำ เราก็แค่...ถักทอ มันไปทีละปม ทีละปม ทีละปม ไปเรื่อยๆ 
มีธุระต้องรับโทรศัพท์ ก็วางไว้ ไปห้องน้ำก็วางไว้...แต่ต้องกลับมาถักทอ ต่ออีกอย่าได้ทิ้งได้ขว้างห่างหาย
สักวันนึง มันก็ต้องเสร็จ  สักวันนึงก็ต้องเดินขึ้นไปถึง...ยอดดอยสุเทพ
มันไม่ใช่เรื่อง ประหลาดมหัศจรรย์พันลึก อะไรสักนิด.....จดจ่อกับอะไร สิ่งนั้นก็จะขยายผล

หลวงพ่อ...ท่านเน้นว่า...ห้ามทิ้งคำภาวนา พุ ท โ ธ
ต้องท่องบริกรรมไว้ในใจ ตลอดเวลา  ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ขับถ่าย ก็ต้องให้มีติดอยู่ตลอดในใจ
แม้แต่ หลวงพ่อเอง ก็ยังทำอยู่ทุกขณะจิต
ในตอนแรก ๆ มันคอยหลุด คอยหาย ใจแว่บบบ ไปแว่บมา
แต่ก็ต้องอดทนสู้ ท่องไว้ตลอดเวลาให้มากที่สุด....จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา ไปอย่างปรกติธรรมดา
ผมไม่อยากบอกว่า...ทำไปเรื่อย ๆ แล้วมันมีความก้าวหน้าอะไรแค่ไหน เพราะมันแล้วแต่ สติปัญญาของแต่ละคน
บางคนฟังแล้วเข้าใจ มีกำลังใจ แต่บางคนฟังแล้ว...ใจร้อน ฟุ้งซ่าน อยากได้ ฤทธิ์ ได้เดชไปโน่นนนน เลย
แต่ก็บอกใบ้แค่ว่า....ทำไปเถอะ ผลที่ตามมามัน คุ้มค่า และมหัศจรรย์ เหลือหลาย. เรื่องฤทธิ์เดชน่ะจิ๊บจ๊อยย

เมื่อบริกรรมท่อง...พุ ท โ ธ ไปจนใจเริ่มสงบดี สำหรับผมนะ ....จะได้ยิน ได้รู้สึกถึง หัวใจเต้น ตุ๊บตั๊บ...ตุ๊บตั๊บ...ตุ๊บตั๊บ...ตุ๊บตั๊บ...ตุ๊บตั๊บ...
ผมก็ยัง ภาวนา พุทธโท ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด แต่จะมาจดจ่อกับหัวใจที่เต้น...ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ.........
แล้วตามดูมันไป ว่า...เลือดมันวิ่งไปที่ไหนบ้างในร่างกาย พุ่งปรี๊ดปร๊าก ไปที่ปลายมือ ปลายเท้า
หรือพอหัวใจเต้นได้ที่ดี เราเองนี่แหละจะรู้ว่า...จิตใจ ของเรานิ่งสงบดี
อีทีนี้ ก็จับความรู้สึกตรงโน่นบ้าง ตรงนี้บ้าง...สนุกไป
หู ได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ ผิวหนังร่างกายรู้สึกถึง ลมที่มากระทบ
หายใจ ลึกบ้างตื้นบ้าง ตามดูว่า....ลมเข้าปอดพอง ลมออกปอด แฟบบบ
แต่...ที่สังเกตุตัวเองได้อย่างหนึ่ง คือ....คำบริกรรม พุทโธ พอทำไป ทำมา ความเร็วในการท่องจะไปสัมพันธ์ กับอัตราการเต้นของหัวใจ 
ของคนอื่น ๆ เป็นยังไง ผมไม่รู้นะ
หลวงพ่อ...ท่านจะบอกว่า....ทำไป ทำไป ๆๆๆ แล้วจะรู้เอง
เหมือนเดินขึ้นภูเขา ดอยสุเทพ ...พอเริ่มก้าวเดินไปเรื่อย ๆ ตัวเราก็จะรู้เองว่า กำลังของเราควรจะเดิน ด้วยสปีดความเร็วแค่ไหนจึงจะดี
เมื่อเดินไปเจอ...ทางแยก เราก็ออกจะสงสัยว่าจะไปทางไหนดี
ก็ต้องกลับมาที่ เป้าหมายของเรา คือยอดดอย คือ...พระนิพพาน
ถ้าจับจ้องมองเป้าหมาย ไม่หลุดออกจากใจเราก็จะเลือกทางได้ถูก 
ถึงแม้จะผิดพลาดในบางครั้งเราก็จะรู้สึกตัวได้เร็ว กลับมาสู่ทางที่ถูกต้องได้ง่าย ไม่ถลำลึก

คำสั่งที่สาม...ท่านบอกให้. ดูแต่ตัวเอง ไม่ต้องไปดูคนอื่น

ไม่ต้องไปวุ่นวายแส่ส่ายเรื่องของคนอื่น ให้สนใจดูแต่ตัวเรา ...เอ้าาา แล้วดูอะไรล่ะ การดูตัวเองน่ะ
ก็ดู...ทู้กกกก อย่าง ดูร่างกาย ดูจิตใจ ดูอารมณ์ ดูความรู้สึก ดูไฟ 3 กอง .... โลภะ โทสะ โมหะ ที่มันลุกโชติช่วงชัชวาล อยู่ในใจเรา
เอาจริง ๆ นะ ผมเป็น คนกรุงเทพ เป็นพ่อค้า และเคยเป็นโจรมาก่อน
ผมเรียนมาทาง บริหารธุรกิจ ถูกฝึกหัดให้รับรู้ สนใจ และจับความเคลื่อนไหวของสิ่งรอบตัว คนรอบข้าง ใครทำอะไร มีปฏิกริยาอย่างไร
โธ่...ผมฝึกหัด ดูคนอื่นมาทั้งชีวิต 50 กว่าปี แล้วหลวงพ่อ...กลับมาบอกให้เลิกดูโดยเด็ดขาด มันทำยากที่สุด
ปรกติแล้ว การเป็นพ่อค้านักธุรกิจ ...เรื่องของชาวบ้าน คืองานของเรา
แต่ตอนนี้ท่านให้มาดู ใจ ของเรา กายของเรา กิเลสของเรา สิ่งที่เราคิด ที่เราเป็น สิ่งที่เราหวัง สิ่งที่เราจะมุ่งไป
ไม่ต้องไปสนใจว่า คนอื่น ๆๆๆๆๆ เค้าคิดอะไร ทำอะไร สนใจอะไร ....มันเรื่องของเค้า เราไปยุ่ง ไปเฉือกก อะไรกับเค้าล่ะ
สิ่งที่ต้องยุ่ง ต้องจดจ่อ คือตัวของเรานี่แหละ ใจ ของเรานี่แหละเรื่องใหญ่ที่สุด
หัวใจ ...ที่โตเท่ากำปั้น แต่สิ่งที่อยู่ข้างใน...มันใหญ่โตมโหราฬ ไม่มีที่สิ้นสุด
ค้นไปเถอะ หาไปเถอะ ท่องเที่ยวไปเถอะ ไม่จบไม่สิ้น

ผมเคยถามแย้งท่าน ว่า...ผมเป็นพ่อค้า ต้องสนใจเรื่องของคนอื่นสิครับ
เค้าชอบอะไร เกลียดอะไร อยากได้อะไร ผมต้องเข้าใจเค้าเรียนรู้เค้า เพื่อจะได้หาช่องหาประโยชน์จากเค้าได้น่ะครับ
หลวงพ่อ...ท่านบอก ถ้าอยากรู้เรื่องของคนอื่น ให้ดูที่ตัวเเราให้แตกฉานซะก่อน
ดูตัวเรา เห็นตัวเรา ก็จะเห็นคนอื่น เข้าใจคนอื่น .....เค้าก็เหมือนกันเรา และเราก็เหมือนกับเค้า
เนี่ยะ ท่านบอกอย่างนี้
ตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็เชื่อฟังไว้ก่อน... เลิกสนใจคนอื่น เลิกยุ่งวุ่นวายกับคนอื่น หันมาสนใจแค่...ตัวเรา
แล้ววันหนึ่ง ขณะที่เดินจงกรมอยู่ คำสั่งของหลวงพ่อ...ก็เด้งขึ้นมาในหัว
ฉับพลันนั้นต่อด้วยความเข้าใจ ตีโจทก์แตกได้นิดหน่อย
อ๋อ...ดูแต่เรื่องของเรา ไม่ต้องดูเรื่องคนอื่น
แล้วผมก็ได้คำจำกัดความ ที่เอาไว้ใช้คนเดียว ห้ามลอกเลียนแบบ... 
เรื่องของ ตู 
เรื่องของ มะรึง 
และ ไม่ใช่เรื่องของ ตู
อธิบายเปรียบเทียบเหมือนกับผม กำลังจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้าน
เรื่องของตู คือ...ผมต้องใส่หมวกกันน๊อค ให้เรียบร้อย แน่นหนา ขับขี่อย่างระมัดระวัง
แต่พอขี่ออกไปในถนนแล้ว ไปเห็นรถคันข้าง ๆ มันไม่ใส่หมวกกันน๊อค...ผมก็ไม่ต้องไปเฉีอกก ไปยุ่งกับเค้า มันเรื่องของ มะรึง
เค้าจะประมาท จะไม่รักตัวเอง ไม่รักครอบครัว มันก็...เรื่องของมะรึง
และถ้าขี่ ๆ ไป แล้วเห็นเค้าถูกตำรวจ จับเพราะไม่สวมหมวกก็ไม่ใช่เรื่องของเราจะต้องไปสนใจ
ใครจะมีอุบัติเหตุ ใครจะทะเลาะกับใคร ยังไง...ก้อไม่ใช่เรื่องของตู

หลวงพ่อ....ท่านเน้นเรื่องการปฏิบัติ ฝึกหัดตนตาม พระวินัย ทุกเรื่อง
ท่านไม่ค่อยเทศน์ยาว ๆ แต่ถ้าอยู่กันแบบตัวต่อตัว หรือเฉพาะพวก พระ ด้วยกัน ละก้อ สอนยาววววว
ท่านไม่ค่อยเน้น ปริยัติ ทฤษฎี แต่มักจะหลุดคำคม คำพังเพย ประโยคเด็ด ๆ ออกมาอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว
บางคำถึงกับ สะอึก บางคำต้องเอาไปเดินจงกรมขบคิดอยู่หลายวัน
เช่นกำลัง ตีตาด กวาดลานวัด....ใบไม้ก็ปลิวร่วงหล่นลงมา กวาดไปยังไม่ทันเสร็จ  อ้าวว ร่วงลงมาอีกแล้ว
ยิ่งหน้าร้อน ลมพัดแรง ต้นไม้ทิ้งใบ กวาดไปเถอะเท่าไหร่ก็ไม่หมด
ขณะที่กำลังกวาด ด้วยความหงุดหงิด หลวงพ่อ...ท่านกวาดมาข้าง ๆ แล้วพูด...
ใบไม้...ก็เหมือนกิเลส ที่มันร่วงหล่นมาสู่ใจเราอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวต้นนั้น เดี๋ยวต้นนี้
เหมือนกับเรื่องที่หล่นใส่ใจเรา เรื่องนั้นเรื่องนี้
เราก็มีหน้าที่ แค่กวาดมันทิ้งไป...กวาดไป ๆๆๆๆ สักวันหนึ่งก็ต้องหมดเกลี้ยง
ฟังแล้วจับใจ ได้ข้อคิด....
แต่พอเอาเรื่องนี้ ไปเล่าให้ หลวงตาฯ มหา...ท่านฟัง
ท่านกลับบอกว่า...เราต้องโค่น ต้นกิเลส มันทิ้งออกไป ตัดที่ต้นเหตุซะเลย
ผมแย้งว่า...ต้นมันใหญ่โตมโหฬาร จะเอาอะไรไปตัด ไปโค่นมันล่ะครับ
ท่านบอก....ปัญญา ไงล่ะ

ผมเคยกราบเรียนถาม หลวงตาฯ ว่าจะต้องไปเรียนรู้เรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน แบบที่เค้าเรียน ปริยัติฯ กันมั้ย
ท่านบอก แค่รู้ตัวหลัก ๆ ไว้บ้างก็พอ เช่น...พระพุทธเจ้า ท่านสอนอะไร
ท่านสอนอยู่เรื่องเดียว นะ คือ....ทุกข์ และการดับทุกข์
วิธีคิด วิธีการดับทุกข์ต้องใช้อะไร....ก้อใช้วิธีการทั้ง 8 คือ มรรค 8
เริ่มจาก ....คิด พูด ทำ
ทุกอย่างมันต้องเริ่มต้น จาก....ความคิด ทั้งนั้นแหละ
คิดบ่อย ๆ ก็พูดออกมา  พูดบ่อย ๆ  ก็จะเริ่มลงมือทำ
ทั้งเรื่องดี เรื่องชั่ว มันต้องมาจากความคิดทั้งนั้น
เหมือนต้นมะม่วง....มันต้องมีต้นซะก่อน แล้วออกดอก  พอออกดอกแล้วก็ติดลูก เป็นผล เป็นลูกมะม่วง
พระพุทธเจ้า ท่านสอนว่าทุกอย่าง มันต้องมี....เหตุ แล้วจึงมี...ผล
เราแค่ทำเหตุ ให้ดี ผลที่ออกมาก็ต้อง ดี แน่นอน
ส่วนว่าจะดี แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่ว่าทำเหตุไว้เข้มข้นแค่ไหน ล่ะ

นอจากว่า ผล ที่จะเกิดขึ้นได้ ม้นต้องมี....เหตุ แล้ว
แต่ ไม่ได้มีแค่ เหตุอย่างเดียว...มันต้องมีองค์ประกอบของเหตุ ที่เราเรียกว่า...เหตุปัจจัย ด้วย
เช่น กองไฟ มันจะติดขึ้นมาลุกโชนได้ มันต้องมีอะไรเป็นองค์ประกอบ ล่ะ
ก็ต้องมี...เชื้อเพลิง ฟืน หรือ น้ำมัน
และยังต้องมีออกซิเจน มีประกายไฟ  ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ไม่ติด
เอาน้ำมันเบนซิน มาถังนึง...แล้วเอา ไฟแช็ค มาด้วย
ถ้าไม่มีใครจุดไฟแช็ค มันก็ไม่ติดไฟ ไม่ลุกขึ้นพรึบพรับ....ต่อให้เอา ไฟแช็ค โยนลงไปในอ่างน้ำมันเบนซิน ก็ไม่เป็นไร
เห็นมั้ย...เหตุปัจจัย มันไม่ครบ

ผมเรียนถามท่านว่า...ผมต้องเรียนรู้เรื่อง ฌาน มั้ยครับ
ว่าผมภาวนาไปได้ถึง ฌาน ไหน
ท่านบอกว่า...ถ้าจะเดินให้ถึง ยอดเขา ก็แค่ตั้งหน้า ตั้งตาเดินไป เหนื่อยก็พักแล้วก็ไปต่อ ก้าวเดินต่อไปไม่หยุดยั้ง
จะไปมัววัดระยะอยู่ทำไมว่า เดินมากี่ก้าว ไปได้แค่ไหน สูงขึ้นมาจากน้ำทะเลเท่าไหร่แล้ว....รู้แล้วได้อะไร
แย่กว่านั้นคือ...รู้แล้วเหลิง ตะโกนคุยอวดใครต่อใครไปทั่ว
ต้องเงยหน้ามองยอดเขาอยู่ตลอดเวลา เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดอยู่เสมอว่า เราต้องไปให้ถึงยอด ไปให้ถึงที่สุดให้ได้
ถ้าชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าก็เอาอีก...ๆๆๆๆๆ

ผมถามต่อ...แล้วผมต้องเรียนรู้มั้ยว่า...จิต มันมีกี่ดวง เกิดดับเท่าไหร่ต่อนาที
หลวงตามหาฯ ท่านหัวเราะ...แล้วย้อนถามว่า ถ้าเราจะโค่นต้นไม้ แล้วจะไปมัวนั่งนับ...ใบ มันทำไมล่ะ
สิ่งที่ต้องทำ คือ หาวิธีโค่นมันลงให้เร็วที่สุด ง่ายที่สุด จะค่อย ๆ ริดกิ่งก้านใบ หรือจะฟัน ที่โคนมันเลย
เราต้องหาขวาน คือปัญญา ลับมันให้คมกริบ หาที่ยืนให้มั่นคงด้วยศีล ที่ปรับไว้แน่นหนาดีแล้ว 
ตั้งหลักมั่นจดจ่อด้วยสมาธิ  จับขวานให้มั่นเหมาะ ด้วยสติ แล้วเลือจุดที่จะ...ฟัน มันให้เหมาะ ๆ 
แล้วลงมือกระหน่ำฟาดฟัน ต้นกิเลส...ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่าอ่อนข้อ อย่าท้อถอย
สักวันนึง มันต้องโค่นล้มลงมา...อยู่แทบเท้าเรา

โอ้ววว ฟังแล้ว...ฮึกเหิม 
ยกมือขึ้น...สาธุ. สา ธุ   สา........ธุ

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
093-149-9564




 

Create Date : 06 กันยายน 2562    
Last Update : 6 กันยายน 2562 12:04:18 น.
Counter : 547 Pageviews.  

วัดป่า...มหาสนุก 19

วัดป่า...มหาสนุก 19

( เล่าจากเรื่องจริง แต่ให้อ่านเป็นนิยาย...อย่าอ่านเอาเรื่อง นะครับ )

เมื่อวานเล่าเรื่อง ครูบาจุก
มีคนถามว่าแล้ว หลวงพ่อ...ให้ทำยังไง ผี ตนนั้นถึงได้ยอมให้ท่านอยู่ที่นั่นได้
อันที่จริงผมก็ถามแบบนี้เหมือนกัน ซึ่งท่านก็เล่าว่า....
หลวงพ่อ...ย้ำเตือนเรื่องแรก คือ พระวินัย การปฏิบัติตัวต้องสำรวมระวัง 
ศีลต้องไม่บกพร่อง ถ้าด่างพร้อยก็เหมือนเปิดช่องให้เค้าเล่นงานได้
และต้องสวดมนต์ทั้งเช้า ทั้งเย็น อัญเชิญเทวดา และสวดพระสูตร...ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ทุกวัน
วันพระต้องสวดพระสูตรหลัก ทั้ง 3 พระสูตร คือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ...อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร
ให้สวดสม่ำเสมอ และแผ่เมตตาจี้ให้เค้าตลอดเวลา
ซึ่งก็ได้ผลในเวลาไม่นาน...ผี เจ้าที่ตนนั้นก็ยอมมาฟังสวดมนต์ ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกตั้งท่าไม่ชอบ พระ ท่าเดียว
อะไรก็ไม่เอา แผ่เมตตาก็ไม่เอา ตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
ตอนหลังไม่รู้ว่ายอมอ่อนลง เพราะ...เทพ เทวา ท่านมาสวดมนต์ด้วย เลยเกรง ๆ ละมั้ง
ภายหลังคงได้รับ บุญ ที่ตั้งใจแผ่ให้อย่างเจาะจง จี้ ให้เค้าโดยเฉพาะ...คงจะรู้สึกร่มเย็นเป็นสุขขึ้นด้วยละมั้ง
แหมมม...ว่าไปแล้วก็เหมือนคนเรา นะ
พอมีคนที่มีอำนาจ บารมีย่ิงใหญ่กว่าตัวเองเยอะมาถึงบ้านถึงถิ่นที่อยู่ ก็ย่อมแตกตื่น และจ๋อย ไปเยอะ
แถมยังได้ผลประโยชน์ ได้รับบุญที่ท่านแผ่ให้อีก...ไม่มีอะไรเสีย มีแต่ได้ ยอม ๆ หน่อยก็ไม่เสียหาย เน๊อะ

นึกถึงเรื่องที่ ครูบา ท่านเจอ ผี อันธพาลตัวบิ๊กเบิ้ม มายืนจังก้าโท่โร่ ขตาใส่ท่านในวันแรกที่บวช
เลยนึกได้ว่า...วันแรกที่ผมบวช ก็เกิดเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเหมือนกัน
ผมไปอยู่ที่วัดป่า....แห่งนี้ก่อนบวชประมาณเกือบเดือน เพื่อไปเตรียมตัว และหัดท่องบทขอบรรพชา
บทที่ขอบวช ของวัดป่า จะแตกต่างกับของ...วัดบ้าน
และที่สำคัญ หลวงพ่อ...ท่านเน้นให้ผม ออกเสียงแบบ มคธ ให้ชัดเจนเพื่อเป็นแบบอย่างโดยเฉพาะ
ต้องมีจังหวะ การขึ้นลงของเสียง ที่เป็นแบบเฉพาะ อีกด้วย
ไม่แค่ท่องจำได้ แต่ต้องให้ถูก อักขระฐานกลอน อีกต่างหาก ท่านว่าต้องการอนุรักษ์ไว้เป็นแบบอย่าง
พิธีกรรมการบวชของ...ธรรมยุติ หรือวัดป่า ไม่ค่อยวุ่นวาย 
ไม่มีการแห่ การขี่คอ การไหว้สีมา เหมือนอย่าง วัดบ้าน มหานิกาย
ออกไปทาง เรียบง่าย เข้มขลังซะมากกว่า...ซึ่งผมเองมีความตั้งใจเต็มที่เกินร้อยในการบวชครั้งนี้
มาเตรียมตัว หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า....ผ้าขาว หรือ เป็นนาค นั่นแหละ
สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุด คือ การนุ่งห่มจีวร
คุณเอ๊ยยยย....ช่วงอาทิตย์แรกของการบวช ผ้าจีวร คอยแต่จะหลุดออกจากตัวอยู่ตลอด...ผ้ามันลื่นมาก
ผมละกลัวมันหลุดลุ่ย ต่อหน้าชาวบ้านตอน...บิณฑบาต 
ทุกเช้ามันเครียดอยู่แต่เรื่องนี้....มันยากมาก ยิ่งมีบาตรให้สะพาย คอยเปิดฝา ปิดฝาด้วยแล้ว
โอ๊ย ผ้าก็จะหลุด บาตรก็จะคว่ำ ฝาบาตรก็จะร่วง
แล้วช่วงเข้าพรรษา เป็นช่วงหน้าฝน ยังต้องถือร่มอีกต่างหาก...ความเครียดพุ่ง ปรี๊ด ๆ ทุกเช้าเลย

ย้อนมาในวันที่บวช มันยุ่งเหยิงไปหมด...กลัวท่องไม่ได้ กลัวตกใจลืมกลางคันละตายยย ๆๆๆ
กลัวห่มจีวร ไม่เป็น หรือหลุดลุ่ย ตอนสะพายบาตรด้วยนะ ตอนที่บวช น่ะ
ญาติก็มากัน ลูกเมียอีก ยังไม่นับชาวบ้านที่เค้าเอาใจช่วย และมาร่วมโมทนาบุญกันอีก
อย่างที่เคยบอกไว้ว่า...ผมเป็นคนกรุงเทพแท้ แล้วมาปฏิบัติฯ ภาวนากรรมฐาน ที่นี่ชาวบ้านเค้าเห็นเป็นของแปลก
แถมนี่ยังจะมา บวช ให้พวกเค้าได้ใส่บาตร เค้าเลยตื่นเต้นมากกว่าปรกติ

ไปเตรียมตัวแต่เช้า กว่าจะออกจากโบสถ์มาเป็น...พระสำเร็จรูป ก็บ่าย
แล้วยังต้องไปกราบ...หลวงตามหา...ที่ อ.กมลาไสย เพราะถือว่าท่านเป็นผู้ฝากให้มาเป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่อ....
และท่านยังให้...ผ้าจีวร อย่างดีมาโดยเฉพาะ เมื่อบวชเป็นพระแล้ว ก็ต้องไปกราบคารวะ หลวงตามหาฯ ให้ท่านสั่งสอนสำทับอีกที
ตลอดช่วงเวลาที่มาเป็น นาค หรือผ้าขาว หลวงพ่อ...ท่านจะปลุกเร้าโน้มน้าวเราทุกวัน ให้เห็นถึง บุญบารมี ของการบวชเป็น พระ
ตอนค่ำวันนั้น ก็จะเป็นวันแรก ที่ได้...สวดมนต์ทำวัตรเย็น ในฐานะความเป็น พระภิกษุสงฆ์ เป็นครั้งแรก
ซื่งความรู้สึกของการมาปฏิบัติธรรม กับความรู้สึกของการเป็น...พระ มันแตกต่างกันลิบลับ
สำหรับผม คนเดียวนะครับ...การได้เป็น..พระป่า มันช่างภาคภูมิใจอย่างที่สุด 
ใจมันฮึกเหิมดั่งกับว่าได้เป็น...นักรบ เต็มตัวแล้วมันให้รู้สึกคึกคักห้าวหาญ มั่นอกมั่นใจเต็มร้อย
ยิ่งตอนสวดมนต์ทำวัตรเย็นในวันแรก เสียงสวดสาธยายมนต์มันเหมือนกับเสียง...กลองศึกที่กำลัง ตีย่ำอย่างเร้าใจ
พระวินัย ศีล 227 ข้อ คือสิ่งที่ต้องพึงสำรวมระวังอย่างเคร่งครัด สถานะถูกยกขึ้นให้ชาวบ้านเค้า...กราบไหว้
และถูกจับจ้องจากทุกสายตา ด้วยความคาดหวังว่าเราจะเป็น...ที่พึ่งที่ระลึก เป็นสรณะทางใจ ให้กับพวกเค้า
การปฏิบัติฯ ภาวนา ก็ยิ่งต้องเข้มข้นมากกว่าเดิม กว่าจะได้กลับถึง กุฏิของตัวเองก็เที่ยงคืนไปแล้ว
เพียงแค่หัวถึงหมอน แทบไม่ทัน พุทโธ ก็หลับวูบบบ

มารู้สึกตัวว่ากำลังฝัน...แต่เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก
ในฝันมี...คุณยาย ของผมที่ท่านได้เสียชีวิตไปเกือบ 30 ปีแล้ว...ท่านมาเรียกให้เดินตามไปด้วยกัน
ท่านพาผมไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง...มืดมิด มีแต่หมอกลอยอบอวล อยู่รอบตัวเรา เหมือนในหนังไม่มีผิดเพี้ยน
มีศาลาโล่ง ๆ อยู่หลังหนึ่ง แต่ไม่ได้เข้าไปในนั้น
แล้วผมได้พบกับบรรดา...น้าชาย ที่ตายไปหลายปีเต็มทีแล้ว 3 คน
ซึ่งน้าชาย ทั้ง 3 คนของผมนี้เค้าสนิทกับผมมาก เมื่อครั้งที่พวกเค้ายังมีชีวิตอยู่
แต่ต้องขอเล่าก่อนว่า...น้าชายของผมเป็นพวกตัวแสบประจำถิ่น ไม่รู้จักการทำบุญ ทำแต่บาปกรรม เป็นระยะ
คนนึงกะล่อนโกหกเก่งสารพัด คนนึงติดการพนัน อีกคนนึงก็เจ้าชู้ และทั้งหมดชอบ กินเหล้า เป็นชีวิตจิตใจ
คุณยายของผมเอง ก็ติดเหล้า ต้องกินทุกเย็น เรียกว่าเป็นครอบครัว....ขี้เมาทั้งบ้าน
ตอนที่ผมยังเด็ก ก็ชอบไปเล่นที่บ้านของคุณยาย และพวกน้า ๆ ก็ช่วยกันเลี้ยงดู สอนการใช้ชีวิตสารพัดรูปแบบ
สอนว่ายน้ำ สอนขี่จักรยาน สอนขับรถยนต์. นับว่ามีบุญคุญกับผมมาก

พวกน้าชายทั้ง 3 คน เค้าเดินเซื่องซึมเรียงแถวกันมา เหมือนกับมี เชือก ล่ามร้อยพวกเค้าเอาไว้
โดยมีผู้คุม ที่ลักษณะ ตัวใหญ่ล่ำบึ๊ก ท่าทางดุ เฉียบขาด แต่ไม่ใช่ ดุร้าย
ภาพรวมแล้วเหมือน...นักรบบางระจัน อะไรแบบนั้น น่ะ
ผู้คุมพยักหน้าให้ พวกน้าชายทั้งหมดเข้าไปนั่งใน...ศาลา พวกเค้าก็เข้าไปนั่งเรียงแถว คอตกเลื่อนลอย เซื่องซึม 
แต่มองไปแล้วเรารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า...พวกเค้ากำลัง ทนทุกข์ แสนสาหัส
ไม่ใช่ทุกข์ทางกายแบบ ถูกตีถูกแทง อะไรอย่างนั้น...แต่มันเป็นทุกข์ ที่ใจอย่างใหญ่หลวง กัดกินอยู่ข้างใน
เหมือนกับไฟมันสุมอยู่ในอก ตลอดเวลานานเท่า นาน.น..น...น
ลองนึกถึงความทุกข์ที่มันอยู่ในใจ เวลา...อกหัก เป็นหนี้ เศร้าโศกเสียใจ ฯลฯ แต่คูณด้วยพันเท่าอะไรอย่างนั้นแหละ
ส่วนผมที่เป็น พระ ยืนดูอยู่ข้างนอกศาลา ที่มีคุณยายของผม และผู้คุมท่านนั้น
แล้วคุณยาย ก็หันมามองผมด้วยสายตาที่ ทนทุกข์ไม่น้อยกว่าพวกน้าชายของผม
ท่านไม่ได้พูดออกมาเป็นเสียง แต่เป็นการสื่อสารที่รู้ว่าท่านต้องการให้ผม ช่วยพวกเค้าด้วย
ในชั่วขณะเวลานั้น ผมทั้งเศร้าสลดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
และเข้าใจดีทุกอย่างว่า...พวกคุณยาย และน้า ๆ ของผม มาจาก...นรก โดยมียมทูต คุมตัวมา
ผมได้ยอมรับในสิ่งที่เห็นตรงหน้า และยินดีที่จะช่วยพวกเค้าอย่างเต็มที่ เท่าที่จะช่วยได้
แล้วผมก็ตื่นขึ้นมา อย่างมีสติเต็มที่ว่าสิ่งที่ฝันไปนั้น...มันจริงแท้ไม่ได้ฝันเพ้อเจ้อ

รุ่งขึ้นเมื่อมีโอกาส ได้กราบเรียนเรื่องที่ฝัน ให้หลวงพ่อ...ทราบ
ท่านบอกว่า...คนที่ตั้งใจบวช และปฏิบัติฯ อย่างเต็มที่ กระแสแห่งบุญ นี้เทวดาก็โมทนาด้วย
และท่าน พญามัจจุราช ซึ่งเป็น เทพชั้นผู้ใหญ่ ท่านก็รับรู้และให้โอกาสกับ ญาติพี่น้อง ที่ตกอยู่ใน...นรก ของท่าน
ได้มีโอกาสขึ้นไป...ขอส่วนบุญ
หลวงพ่อ...ท่านยังสำทับอีกว่า สร้างบุญอันยิ่งใหญ่ด้วยการ บวช และยังตั้งใจที่จะก้าวเดินอย่างเต็มกำลัง 
ได้สร้างแรงพลังไปถึง นรก สวรรค์ แล้ว จะทำให้พวก เทวดา และพญามัจจุราช ท่านผิดหวังไม่ได้นะ
ลองคิดดูสิครับ ...หลวงพ่อ...ท่านพูดถึงขนาดนี้ 
แล้วผมจะกล้าขี้เกียจได้ยังไง

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
093-149-9564




 

Create Date : 05 กันยายน 2562    
Last Update : 5 กันยายน 2562 22:13:24 น.
Counter : 389 Pageviews.  

วัดป่า...มหาสนุก 18

วัดป่า...มหาสนุก 18

( เล่าจากเรื่องจริง แต่ให้อ่านเป็นนิยาย...อย่าอ่านเอาเรื่อง นะครับ )

เอาเรื่อง...ผี ที่วัดป่า...อีกนิดให้จบดีกว่า
มีคนถามผมว่า...เคยเจอกับ ผี แบบจะแจ้งมาเป็นตัว ๆ บ้างมั้ย
ขอตอบว่า น่าจะไม่เคย นะ แต่รู้ว่า...มีอยู่รอบ ๆ ตัว
อาจจะเป็นเพราะ...กลัวจะเจอเหมือนกัน
แต่พอบวชเป็น พระ แล้วความกลัวก็หายไป...อาจจะเป็นเพราะเกิดความเชื่อมั่นใน เพศบรรพชิต
ความฮีกเหิม ความเข้มแข็งของจิตใจ มันเปลี่ยนไปทันที ที่ได้สวม...จีวร อันเป็นธงชัยของพระศาสนา

ตั้งแต่วินาที ที่การบวชเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวใจมันพองโตทั้งประหม่า ทั้งตื่นตัว
มั่นใจในองค์หลวงพ่อ...ว่าท่านสามารถคุ้มครองเรา สอนสั่งเราให้ก้าวเดินในทาง พระนิพพาน ได้แน่นอน
การเดินในเส้นทางนี้ ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องอื่นใดทั้งหมด
เพราะฉะนั้น เรื่องของ...เทพเทวา ผีสาง วิญญาณหลังความตาย มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไปซะแล้ว
เป็นเทวดา แล้วยังไง ...เป็นผี เป็นเปรต แล้วยังไง จะมาเหนือกว่าความเป็น พระ ผู้มีศีลวัตรได้ยังไง

หลายครั้งที่กำลังปฏิบัติฯ ภาวนา เดินจงกรมด้วย ใจที่แน่วแน่ ด้วยสติที่มั่นคง
ทุกก้าวที่เดินภาวนา ที่เหยียบย่างไป จะรับรู้ถึงสิ่งที่เป็น...พลังบุญบารมี ที่เพิ่มขึ้น
มักจะได้กลิ่นหอม แปลก ๆ ชื่นใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีดอกไม้ในแถวนั้นเลย
หรือบางที นั่งสมาธิ กรรมฐาน จนจิตนิ่ง สงบ ปล่อยใจสบาย กลับมีกลิ่นเหม็นสาปสางจนต้องลืมตามองหา
เคยถามเรื่องนี้ หลวงพ่อ....ท่านบอกว่า กลิ่นหอมมาจาก เทวดา เค้ามาโมทนาบุญด้วย มาให้กำลังใจ
ส่วนกลิ่นเหม็นสาบสาง ก็เพราะ...วิญญาณ ที่ทุกข์ทรมานเค้าเห็นแสงสว่าง เลยมาขอส่วนบุญ ขอให้แผ่เมตตาให้ด้วย
สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเรา กำลังปฏิบัติฯ ภาวนาได้ดี มีความก้าวหน้า จนสะดุดตา...เทวดา และผีสาง
แต่ระวังจิตให้ดี อย่าหลง อย่าเหลิงเชียวนะ กำลังไปได้ถูกทางแล้ว

อ้อ...นึกขึ้นได้ ลูกสาวของผม เคยมาปฏิบัติธรรม ในช่วงวันหยุด
ตอนค่ำที่จะไปสวดมนต์เย็น ...บรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดสนิท แต่ดันลืมเอาไฟฉายติดตัวมา
เลยรีบกลับไปเอาที่เรือนพักเพียงคนเดียว 
ระหว่างทางที่เดิน สังเกตุเห็น...ลูกไฟ ดวงขนาดเท่าลูกกอล์ฟ หรือลูกปิงปองมันลอยไป ลอยมาอยู่ในดงไม้
ด้วยความผิดสังเกตุ จึงพยายามมองว่า....หิ่งห้อย หรือเปล่า แต่ทำไมดวงไฟมันลูกโตขนาดนี้ สว่างขนาดนี้
ไม่ได้คิดว่าเป็นสิ่งลี้ลับอะไร 
แต่ระหว่างที่ยืนเพ่งมอง ลูกไฟดวงนั้น มันหยุดลอยไปลอยมา แต่กลับพุ่งเข้าหาลูกสาวของผม
ชนิดที่ว่า ต้องก้มหลบเลย ไม่งั้นมันพุ่งชนแน่นอน 
หลังจากเสร็จจาก สวดมนต์ทำวัตรเย็น เสร็จแล้วได้ถาม หลวงพ่อ....ว่ามันเป็นตัวอะไรไม่เคยเห็น
ท่านบอกนั่นเค้าเรียกว่า ...ผีโพง มันชอบแกล้ง หรือมาหยอกคนที่มา ภาวนา
เป็นพวก...หมอผี ตอนที่ยังมีชีวิตชอบเรียนพวก ไสยศาสตร์ และใช้ไปในทางผิดศีลธรรม
กรรมเลยต้องมาเป็นแบบนี้ วิญญาณเร่ร่อนวนเวียน ไปไหนก็ไม่ได้ แต่นาน ๆ จะเจอสักที

อีกท่านที่เคยเจอแบบจัง ๆ คือ...ครูบา จุก
ท่านเล่าว่า เป็นคนหมู่บ้านข้าง ๆ วัดนี้เอง ตอนที่ท่านยังเป็นเด็ก ๆ อายุแค่สัก 12 - 13 ปี
ในหมู่บ้านของท่านมี ผู้ชายคนนึงที่ชาวบ้านเรียกว่า...ไอ้เสือผาด
ซึ่งเป็นโจร และเป็นคอมมิวนิสต์ด้วย แต่งตัวเหมือนทหารพราน ใส่รองเท้าบู๊ท ของทหาร
มีสมัครพรรคพวกซ่องสุมกัน ปล้นฆ่าคนในหมู่บ้านอื่น
แต่กับในหมู่บ้านที่ท่านอยู่ มันไม่ปล้น แต่จะข่มขู่ให้กลัวด้วยการทำร้าย และฉุดลูกเมียคนอื่นไปข่มขืน
ชาวบ้านก็ต้องทนอยู่กับมันแบบนั้นอยู่หลายปี ที่หนีไปอยู่ที่อื่นได้ก็โชคดีไป แต่ใครที่ไม่มีที่ไปก็ต้องทนเป็นทาสของมัน
ที่สำคัญมันมี...วิชาอาคม ยิง ฟันไม่เข้า
วันนึง มันได้ทำผิดพลาดมหันต์ด้วยการไปฉุด เมียลูกน้องไปข่มขืน
ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ลูกน้องของมัน บวกกับความชั่วหลายอย่างที่มันได้สร้างเอาไว้
กลุ่มลูกน้องของมัน จึงวางแผนการหลอกมอมเหล้า ไอ้เสือผาด จนเมามาย
ครูบาจุก ท่านเล่าว่าอยู่ในเหตุการณ์ ตอนนั้นด้วย เพราะความเป็นเด็กซน ท่านมุดเข้าไปแอบดูอยู่ห่าง ๆ 
พอไอ้เสือผาด เมาได้ที่พูดจา พร่ำเพ้อถึงวิชาอาคม ของตนเอง
พวกลูกน้อง ก็หลอกถามว่ามีของดีของขลัง อะไรเอามาโชว์หน่อย
มันก็งัดเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มันนับถือออกมาโชว์ว่า...สิ่งนี้นี่แหละ ที่ช่วยให้มันอยู่ยงคงกระพัน
บรรดาลูกน้องมองหน้ากัน แล้วกระโดดล๊อคคอ กระชากเครื่องรางอันนั้นโยนทิ้งไป
อีกหลายคน พากันชักมีดออกมา...รุมกระหน่ำแทง มันทั่วทั้งตัว
ครูบาจุก ท่านเล่าว่า...เสียงร้องของมันโหยหวน ดังก้องไปทั่วอย่างน่าสยดสยอง
ลูกน้อง ก็รุมแทงไม่ยั้ง เสียงดัง..ปึ๊ก ๆๆๆๆๆ แทงเข้าบ้าง ไม่เข้าบ้าง
จนในที่สุด มันร้องว่า....ยอมแล้ว ๆๆๆๆๆๆ แต่กว่ามันจะตาย ร้องโหยหวนนน เกือบชั่วโมงกว่าจะสิ้นใจ
แล้วบรรดาลูกน้องก็ช่วยกันเอา ร่างของมันมาฝัง ในป่าช้าวัดของเรา
ท่านยังบอกว่าอยู่ตรงไหน เหตุที่ท่านจำได้เพราะวิ่งตามมาแอบดู จนพวกเค้าฝังศพมันจนเสร็จ

ในคืนก่อนจะบวช ท่านได้เล่าเรื่อง ไอ้เสือผาด ถวายให้หลวงพ่อ....ฟังอย่างสนุกปาก
และในวันต่อมาเมื่อได้ทำการ...บวช เสร็จสิ้นกลายเป็น พระ เรียบร้อยแล้ว
คืนนั้นเอง หลังจากทำกิจวัตร ทุกอย่างเสร็จสิ้น ขณะที่กำลังจะเข้านอนในกุฏิ ชั้นเดียวใต้ถุนสูง
ท่านเล่าว่า...ตอนนั้นยังภาวนาอะไรก็ไม่เป็น หลวงพ่อ...ก็สอนแค่ให้​ พุทโธ อย่างเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันได้สอนอย่างอื่น
พอเข้าที่ ในมุ้งกลด เริ่มนั่งสมาธิ ภาวนา......เริ่มหลับตาลง ยังไม่ทันได้ตั้ง นะโม ฯ เลย
หูได้ยินเสียง คนเดินขึ้นบันไดกุฏิมา แถมเสียงฝีเท้าที่ขึ้นมามันหนักแน่น เสียงเหมือนคนใส่รองเท้าบู๊ทซะด้วย
ท่านก็หลับตาเงี่ยหูฟังเสียงให้แน่ใจ....
พอลืมตาขึ้นดูเท่านั้นแหละ.....ภาพที่เห็นคือ ไอ้เสือผาด ที่ตายไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน
มายืนจังก้า อยู่ต่อหน้าท่าน...ห่างกันแค่ มุ้งกลดกั้นไว้ แค่นั้นเอง
ครูบาจุก ท่านเล่าว่าตกใจ ขนหัวลุก เบิ่งตาดูมัน....และมันก็ถลึงตามองมายังท่านเหมือนกัน
ไอ้เสือผาด ที่ยืนตรงหน้ามีเปลวไฟอยู่รอบ ๆ ตัวมันด้วย ท่านว่ารู้สึกถึงความร้อน ที่อยู่รอบ ๆ ตัวมันได้เลย
พอได้สติ...รีบหลับตาลง แล้วภาวนา...พุทโธ แบบถี่ยิบ  พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ..
ภาวนาแบบหลับหู หลับตา อยู่อย่างนั้นเป็นนานถึงกล้าลืมตาขึ้นดู ก็ไม่มีแล้ว
แต่แทบไม่ได้นอน สวดมนต์ภาวนาทั้งคืน
ตอนเช้ารีบรายงานให้ หลวงพ่อ...ทราบ ซึ่งท่านก็บอกว่า...เค้ามาแสดงอำนาจ ให้เห็น 
เพราะไม่ชอบที่เอาเรื่องเค้าไปเล่าอย่างสนุกปาก
ไม่ชอบให้ออกชื่อเค้า ไม่พอใจอย่างมาก ถึงได้มาแสดงให้เห็น 
ให้รู้ว่า...วิญญาณ ของเค้ายังอยู่ตรงนี้เพราะความห่วง ร่าง ที่ถูกฝังไว้ที่นี่
หลวงพ่อ บอกว่ามันเป็นพวก...วิญญาณร้าย มีจิตอาฆาต แค้น โทสะรุนแรง 
และด้วยความที่เคยเล่น...ไสยศาสตร์ วิญญาณมันถึงมีฤทธิ์มากนัก
แล้วท่านก็แนะนำให้ตั้งใจปฏิบัติฯ ภาวนาแบบไหน ถึงจะเอาชนะมันได้.....
ครูบาจุก ท่านยังบอกว่า...จำได้แม่นถึงนาทีที่มันถูกฆ่า 
และจำได้ติดตาถึง วิญญาณที่มีเปลวไฟ ที่มายืนจังก้าถลึงตามองของ ไอ้เสือผาด

ปัจจุบันนี้ ท่านขอลาหลวงพ่อไปธุดงค์ แล้วไปอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งติดกับชายแดนไทย  - ลาว
ชาวบ้านปลูก กุฏิเล็ก ๆ ให้ในที่ ๆ เป็นศาลปู่ตาเก่า
ซึ่งท่านได้มากราบเล่าถวายหลวงพ่อว่า...ที่ไปอยู่นั้น ผี เจ้าที่เป็นมิจฉาทิฐิ มีแรงโทสะมาก แผ่เมตตาก็ไม่เอา
จะไล่ไม่ให้ท่านอยู่ตรงนั้น ท่าเดียว
หลวงพ่อ...ก็บอกวิธีเอาชนะ ผี ตนนั้นว่าต้องทำยังไง
ในตอนหลังผมได้เจอ กับครูบาจุก ด้วยความที่รักเคารพ และสนิทกันท่านก็เล่าเรื่องการผจญภัยให้ฟังมากมาย
ผมถามว่า แล้วตอนนี้อยู่ได้แล้วเหรอ....ผี เจ้าที่นั่นล่ะ
ท่านหัวเราะบอกว่า...เฮ้ยยย ตอนนี้ดีกันแล้ว มานั่งฟังสวดมนต์แทบทุกวันแหละ
แล้วท่านก็ชวนให้ผม ไปนอนที่กุฏิท่านบ้างสิ จะแนะนำ ผี เจ้าที่ให้รู้จักกันไว้
ผมก็รับปาก ว่าสักวันคงได้ไปขอนอนด้วยสักคืน....แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่ นะ
แล้วก็นึกในใจว่า.....คงอีกนานนน ละครับ ครูบา

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
093-149-9564




 

Create Date : 04 กันยายน 2562    
Last Update : 4 กันยายน 2562 18:30:15 น.
Counter : 379 Pageviews.  

วัดป่า...มหาสนุก 17

วัดป่า...มหาสนุก 17

( เล่าจากเรื่องจริง แต่ให้อ่านเป็นนิยาย...อย่าอ่านเอาเรื่อง นะครับ )

ที่วัดป่า....แห่งนี้ แม้จะมีต้นไม้เป็นป่า แต่ก็เป็นป่าแบบที่เหมาะแก่การ ปฏิบัติฯ ภาวนา สงบร่มรื่น วิเวกดี
แต่มันมีอยู่โซนหนึ่ง ไปทางหลังวัด เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่....เป็นโซนลี้ลับ
เหมือนมันแยกตัวเป็นเอกเทศ แยกจากโซนอื่น ๆ ที่เป็นเขต พุทธาวาส โบสถ์ ศาลา โรงฉัน สังฆาวาส กุฏิที่พัก
แต่มันเป็นการแยก แบบเหลื่อมซ้อนยังไงบอกไม่ถูก...ผมเคยเดินเที่ยวหลงเข้าไปในตอนที่ยังไม่ได้ บวช
พอก้าวเท้า เข้าไปในเขตนี้...บรรยากาศ มันเปลี่ยนทันที จากอากาศที่โล่ง ๆ สบาย ๆ เต็มไปด้วยโอโซน อ๊อกซิเจน
แค่ก้าว เข้าไปปุ๊บ...อากาศมันอับทึบ เงยหน้ามองขึ้นไป มีแต่ร่มครึ้มของต้นไม้ใหญ่เล็ก ที่แน่นขนัด แสงแดดแทบจะแทรกลงมาไม่ได้
ต้นไม้เล็กใหญ่ ขึ้นกันไม่เป็นระเบียบ
พอก้าวเดินต่อไปอีก สองสามก้าว มันรู้สึกถึง...ความเงียบสงัด วังเวง ทันที
และรู้สึกถึง การถูกจับตามมอง อย่างเขม็งนิ่ง เหมือนกับจะถามเราว่า...ยิ้ม มาจากไหน ทะลึ่งเข้ามาทำไม
บรรยากาศ มันชวนขนลุก จนต้องออกมาอย่างเร็ว
ถามพวก ครูบา ท่านบอก...ที่ตรงนั้น ยังใช้เป็นที่ฝังศพอยู่ แต่ถ้าการเผาศพ ชาวบ้านเค้าไปเผาที่วัดบ้านที่มี...เมรุ เค้าไม่เผาสด ๆ กันแล้ว
แต่ถ้า ฝังแบบดิบ ๆ ยังพอมีอยู่นาน ๆ ครั้ง 
แล้วท่านยังบอกว่า....ในนั้นมี ทางจงกรม ด้วยนะ มันทายก รุ่นเก่าเค้าภาวนาแก่กล้า เค้าชอบไปเดินที่นั้น มันได้อารมณ์กรรมฐาน
อยากไปลองก็ได้นะ...แต่ถ้าไม่จำเป็น อย่าเข้าไปดีกว่า
หลังจากวันนั้นแล้ว ผมไม่เคยผ่านเข้าไปใกล้ โซนนั้นอีกเลย มันเสียวสันหลังยังไง ก็ม่ายยรู้

จนกระทั่ง มาบวชได้หลายเดือนแล้ว....กุฏิ ของผมก็ดั๊นนน อยู่ใกล้โซนนั้นมากกว่า กุฏิอื่น ๆ แต่ก็ลืมไปแล้ว
วันหนึ่ง หลวงพ่อ...ท่านใช้ให้ผม และครูบา อาวุโสองค์หนึ่ง พาโยมไปฝัง...ทารกแฝด ที่คลอดมาได้ไม่กี่วันแล้วเสียชีวิต
พ่อแม่ เด็กแฝดท่าที เสียอกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ เอาลูกแดง ๆ ทั้งคู่ห่อผ้าขาวไว้ด้วยกันแล้วใส่กล่องลังกระดาษ
มีญาติพี่น้อง ตามมาด้วยสัก 5 - 6 คน เดินตาม ครูบา เข้าไปที่....โซน ลี้ ลั บ นั้น
ระหว่างทาง พ่อกับแม่เด็ก ร้องไห้กระซิก ๆ ฮือ ๆๆๆๆ  ...แต่พอย่างเท้าเข้าไปในเขต โซนนี้ พวกเค้าสัมผัสได้บางอย่าง....หยุดร้องทันที
พวกญาติที่มาด้วย มีอ้นถอยกรูด บอกขอไปรอข้างนอก นะจ๊ะ
เหลือแค่ ครูบา ผม และพ่อแม่ เด็กที่อุ้มลังกระดาษ มา
พอเลือกได้ที่เหมาะ ๆ แล้ว พ่อเด็ก ที่ดูกำยำแข็งแรง ลงมือขุดหลุม....พระ ขุดดินไม่ได้ ผิดพระวินัยเป็น...อาบัติ
พ่อเด็กเค้าขุดคนเดียว จึงได้หลุมใหญ่ แต่ไม่ลึกนัก จึงต้องเอาร่างของเด็กแฝด ห่อผ้าออกมาจากลัง ...ฝังลงไป
ผมมองเห็น ร่างของเด็กแรกเกิดทั้งคู่ชัดเจน แล้วได้แต่ปลง ภาวนาแผ่เมตตา ไปให้
พอกลบดินเสร็จเรียบร้อย...ครูบาท่านให้หา ขอนไม้หนัก ๆ สองท่อนแข็งแกร่ง มาปิดทับไว้ป้องกัน สัตว์มาขุดคุ้ยกิน
ช่วยกันจนเสร็จ แล้วก่อนกลับ ครูบา ท่านสวด...อนิจจัง วัฎฎะสังขารา ฯ แล้วแผ่เมตตาให้ด้วย
ก่อนกลับ พ่อกับแม่เด็ก เอามือไปจับที่ท่อนไม้ 2 ท่อนที่ปิดปากหลุม แล้วพูดว่า....อยู่กันดี ๆ อย่าซน นะลูกกกก ฮือออ ๆๆๆ
เดินออกมา ไม่มีญาติรอเราสักคน เผ่นไปอยู่ที่หน้าโบสถ์ กันหมด

คืนนั้น...ราวตี 1 กว่า ผมต้องตกใจตื่นทั้ง ๆ ที่เพิ่งนอนไปได้แป๊บเดียว
เพราะมี....เสียงไม้กระทบกัน เหมือนมีใคร เอาท่อนไม้แข็ง ๆ มาฝาดกัน....โป๊กกก โป๊กกก โป๊กกก โป๊กกก สนั่นเลย
ทีแรกคิดว่าใครมันมาตัดไม้ หรือตอกอะไร แต่นี่มันกลางตึกเลย นะ แถมเสียง ดังมาจาก โซนลี้ลับ นั้นแน่นอน
นั่ง งง ฟังเสียงอยู่พักนึง สงสัยไอ้เด็กแฝดมันซน เล่นกันแน่เลย ว่ะ
เลยนอนต่อ ไม่ได้สนใจ ...มีเสียงอย่างนี้ เวลานี้อีก 2 คืน แล้วก็เงียบหายไป

ว่าไปแล้วที่วัดนี้...ชาวบ้านร่ำลือเรื่อง ผีดุ มานานแล้ว
เด็กรุ่นใหม่ ๆ ก็จะถูกบอกเสมอ ว่า...วัดนี้ ผีดุ
ตอนไปอยู่ใหม่ ๆ ผมเคยสงสัยว่าทำไม คนแถวนี้ ขับรถ หรือขี่มอเตอร์ไซค์ กันเร็วนักนะ
วิ่งผ่านวัดเนี่ยะ เหยียบมิด หรือบิดสุดคันเร่ง....ถนนก็เป็นดินลูกรัง...ฝุ่นฟุ้งไปหมด
เคยบ่นให้ครูบา ท่านฟัง ท่านเลยบอกว่า....ชาวบ้านเค้ากลัวผี น่ะ
เวลาผ่านวัดของเรา เค้าจะรีบไปให้เร็วที่สุด กำแพงวัดก็ยาว ระยะทาไกลพอสมควร
ยิ่งแต่ก่อน วัดเราไม่มีกำแพง มีแต่ต้นไม้ใหญ่ แซมด้วยไม้เล็ก ๆ ขึ้นแน่นเป็นแนวรั้ว มันยิ่งน่ากลัว
ใครผ่านมา จะได้ยินเสียง...แปลก ๆ น่าขนลุกให้ได้วิ่งป่าราบ บ่อย ๆ 
แล้วท่านก็ชี้ให้ดู นก..ก ด  หรือบางพื้นที่เค้าเรียก...นกกะปูด ที่มีเยอะมากในวัดของเรา
อีนี่แหละ ที่ชอบหลอกชาวบ้าน

วัดป่า...ของเรา มันธรรมชาติมาก มีสัตว์สารพัดมาอาศัย แต่...หลวงพ่อไม่ให้เลี้ยง หมา แมว โดยเด็ดขาด
ท่านว่ามัน ขี้เยี่ยว เลอะเทอะ สกปรก
ตอนที่ผมไปอยู่ใหม่ ๆ เคยเห็น....ลูกหมา วัยกำลังซนตัวนึง มาจากไหนก็ไม่รู้ สวยเชียว ขนเงางามดูมีชาติตระกูล
มันชอบแอบเข้ามาในวัดอยู่เรื่อย  แล้วก็ซนมาก ซนไม่เข้าเรื่อง ชอบไปขุดดินบนทางจงกรม ขุดเป็นหลุม ๆ ต้องคอยซ่อมแซม
แล้วมันก็จะแอบไปนอนกลางวัน ตามโบสถ์ ตามเจดีย์ แถมฉลาดหลบหลีกซะด้วยนะ
บางครั้ง กำลังเดินจงกรมอยู่ มันก็มากวน มาชวนเล่น
จนหลวงพ่อ....ต้องสั่งให้ชาวบ้านมาดักจับมันไปส่งเจ้าของ แล้วสำทับว่าอย่าปล่อยมาอีก
ท่านเล่าให้ผมฟังว่า....ไอ้ลูกหมาตัวนี้ ชาติที่แล้วมันเป็น พระ เป็นสมภารวัด แต่ไม่ใช่วัดนี้นะ
ตอนมีชีวิต เป็นพระ ที่ไม่สนใจปฏิบัติฯ ภาวนา แต่ชอบสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร เรี่ยไรหาเงินเข้าวัด
การปฏิบัติย่อหย่อน เห็นใคร เดินจงกรม นั่งภาวนา ก็ไปล้อเลียน ไปหาว่าเอาแต่หลบขี้เกียจ อ้างแต่มาภาวนา
นี่แหละ กรรมของมัน แต่ได้รูปร่างหน้าตาสวยงาม เพราะตั้งใจสร้าง โบสถ์ศาลา
ที่ชอบไปนอนบนโบสถ์ บนเจดีย์ เพราะมันคิดถึงสิ่งที่มันได้เคยสร้างเอาไว้
แล้วท่านก็สำทับอีกว่า...กินข้าวของชาวบ้านแล้ว ต้องตั้งใจภาวนา ล่ะ
ไม่งั้นก็ต้องไปเป็นเปรต หลุดจากเปรตมาเป็น...หมา วิ่งอยู่ตามวัด เนี่ยะแหละ

ที่วัดของเรา จะมี...ไก่ป่า พันธุ์แท้เยอะมาก สวยเชียวแหละ
มันขันเสียงดังมาก บินได้สูงขนาดหลังคาบ้านสองชั้น ได้สบาย ๆ 
กลางวันจะอยู่หากินตามพื้นดิน แต่พอตะวันตกดินแล้ว มันจะบินขึ้นไปนอนบนต้นไม้ พรางตัวมองไม่เห็น
ตอนมาวัดครั้งแรก ผมไม่รู้จักไก่ป่า....เห็นแล้วนึกว่า ไก่แจ้
พอมันบินขึ้นต้นไม้ นึกว่า...เจ้าที่ เจ้าทาง แสดงปาฏิหาริย์ ยกมือไหว้ไก่ ซะยกใหญ่

แต่มันก็มี ศัตรู คืออีนก..กด หรือนกกะปูด ที่รูปร่างหน้าตา สีขนเหมือน...อีกา ทุกอย่างยกเว้น ปีกสองข้างเป็นสีน้ำตาลเข้ม
ต่างจาก อีกา แค่สีของปีกสองข้าง เท่านั้น
แต่ อีนกกด เนี๋ยะ มันแสบ มาก...ฉลาดสุด ๆ แถมขี้ขโมยอย่างร้ายกาจ
อาหารของมัน คือ สัตว์ตัวเล็ก ไข่ ไข่นก ไข่ไก่ ..มันเป็นสัตว์นักล่า
แต่ไม่ได้ล่า อย่างสง่าผ่าเผยแบบ นกเหยี่ยว นกอินทรี
มันจะทำเนียน ....เดินย่อง ๆ กริยาการย่อง การเดิน เหมือนขโมย นักตัดช่องย่องเบา ยังไงยังงั้นเลย
ท่าทางเจ้าเล่ห์ เอียงคอมองซ้าย มองขวา แบบมีพิรุธ
มันชอบที่สุด คือชอบขโมย กินลูกไก่ ลูกนก หรือไข่ในรัง
เวลาเห็นมัน...ย่อง ๆ ก้าวขา เดินเหลียวหน้า เหลียวหลัง มองซ้ายที ขวาที เข้าไปกินไข่แม่ไก่ 
ผมละอยากจะเอาหนังกะติ๊กยิงมันซะเลย

แต่ที่แสบสันต์ สุด...สุด ๆๆๆๆ คือมันทำเสียงประหลาด ๆ ได้ถึง 5 เสียง
ถ้าเราเดินเข้าไปเข้าใกล้มัน โดยเราไม่รู้ตัว หรือไม่เห็นมัน อีนกแสบนี่จะรีบร้อง ขู่ เรา
ฟังยังไง ก็เหมือนเสียง...ผี  มันแบบ...อี๊ยยย...อี๊ยยย...อี๊ยยย  หือ....หือออ.....หืออออ 
อิ๊.. อิ๊...อิ๊....อี๊ ยยยย  หิ...หิ...หิ....ฮี๊ ยยยยย
หรือหนักกว่านั้น เดินเพลิน ๆ มันทำเสียง...ผี..ผี...ผี.....ผี.......ผี. ชัด ๆ อย่างนี้จริง ๆ 
บางจังหวะ ถ้าไม่ระวังจิต ของเราให้ดี เดินมืด ๆ จั๊กจั่นมันกรีดร้อง.....กรี๊ดดดดดดดด........กรี๊ดดดดดดดด
ตามด้วยเสียง...ผี..ผี.....ผี.....ผี....อี๊ ยยยยยยยยยย หื้ออออ. หื้อออออ. ฮืออออออออออ. หิ..หิ...หิ....ฮี๊....ฮี๊....ฮี๊ ยยยยยยย
โอ๊ย...เป็นได้ช๊อค ได้ตัวแข็ง ขาแข็ง กันมั่งละ 
บางคนบอกว่า อีนกกด มันก็มีประโยชน์ ช่วยกินสัตว์มีพิษ แมงป่อง ตะขาบ หรืองูพิษตัวเล็ก ๆ 
ในยูทูป มีคนอัดเสียง นกกะปูด ไว้เยอะเหมือนกัน ไปลองเปิดหาฟังสิครับ...แล้วจะเข้าใจ

สรุปว่า...ที่นี่มีทั้ง ผี จริง และ ผี ปลอม
บรรยากาศ ก็ให้ ผี ก็มี....ครบรสชาด

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
093-149-9564

วัดป่า...มหาสนุก 18
https://pantip.com/topic/39199848




 

Create Date : 04 กันยายน 2562    
Last Update : 4 กันยายน 2562 18:29:31 น.
Counter : 399 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.