กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 1

โอ้..อินเดีย 1

สวัสดีครับ...
ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ผมหายหน้า หายตา หายศีรษะไปซะนานนนน
ไม่รู้เป็นยังไง วงจรชีวิตในแต่ละวันมันช่างยุ่งเหยิงวุ่นวาย หลายเด้อออ
จนสติสตังเลอะเลือน แถมอยู่ดีๆ ไฟในการเล่าเรื่องก็หดหายไปซะงั้นแหละ
แต่ตอนนี้จะขอแก้ตัวใหม่ เพราะมีเรื่องอยากบอก...

อันเนื่องมาจากเรื่อง กรรมทันตา อยากไปอินเดีย
ที่เล่าว่า อยู่ดีๆ มีผู้มีพระคุณท่านหนึ่งนำใบโพธิ์ จากต้นพระศรีมหาโพธิ์
พุทธคยา ประเทศอินเดียมาให้ผม
แล้วผมก็ดั๊น.น.น..ไปลองดีอธิฐานว่า ขอให้ได้ไปสังเวชนียสถาน ที่อินเดียกับเค้าบ้าง
เท่านั้นแหละ ภายใน 3 วัน 5 วัน ก็มีสำนักพิมพ์ติดต่อเอาเรื่องไปพิมพ์แล้วให้สตางค์มา
ให้มามากพอไปอินเดีย ได้เลยแหละ
เหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านชี้นิ้วสั่งให้ผมไป...กราบพระพุทธเจ้า
อย่ามาทำบิดพริ้ว

ตั้งแต่ได้เงินมา ผมก็ตกอยู่ในความหวาดหวั่น หวาดกลัวอินเดีย
กลัวที่จะต้องไปเผชิญความยากลำบาก ความสกปรก
โธ่..อินเดีย เนี่ยะเป็นประเทศท้ายๆ ในโลกที่ผมนึกอยากจะไปเลยแหละ
แต่ก็พยายามจองชื่อไปกับกลุ่ม อ.มด ในห้องศาสนานี่แหละ
แต่ก็แห้ว เต็มซะก่อน
ขอจองไปกับทัวร์นั้น ทัวร์นี้ก็ไม่สำเร็จซักกะที...ที่จริงแอบดีใจนะ
จนในที่สุด คุณสุเมธ...ผู้ให้ใบโพธิ์กับผมมานี่แหละ
โทร.มาบอกว่า มีพรรคพวกคนสนิทกันจะจับกลุ่มไปสังเวชนียสถาน 10 วัน
แล้วกำชับให้ผมไปกับกลุ่มนี้ให้ได้นะ
ถ้าหากว่าไม่ไปตอนนี้ ก็ต้องเลื่อนไปอีกเกือบปี

ปรากฏว่าเป็นกลุ่ม...คุณหมอ จากโรงพยาบาลบางบ่อ สมุทรปราการ
มีหมอสารพัดแขนง ทั้งหมอสูติฯ หมออายุรกรรม หมอฟัน หมอเด็ก
และแถม จิตแพทย์...หมอโรคจิต อีกต่างหาก
อ้อ..ยังมีที่ไม่ใช่หมอ แต่แปลกล้ำลึกสำหรับผมอีก 4 ท่าน
คนนึงเป็น นักภาวนา จากการไฟฟ้า
ท่านนึงเป็นมหา ที่เป็นหัวหน้าค่ายมวย และเจ้าของบริษัท รปภ. ฯลฯ
ท่านนึงเป็น พระภิกษุ สายพระป่า
และอีกท่านเป็น แม่ชี
รวมผม ที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ เท่ากับทีมนี้ 10 คน
ดีเหมือนกันไปกับพวกคุณหมอ ปลอดภัยยังไงก็ไม่ตายแน่นอน
ไอ้เรามันยิ่งโรคมาก ทั้งความดันสูง กระเพาะ ปวดหลัง
ปวดท้อง ธาตุเบา ท้องเสียง่าย ....สารพัด

ก่อนถึงวันเดินทาง ผมละกลัวเกรงไปซะทุกเรื่อง
กลัวที่สุดก็เรื่องส้วม เรื่องท้องเสีย...ผมเป็นคนติดห้องน้ำ ติดความสะอาด
กลัวเรื่องอาหารการกิน กลัวเชื้อโรค กลัวสกปรก กลัวเข้ากับคนอื่นเค้าไม่ได้
โธ่..ก็ดูกลุ่มที่ไปซิ ทั้งหมอ ทั้งนักปฎิบัติธรรมทั้งนั้น
ไอ้เรามันคนปากไม่ดี บาปหนา ขวางโลก ภูมิธรรมอะไรก็ไม่มี เป็นแค่พุทธทะเบียนเท่านั้น
แต่อุตสาห์ไปหาซื้อกางเกงขาวอย่างดี เสื้อขาว ถุงเท้าขาว กกน.ขาว
คุณหม่องภรรยาของผม ก็ไปขนซื้อน้ำพริกสารพัด แถมหมูแดดเดียวอีกเกือบกิโล
ยังมียาดม ยาลม ยาหม่อง ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ท้องเสียอย่างแรง ผ้าปิดปาก ฯลฯ

แต่ก็มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นจนได้...
คือ ก่อนวันเดินทางแค่ 2 วัน ผมตื่นขึ้นมาพร้อมอาการเจ็บที่สีข้างบริเวณไตข้างซ้าย
มันค่อยๆ เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ จนทนแทบจะไม่ไหว
และยังมีอาการประหลาดที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต
คืออาการปวดฉี่ตลอดเวลา ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อฉี่แทบจะทุกๆ 3 นาทีก็ว่าได้
ฉี่แต่ละครั้งก็กะปริบกะปรอย แต่มันคอยแต่จะปวดฉี่
และยังมีแถมจุกเสียดเพิ่มมาด้วย
พอตอนสาย ผมเจ็บที่ไตมาก...จนตัวงอ เดินแทบไม่ไหว
ทั้งๆ ที่จุกเสียด และต้องตะกายเข้าไปฉี่ แทบจะตลอดเวลา
มันเจ็บทรมานจนทนไม่ไหว...เจ็บปวดจนต้องร้องไห้ออกมาเลย
แล้วก็นึกว่า เอ..แล้วเราจะไปอินเดียได้ยังไงกันในสภาพแบบนี้
ผมพยายามตะโกนเรียก คุณหม่อง แกก็ไม่ได้ยินเพราะกำลังสวดมนต์อยู่ชั้น 3
ในที่สุดแทบจะคลานขึ้นบันไดไปตามให้ช่วยพาไปโรงพยาบาล
คุณหม่อง แกตกใจรีบวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ซึ่งระหว่างนั้นเอง ผมมองไปที่ตู้พระที่มีใบโพธิ์ฯ วางอยู่ด้วย
นึกขึ้นมาได้...เอ๊ะ นี่คงเป็น มารผจญ หรือ เจ้ากรรมนายเวร มาขัดขวางแน่ ๆ
ในตอนนั้น ความหวาดหวั่นกลัวอินเดียมันหายไปหมดทันที
แต่กลับมีความฮึกเหิม เพราะรู้แน่ว่า...
การไปสังเวชนียสถานครั้งนี้ ต้องเป็นบุญใหญ่อย่างยิ่ง
ทั้งมาร และเจ้ากรรมนายเวร ถึงเล่นงานรุนแรงขนาดนี้เลย
พอแน่ใจในความคิด ก็รีบตั้งจิตอธิษฐาน...
ขอให้ผมได้ไปแสวงบุญ สร้างกุศล
ให้ได้ไปกราบพระพุทธเจ้าที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และสังเวชนียสถานทุกแห่ง
แล้วจะกลับมาให้ท่านพญามาร และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
จัดการกับผมยังไงก็ได้...จะเอาให้ตายก็ยอม
พออธิษฐานจบ ยังไม่ทันลืมตา...ความเจ็บปวดทรมาน มันลดลงทันที ทันใด
แค่ภายใน 10 นาที อาการที่ผมเล่ามาทั้งหมดก็...หายไปหมด
กลับมาเป็นปรกติ...เอ๊อะ เป็นไปได้ยังไง
คุณหม่อง รีบแต่งตัวเสร็จออกมาเจอผมไม่มีทีท่าเจ็บป่วยก็แปลกใจ
หลังจากเล่าให้ฟังทั้งหมด เธอก็ชี้นิ้วสั่งกำชับ...
ไปครั้งนี้ต้องตั้งใจปฏิบัติฯ ให้มากๆ นะ
ไม่งั้น เจ้ากรรมนายเวร เอาตายแน่
ที่สำคัญ เอาบุญมาฝากชั้น เยอะๆ ด้วย...

เฮ้อ...เกริ่นนำซะยาวไปหน่อย ยังไม่ถึงอินเดียเลย
จะค่อยๆ เล่าให้ฟังต่อนะครับ
ไปครั้งนี้ได้รับความรู้สึกซาบซึ้ง และความมหัศจรรย์ หลาย..ย..อย่างมากมาย
อ้อ...ผมเดินทางไปค่ำวันที่ 17 กลับมาเช้ามืดวันที่ 26 มีนา นี้เอง
กลับมาก็นอนซมไป 2 วัน เพิ่งจะมีแรงเล่านี่แหละครับ
เกือบลืมไป...

ผมเอาบุญมากมาย..ย...ย...มาฝากทุกๆ ท่านนะครับ

อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 30 มีนาคม 2555    
Last Update : 2 เมษายน 2555 1:17:06 น.
Counter : 4846 Pageviews.  

กรรมทันตา ขโมยปลา

ขโมยปลา

เมื่อกว่า 30 ปีก่อน
ครอบครัว คุณหม่อง ภรรยาของผม ซึ่งตอนนั้นเป็นแค่แฟนกัน
มีบ้านอยู่ใน...หมู่บ้านเศรษฐกิจ เลยบางแคไปหน่อย
ในสมัยนั้นถือว่าค่อนข้างไกลจากฝั่งกรุงเทพฯ อย่างมาก
มีบ้านมาปลูกอยู่กันเยอะเหมือนกัน แต่ก็เปลี่ยวและกันดารพอตัว
ดูเหมือนจะไม่มีระบบน้ำปะปาด้วยซ้ำ บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างจังหวัด
แต่ที่แย่ก็คือ พอหน้าน้ำจะมีน้ำท่วมอีกด้วย

บ้านของแฟนผมมีเนื้อที่ 1 ไร่ ปลูกเป็นบ้านชั้นเดียว
มีบ่อน้ำที่เกิดจากการขุดดินขึ้นมาถมที่ เป็นบ่อที่ใหญ่และลึกพอสมควรเชียว
ในบ่อมีพวกปลาดุกปลาช่อนอยู่เยอะเลย ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น
ทีแรกผมคิดว่าคงเลี้ยงไว้กิน แต่แฟนผมเล่าให้ฟังว่า...
ปลาพวกนี้คุณพ่อท่านซื้อมาจากตลาดสด ทีละตัวสองตัว
หรือขอซื้อต่อจากชาวบ้านที่ตกปลาได้จากคลองใกล้ ๆ บ้าน
บางคนโก่งราคาซะแพงก็ยอมซื้อ
แล้วเอามาปล่อยไว้เพื่อช่วยชีวิตมัน ถือเป็นการทำบุญแบบง่าย ๆ แต่ได้อารมณ์
ถ้าจะกินปลา ก็ซื้อที่แม่ค้าทำจนเสร็จแล้ว ไม่มีการชี้เอาตัวเป็นๆ เด็ดขาด

ในซอยมีบ้านไม่กี่หลังรู้จักกันเผินๆ แต่ก็ไม่ค่อยสุงสิงกันเท่าไหร่
หลังที่อยู่ใกล้ๆ กันมีแค่ 2 คนผัวเมียอายุประมาณ 30 นิด ๆ
ผัวชื่อพี่ศักดิ์ ทำงานรัฐวิสาหกิจอะไรซักอย่างนึง
แกหุ่นลำบึกเพราะชอบเล่นกล้าม แต่มักจะตั้งวงเหล้ากับพวกเพื่อนๆ ขี้เมาเป็นประจำ
เมียชื่อพี่น้อย เป็นแม่บ้านอย่างเดียว แต่มีนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านอย่างยิ่ง
พี่ศักดิ์ แกไม่ค่อยชอบหน้าผมตั้งแต่ครั้งแรก เพราะมักจะทำตาหวานจีบแฟนผม กับพี่สาวเค้าเป็นประจำ
แถมยังทำท่านักเลง คุยโอ่ว่าหน้าที่การงานดีกว่าคนแถวๆ นั้น
แต่ไม่กล้ากับพ่อแฟนผม เพราะท่านเป็นนายทหารยศสูงพอตัว
ที่สำคัญ ท่านชอบเอาปืนมาลองยิงเล่นอยู่บ่อย ๆ

ต่อมามีปัญหาเรื่องน้ำท่วม บวกกับมีการทำถนนเพชรเกษม ช่วงตั้งแต่บางแคถึงพุทธมณฑล
ทำอยู่หลาย..ย. หลายปีก็ยังไม่เสร็จจนเรียกันกว่า ถนนเจ็ดชั่วโคตร
ครอบครัวแฟนผมเลยตัดสินใจมาเช่าบ้านอยู่แถวๆ ราชดำเนิน
ปล่อยบ้านทิ้งไว้เฉยๆ ซักเดือนนึงก็มาดูซักที
พอนานเข้าก็กลายเป็นหลายๆ เดือนถึงจะได้มาดูซักครั้ง
ผมกับแฟน ก็ชอบมาเที่ยวบ่อยๆ เหมือนกัน

ครั้งหนึ่งในวันหยุด ผมกับแฟนก็มาเที่ยวตรวจดูบ้านตามประสาคนจีบกัน
พอเดินเข้าบ้าน ก็ต้องตกกะใจเพราะเห็นมีคนมานั่งตกปลาในบ่อ ซึ่งอยู่ในรั้วบ้านเรา
พอหันมากลายเป็น พี่ศักดิ์ คนบ้านใกล้เรือนเคียงนี่เอง
แกก็ตกใจ ไม่นึกว่าจะมาเจอเอากับเจ้าของบ้านจัง ๆ
ในตอนนั้น ผมก็ยังวัยรุ่นใจร้อน ออกจะไม่พอใจอย่างมาก
แต่แฟนก็ดึงมือห้ามไว้ เพราะไม่อยากให้มีเรื่องกัน
อีกอย่างก็คนข้าง ๆ บ้านกันแท้ ๆ
ตัวพี่ศักดิ์ ก็คงจะอายเลยพาลทำเป็นโกรธ ฮึดฮัด
พูดทวงบุญคุณว่า เขาอุตสาห์ช่วยดูบ้าน คอยไล่พวกขี้ยาไม่ให้มาขโมยของ
ควรจะขอบคุณเขาซะด้วยซ้ำ นะเนี่ยะ
คุณหม่อง ก็บอกกับเค้าดีๆ ว่า ปลาในบ่อนี้เป็นปลาอธิษฐาน ปล่อยเพื่อช่วยชีวิตมัน
พูดแค่นี้ นึกว่าแกจะเข้าใจกลัวบาปกรรม
ที่ไหนได้ แกยิ่งโมโหใหญ่ ทำท่าทางนักเลงมากขึ้นอีกแน่ะ

อีกประมาณ 2 – 3 เดือนต่อมา
พอวันหยุด ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นวันหยุดทางศาสนาซะด้วย
ผมกับคุณหม่อง ก็ไปเที่ยวตามประสาคนเป็นแฟนกัน แถมเข้าไปดูบ้านด้วย
แต่เที่ยวนี้ยิ่งตกตะลึง เพราะในบ้าน...ในรั้วบ้านเรา
มีชายฉกรรจ์ 4 – 5 คน รวมทั้งตัวพี่ศักดิ์ เพื่อนบ้านตัวดีเป็นหัวหน้าทีม
ช่วยกันวิดบ่อเพื่อจับปลากันเป็นการใหญ่
ประมาณว่าจะจับให้หมด
ที่เห็นกับตา...ปลาดุก ปลาช่อน ตัวใหญ่ๆ ขนาดต้นแขนหลายสิบตัว
โดยมี พี่น้อย เมียเค้าช่วยเอาไปแล่ทำอาหารกันอย่างเอิกเกริก

เราทั้งคู่ยืนตัวชา อยู่หน้าประตูรั้วบ้านของเราเอง
พอ พี่ศักดิ์ หันมาเห็นก็ตะโกนเสียงดังประมาณว่า
...น้ำมันจะท่วม กลัวว่าปลามันจะหนีไปหมด...........
อย่างที่บอก ตอนนั้นผมเพิ่งจะวัยรุ่น เลือดขึ้นหน้า
กำลังจะเดินเข้าไปโวยวาย แต่แฟนผมก็รีบกระชากแขนลากตัวกลับออกไปให้พ้น ๆ จากที่นั้นอย่างเร็วที่สุด
เราไปนั่งระงับสติอารมณ์ที่วัดใกล้ ๆ แถวนั้น
หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ ๆ หันไปดู...
แฟนผมนั่งน้ำตาไหลร้องไห้ อยู่เงียบ ๆ บอก...สงสารปลาพวกนั้น แต่ก็ไม่รู้จะช่วยมันยังไง
ผมบอกว่า...ไปแจ้งตำรวจจับพวกมันเลยดีกว่า
คุณหม่อง แกไม่อยากมีเรื่องราวใหญ่โต
เธอบอกว่า...คนพวกนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าทำกรรมอย่างหนักเข้าแล้ว
โธ่เอ๊ย เวรต้องสนองพวกเค้าแน่ ๆ เลย เราไม่ต้องทำอะไรหรอก
ผมละไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม คิดแต่จะต้องลุย
อีกหลายวันต่อมา แฟนผมเล่าเรื่องนี้ให้ คุณพ่อท่านฟัง
ซึ่งท่านเป็นนักปฏิบัติกรรมฐาน อย่างจริงจังคนหนึ่ง
แต่ออกแนวทาง กสิน ซะมากกว่า
ท่านฟังแล้ว ส่ายหัว บอกว่า...สงสาร
ผมก็ว่า นั่นนะซิสงสารปลาพวกนั้นนะ
ท่านก็ว่า ไม่ใช่
สงสารคนพวกนั้นต่างหาก ส่วนปลาพวกนั้นนะก็เป็นไปตามกรรมของมันแล้ว
เราช่วยอะไรไม่ได้แล้ว...กรรมของมัน
ส่วนคนที่ทำ ก็สร้างกรรมหนักหนาซะแล้ว
ตอนนั้น ผมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ...พูดอะไร ไม่เห็นจะรู้เรื่อง

เราไม่ได้เข้าไปดูบ้านนั้นอีกนานเกือบปี
พอไปอีกที บรรยากาศมันแปลก ๆ
บ้านพี่ศักดิ์ มันเงียบ ๆ มืด ๆ เหมือนไม่มีคนอยู่
ถามคนรู้จัก ได้ความว่า...
หลังจากวันที่คนพวกนั้นมาวิดบ่อ จับปลากันสนุกสนาน
มีการตั้งวงกินเหล้ากันเสียงดังตั้งแต่ตอนบ่าย ยันวันรุ่งขึ้นอีกวัน
ใคร ๆ ก็ไม่กล้าว่า
ตกค่ำพี่ศักดิ์ กับพี่น้อย มีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรง
ทั้งๆ ที่แต่เดิมเมียเค้าไม่เคยกล้าหือมาก่อน
วงเหล้าเลยแตกกระเจิง
แล้วหลังจากนั้น สองผัวเมียก็ทะเลาะกันแทบทุกวัน
ผ่านไปเป็นเดือน มีเรื่องแปลกๆ ตามมาอีก
คือ...พี่ศักดิ์ เริ่มป่วย ผอมลง ผอมลง แต่ก็ยังทะเลาะกันแทบวันเว้นวัน
ในที่สุด พี่น้อย เก็บเสื้อผ้าหนีไปไหนก็ไม่รู้
ไม่กี่เดือนต่อมา...พี่ศักดิ์ อาการหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาล
และตายไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง...
ตายเพราะ เป็นฝีในท้อง

กลับมาเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้ พ่อคุณหม่องฟัง
ท่านนิ่งไปอึดใจ แล้วหันมาบอก...
อโหสิกรรมให้เค้าเถอะ เพราะเขายังต้องไปรับกรรมอีก นาน..น....
ตอนนั้นผมก็ได้แต่นึกว่า
เอ๊..ท่านพูดอะไร ไม่เห็นเข้าใจเลย
เฮ้อ...


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2554    
Last Update : 8 ตุลาคม 2554 19:36:41 น.
Counter : 1463 Pageviews.  

กรรมทันตา ทำไปได้

ทำไปได้

สวัสดีครับ
ผมเองเป็น...พุทธ ตามทะเบียนบ้าน ตั้งแต่เกิดจนเกือบจะแก่
พอเกิดความทุกข์แสนสาหัส จนทนอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว
ก็มีคำถามขึ้นในใจว่า...เราจะแก้ความทุกข์ได้ยังไง
มีคนบอกว่า...เงินคือพระเจ้า สามารถดลบันดาลได้ทุกอย่าง
แต่ไอ้ที่ผมเจอะเจอมา คือ ยิ่งดิ้นรนหาเงินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น
ในที่สุดหันมาสนใจคำสอนของแต่ละศาสนา...ให้เชื่อ ให้ศรัทธา
แหม...ไอ้ผมมันพวกแหกคอก ไม่ค่อยเชื่อ แถมไม่ค่อยศรัทธาอะไรกับเค้าหรอก
ไม่สามารถที่จะเป็นศาสนิกที่ดีได้เลย...อาจจะพาเค้าวงแตกเอาก็ได้
แต่พระพุทธเจ้า ท่านบอกไม่ให้เชื่อ ไม่ต้องศรัทธา...อ๊ะ..น่าสนใจแหะ

ค่อยๆ หาความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนา ทีละนิ๊ด.ด..ทีละหน่อย
เริ่มจากอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ พอเข้าใจได้
แต่พอเรื่องที่ล้ำลึก ซับซ้อน ต้องใช้สมองคิดมากๆ ก็ไม่ไหว
ผมพยายามอ่าน พยายามฟังท่านผู้รู้ที่อธิบายง่ายๆ ฟังแล้วเห็นภาพ
มีท่านหนึ่งที่ผมชอบฟังมาก.ก...ก คือ คุณสุเมธ โสฬศ
ได้ดูท่านอธิบายจากรายการ...พื้นที่ชีวิต ตอน มรรคา
ท่านพูดเรื่อง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร
จำได้ว่า...
มีพ่อ แม่ พาลูกซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ มาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า
ตอนแรกก็เดินกันมาอย่างมีความสุข สบายใจ
จนกระทั่ง...เดินผ่านร้านขายของ
พลันสายตาของลูก หันไปเห็น...ตุ๊กตาของเล่น
ทันทีที่ลูก มองเห็นตุ๊กตาตัวนั้นเข้า...ก็ให้เกิดความชอบ ความอยากได้
แต่พ่อกับแม่ ก็ไม่ซื้อให้...
ลูกน้อย ก็เกิดความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส...มันต้องเป็นของเรา ของเราเท่านั้น
ลงดิ้นพราด ๆ แหกปากร้องจะเอาให้ได้
ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งลูก...ทุกข์ ขึ้นมาทันที
ทันทีที่ ตา เห็นรูป...พลันเกิดเวทนา ชอบม๊าก.ก..มาก
มีตัณหา อยากได้
เกิดอุปาทาน ยึดติดเหนียวแน่น...ต้องเอามาเป็นของเราให้ได้
แต่พอถูกพ่อ แม่สุดที่รักขัดใจ...ไม่ได้
ความทุกข์มันมาจากไหนก็ไม่รู้...จู่โจม ทิ่มแทงจิตใจจนทนไม่ไหว
ต้องระบายออกด้วยการ แหกปากร้อง..ง...
ต้องต่อสู้ด้วยการ ดิ้นพราด ๆ
ทั้งๆ ที่ย้อนกลับไปแค่ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้...ยังมีความสุขมากมาย
โอ้...ความทุกข์ มันเกิดขึ้นได้ในชั่วเสี้ยว..ว...วินาทีเดียว
ฟังท่านเล่าแล้ว เข้าใจเลย
กระบวนการเกิดทุกข์ มันเป็นแบบนี้เอง...

จากวันนั้น ผมก็ดูรายการนี้อีกหลาย ๆ ตอน ได้ความรู้ความเข้าใจอีกเยอะ
มีบางตอนที่คุณ สุเมธ พูดเรื่อง...การอยู่กับปัจจุบัน
ผมก็พยายามทำบ้างแบบ งู ๆ ปลา ๆ ตามประสา
ฟังดูเหมือน ง๊าย..ง่าย...แต่ก็ยากชะมัด

เมื่อเดือนก่อน ( กันยายน 2554 )
ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับจากส่งลูกสาวคนเล็กไปโรงเรียน
จำได้ว่าน่าจะซัก 7 โมงเช้า รถเยอะมากพอสมควร
ขี่รถไป ก็พยายามทำใจให้อยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา
คอยมองสถานะการณ์รถคันหน้า คอยเช็คกาย เวทนา
ตั้งสติให้อยู่ในอารมณ์ดี สบายใจ
จนมาใกล้สามแยกไฟฉาย ก็ยิ่งระวังเพราะจะถึงหัวมุมเลี้ยว
ทันใดนั้นเอง...เสียงบีบแตร แป๊น.น..แป๊น.น..แป๊น ดังสนั่นอยู่ข้างหลัง
ผมสะดุ้งเฮือกสุดตัว...ตกใจ
ตกใจมาก.ก..กับเสียงแตรที่เกือบติดหลังผมเลย
ตกใจจนรถแกว่ง เลยแหละ
ผมต้องปล่อยคันเร่ง เพื่อประคองรถ ประคองจิตใจด้วย
อีทีนี้...ไอ้รถบ้าคันที่ไล่ติดหลังอยู่ มันยิ่งบีบแตรไล่ผมใหญ่เลย
แป๊น แป๊น แป๊น.น..น
วินาทีนั้น ขอสารภาพ...ปัจจุบัน ปัจจุเบิน อะไรไม่รู้แล้ว
สติสตัง ขาดหมด
มีแต่ความโกรธ ความโมโห พุ่งปรี๊ด.ด...
พอไอ้รถบ้าคันนั้นมันแซงขึ้นมาตีคู่กัน ผมก็บีบแตร ด่ามันมั่ง
ปิ๊น.น ปิ๊น.น ปี๊นนนน หนอย...ไม่รู้จักเราซะแล้ว
แต่ไอ้บ้านั่น ก็ยังบีบแตรด่าตอบ มาอีกแน่ะ...ดูมัน

ตอนเช้ารถก็เยอะเต็มถนน พอแซงผมไปได้ก็ไปติดอีกสี่แยกนึง
ผมขี่ตามหลังไปช้าๆ ก็ยังทัน มองชัดๆ อ๋อ...โตโยต้า อันติ๊ดดด
ความรู้สึกโกรธ รู้สึกโมโหมันยังอยู่ ใจเต็น ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ.บ..
แต่ก็ยังระลึกรู้...โกรธหนอ โกรธหนอ
มองเห็นท้ายรถอันติ๊ดดด บ้านั่นก็ยิ่งโกรธ
ผมค่อยๆ เลื้อยเลาะ แซงรถที่กำลังติดๆ อยู่ไปเรื่อยๆ
จนมาทัน อันติ๊ดดด ที่ติดไฟแดงอยู่
ผมตั้งใจจอดข้างๆ ด้านขวาติดกับคนขับรถคันนั้น...
มองหน้าคนขับแล้ว อารมณ์เสีย โมโหมันจนทนไม่ไหว
เป็นผู้ชาย วัยกลางคน นักธุรกิจแต่งตัวดีมาก แต่นิสัยเลว
ผมเคาะกระจกให้มันเปิดมาทะเลาะกัน
คนขับอันติ๊ดดด คงมองผมมาแต่แรกแล้ว...เปิดกระจกลง
หน้าดำคร่ำเครียด ถลึงตา จ้องอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
พยายามอดใจ กัดฟันถามไปว่า...บีบแตรไล่ผมทำไม
ไอ้บ้านั่น ก็ตะคอกสวนมา...ก็ขี่เกะกะทำไมวะ
โอ้โฮ...ผมเกือบจะเอื้อมสองมือไปกระชากหัวมัน มาโขกกับประตูรถซะแล้ว
ทั้งๆ ที่รถติดไฟแดงแน่นไปทั้งถนน แต่เจ้าของรถก็ยังจ้องหน้าหาเรื่องอย่างเอาเป็นเอาตาย
ผมละโกรธ จนแว่บหนึ่ง...สติ...กลับมา โกรธหนอ โกรธหนอ
แทนที่ผมจะชกหน้าไอ้บ้านั่น ผมดันพูดใส่หน้าเขา
...โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...
ไม่รู้พูดไปได้ยังไง มาจากไหนก็ไม่รู้
เจ้าของ อันติ๊ดดด พอได้ยินก็ยิ่งขมวดคิ้ว จ้องตาถลน
...อะไรวะ
คงไม่ค่อยแน่ใจว่าได้ยินอะไร
ผมก็เลยตะโกน ตะคอกใส่หน้าไปอีก
...โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...
รถที่กำลังติดไฟแดงอยู่ทั้งหลายก็คอยจ้องดูคนทะเลาะกัน
คงหวังจะได้ดูมวยกลางถนนแน่ ๆ บางคนเปิดกระจกฟังด้วยซ้ำ
เจ้าของอันติ๊ดดด ได้ยินก็ยิ่งโกรธ พูดแต่...บ้า..บ้าหรือเปล่าวะ
ผมก็ยังโมโหติดหมัด อยากจะด่ากับเค้า แต่ก็ได้แต่ตะโกนเสียงดังลั่นสี่แยกตอบไป
...โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...
เคยได้ยินมั๊ย..ย...โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...
เข้าใจมั๊ย...โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...
เค้ากับผม ห่างกันแค่ไม่ถึง 2 คืบ แต่ก็เสียงดังลั่นไปหมด
รถทุกคันหันมาดูกันใหญ่...ไฟแดงก็น้าน นาน
คนขับอันติ๊ดดด ทนไม่ไหว รีบปิดกระจกแต่ยังด่าผมลั่นในรถ
ได้ยินแต่ว่า...บ้า บ้า มันบ้าหรือเปล่าวะ
ผมก็ยังไม่วาย ตะโกนสวนไปอีกหลายคำ
ใช่...โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...
จำไว้นะ...โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...

คงจะได้ตะโกนอีกหลายครั้ง แต่ไฟเขียวซะก่อน
รถคันหน้า คงมัวดูผมจนลืมดูสัญญาณไฟ
อันติ๊ดดด ยิ่งยั๊วเข้าไปใหญ่ บีบแตรเสียงลั่นโลก...แป้นนน แป้นน แป้นนนนน
แล้วกระชากรถออกไปอย่างแรง
ผมมองตามหลังรถไป อ้าว...ในรถยังมีลูกชายนั่งอยู่เบาะอีกคนนึง
ใส่ชุดลูกเสือด้วย
แกหันมามองผมแว่บหนึ่ง
วินาทีนั้น ผมหมดโกรธ หมดโมโหแล้ว...แต่ นึกสงสารลูกที่มีพ่ออย่างนี้จับใจ
โธ่..ไอ้บ้าเอ๊ย เรื่องง่ายๆ ไม่เข้าใจ
...โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...

ระหว่างทางกลับบ้าน อดนึกไม่ได้
ถ้าตอนนั้น เขามีปึนก็คงยิงผมตายคาสี่แยกแล้วแหง ๆ
โธ่..เรา ทำไปได้ ทั้งบ้า ทั้งโง่...
อย่าเอาอย่างนะครับ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2554    
Last Update : 8 ตุลาคม 2554 19:41:11 น.
Counter : 1091 Pageviews.  

กรรมทันตา เครียดเพราะหนี้ ต่อ

เครียดเพราะหนี้ ต่อ

คราวก่อนเล่าถึง ความโหดร้ายทุกข์ทรมานจากการเป็นหนี้ จนตัดสินใจ ตาย
มาถึงวิธีใช้หนี้แบบของผม ที่ได้จาก ท่าน อ.สุวรรณ วลัยเสถียร แล้ว
ขอต่อเลยนะครับ

เอาละ...เมื่อเอาทุกอย่างที่มีทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน รายได้ รายจ่าย ลงกระดาษจนเห็นชัดเจน เป็นรูปธรรมแล้ว
เราก็จะมองออกว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี
ไปหากู้เงินก้อนจากธนาคาร มาจ่ายหนี้กระจัดกระจายทั้งหลายให้หมดสิ้น
โดยเริ่มจากหนี้ที่ดอกแพง ดอกโหดที่สุดก่อน
ถ้ากู้ไม่ได้ ก็ขายทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ทั้งบ้าน รถ หรืออะไรที่ขายได้
เอาไปใช้หนี้ซะก่อนที่จะถูกฟ้องยึดทรัพย์ ไม่ได้เงินซักบาทเดียว
แต่ถ้าไม่มีอะไรให้ขายได้แล้ว ก็หยุดจ่ายหนี้...บอกให้ฟ้องเอา
ประนอมหนี้ที่ศาล ได้ลดดอกไปอีกมากมาย
หรือสุดท้าย ก็ถูกฟ้องหักเงินเดือนไม่เกิน 30 เปอร์เซนต์
แต่ถ้าเป็นข้าราชการ เจ้าหนี้จะฟ้องขอหักเงินเดือนไม่ได้แม้แต่บาทเดียว

สิ่งที่ต้องทำต่อมา คือ...
ลดรายจ่าย...เพิ่มรายได้

ลดรายจ่าย...
ในเมื่อเป็นหนี้บานเบอะจนไปไม่รอดแล้ว ก็สมควรจะสำนึกตัวได้ซะที
เลิกฟุ้งเฟ้อ เลิกขี้เกียจ ทำจิตใจรับสภาพให้ได้ทั้งครอบครัว
เลิกกินอยู่หรูหรา ใช้ชีวิตแบบสมถะอดออมแล้วจะมีความสุขมากกว่า
อะไรที่เป็นรายจ่ายฟุ่มเฟือย...ตัดทิ้งให้หมด
ลองไปศึกษา...เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงท่านซิครับ
น่าสนใจจริงๆ ที่สำคัญคือ มันทำได้ง่ายๆ ด้วยแฮะ
ผมมาสะอึกอีตอนที่ ในหลวงท่านให้คนเอารองเท้าไปซ่อม
เห็นแล้วคิดอะไร ๆ ได้เยอะเลย
ค่าเสื้อผ้า ค่าอาหาร ค่าน้ำมันรถ หวย ล๊อตเตอรี่ ภาษีสังคม
ผมเองในตอนนั้น ขนาดเป็นถึงผู้จัดการ ก็ยังเอาข้าวใส่กระติกไปกินที่ทำงานด้วยซ้ำ
ไม่เห็นต้องอายใคร...ไม่ต้องกลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์
ไอ้พวกลูกน้องยังชอบมาแย่งกินอีกต่างหาก
บอก อร่อยกว่าตามร้านอาหารซะอีกแน่ะ
อะไรที่ไม่เป็นสาระ ตัดทิ้งให้หมด
ลูกที่เรียนโรงเรียนแพงๆ ก็ให้มาเรียนโรงเรียนธรรมดา ๆ ...เลิกบ้าซะที
บอกลูกไปเลย...วันนี้เรามีสภาพเป็นยังไง ช่วยกันนะลูก
ถ้าเงินไม่พอแล้วดันทุรังให้เรียนแพงๆ ลูกมันจะอายเค้า
สังคมชั้นสูง มันไม่ได้ให้อะไรนอกจากเปลือกปลอม ๆ
ลูกสาวของผม เรียนที่ ม.ราชภัฎสวนดุสิต
ก็มีความรู้ มีความสุขมากกว่าเพื่อนๆ ที่ไปเรียนสถาบันเอกชนหรูๆ เยอะแยะเลย

รถยนต์น่ะคุณรู้มั๊ย จอดไว้เฉยๆ ราคาก็ตกลงไปเดือนละประมาณ 10,000 บาท
ค่างวด ค่าภาษี ค่าน้ำมัน ค่าซ่อม ค่าบำรุงรักษา
รวมๆ แล้วเกือบ 30,000 บาทที่หายไปทู๊ก.ก..ก เดือน
ขอยืนยัน...ผมอยู่กับวงการ รถ มาทั้งชีวิตผมรู้เรื่องนี้ดี
แต่ถ้าจำเป็นต้องวิ่งติดต่องาน ผมแนะนำให้ซื้อมอเตอร์ไซค์มือสอง
หาที่สภาพดีๆ น่าใช้ อย่างหรูก็ไม่เกิน 25,000
ค่าน้ำมันก็แสนจะถูก วันนึงไม่น่าเกิน 50 บาท
เสื้อผ้า ลองขนเอาออกมากองให้หมดดูซิ
ผมว่าไม่ต้องซื้อไปซัก 2 ปีได้มั๊ง

เพิ่มรายได้...
ในเมื่อมีหนี้ ก็ต้องขยัน ไม่งั้นไม่รอดแน่
ต้องหางานทำเพิ่มในช่วงเย็น หรือเสาร์ อาทิตย์
ให้หางานที่ตัวเองถนัด ตัวเองชอบนะครับ
ห้ามไปขายประกันฯ หรือธุรกิจเครือข่าย...โดยเด็ดขาด
การขายประกันฯ ต้องใช้การฝึกฝนอย่างมาก กว่าจะเข้าใจเรื่องเข้าใจระบบก็หลายเดือน
ที่สำคัญ คนขายประกันฯ ต้องโอ่อ่าภูมิฐาน เข้มแข็ง จิตต้องนิ่ง
คุณที่ยังมีหนี้ท่วมหัว...แล้วจะไปรับผิดชอบชีวิตใครได้
ส่วนธุรกิจเครือข่าย เกือบทั้งหมดต้องมีการลงทุน ต้องซื้อสินค้าตัวอย่าง
คนไม่เคยขายของ ไม่มีทางรอดมีแต่เจ๊ง
ลองไปคิดดูว่า ถนัดอะไร ชอบอะไร แล้วเริ่มทีละนิด ทีละน้อย
แต่ต้องทำงานทุกวัน ทนลำบากซักไม่กี่ปี ถึงจะหมดหนี้ได้
ในตอนนั้น ผมเองวันธรรมดาเป็นเซลส์ วันอาทิตย์ก็ไปขายของที่คลองถม
ขนาดเป็นถึงผู้จัดการแล้ว ยังเข็นรถร้องขายของอยู่เลย
พวกลูกน้องมาเจอ กลับนับถือในความทรหด ขยันต่อสู้ของผมซะอีก
เอาไปร่ำลือกัน ขนาดว่ามีคนแอบมาดูที่คลองถมให้เห็นกับตาก็มี
มายกมือไหว้ บอก...นึกว่าเพื่อนมันโกหก
ลูกน้องบางคนยังทะลึ่งมานั่งช่วยขายอีกด้วย ไล่ก็ไม่ไปบอก...สนุกดี
คุณรู้มั๊ย คนต่างจังหวัดที่มาเข็นรถขายของ ขายผลไม้ ขายน้ำส้มคั้น ขายลูกชิ้นทอด น่ะ
พวกเค้าไม่มีปริญญา มองว่าโง่ ๆ เซ่อ ๆ
แต่รายได้เท่าไหร่รู้มั๊ยครับ...กำไรวันละ 500 – 700 เชียวนะ
ก็เพราะพวกเค้า ขยัน ทรหดอดทน ไม่สนแบรนด์เนม ไม่อวดร่ำอวดรวย
ที่สำคัญ เขาทำงานทุกวัน
พูดจริงๆ นะ ผมเห็นมีแต่คนโง่ ๆ เท่านั้นที่หยุดนอนเล่นทุก เสาร์ อาทิตย์
ไปเดินดูตามตลาดนัดซิครับ...มีแต่คนขยัน คนมีเงิน ทุกคน
ผมเคยเห็นคนที่รับซื้อถุงพลาสติกมาล้าง ตาก แล้วส่งเข้าโรงงานรีไซเคิ้ล
แต่งตัวธรรมด๊า ธรรมดา...แต่มีฉโนดที่ดิน 10 กว่าแปลง
ถ้าไม่เชื่อ พาไปดูยังได้

เอาละ พอจะเห็นภาพแล้วนะครับ
จะให้หมดหนี้ มันต้องอดทน
ผมเชื่อพระพุทธเจ้า ท่านบอก...คนเราล่วงทุกข์ได้ เพราะ ความเพียร
แต่ที่อยากจะสื่อให้เห็นจริงๆ ก็คือว่า
ในภายหลังที่ผมเริ่มมาสนใจ...พระพุทธศาสนา...ถึงได้รู้ว่า
การที่ผม ผูกคอตาย นั้นมันบาปมหันต์
ผลกรรมของการกระทำมันร้ายแรงหนักหนาสาหัสนัก

การที่ผมคิดว่า เราฆ่าตัวตาย ก็แค่ฆ่าเราคนเดียวน่ะ...มันไม่ใช่
ที่จริงแล้ว ผมได้ฆ่าคนไปมากมายหลายคน เพราะว่า
ผมฆ่า พ่อ ของลูก เด็กผู้หญิง 2 คนต้องมาขาดพ่อบังเกิดเกล้าที่พวกเค้ายึดถือเป็นฮีโร่
ฆ่า สามี ของผู้หญิงดีๆ ที่ไม่มีความผิดอะไรเลยซักนิด
ฆ่า ลูก อันเป็นที่รักของ พ่อ แม่ ที่แก่เฒ่ารอให้ผมไปดูแล
ยังไม่รวมว่าผมได้ฆ่า พี่ ของน้องๆ อีกหลายคนไปด้วย

แต่ที่ยิ่งกว่านั้น...ชีวิตที่เหลือของภรรยา และลูกจะเป็นยังไง
ภรรยา ที่จะถูกตราหน้าว่า...คนนี้ไงที่ผัวเค้าฆ่าตัวตาย
ลูก ก็จะถูกจดจำว่า...คนนี้ไงเป็นลูกที่พ่อฆ่าตัวตาย
สภาพจิตใจจะเลวร้าย หดหู่อย่างที่สุด
ผมเองก็จะถูกจดจำ จากเมีย และลูก หรือคนอื่นๆ ว่า เป็น
...ไอ้ขี้แพ้...ไอ้คนเห็นแก่ตัว สร้างปัญหาให้ครอบครัว แล้วหนีไปคนเดียว
ทิ้งทุกอย่างไว้ให้คนข้างหลังรับกรรม
พวกเค้าจะหมดความภาคภูมิใจในตัวเอง จะกลายเป็นพวกจิตใจหวาดหวั่น
หมดความเชื่อมั่น หมดศรัทธาในชีวิต แล้ว ลูก เมีย ของผมจะมองหน้าใครได้
กลายเป็นพวกเก็บกด แล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ยังไง
วันนึง ถ้าเจอปัญหาหนักๆ แกก็อาจจะตัดสินใจ...ฆ่าตัวตาย เหมือนพ่อก็ได้

สำหรับผมนะ ถ้าตายไปในตอนนั้นยิ่งน่ากลัวกว่าอีก...
จิตที่ดับไปในขณะที่มีโทสะ หรือ ท้อแท้ หมดอาลัยในชีวิต
จิตที่เศร้าหมอง ที่ไปย่อมมีแต่...อบายภูมิ
ถ้าไม่ลงนรกทันที ก็อย่างน้อยต้องเป็นสัตว์เดรัจฉาน
อาจจะเกิดเป็น หมู หมา ที่ไหนก็ไม่รู้
ที่แย่ที่สุด คือ ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตมา ผูกคอตาย
ผมยังไม่รู้จัก ศาสนา ไม่เคยทำบุญ ทำกุศล สะสมไว้แม้แต่น้อย
ทำแต่บาป สร้างแต่กรรม ผิดศีลหมดทุกข้อ
ถ้า...ตาย ไปในตอนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาทั้งครอบครัว เมีย ลูก
ทั้งตัวผม มันน่ากลัว น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
ผลกรรม ผลลัพธ์มันหนักหนากว่า อีแค่หนี้สินไม่เท่าไหร่นี้หรอก
ต่อให้หนี้ ร้อยล้าน พันล้าน มันก็ไม่คุ้ม
เทียบไม่ได้กับ จิตใจของคนที่ผมรัก ผมห่วงไม่ได้ซักนิดเดียว
เคยฟัง หลวงพ่อจรัญ บอกว่าคนที่ฆ่าตัวตาย แล้ว
ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายอีก 7 ชาติ
ยิ่งนึกยิ่งคิด ก็ยิ่งกลัวผลกรรมที่ตามมาอีกหลายภพ หลายชาติ
ผมนี่เป็นหนี้บุญคุญ...พี่เขย ที่ช่วยชีวิตไว้ได้ทัน
อย่างที่ไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนกันกี่ชาติ ถึงสาสม

สุดท้ายนี้...อยากจะบอกอย่างที่สุดว่า
ความตาย ไม่ใช่จุดจบของปัญหา
แต่มันคือ กรรมชั่ว ที่หนักหนาสาหัส ส่งผลถึงคนข้างหลัง
คนที่คุณรัก คนที่เป็นเมีย เป็นลูก ไปตลอดชีวิตของเขา
การเป็นหนี้ เป็นทุกข์แสนสาหัส...แต่เอาชนะมันได้
ก่อนที่จะผูกคอตาย ผมมีแต่ความละอาย ท้อแท้ทอดอาลัย
หมดศักดิ์ศรี หมดความนับถือตัวเอง
แต่พอตัดสินใจลุกขึ้นสู้ ตั้งใจมั่นที่จะต้องเอาชนะปัญหาหนี้สินให้ได้
ผมก็กลับมามีความนับถือตัวเองอีกครั้ง กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก
...เอ็งมัน เจ๋ง ว่ะ
เอาศีลห้าเป็นเกราะ เอาปัญญาเป็นอาวุธ
เอาความเพียรเป็นพลังฟาดฟันเจ้าหนี้ไม่มีหยุดหย่อน
ยิ่งต่อสู้กับมัน ก็ยิ่งคึก ยิ่งสนุก
มารู้ตัวอีกที หนี้ ตายหมด พ่ายแพ้ผมหมดในเวลาไม่กี่ปี
แต่จิตใจที่ฝึกฝน ออกสนามรบทุกวันมันยังมีเหลืออีกเยอะ

ทุกวันนี้ ผมเป็นฮีโร่ เป็นที่รัก เป็นที่ภาคภูมิใจของ พ่อ แม่ ลูก เมีย
และคนที่รู้เรื่องราวของผม
หนี้สินแค่เนี๊ยะ สู้กับมัน ฟาดฟันมันเข้าไปทู๊ก.ก...วัน
เดี๋ยวมันก็ตายไปเอง...
เชื่อเถอะ ผมทำมาแล้ว


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2554    
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 16:55:08 น.
Counter : 1545 Pageviews.  

กรรมทันตา เครียดเพราะหนี้

เครียดเพราะหนี้

คำเตือน...
ท่านที่อ่าน ท่านที่รับฟังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
ต้อง...ต้อง...อ่าน จน จบ
มิฉะนั้น.......ห้าม อ่าน โดยเด็ดขาด

วันก่อนนี้...17 สิงหาคม 54
คุณบัณฑิต ปิ่นมงคลกุล...ผู้ดำเนินรายการ ธรรมะ บันดาลใจ
ชวนผมไปบันทึกเทปรายการ เป็นตอนที่ 6
เรื่องที่คุยกันในรายการ ก็เน้นไปเกี่ยวกับ...หนี้
ต้นเหตุของหนี้ ความทุกข์ระทม ความเครียด ไปจนถึงจุดที่ผมรับไม่ไหว
ตัดสินใจ...ผูกคอตาย

ทำให้ผมมานึกได้ว่า ที่เคยเล่าไปในตอน...กรรมทันตา ผูกคอตาย
ยังมีบางอย่างที่คนฟัง คนอ่านอาจเข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อผิดไปบ้าง
เลยอยากเล่าขยายเพิ่มซะหน่อย ครับ
ในตอนนั้น ผมค้าขายรถยนต์มือสอง
ธุรกิจนี้น่ะมันไม่ผิดหรอก แต่ผมเองที่ทำตัวชั่วเลว ผิดศีลธรรม
ย้อมแมว โกหกหลอกลวง ทำธุรกิจแบบกะล่อนปลิ้นปล้อนสารพัด
บาปกรรม ก็เลยตามสนองผมอย่างเต็มที่
เงินทองที่ได้มา...เป็นเงินร้อน
หาได้มากเท่าไหร่ก็หมดไปอย่างไม่เข้าเรื่อง ฟุ้งเฟ้อใช้ชีวิตอย่างประมาท
ทำตัวเป็นเสี่ยหนุ่ม เสื้อผ้าเบรนเนม นาฬิกาต้องโรเล็กซ์ ปากกาดูป๊องค์
กินอยู่อย่างลืมตัว
บวกกับเงินลงทุนที่มีมาน้อย แต่ตะบันกู้...เยอะ
ทั้งๆ ที่เรียนด้านบริหารธุรกิจโดยตรง แต่ค้าขายไม่เป็น
ไม่สามารถเอาความรู้ที่เล่าเรียนมาอย่างดี ปรับใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้
ผิดพลาดไปหมดทุกเรื่อง
เริ่มตั้งแต่ค่าเช่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโฆษณา เงินเดือนพนักงานลูกน้อง
หนักที่สุดก็...ดอกเบี้ยเงินกู้...สมัยนั้นแค่ร้อยละ 2 บาท 3 บาท ต่อเดือนยังแย่
พอเงินไม่พอก็ไปแลกเช็คกู้มาเพิ่มอีก เอาหนี้ใหม่ที่ใหญ่กว่าไปโปะหนี้เก่า
พอถึงเวลาจ่ายหาไม่ทัน ก็ไปกู้มากขึ้นไปอีก
แล้วก็กู้มากขึ้น...มากขึ้น...อีก กู้อันนี้โปะอันโน้น หมุนอุตลุตจนมึนตึ๊บ.บ..
ขนาดต้องขายบ้านที่พ่อแม่ของผมให้มาไปหลังหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่พอ
ต่อมาก็ต้องขายที่ดินแปลงสวยๆ ที่พ่อตา แม่ยายให้ภรรยาผมไปอีก
ขายแต่ละครั้งก็ไม่ได้ราคา เพราะรีบร้อนขาย...มันจวนตัว
ขนาดว่าไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวกลางคืน
อย่างที่บอก บาปกรรมทำไว้เยอะมาก
ต้องไปนอนในตะราง ที่โรงพัก และคุกคลองเปรม มาแล้ว

คนที่น่าสงสาร ต้องมาทุกข์แสนสาหัสกับผมด้วยก็คือ...คุณหม่อง ภรรยาของผม
ในตอนที่เริ่มธุรกิจ ผมคิดเอง ลุยเองไม่ฟังเสียงใคร
ภรรยาก็คอยทักท้วง คอยเบรก แต่ผมมันดื้อถือดีไม่ยอมฟัง
จนเค้าระอาไม่อยากยุ่ง
แต่พอปัญหามันสะสมมากขึ้น...มากขึ้น ความเครียดก็มากตามไปด้วย
เริ่มนอนไม่หลับ กินไม่ได้ หงุดหงิดพาลหาเรื่อง
เริ่มมีปากเสียงกันบ้าง จนหนักๆ ขึ้นก็ทะเลาะกัน...ผมนี่แหละหาเรื่องเค้าก่อนทุกที
ที่แย่ที่สุดคือ...ความละอาย
อายลูก อายเมีย เรานี่มันตัวล้างผลาญ เรามันห่วย มันแย่
ละอายที่ทำตัวเป็นพวกต้มตุ๋น หมดความภูมิใจในตัวเอง
ละอายที่ทำให้ครอบครัวลำบาก

พอเริ่มผิดนัดชำระ เจ้าหนี้ก็ตามทวงสารพัด
โทร.จิก โทร.ด่า มาตามทวงที่ออฟฟิซ ทวงที่บ้าน
ภรรยาก็หน้าเสีย หน้าดำทุกวัน
พอหมุนเงินไม่ทันจริงๆ ผมถูกจับคดีเช็คเด้ง คุณหม่อง ก็ต้องวิ่งเต้นประกันตัวออกมา...อย่างยากเย็น และเหนื่อยใจ
ไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ ถูกจับขณะที่ยังอุ้มลูกก็เคยมาแล้ว
ละอายมากๆ เข้าก็ไม่อยากอยู่ให้ครอบครัวต้องมาทนลำบากเพราะเราอีกแล้ว
ความเครียดมันรุมเร้า สุขภาพก็เริ่มแย่ ปวดตามข้อ ปวดตามกระดูก
ร่างกายมันหลั่งกรดยูลิคออกมาจนกลายเป็นโรคเก๊าท์
เจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่ขยับตัว
ความทุกข์ทรมานที่มากจนอธิบายยังไงก็คงไม่เข้าใจ
ทุกข์กายน่ะพอรับสภาพได้ แต่ทุกข์ใจนี่สิ...สุดแสน
มันเหมือนน้ำที่ถูกตั้งไฟ...ค่อยๆ ร้อนขึ้น ร้อนขึ้น ร้อนขึ้นทีละนิด
ร้อนรนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

จนกระทั่งวันหนึ่ง...ตื่นเช้ามาก็เหมือนเดิม
โทรศัพท์ดังขึ้นผมก็หน้าเสีย พอรับสายเสียงเจ้าหนี้ด่ามาอุตลุด
ภรรยาก็เดาได้ว่าอะไรเกิดขึ้น...ผมฟิวส์ขาด
สติอารมณ์มันพังทลาย หันไปทะเลาะกับคุณหม่อง ทันที
เธอก็คงจะสุดแสนจะทุกข์เหมือนกัน น้ำตาร่วงเป็นสาย...เดินหนีไป
เท่านั้นแหละ ละอายใจอย่างที่สุด อารมณ์ของผมก็ถึงจุดระเบิด
ตะโกนไล่หลังภรรยาไปว่า... ถ้าไม่มีฉันซะคนคงจะดีกว่านี้...
แล้วก็คว้าเชือกไนล่อนเส้นขนาดนิ้วก้อย วิ่งไปที่ดาดฟ้า
...ผูกคอตาย...
แปลกนะ มันไม่เจ็บ ไม่ปวดซักนิด...มันวูบ.บ..บ....ไปเลย

โชคยังดีอย่างมหาศาล วันนั้นพี่สาวกับพี่เขยของคุณหม่อง มาค้างที่บ้านด้วย
พี่เขยวิ่งขึ้นไปช่วยได้ทันอย่างหวุดหวิด เขาบอกว่า...
ได้ยินเสียงทะเลาะกันก็เอะใจ วิ่งขึ้นไปก็เห็น...ห้อยต่องแต่งอยู่แล้ว
พอฟื้นขึ้นมา เห็นภรรยานั่งร้องให้ไม่พูดไม่จา...มีแต่แววตาเท่านั้น ที่บอกทุกอย่าง
ทั้งตกใจ หวาดหวั่น...ทั้งเสียใจที่ผมคิดโง่ ๆ คิดสั้น ๆ
และทั้งดีใจอย่างที่สุด...ที่ผมยังไม่ตาย

หลังจากนอนไม่พูดไม่จาอยู่ครึ่งวัน ภรรยาก็เข้ามาคุยด้วย
มาปลอบใจ...มาบอกให้สู้
บอกให้ค่อยๆ คิดกันนะ เราสองคนต้องช่วยกันนะ
ส่วนผมน่ะ...พอเฉียดผ่านเส้นยาแดงของความตายมาได้
สภาพจิตใจก็เปลี่ยนไป
จากที่ท้อแท้ หมดแรงหมดอาลัยตายอยาก กลายเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้น
ไม่ได้นึกเกรงกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อๆ ไปอีกแล้ว
ความตายมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยนึกไว้
มันแค่นิ๊ด.ด..เดียวเอง ระหว่างความเป็นกับความตาย
แค่นี้เอง จริง จริง...
แล้วถ้าอย่างนั้นจะกลัวอะไรอีกล่ะ ที่ผ่านมามัวแต่กลัว มันแต่เครียด
ต่อไปนี้ จะต่อสู้กับชีวิตให้ถึงที่สุด...ของที่สุด
รุ่งขึ้นอีกวัน ผมไปหาเจ้าหนี้ทุกราย
ไปเล่าให้ฟังว่า...เมื่อวานนี้ผมผูกคอตายแล้ว แต่ดันมีคนมาช่วยไว้
แล้วก็เปิดให้ดูรอยเชือกที่รอบคอ ซึ่งรอยเชือกนี้อยู่ไปเกือบ 10 วันแน่ะ
เจ้าหนี้ตกใจทุกคน กลัวผมตาย กลัวหนี้สูญ
บอกให้ผมใจเย็นๆ ยอมผ่อนผันยืดระยะเวลาให้

หลังจากนั้นผมกับภรรยา ก็หันมาคุยกันทุกเรื่อง ทุกความผิดพลาด
หาวิธีใช้หนี้ด้วยทั้งแบบที่เป็น วิทยาศาสตร์ และไม่ใช่วิทยาศาสตร์
ไอ้ที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
แต่ที่ไม่ใช่น่ะ ขอให้ท่านที่เป็นแฟนใหม่ไปหาอ่านจากเรื่อง
...กรรมทันตา แรงฤทธิ์อธิษฐาน...ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปไม่นาน
และเรื่อง...กรรมทันตา อธิษฐานหนีกรรม...ซึ่งเกิดขึ้นต่อมา

วิธีการเอาชนะหนี้ของผมแบบที่เป็น วิทยาศาสตร์ คือ
หลังจากคุยปรึกษากันอย่างเข้าอกเข้าใจดีแล้ว ได้หนังสือของ อ.สุวรรณ วลัยเสถียร
ท่านบอก ต้องเอาทุกอย่างลงกระดาษ...เขียนออกมาให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม
ฝั่งซ้าย เป็นทรัพย์สินที่มี บ้าน รถ ถ้าขายตอนนี้จะได้ราคาเท่าไหร่เอาให้แน่
รายได้ที่มีอยู่ วันละเท่าไหร่ เดือนละเท่าไหร่ เอาให้ชัด
ฝั่งขวา เป็นรายจ่ายที่มีทุกอย่าง น้ำ ไฟ โทรศัพท์ ค่าผ่อนค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ
ค่าเสื้อผ้า อาหารแต่ละวัน แต่ละเดือน เอาให้ละเอียดยิบ
ที่สำคัญ...หนี้สินที่มีทั้งหมด ขอย้ำทั้งหมด
มีเท่าไหร่อะไรบ้าง ทั้งเงินกู้ ทั้งบัตรเครดิต มีกี่เจ้า กี่ใบ จดให้ละเอียด
ลงลึกถึงช่วงเวลาที่ต้องจ่าย เจ้าไหนต้องจ่ายวันไหน จ่ายครั้งละเท่าไหร่
เรียงวัน มาให้เห็นเด่นชัด...ห้ามหมกเม็ดโดยเด็ดขาด
ขอบอกว่า ถ้าอยากหมดหนี้ก็ต้องทำนะครับ
ตอนที่เขียนออกมาน่ะ...มันเจ็บปวดดีพึลึก เขียนไปเจ็บไป
โปรดฟังอีกครั้ง...ถ้าอยากหมดหนี้ ก็ต้องเขียนออกมาให้หมด

ถ้าคุณยอมเขียนทุกอย่างออกมา อีทีนี้ก็จะมองเห็นแล้วว่าจะเอายังไงต่อกันดี
คุณจะยอมมั้ย ถ้าหมดหนี้หมดสิน แต่...ไม่เหลืออะไรเลย
แล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่...เอามั๊ย
อ.สุวรรณ ท่านบอกให้หาเงินก้อนไปตัดหนี้ที่ร้ายแรงที่สุดก่อน
หนี้ที่ดอกแพง ดอกโหดที่สุดก่อน
ห้ามไปกู้นอกระบบมาอีกโดยเด็ดขาด ให้หันไปกู้จากธนาคารแล้วผ่อนอย่างเป็นระบบ
ยืดเวลาการผ่อนให้ได้ยาวที่สุด เพื่อให้จำนวนเงินค่างวดมันไม่มากเกินไป ไม่เกินจะรับไหว
แต่ถ้าหากู้ธนาคารไม่ได้ ก็ไม่ต้องกู้...ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ทิ้งซะให้หมด
บ้านที่ผ่อนอยู่ ก็ขายแล้วไปหาเช่าซะก็ได้
รถที่ผ่อนจนหูตูบก็ขาย แล้วนั่งแท๊กซี่ หรือซื้อมอเตอร์ไซค์มือสองมาแทน
ไม่ต้องสนใจใครหน้าไหนจะมอง จะนินทาเรายังไง
เพราะทุกวันนี้โดนทวงหนี้จนชาวบ้านเขาก็รู้กันหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องอายแล้ว
ถ้ายังทนทู่ซี้ต่อไป ก็ไม่วายต้องถูกฟ้องยึดบ้าน ยึดรถอยู่ดีแหละ
ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว...รีบขายทิ้งซะก่อนดีกว่า
คุยปรึกษา เล่าทุกอย่างให้ลูก ให้เมียเข้าใจและรับสภาพให้ได้
คนเราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน...วันนี้หมด พรุ่งนี้ก็หาใหม่ได้
ถ้าคุณทำอย่างที่ผมบอก ทุกอย่างก็จะเบาขึ้น

อ้อ...สำหรับคนที่เขียนออกมาแล้ว ไปไม่รอด
ไม่มีทรัพย์สินอะไรจะขายแล้ว แถมเจ้าหนี้ก็เร่งเร้าอย่างทารุณ
คำแนะนำสำหรับผม คือ...หยุดจ่าย บอกให้ท่านเจ้าหนี้ไปฟ้องเอา
ประนอมหนี้ที่ศาล...ดอกเบี้ยถูกกว่ามากมายก่ายกอง
คนที่เป็นข้าราชการ เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับยึดเงินเดือนเราได้แม้แต่บาทเดียว
แต่ที่ไม่ใช่ข้าราชการ ถึงที่สุดแล้วศาลท่านจะให้หักเงินเดือนไม่เกิน 30 เปอร์เชนต์...แค่นั้น
ส่วนท่านที่เป็นนักธุรกิจ ถึงแม้จะถูกฟ้องล้มละลายก็ช่างมันเหอะ
มีเศรษฐีพันล้านถูกล้มละลายเยอะแยะไป ไม่ต้องอายใคร
ทุกวันนี้มองไปรอบ ๆ ขอถามหน่อยเหอะ...คนที่ไม่เป็นหนี้ มีสักกี่คน

หรือคนที่ไม่ไหวแล้ว ไม่รอดแล้ว เจ้าหนี้โหดร้ายมาก
แนะนำให้...หนี...หนีไปไกลๆ หนีไปตั้งหลัก
ไม่ได้ให้โกงเค้านะครับ ไปตั้งหลักหาเงินได้แล้วค่อยเอามาใช้

เขียนมายาวเกินไปแล้ว ขอต่อตอนหน้านะครับ
ต้องตามมาอ่านให้ครบ ห้ามพลาดเด็ดขาด


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2554    
Last Update : 19 สิงหาคม 2554 1:04:07 น.
Counter : 6244 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.