กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 16

โอ้..อินเดีย 16

ดังที่เคยเล่าท่านผู้อ่าน ผู้ฟังทั้งหลาย แล้วว่า...
ผมเดินทางไปแสวงบุญที่ อินเดีย ในครั้งนี้
ด้วยความเมตตาจาก คุณสุเมธ โสฬศ ที่ผมนับถือเป็นครูบาอาจารย์
ท่านได้แนะนำให้ผมเดินทางไปกับ กลุ่มลูกศิษย์ของท่าน
ซึ่งเป็นหมอจากโรงพยาบาล บางบ่อ
และต่อมาได้กลายเป็น...กัลยาณมิตร อันประเสริฐ
ผมได้ขอร้องให้แต่ละท่านช่วยเขียนบอกเล่า ความในใจ
ถึงเหตุผลที่ไป อินเดีย รวมถึงว่าไปแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง
วันนี้ คุณหมอปุ๊กกี้ ชาราล่า หมอฟันผู้มีความสามารถพิเศษบางอย่าง
ทนผมรบเร้าไม่ไหว เขียนมาเล่าเรื่องให้ฟัง
พวกหมอ...หมอ นี่ความรู้เยอะ ความคิดแยะ
ถูกสอนและฝึกวิธีคิดแบบเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นขั้นเป็นตอน
ค่อย ๆ เรียงลำดับ...น่าเหนื่อย
เราลองมาฟังกันดูนะครับ

เรียนคุณอนณ ( สมาชิกบางบ่อแกงค์ )
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่ามิได้ลืมคำกึ่งสัญญาที่ให้ไว้.....
แม้จะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับปากเต็มคำก็ตาม....
เมื่อมีเวลาเหมาะ...จึงขอส่งการบ้านตามสัจจะวาจาที่ให้ไว้ค่ะ...
สำหรับคำถามประกอบด้วยหัวข้อ

1.แรงบันดาลใจที่ไปอินเดีย

2.สิ่งที่ได้รับกลับมาจากการไปอินเดีย

ก่อนจะมีแรงบันดาลใจให้เลือกมาอินเดียนั้น......

คงต้องเริ่มต้นจากทำไมถึงสนใจเริ่มมาปฏิบัติธรรมก่อนมั้งคะ
สำหรับตัวเองนั้นถือว่าค่อนข้างโชคดีทีเดียว
เกิดมาก็พอใจในทุกสิ่งอย่างที่ตนเองมี ตนเองเป็น...
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว พี่น้อง มารดา
แม้บิดาจะเสียชีวิตไปตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุเพียง 5 ขวบ
แม้แต่เรื่อง รูปร่างหน้าตา (ที่หมวยเกินใคร) การศึกษา หน้าที่การงาน...รวมถึงความสามารถต่างๆ ที่หล่อหลอมรวมเป็นตัวของข้าพเจ้า
ถึงกับเคยบอกกับตัวเองว่า...
" แม้เราจะไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบอย่างใคร ๆ ...
แต่ก็ชอบ และพอใจในทุกอย่างที่เป็นตัวเอง "
นั่นหมายความว่าข้าพเจ้านั้น แม้จะเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดมากนัก...
แต่มันเต็มในตัวเองจนล้นคือ ตัว ...อัตตา... นั่นเอง

เมื่อชีวิตได้ดำเนินผ่านมาเรื่อยๆอย่างเรียบง่าย
....คิดดี..ทำดี...พูดดี....
ชีวิตที่โลดแล่นควรเป็นเส้นตรงตามที่ข้าพเจ้าวาดหวังวางกำหนดไว้อย่างเหมาะสม
ดังความคิดที่ว่า ทุกอย่างต้องดีซิ.....ก็เราเป็นคนดี
แต่ชีวิตมันหลากหลายกว่านั้น...มันไม่ใช่เรื่องตรงไปตรงมา...
อะไรคือตัว เหตุปัจจัย แทรกซ้อนที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเริ่มหาคำตอบใหม่ว่า....ทำไมจึงเกิดอุบัติเหตุในการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้าได้?....
อะไรที่วาดหวังวางไว้...ไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างที่คิด....
ความสับสนพรั่งพรูเข้ามามากมาย...พร้อมทั้งน้ำตาแห่งความเสียใจ
ใช้เหตุและผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ตนเองคุ้นเคย...ก็ดูไม่สมเหตุ สมผล เสียเลย....
ความจริงคืออะไรกันแน่...คิดวนไปวนมาหลายรอบ
ได้คำตอบแค่ว่า...ถ้ามันไม่เป็นตามเหตุและผล....แล้วอะไรล่ะที่อยู่เหนือเหตุเหนือผล.....

ข้าพเจ้าจึงเริ่มหาคำตอบจากหนังสือ และตำรามากมาย
ทั้ง ตำราโหราศาสตร์ ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง ลายมือ กราฟชีวิต
รวมถึง เครื่องรางของขลังต่าง ๆ
เพื่อพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง...
จนข้าพเจ้าได้พบกับ ผู้มีพระคุณท่านหนึ่งสอนว่า
ตัว...ที่ข้าพเจ้าขาดหายไปในช่วงที่พบแต่ความผิดหวัง
คือตัว...สติ ที่ใช้ต่อสู้กับความจริงบนโลกใบนี้
อีกทั้งสิ่งที่อยู่เหนือเหตุเหนือผล...
คือ...กรรม....นั่นเอง

ตกลงชีวิตนี้ไม่ใช่พรหมลิขิต หรือ เราลิขิตหรอกหรือ !!!
ความจริงแล้ว...ชีวิตมีกรรมเป็นตัวกำหนดต่างหาก...อ้าว
งั้นก็...กรรมลิขิต...น่ะซิ เนี่ยะ
พร้อมกับให้หนังสือเรื่อง...อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม
ของสมเด็จพระสังฆราชมาศึกษาเล่มหนึ่ง....
อ่านแล้ว เหมือนโลกหยุดหมุน...
เพิ่งเริ่มเข้าใจ...ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง
แต่ก็ยังมีตัวสงสัยอยู่ คือ
ถ้ากฎแห่งกรรมทำงาน บันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไป
แล้วถ้าเราไม่ได้ทำ ล่ะ...
ทำไมจึงเกิดผลอย่างนี้ได้

เริ่มทำความเข้าใจใหม่กับการ...เวียนว่ายตายเกิด
จึงเริ่มทำใจได้..ว่าอะไรที่เกิดขึ้น เพราะเราเคยกระทำเช่นนั้นไว้ในภพก่อนๆ...
เริ่มอยากรู้อดีตชาติ เริ่มอยากรู้มากจนอยากฝึก...มโนมยิทธิ
ต้องเห็นกะตาให้ได้ว่าเราทำอะไรไว้.....
สุดท้ายไม่ได้เรียนอะไร...เพราะจบตรงประโยคที่ว่า
...จะเสียเวลารู้อดีตไปทำไม
ทำกรรมดี (บุญ) ใหม่ ๆ ในวันนี้เตรียมไว้ดีกว่า มั้ง
อะไรจะเกิดก็ต้อง เกิด...
ยอมรับมันด้วย...สติ...ก็พอ

เอาหล่ะ ถ้ากฎแห่งกรรมมันยิ่งใหญ่....
การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง....
แล้วเราจะพ้นจาก วัฏสงสาร นี้ได้อย่างไรกัน

ถ้ากรรมลิขิต อยู่เหนือสิ่งอื่นใด... กรรมพยากรณ์ ของคุณดังตฤน...ก็คงจะจริง
รีบเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ดีกว่ามั้ง.......@
เริ่มจาก เราจะสะสมบุญอย่างไร...
ท่านบอกว่าต้องทำ ทาน รักษาศีล และหมั่นภาวนา.....
คนจีนถนัดไหว้เจ้าอย่างข้าพเจ้า ไม่งงเรื่องทำทาน กับรักษาศีลหรอก...
แต่เจ้า ภาวนา เนี่ยซิเป็นยังไง ???

สวดมนต์ กับนั่งสมาธิ...ทำได้ไม่ขัดข้อง
แต่ตัวปัญญาอันเกิดจากภาวนาเนี่ยะ ยากจัง...

จนได้มีโอกาสได้เรียนรู้การ...ดูกาย...ดูจิต...
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ลงสู่ปัจจุบัน...
สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเนี่ยแหละ...เหมาะกับข้าพเจ้ามากที่สุด
จึงเริ่มปวารณาตนว่า จะปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ แบบนี้ดั่งเป็นหน้าที่หนึ่งในการดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่นั่นเอง....
และแล้วก็ต้องเพิ่มพลังเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางถึงซึ่ง...พระนิพพาน
คือ พละ 5 อันเริ่มจากตัว ศรัทธา นั่นเอง.....
ข้าพเจ้ามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาตลอด..
เชื่อว่า...พระพุทธเจ้า มีจริง และปฏิบัติตามคำสอนที่ว่า
ทำดีได้ดี..ทำชั่วได้ชั่ว...
จึงต้อง ทำดี...ละชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธ์มาตลอด....
แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุในชีวิตครั้งนั้น...ศรัทธาที่ข้าพเจ้ามี มันเริ่มสั่นคลอนไปบ้าง....ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะมาอินเดีย
เพื่อเติมพลังตัวศรัทธา ให้เต็มร้อย...อีกครั้ง
เพิ่มพลังในการปฏิบัติธรรมให้กับตนเอง ต่อไป...
เนี่ยะแหละแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าในการมา อินเดีย ครั้งนี้...ด้วยศรัทธา
แทนการเลือกไป ยุโรป...ตามแรงกิเลสจูงใจ

สิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งใจก่อนไปอินเดียนั้น นอกจากเติมศรัทธาให้เต็มร้อยแล้ว
ก็ตั้งใจแบบไม่บอกใครว่าหลายวันในอินเดียนี้...ข้าพเจ้าละงาน ทางโลก ไว้...
มีหน้าที่ ทางธรรม เป็นหลัก
จึงควรภาวนาตลอดทุกขณะจิต...ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นเอง
อิ...อิ

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับจากการไปอินเดียครั้งนี้...มีมากมาย
* ข้าพเจ้าได้เห็นถึงทุกข์ อันเกิดขึ้นทั้งต่อกายและใจ...
เช่น ปวดฉี่มากมาย...ท้องแข็งมากมายก็เป็นทุกข์....
ไม่มีห้องน้ำก็เป็นทุกข์....ห้องน้ำสกปรกก็เป็นทุกข์...
น้ำไม่ไหลก้อเป็นทุกข์..ที่นอนไม่สะอาดก็เป็นทุกข์..
แมลงเยอะก็เป็นทุกข์...ร้อนไปก็เป็นทุกข์..หนาวไปก็เป็นทุกข์...
เดินมากก็เป็นทุกข์..นั่งนานก็เป็นทุกข์...
ปวดขา ปวดเข่า ปวดหัว ปวดท้อง ท้องอืดก็เป็นทุกข์....
สรุปว่า ทุกข์ ล้วน ๆ คงจะจริงดังคำที่ท่านว่า...
" นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่...
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป "... เน้อ
และเมื่อรู้ทุกข์...เราคงเริ่มเดินตามหลักอริยสัจ 4 แล้วซิ....
ต่อไปก็รู้สมุทัย...เจริญมรรค....คงแจ้งนิโรธ...สักวัน....สักวัน....สักวัน

* ข้าพเจ้าได้เห็นถึง อัตตา ในตัวข้าพเจ้าที่คิดว่าลดลงแล้ว...
แต่กลับเห็นได้ชัดเจนว่า ยังอัดแน่นมากมาย...
ก็ตอนเด็ก ๆ ขอทานเหล่านั้น...ที่รุมล้อม...อ้อมหน้า...อ้อมหลัง...
แถมสะกิดตัว...จนเห็น อัตตา ตนเองชัดเจน

* ข้าพเจ้าซาบซึ้ง และมี ปิติ..ในการ ตามรอยพระพุทธบาท ครั้งนี้มาก...
ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน...
เป็นแรงบันดาลใจ...เป็นพลังในการเดินทางทั้ง ทางโลก และทางธรรม...
อย่างไม่ประมาท...
ตามปัจฉิมโอวาท ที่ท่านทรงตรัสไว้...
เพราะใด ๆ ในโลกนี้ล้วน อนิจจัง....ตามกฏไตรลักษณ์จริงๆ

* การเดินทางสู่จุดหมายปลายทางดัง พระนิพพาน นั้น....
ไม่ว่าระยะทางจะยาวไกลสักเพียงใด...อยู่หลักกิโลเมตรที่เท่าไหร่...
มีกี่หลุม...มีกี่โค้ง....ข้าพเจ้าก็จะเพียรต่อไป..
เดินไปบ้าง...วิ่งไปบ้าง..หลงทางบ้าง...เหนื่อยก้อพักบ้าง...หนักก็วางบ้าง....
แต่ข้าพเจ้าก็จะก้าวต่อไป...
ด้วยวันหนึ่งคงถึงซึ่งจุดหมายปลายทาง....พระนิพพานโดยเร็วพลัน เทอญ.
สาธุ สาธุ สาธุ;

หมอปุ๊กกี้



อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 23 เมษายน 2555    
Last Update : 23 เมษายน 2555 23:27:56 น.
Counter : 3415 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 15

โอ้..อินเดีย 15

วันนี้จะเล่าต่อเมื่อไป...ลุมพินี ประเทศเนปาล

หลังจากที่ออกจากเมือง กุสินารา สถานที่ปรินิพพาน
นั่งรถกันไป 4 ชั่วโมงก็จะถึงด่านชายแดน อินเดีย-เนปาล ชื่อด่าน โสโนลี
ทางทัวร์ได้ลงไปดำเนินการทางเอกสารอีกร่วมครึ่งชั่วโมง
แล้วเราก็รีบไปต่อจนกระทั่งถึงใกล้จะ 4 โมงเย็นแล้ว
รถไปจอดใกล้กับสถานที่ ที่เราจะไปแต่เข้าไม่ได้เพราะถนนหนทางกำลังปรับปรุง
เลยต้องลงเดินไปประมาณเกือบกิโลเมตร
เพิ่งมารู้ในตอนหลังว่า ทางเข้าสถานที่ประสูติฯ ที่กำลังปรับปรุงซ่อมแซมน่ะ
เป็นโครงการของประเทศไทยเรานี่แหละ โดยมีคุณหญิงสุดารัตน์ เป็นประธาน
เดินไปแค่พอเริ่มเหนื่อยไปเจอ พระ และสามเณร ธิเบตประมาณซัก 100 รูปได้ละมั๊ง
กำลังวุ่นวายสาละวนเก็บกวาดขยะ และตัดแต่งต้นไม้ ต้นหญ้า
ซึ่งก็ตามประสาสามเณรละนะ เสียงเอะอะกันวุ่น แต่ก็ดูสนุกสนานเอนจอยกันมาก
พวกเราทั้งหมดก็เดินกันไปถึงหน้าทางเข้า อ้อ..เขาไม่ให้ใส่รองเท้าเข้าไป
ต้องฝากรองเท้าแล้วก็เดินไปอีกไกลกว่าจะถึงหน้า...มายาเทวีวิหาร


ขอเล่าก่อนว่า สวนลุมพินี ปัจจุบันตั้งอยู่ในอาณาเขตของป่าหิมพานต์ด้วยนะ
เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นพุทธสังเวชนียสถาน 4 ตำบลเพียงแห่งเดียวที่อยู่นอกประเทศอินเดีย
ลุมพินีวัน เดิมเป็นสวนป่าสาธารณะ หรือวโนทยาน ที่ร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน
ในสมัยพุทธกาลลุมพินีวันตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมือง กบิลพัสดุ์ กับเมืองเทวทหะ ในแคว้นสักกะ บนฝั่งแม่น้ำโรหิณี
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้สร้างเสาหินขนาดใหญ่มาปักไว้ตรงบริเวณที่ประสูติ
เรียกว่า เสาอโศก ที่จารึกข้อความเป็นอักษร พราหมี ว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่ตรงนี้

ที่ด้านหน้าวิหารก็จะมี เสาอโศก ตั้งเด่นเป็นสง่า
ที่เสาจะมีอักษรจารึกไว้แปลเป็นไทย ก็ประมาณว่า...
พระเจ้าอยู่หัวปิยทัสสี ซึ่งก็คือ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้มากราบสักการะสถานที่นี้
ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
โดยที่มีพระโมคัลลีบุตร ติสสะเถระ หรือที่รู้จักกันในชื่อ พระอุปคุตเถระ ผู้มีฌาณแก่กล้าและอิทธิฤทธิ์มาก เป็นผู้ชี้บอกสถานที่

พระอาจารย์พาเราไปนั่งที่ลานหน้าวิหาร แล้วก็สวดมนต์บูชาคุณพระรัตนไตร และสถานที่นี้โดยเฉพาะ
จากนั้นก็นั่งปฏิบัติสมาธิเพื่อระลึกถึงการเกิดขึ้นของเจ้าชายสิทธิตถะ
และพระคุณของ พระนางสิริมหามายามารดาของพระพุทธองค์
ซึ่งก็เหมือนกับทุกที่ คณะผู้แสวงบุญจากหลายชาติ โดยเฉพาะที่เจอกันเป็นประจำนอกจากคนไทยด้วยกันคือ ศรีลังกา
พวกเค้าก็มานั่งสวดมนต์อยู่ใกล้ ๆ กัน กริยาท่าทางที่แสดงออก
ทำให้เราได้เห็นถึงความรัก ความศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา
อย่างหนักแน่นกว่าพวกเราเยอะ
จากนั้นก็พากันรีบเข้าใน พระวิหาร ซึ่งทางการเนปาล ได้สร้างตึกอาคารมีกำแพงทั้ง 4 ด้าน และหลังคาครอบคลุมไว้อีกด้วย
เดิมนั้นเป็นซากโบราณสถานที่ขุดเจอว่า มีห้องขนาดไม่ใหญ่นัก 15 ห้อง
สัณนิษฐานว่าเป็นห้องวิปัสสนา แต่ส่วนที่เป็นโถงกลางมีแท่นบูชารอยเท้าพระบาทเล็กๆ หนึ่งรอย
นักโบราณคดีคาดว่าน่าจะเป็นรอยพระบาท ที่พระเจ้าอโศกสร้างขึ้นเป็นสิ่งบูชาระลึกแทนการประสูติฯ
แต่บ้างก็ว่าน่าจะเป็น รอยพระพุทธบาท ของแท้มากกว่า
ผมเองมองดูเหมือนกับเป็น รอยเท้าขนาดเล็ก..ก..มาก มาก
ที่ประทับไว้ในดินโคลน จนต่อมาแห้งแข็งจนกลายเป็นหิน
ส่วนตัวแล้วผมอดคิดไม่ได้ว่า...น่าจะเป็นรอยพระพุทธบาทของแท้ มากกว่า
เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นสิ่งที่พระเจ้าอโศกฯ สร้างขึ้น
ก็น่าจะสร้างให้สวยงาม ดูเป็นเรื่องเป็นราวกว่านี้นะ
แล้วก็ยังขุดเจอหินทรายแกะสลักเป็นรูป พุทธมารดากำลังมี พระประสูติกาล
จะเห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก้าวเดินออกไป
ตามตำราว่า พระองค์ก้าวเดินไป 7 ก้าว แล้วยกพระหัตถ์ข้างหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า
อีกข้างหนึ่งชี้ลงดิน แล้วกล่าว...อาสภิวาจา หรือ วาจาอันองอาจ ว่า
...เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก
เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ของเรา
ชาติอื่นจะไม่มีอีกต่อไป...

คนไทยมากมายหลายท่าน ที่มาสังเวชนียสถานด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน
บางคนก็มาเอา บุญ บางคนเอาศรัทธา บางคนก็มาเอา...ปัญญา
หลายท่านเชื่อกันอย่างมากว่า ชีวิตของเราในอดีตที่ผ่านมาอาจจะทำชั่วเลวไว้มากกว่า การทำความดี
อย่างกระผม เป็นต้น
แต่เมื่อได้มากราบสักการะ ที่ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็สามารถจะอธิษฐาน...ขอเกิดใหม่
ขอตั้งจิตแน่วแน่ว่า...ต่อแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะเป็นมนุษย์ที่ดี
มีศีลธรรม ดำเนินชีวิตที่เหลือด้วยความไม่ประมาท ไม่ให้ตกเป็นทาสกิเลสตัณหา
ขอตั้งต้นชีวิตใหม่ให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป...
ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อนะครับ หลายท่านยืนยัน...
เรื่องเลวร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนมาตลอดชีวิต มันหายไปหมด
กลับไปเมืองไทยแล้ว ดวงชะตาชีวิต เปลี่ยนไปเลย
หมอดูไม่สามารถทำนายได้ถูก เพราะไม่ได้ให้ใครลิขิตชะตาชีวิตอีกแล้ว
แต่เอาศีล มาเป็นเกราะ เอาศรัทธา มาเป็นกำลัง
เอาสติ ปัญญา มาเป็นอาวุธฝ่าฟันกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง

สิ่งที่ทำให้แน่ใจว่าสถานที่ประสูติเป็นจุดนี้ก็คือ เสาอโศก ที่ปักแน่นลึกลงไปหลายเมตร
และสูงเหนือพื้นดินอีกกว่า 5 เมตร
พูดถึง เสาอโศก แล้วก็น่าทึ่งมากเชียวแหละนะ
พระเจ้าอโศกมหาราช สั่งให้สร้างเสาหินแต่ละต้นหนักประมาณ 37 ตัน
หรือเท่ากับรถกระบะปิคอัพ 37 คัน
ไม่ได้สร้าง ณ.สถานที่ ๆ ปักเอาไว้นะ แต่สร้างที่เมือง จุณนา ทางเหนือของอินเดีย
ห่างไปหลายร้อยกิโลเมตร แล้วค่อยลำเลียงมาทางไหนหรือด้วยวิธีไหน ก็ไม่รู้
ในสมัยนั้นคงต้องเป็นเรื่องใหญ่ และยากเย็นมากที่สุดเลยแหละ
ที่น่าแปลกใจกว่านั้น การสร้างเสาและหัวเสาที่เป็นรูปสิงห์โต
ทำได้ยังไง การขัดมันจนขึ้นเงาใช้วิธีไหนก็ยังไม่ใครตอบได้
ท่านสร้างไว้จำนวนเท่าไหร่ก็ไม่รู้
แต่ขณะนี้พบเจอแล้วประมาณ 20 ต้น เฉพาะสถานที่สำคัญเกี่ยวกับพุทธศาสนา

กว่าจะกลับกันออกมาจากภายใน มายาเทวีวิหาร ก็เย็นมากแล้ว
ต้องเดินกลับกันอีกร่วมกิโลเมตร
ระหว่างทางที่เดินมามันค่ำมืดเร็วมาก เดินตามกันไปเป็นพรวนเพราะกลัวหลง
แต่แล้วก็มีคนที่เดินล้าหลังหลงทางไป คือ พี่มหา คนในทีมเดียวกับผมนี่แหละ
กว่าจะรู้ว่าหายไปก็ถึง...วัดไทยลุมพินี อันที่พัก ที่อยู่ไม่ไกลกันนักแล้ว
ขณะที่กำลังร้อนใจว่าจะไปตามหากันยังไงล่ะเนี่ยะ ข้างนอกวัดมัน...มืดตึ๊ดตื๋อ..อ...อ
แล้วจู่ ๆ พี่มหาแกก็นั่งซ้อนจักรยาน โดยมีเณรธิเบตพามาส่ง...เฮ้อ
แต่ก็เล่นเอา พี่มหา แกหน้าซีดไปเหมือนกัน เล่าว่า
ตอนเดินออกมา มัวแต่ดูจะซื้อของที่ระลึกที่มีขายใกล้ ๆ ลุมพินี
หันมาอีกทีเห็นคนเดินกันไปแล้ว ก็รีบเดินตาม
แต่ด้วยความที่จู่ ๆ ฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว แค่แผล่บเดียวหากันไม่เจอแล้ว
ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง งงงวย พอมาเจอทางแยกสามแพร่งก็ยิ่งไปผิดทาง
กว่าจะรู้ตัวก็หาทางกลับไม่เจอแล้ว
มองไปรอบตัว มีแต่ป่ามืดไปหมด บ้านคนหรือแสงไฟอะไรไม่มีเลย
ตอนนั้นรู้สึกตกใจเหมือนกัน แล้วก็นึกถึงว่าเรามากราบพระพุทธเจ้านี่นา
เลยตั้งจิตคิดถึง พระพุทธองค์
ว่านะโม 3 จบ สัพพพุทธานุภาเวนะ ธัมมา สังฆาฯ พุทธังบังเกิดเปิดโลกฯ
พอจบคำอธิษฐานเท่านั้น ฟ้าเปิด เทวดาช่วยมีหนุ่มชาวเนปาลขี่จักรยานมาพอดี
จึงขออาศัยซ้อนท้ายจักรยานเขาช่วยพาไปส่งที่วัดไทยลุมพินี
ถึงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เค้าก็เข้าใจว่าเราหลงทาง...คงเห็นหน้าซีดละมั๊ง
เฮ้อ เกือบไปแล้ว

ที่ วัดไทยลุมพินี นี่สวยมากนะแต่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์
ตัวโบสถ์วิหารน่ะเสร็จไปเยอะแล้ว...งามมาก
ออกแบบให้ล้อกับ เทือกเขาหิมาลัย
และใช้แต่สีขาว อันหมายถึง น้ำนม เพื่อระลึกถึงพระคุณของพุทธมารดา
เรือนพักรับรองที่ให้เราได้นอนก็ระดับโรงแรมดี ๆ นี่แหละ
อาหารการกินก็อย่างเคย อาหารไทย

พระอาจารย์สอบถามท่านเจ้าอาวาส กับพระธรรมทูตที่นั่น
ได้ความว่า...คนที่นี่เขาไม่ใส่บาตรกันหรอก เพราะยากจนมาก
และก็เป็นฮินดูซะเกือบหมด
บางคนที่สนใจอยากจะนับถือศาสนาพุทธ เป็นชาวพุทธ
ก็ต้องแอบ ๆ นับถือปฏิบัติ เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกแอนตี้จากคนรอบข้าง
แถมยังถูกตัดความช่วยเหลือจากรัฐบาลซะด้วยซ้ำ
เช่นการเข้าโรงเรียน การรับของบริจาค หรืออะไรพวกนี้
แต่ถ้ามีกิจนิมนต์ไปสวดที่บ้านไหน...พระไทยเรานี่แหละ
จะต้องเตรียมเงินใส่ซองให้เค้าด้วยนะ เอ้อ..แปลก
ที่วัดไทยหลายแห่ง ต้องหาทางช่วยเหลือตัวเองสารพัด
เช่นมีการทำสวนครัว ปลูกผักเอาไว้ทำอาหารไทยกินกัน
เช่น พวกกระเพรา ฝัก ผักต่างๆ พวกเนี้ยะ
พระไทย คนไทยเราอยู่ที่นี่มีแต่...ให้
หนาวก็แจกผ้าห่ม หิวก็แจกอาหาร ป่วยก็มีคลีนิค มีหมอรักษาให้
ยังมีการบวชเณร มีการสอนหนังสือให้อีกด้วย
ท่านเล่าว่า ทีแรกดีใจได้มาเมืองนอก
แต่พอมาถึง โอ้โห...มันยิ่งกว่าบ้านนอกของเราซะอีก..ก...ก
งานที่นี่หนักมาก ทั้งก่อสร้าง ทั้งดำรงชีวิต ทั้งเผยแผ่ศาสนา
ทั้งดูแลให้ความสุขกับ คนไทย ที่มาแสวงบุญ
โอ้...ผมเพิ่งจะรู้ว่า พระธรรมทูต ไม่ใช่พระธรรมดา
แต่ต้องเป็น...พระหัวใจเพชร
แข็งแกร่ง คมกล้า ส่องประกาย
และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีค่า เสมอ.


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 23 เมษายน 2555    
Last Update : 23 เมษายน 2555 21:20:32 น.
Counter : 3524 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 14

โอ้..อินเดีย 14

เมื่อวานนี้เล่าถึงตอนที่ไปชม สถานที่ถวายเพลิงพระสรีระพระพุทธเจ้า... มกุฏพันธนเจดีย์
ทำให้พวกเราได้สำนึกถึงสิ่งที่ พระพุทธองค์ ทรงเน้นย้ำอยู่เสมอ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น...สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
ไม่เว้นแม้แต่ธาตุขันธ์ พระสรีระของพระองค์

ก่อนการมากราบ สังเวชนียสถาน ที่อินเดียในครั้งนี้
พุทธศาสนา สำหรับผมแล้วคือ หลักการหรือวิธีคิด
ศาสนานี้สอนเรื่อง ทุกข์ ว่ามันคืออะไร มีที่มาที่ไปและองค์ประกอบยังไง
แล้วก็สอนถึง การดับทุกข์ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งแบบง่าย ๆ จนถึงละเอียดลึกซึ้ง
แต่สำหรับ ประวัติของศาสดาผู้คิดค้นศาสนานี้
ก็คือเรื่องราวของ เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ที่ได้ตัดสินใจออกค้นหาแนวทางการดับทุกข์เข็ญให้กับประชาชนของท่าน
สำหรับผมแล้ว เจ้าชายพระองค์นี้ ก็เหมือนเจ้าชายในนิทานเรื่องอื่น ๆ
คือชื่นชมในความเก่งกล้าสามารถ ความเสียสละ และตื่นเต้นในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์
ยิ่งตอนที่เกี่ยวข้องกับ พญามาร นรก สวรรค์ เทวดา พระอินทร์ พระพรหม พญานาค และอีกมากมาย
ผมก็ยิ่งชอบ ยิ่งสนุก
พูดไปแล้วก็น่าอายนะ ผมสนใจและเริ่มชอบ พุทธประวัติ ตั้งแต่ยังไม่ถึง 10 ขวบ
เพราะไปชอบภาพวาดฝีมือของ ครูเหม เวชกร
ที่ท่านได้วาดและตีพิมพ์อยู่ที่ปกหลัง นิตยสาร...ฟ้าเมืองไทย
ผมไม่เคยอ่านเรื่องในเล่มก็เพราะยังเด็กมาก อ่านก็ไม่เข้าใจ
แต่ก็ชอบรูปวาดที่ปกหลังอย่างที่สุด ตามดูเกือบทุกเล่มเท่าที่จะหาดูได้
อย่างที่บอกอะนะ ตอนนั้นยังเด็กมากสตางค์จะซื้อก็ไม่มี
แต่เรื่องที่ว่าชอบ พุทธประวัติ เนี่ยะผมไม่กล้าบอกใครหรอกนะ
กลัวเพื่อนๆ มันว่าผมประหลาด วัยรุ่นอะไรชอบพุทธประวัติ ชอบเจ้าชายสิทธัตถะ
ขอสารภาพว่า เชื่อแบบนิทาน เชื่อแบบคลุมเครือ ไม่ค่อยชัดเจน เชื่อเพราะใจชอบแค่นั้นเอง
มันยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ที่น่าสงสัย น่าเคลือบแคลง
คงเป็นเพราะวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนไทย กับคนอินเดีย
ตามเรื่องที่อ่านในพุทธประวัติ มันต่างกันจนงง
นึกไม่ออกหลายอย่าง นึกยังไงก็ไม่ซาบซึ้งยิ่งเรื่อง...วรรณะ
ยังไง ๆ ก็ไม่เข้าใจ บ้านเมืองเราไม่มีอย่างนี้
บางเรื่องที่น่าจะเข้าใจง่าย ๆ อย่างช่วงที่พระพุทธองค์ก่อนการตรัสรู้
ได้เดินลุยข้าม แม่น้ำเนรัญชรา ไปยังอีกฝั่งนึง
ผมก็นึกไม่ออกว่า คนเราจะเดินลุยข้ามแม่น้ำไปได้ยังไง...
เพราะเคยเห็นแต่แม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม่น้ำแคว...น่ากลัวจะตาย

จนกระทั่งได้มาเหยียบแผ่นดิน อินเดีย ตั้งแต่ก้าวแรกนั่นแหละ
จีงได้ค่อย ๆ เข้าใจ ค่อย ๆ เห็นภาพความเป็นจริงของบ้านเมืองเค้า
แล้วก็ถึงบางอ้อ...อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ยิ่งเรื่อง วรรณะ ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งซาบซึ้งก็ที่...บ่อน้ำร้อน ตโปธาร
เห็นแล้ว...เศร้า เห็นแล้วเข้าใจถึงความรู้สึกของ พระพุทธองค์ อย่างซาบซึ้ง
อินเดีย นี่ดีอย่างนึงนะ...กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
สถานที่ ผู้คน การแต่งกาย วัฒนธรรม วิธีคิด เหมือนเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน
ทำให้เข้าใจได้ง่ายว่าในขณะนั้น เวลานั้น เจ้าชายสิทธัตถะ เห็นอะไรคิดอะไร
ยิ่งเดินทางมาหลายวันเข้า ได้เห็นสถานที่ ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ
ก็ยิ่งเชื่ออย่างสนิทในใจว่า พระพุทธเจ้า มีจริง...จริง

สถานที่ต่าง ๆ ที่พวกเราไปก็เป็นการตาม...รอยบาทพระพุทธเจ้า
ได้รู้สึกถึงระยะทาง จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งที่พระองค์ท่านเสด็จไปด้วยพระบาทเปล่า
แต่ละแห่งห่างกันเป็นร้อย หรือหลายร้อยกิโลเมตร
ขนาดว่าเรานั่งรถบัสอย่างดี ยังทุลักทุเลขนาดนี้
แล้วพระพุทธองค์ท่าน ล่ะ จะลำบากขนาดไหน
ท่านทำไปทำไม เหน็ดเหนื่อย แสนสาหัสกว่า 45 ปี ไปทำไม
เมื่อก่อนไม่เคยซักนิดจะเข้าใจคำว่า... พระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธ์ธิคุณ พระปัญญาธิคุณ นั้นยังไง
แต่พอเดินทางตะลอน..ตะลอน ตามรอยพระองค์ท่าน
นั่นแหละ...ซาบซึ้งอย่างที่สุด แบบที่อธิบายไม่ได้หรอกครับ

อยากเล่าถึงตอนที่ พระอาจารย์วิทยากร พาไป...มหาสถูปปรินิพพาน
ตั้งอยู่ที่ มาถากุนวะระกาโกฏ ซึ่งแปลว่า ตำบลเจ้าชายสิ้นชีพ
ซึ่งแต่ก่อนนั้นคือ สาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ตั้งแต่เดินเข้าไปเห็นพระสถูป แต่ไกล ก็ยังไม่รู้สึกอะไร
เหมือนกับไปแค่ไปดูสถานที่สำคัญธรรมดา
วันนั้นก็เหมือนที่เคยเล่าไปทุกแห่ง...คนเยอะมาก
ทั้งผู้แสวงบุญสารพัดชาติ ทั้งพระสงฆ์ ทั้งคนที่เข้ามาหาประโยชน์จากนักท่องเที่ยว
เอาเป็นว่ามันวุ่นวายมากหลายเชียวแหละ
ทีแรกเราตั้งใจจะไปสวดมนต์ข้างใน...นิพพานวิหาร ที่มีพระพุทธรูปปางนิพพาน
แต่ความที่คนเยอะมากจนล้น เลยเปลี่ยนแผนไปนั่งสวดมนต์กันที่ด้านหลังซึ่งเป็นจุดที่ พระบรมศาสดา เสด็จปรินิพพานจริง
พระสถูปนี้ เป็นทรงเหมือนกับระฆังคว่ำ แต่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีตลอดเวลา
วันที่ผมไปก็ยังมีการทาสีใหม่อยู่เลย
คณะพวกเราก็จัดแจงปูผ้า สวดมนต์บูชาพระรัตนไตร
แล้วปฏิบัติฯนั่งสมาธิ เพื่อระลึกถึงความสำคัญของสถานที่นี้
ในขณะที่เรานั่งสงบใจพระอาจารย์ท่านบรรยายไปเบา ๆ
ให้เราเห็นภาพพระพุทธองค์ ที่พระชนม์ถึง 80 พรรษาแล้ว
แต่ก็ยังเดินทางรอนแรมไปตามชนบท เพื่อโปรดคนทั่วไป
ไม่ได้เห็นแก่ความสุขสบายอยู่แต่ในเมืองหลวง หรือคบหาแต่คนรวย ๆ เท่านั้น
เราไม่ต้องพูดถึง พระบารมี ที่ท่านมีมากมายล้นพ้น
แต่ลองมองแบบที่เราพอจะเข้าใจได้
คิดดูซิ คนอายุ 80 แล้วนี่ สภาพร่างกายจะเป็นยังไง
พระพุทธองค์ท่านก็ต้อง ชรา ไปเหมือนกันนะ
เดินเหินก็คงจะไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อยังหนุ่ม
แล้วก็ยังเดิน...เดิน ด้วยพระบาทเปล่า เปล่า เหยียบย่ำไปบนดินหิน
ถึงจะมีต้นหญ้า แต่ก็ต้องมีหนามแหลม ๆ มีหินคม ๆ มีหล่มหลุมทั่วไปหมด
ไม่ได้มีถนนลาดยาง หรืออย่างดีก็แค่ทางเกวียนตามชนบท
ผมเองลองเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้าเรียบ ๆ ที่อินเดีย
ยังโดนหนาม และดอกหญ้าบางอย่างตำเอาสะดุ้งเลย
ทั้งสภาพอากาศอีกล่ะ อินเดีย นี่หนาวก็หนาวเข้ากระดูกดำ
ร้อนก็ร้อนเป็นบ้า มีทั้งคนที่หนาวตาย ร้อนตายปีละมาก ๆ
แต่พระพุทธองค์ ก็ยังทรงทำงาน สั่งสอนเรื่องการดับทุกข์ไม่ได้หยุดหย่อน
ไม่มีสักวันที่ท่านหยุดพัก ทุกนาทียอมเหน็ดเหนื่อยไปเพื่ออะไร
จนถึงวันหนึ่งที่ พญามาร มาทูลขอให้เสด็จปรินิพพาน
นั่นแหละจึงทรงได้หยุด พุทธกิจ ที่ได้กระทำต่อเนื่องกันมา 45 ปี
ในขณะที่ท่านอาพาธจนประทับยืนไม่ได้ ประทับนั่งไม่ไหว
ก็ยังทรงห่วงใยการทำหน้าที่โปรดสั่งสอน...จนนาทีสุดท้าย

เมื่อเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินสวดมนต์เวียนรอบ พระสถูป กันอีก 3 รอบ
รอจนคนเริ่มซาลงหน่อย ก็พากันเข้าไปใน นิพพานวิหาร ด้านหน้า
พอก้าวแรกที่เข้าไปข้างใน ก็ต้องผงะกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรากำลังบรรทมหลับอยู่บนพระแท่น กลางวิหาร
ผมเองนึกไม่ถึงว่า พระพุทธรูป ที่แกะสลักจากหินจะเหมือนกับคนจริง ๆ ได้ขนาดนี้
เมื่อตอนเด็ก ๆ ชอบไปไหว้พระนอนที่วัดโพธิ์ท่าเตียน จำได้ว่าสวยงามมาก ดูแล้วอิ่มเอม
แต่ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ ราวกับว่าเป็น พระพุทธองค์จริง จริง นอนบรรทม ตะแคงขวา พระเศียรราบกับพื้น อย่างสงบเงียบ
บรรยากาศในมหาวิหาร ฯ ทุกคนที่เข้าไปในที่นั้น ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดัง
กลัวจะไปรบกวนพระองค์ท่าน
บวกกับแสงแดดอ่อน ๆ เป็นลำที่ส่องเข้ามาจากทางช่องแสง
ส่องไปที่พระวรกาย ยิ่งทำให้ภาพที่เห็นแลดูมีมนต์ขลังอย่างที่สุด
ผู้แสวงบุญที่อยู่ใน มหาวิหารฯ ก็ได้แต่นั่งเงียบ ๆ มองอยู่อย่างนั้น
ต้องใช้เวลาสักพัก กว่าจะได้สติ รู้สึกตนได้ว่า...พระพุทธเจ้าของเรา เสด็จจากไปแล้ว
ท่านดับขันธ์ ปรินิพพานไปแล้ว ไม่กลับมาโปรดพวกเราอีกแล้ว
ความรัก ความอาลัย ความเศร้าโศกเสียใจ ท่วมท้นขึ้นมาทันที
ไม่แปลกใจเลย ที่มีคนมากมายนั่งร้องไห้เงียบ ๆ ในมหาวิหาร ฯ แห่งนี้
ผมใช้เวลาพักใหญ่เชียวล่ะ กว่าจะถอนความรู้สึกนี้ได้
แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนเสด็จนิพพาน...
ในครั้งนั้น ต้นสาละทั้งคู่ได้ผลิดอกเบ่งบานเต็มต้นและร่วงหล่นลง
ดอกมณฑารพ ในเมืองสวรรค์ต่างก็เบ่งบานตกลงมา
เป็นการบูชาพุทธสรีระเป็นที่อัศจรรย์
เหล่าเทพยดาทั้งหลายประโคมดนตรีทิพย์ เพื่อบูชาพระบรมศาสดา
แต่พระพุทธองค์ ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
การบูชาด้วยอามิสสิ่งของแม้มากมายปานใด ก็เท่านั้น ก็ไม่ได้ชื่อว่าบูชาพระองค์อย่างแท้จริง
แต่ผู้ใดที่มาปฏิบัติธรรมอันชอบ อันสมควร ในธรรม ผู้นั้นชื่อว่า...
บูชาพระตถาคตด้วยการบูชาอย่างยิ่ง

อดคิดไม่ได้ว่าที่พวกเราชาวพุทธ กระทำอยู่ทุกวันนี้
เป็นการบูชาที่ท่านสรรเสริญหรือไม่
แล้วพวกเราทุกคนก็คลานเข้าไปกราบ เอาหน้าผากแนบชิดที่พระบาท
อธิษฐานขอให้ได้เข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน
ตามรอยบาทของพระองค์ด้วย เถิด



อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 18 เมษายน 2555    
Last Update : 18 เมษายน 2555 12:01:47 น.
Counter : 3523 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 13

โอ้..อินเดีย 13

เมื่อวันก่อน ผมเอามุมมองความคิดเห็นที่มีต่อ อินเดีย ของคนที่เป็นหมอ
วันนี้มาเล่าเรื่องไปไปเที่ยวกันต่อดีกว่า

พระอาจารย์วิทยากร กับคณะทัวร์พาพวกเราไปยัง...มกุฏพันธนเจดีย์
ซึ่งที่นี่เนื้อที่ไม่กว้างมากนัก แค่ประมาณ 1 ไร่เศษ ๆ
เอ้อ...ขอนอกเรื่องนิ๊ด..นึงนะ
พุทธสถาน หรือวัดสำคัญ ๆ อันเกี่ยวกับพุทธประวัติ
ทางการอินเดียได้ดูแลอย่างดีระดับหนึ่ง ต่างจากที่ผมคาดคิดไว้เยอะแยะ
ในบ้านเราวัดดัง ๆ หรือวัดที่มีชื่อเสียง เป็นแหล่งท่องเที่ยว
ทางราชการเรา ให้อิสระเสรีกับทางวัดในการดูแลกันเอง
จะทำอะไรก็ทำ อยากทำอะไรก็เชิญ จะมีกิจกรรมเอิกเกริกบานทะโล่แค่ไหน...ก็ตามใจ
ก็อย่างที่เราเห็น ๆ กันนั่นแหละ
วัดหลาย..หลาย แห่งท่านก็จัดการดูแลรักษา พัฒนาสถานที่ให้เป็นไปอย่างที่ถูกที่ควร
และยังฉลาดใช้สถานที่ในการจูงคนที่สนใจ มาเรียนรู้เรื่องราวอันเป็นหลักคำสอน
บางวัดก็ใช้ความสวยงามของสถานที่ จูงจิตคนที่มีจริตรักทางด้านนี้
ใช้ความสงบร่มรื่นของโลเคชั่น ป่าเขา ริมทะเล ในการเชิญชวนคนที่ชอบแบบนี้มาปฏิบัติธรรม
แต่...วัดสวย ๆ งาม ๆ มากมายหลายพันแห่ง ที่ใช้เป็นในการทำธุรกิจ...จนเกินเลยไปถึงไหน ๆ
ผมก็เข้าใจนะว่า วัด ถือเป็นนิติบุคคล และก็มีค่าใช้จ่ายสารพัด
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ
แต่ไอ้การทำวัดให้เป็นกิจกรรมบันเทิง อันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ...ทำนิพพานให้แจ้ง
หรืออย่างน้อย เพื่อเป็นประโยชน์ในการฝึกฝนตน
หรือน้อยที่สุด เพื่อทำให้เป็นที่สัปปายะ ที่อันสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติฯ
เห็นบางวัดหาเงินหาทองด้วยวิธีการทางธุรกิจซะจนน่าเกลียด หรือ น่าทุเรศ แล้วเศร้าใจครับ

ที่ อินเดีย นี่เค้าดูแลสถานที่สำคัญของพุทธศาสนาเรา
อย่างดีพอสมควร มีการทำรั้วรอบห้ามคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการไปชม ไปเคารพ สักการะบูชา เข้าไปวุ่นวายเด็ดขาด
โดยเฉพาะพวกบรรดาขอทาน หรือพวกพ่อค้าเร่ขายของสารพัด
ถึงแม้ว่าช่วงหน้าท่องเที่ยวไฮซีซั่นอันวุ่นวาย อาจจะมีหลงเล็ดลอดไปบ้างก็พอจะเข้าใจ
ด้านสถานที่ทางการเขาก็ดูแลเรื่องตัดแต่งต้นไม้ ใบหญ้าให้เป็นระเบียบดีนะ
ความสะอาดก็พอใช้ได้ จะมีขยะบ้างก็มาจากพวกนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ นี่แหละ ที่ไปทำเค้าเลอะเทอะ
บรรดาขอทานอันมากมาย และกระตือรือร้น อดทนในการตื้อ..อ.
ก็จะติดตามเราเป็นเงาตามตัวตั้งแต่นาทีแรกที่ลงจากรถบัส
เกาะติดสนิทแน่น แถมมีเทคนิคประกบแบบตัวต่อตัว คนไหนคนนั้นไม่มีการเปลี่ยนเป้าหมาย
แต่พอมาถึงประตูวัด ประตูสถานที่สำคัญ พวกเค้าก็จะหยุดชะงักงันกันแค่หน้าประตูเท่านั้น
ไม่กล้าตามติดเราเข้าไปโดยเด็ดขาด
ทำได้อย่างมากที่สุด ก็เกาะรั้วเหล็ก ยื่นมือไม้มาร้องขอตลอดเวลา
สังเกตุหลายทีแล้ว ขอทานพวกนี้จะไม่กล้าเข้าวัด
เขามีเจ้าหน้าที่รักษาประตูที่ค่อนข้างดุเหมือนกันทุกที่
นึก ๆ ดูก็เหมือนมีเทพ หรือเทวดาผู้รักษาประตูเหมือนกันนะเนี่ยะ
ผมมักจะทิปให้กับเจ้าหน้าที่พวกนี้เป็นประจำ

บ่นไปซะไกลเลย กลับมาที่ มกุฏพันธนเจดีย์
เราจะเห็นเป็นกองอิฐขนาดใหญ่เป็นรูปเจดีย์ ทรงคล้าย ๆ ชามคว่ำ
มีการซ่อมแซมเพิ่มเติมกันมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว
ทำให้ขนาดโตขึ้นกว่าเดิมทุกที
พระอาจารย์เล่าว่า สถานที่แห่งนี้เป็นจุดที่...ถวายเพลิงเผาพระสรีระ ของพระพุทธเจ้า
ของสารภาพว่าในตอนที่มาถึงที่นี่ ความรู้สึกของผมยังปรับไม่ทัน
จิตใจยังวุ่นวายจากการเดินทาง และบรรดาขอทาน
บวกกับในวันนั้น คณะผู้แสวงบุญจากที่ต่าง ๆ ทั้งไทย ทั้งชาติอื่น ๆ เยอะแยะมากมาย
แต่คณะทัวร์ของเราเก่งนะ หาจุดทำเลเยี่ยม ๆ ในการสวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิแทบทุกครั้ง
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน คณะของเราก็ปูผ้านั่งกันเรียบร้อย
ขณะที่แสวงบุญอื่นก็ปูผ้านั่งไม่ห่างกันนัก
และที่กำลังเดินสวดมนต์เวียนรอบพระเจดีย์ ที่อยู่ตรงหน้าเราอีกคณะ
ผมเข้าใจต่างคนต่างอยากได้บุญ ก็ขยันสวดมนต์กันเข้าไป
โดยเฉพาะคณะของ ศรีลังกา จะเจอกันเป็นประจำแล้วเค้าก็ สวดมนต์กันเสียงดังเชียว
แต่...ที่ทนไม่ค่อยไหว รับไม่ค่อยได้ คณะชาติไหนก็ไม่รู้
ทีแรกคิดว่า ญี่ปุ่น แต่บางท่านว่าเป็น เกาหลี บางคนก็ว่าเป็น ญวน
คือคณะนี้แกเล่น..ตีกลอง..ตุ๊ง..ตุ๊ง..ตุ๊ง....ตุ๊ง...
ให้จังหวะประกอบการสวดมนต์ทุกครั้ง ไม่เกรงใจใครท้าง..ง...นั้น

คณะของเรา พระอาจารย์ก็พาสวดมนต์ระลึกถึง คุณพระรัตนไตร
ต่อด้วยคำบูชาพระเจดีย์แห่งนี้
จากนั้นก็นั่งปฏิบัติสมาธิ เพื่อเป็นพุทธบูชา
พอจิตใจสงบดีแล้ว ท่านก็กล่าวบรรยาย เพื่อจูงจิตเราให้เข้าใจถึงเรื่องที่กำลังทำอยู่นี่
หลังจากรวมจิตให้สงบนิ่ง ตัดความฟุ้งซ่านรำคาญได้ดีแล้ว...
ผมก็เริ่มคิดจินตนาการตามเสียงของท่าน
ย้อนไปเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว
สถานที่แห่งนี้ บริเวณนี้ ตรงหน้าเรานี้เป็นที่ตั้งแห่ง...พระสรีระขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า
รอบบริเวณนี้ เต็มไปด้วยพระสงฆ์สาวก ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว
และที่ยังเป็นผู้ฝึกอยู่ นับพันนับหมื่นรูป
มีกษัตริย์ และราชวงศ์จากแว่นแคว้นใหญ่น้อยที่เลื่อมใสในพระพุทธองค์
มีประชาชน คนที่ศรัทธา เดินตามรอยคำสอนอันเป็นเหตุเป็นผล
จนยอมละทิ้งความเชื่อความศรัทธาที่พ่อแม่ตนเองเคยเชื่อถือ
ทั้งมี เทพ เทวดา ทุกระดับชั้นในสรวงสวรรค์ นับแสนนับล้านองค์
มาชุมนุมกันอย่างแออัด เนืองแน่นอยู่โดยรอบบริเวณสถานที่แห่งนี้

ที่เบื้องบาทของ พระบรมศาสดา มีพระมหากัสสปะเถระ
พระสงฆ์ผู้ทรงคุณบุญญาธิการ บำเพ็ญบารมีมานับแสนกัปป์
พร้อมกับลูกศิษย์อีก 500 รูปที่เร่งรีบเดินทางกันมา โดยมิได้หยุดพักตลอดเวลา 7 วัน
ก้มประนมกราบพระบาทของพระพุทธองค์
แล้วให้มีเหตุอัศจรรย์ เพลิงก็ลุกขึ้นเผาใหม้เองโดยมิต้องจุดขึ้น

ณ.ที่แห่งนี้แหละ พระสรีระของบรมศาสดา ผู้ประกาศสัจจะธรรม อันเป็นอมตะ ว่า...
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหล้าก็ต้อง มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย หมดสิ้นไป
แม้แต่พระวรกายของพระองค์ ที่ประกอบด้วยธาตุขันธ์ ดิน น้ำ ไฟ ลม
แต่ในที่สุด ก็ย่อมเป็นไปตามธรรม คือหมดสิ้นสลายไป ไม่อาจตั้งอยู่ได้

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น...สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

เมื่อได้ให้เวลาพวกเรานั่งทำสมาธิตามความถนัดของแต่ละคนสักพักหนึ่งแล้ว
ก็ชักแถวเดินเวียนรอบพระเจดีย์กัน 3 รอบ ท่ามกลางคณะผู้แสวงบุญหลากหลายชาติ
ท่ามกลางความเสียงสวดมนต์ต่างภาษา เซ็งแซ่ แต่เราก็ไม่โกรธกัน
เพราะต่างก็เข้าใจในสิ่งที่กำลังกระทำ...เหมือนกัน จุดมุ่งหมายเดียวกัน
หาทางหลุดพ้นออกสังสารวัฏร จากวังวนของกองทุกข์
ที่มีมานับพันนับหมื่น ภพ ชาติ แล้ว
ไม่เอาแล้ว เบื่อแล้ว เบื่อมาก..มาก แล้ว
หัวเราะมามากแล้ว ร้องไห้มาเหนื่อยหนักแล้ว
รักกันมามากเท่าไหร่ หึงหวงกันมาเท่าไหร่
โกรธแค้น เกลียดชังกันมาเท่าไหร่แล้ว
ยังต้องทำอย่างนี้ซ้ำไป ซ้ำมาอีกเท่าไหร่ เหรอ

เดินเวียนกันจนครบ แล้วก็มาก้มกราบลา
เจดีย์อนุสรณ์ของการดับสิ้น ไม่มีเหลือ
ขอบุญกุศลที่ผมได้ทำมาทุกชาติ...ทุกภพ ทั้งหมดทั้งสิ้น
ทั้งที่จำได้ และจำไม่ได้
เป็นกุศลนำส่งให้ได้หลุดพ้นจากวังวนนี้ด้วย...เทอญ
สา...ธุ


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 17 เมษายน 2555    
Last Update : 17 เมษายน 2555 20:48:42 น.
Counter : 3454 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 12

โอ้..อินเดีย 12

สวัสดีครับ...
ยังเล่าถึงสถานที่ต่าง ๆ ของสังเวชนียสถานในอินเดียไปไม่เท่าไหร่เลย
มัวแต่แวะไปเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ คน ซะมากกว่า
กัลยาณมิตร ที่ไปด้วยกันกับผม คือกลุ่มคุณหมอ จากโรงพยาบาลบางบ่อ
มีคุณหมอหลายท่าน ต่างสาขา ต่างความถนัด
ซึ่งผมได้ขอให้ ทู๊ก..ก..ท่าน ช่วยเขียนความเห็น ความรู้สึก
ต่อการที่ได้มาอินเดีย ทั้งก่อนและหลัง
อีกทั้งมุมมองที่มีต่อประเทศอินเดีย หรือคนอินเดีย ที่เราได้สัมผัส
ผมทั้งขอร้องไหว้วอนสารพัด แต่ละท่านก็รับปากกันดิบดี
แต่พอกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว...เงียบหาย
โทร.ไปตามก็ได้เหตุผลว่า ระหว่างที่ไปทัวร์กัน 10 วันเนี่ยะ
ก็ฝากงานให้หมอคนอื่นทำแทน พอกลับมาแล้วก็ต้องทำใช้หนี้เขา
อีกทั้งงานที่คนอื่นทำแทนไม่ได้ ก็อีกกองพะเนินเทินทึกนะยะ
เฮ้อ...น่าเห็นใจ

แต่วันนี้โชคดี คุณหมอโอ๋ หมอหนุ่มโสด แมนทั้งแท่ง
เป็นคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม
ที่มีปัญหากับตัวเอง และความรู้ที่ร่ำเรียนมาแทบเป็นแทบตาย
กับความรู้ใหม่เอี่ยมที่ได้จากการเริ่มสนใจ ศาสนาพุทธ
ยิ่งรู้ยิ่งสนใจ ยิ่งลงลึก ก็ยิ่งมึนงง
แต่ไม่ใช่ไม่เข้าใจนะ...งง...ก็เพราะมันเข้าใจ นะซิ
ยิ่งเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ก็ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่
เพราะมันเริ่มขัดกับความรู้ที่ท่องบ่นมาตลอด
คุณหมอโอ๋ ได้ส่งความเห็นมาให้ผมตามสัญญา ลองอ่านดูนะครับ

14 เมษายน
วันนี้อยู่เวรห้องฉุกเฉินครับ ช่วงนี้เป็นช่วงหยุดยาวสงกรานต์
ผมไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับเขาหรอกครับ
ตอนนี้เช้าอยู่พอมีเวลาว่าง เลยทำการบ้านส่งมาให้ตามที่สัญญาไว้

ขอเริ่มที่...ทำไมผมถึงอยากไปอินเดีย ?

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมเริ่มสนใจใน ศาสนาพุทธ จริงจังเมื่อ 1-2 ปีมานี่เอง
ผมเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรงมงาย
ได้รับการเรียนและปลูกฝังอะไรที่ เป็นเหตุเป็นผล แบบวิทยาศาสตร์มาตลอดทั้งชีวิต
เมื่อก่อนจึงชอบมองว่าศาสนาเป็นเรื่องงมงาย
ผมปฏิเสธศาสนาอื่น ๆ ทั้งหมด
ยอมรับศาสนาพุทธเพียงแค่...ครึ่งเดียว
คือครึ่งที่มีแต่เหตุผลซึ่งสมควรจะเชื่อได้
และอธิบายได้ตามหลัก เหตุ-ผล ทางตรรกวิทยา หรือวิทยาศาสตร์เท่านั้น
นอกนั้นปฏิเสธหมด หรือไม่ก็เต็มไปด้วยคำถาม
อะไรที่ไม่ประจักษ์เห็นด้วยตนเองหรืออธิบายไม่ได้ก็จะ...ไม่เชื่อ
เช่น พิธีกรรมต่าง ๆ การสวดมนต์ การดูดวง ผมก็แทบไม่เคยทำ
หรือถ้าทำ ก็ทำแบบเสียไม่ได้ ทำตามคนอื่นเขาไปโดยปราศจากศรัทธา
จนเมื่อก่อนผมคิดว่าผมเป็นคนไม่มีศาสนาด้วยซ้ำไป
ซึ่งเหมือนจะดีนะครับ (แต่เดี๋ยวผมจะบอกว่ามันไม่ดีอย่างไร)

จวบจนช่วงหนึ่งที่ผมประสบความทุกข์ทางใจ
ผมพบว่า เหตุ-ผล ไม่สามารถช่วยอะไรได้
เหมือนคนจะเลิกดื่มเหล้าก็รู้อยู่ด้วยเหตุ-ผลว่ามันไม่ดี แต่ก็เลิกไม่ได้
คนอกหักก็รู้อยู่ว่าเพราะอะไร แต่ก็เลิกเสียใจไม่ได้
ช่วงนั้นประจวบเหมาะกับมี...กัลยาณมิตร ผู้ปฏิบัติธรรม
ชวนผมไปฟังหลวงพ่อองค์หนึ่ง ท่านเทศน์ตรงกับจริตผม
ผมจึงเริ่มสนใจพุทธศาสนานับแต่นั้นมา
และพบว่าผมเป็นคนที่มีอัตตามากเกินไป...จนเหมือนกบในกะลา
ที่ปิดโลกทรรศน์ของตนเองโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเลย
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมกลับเสียดายวันเวลาที่ทำหายไปเกือบครึ่งชีวิต
ว่าผมไปทำอะไรอยู่ หลงมัวเมากับโลกภายนอก
มีอัตตาสูงจนลืมดูจิต ดูใจของตนเอง

เมื่อศึกษาธรรมะมากขึ้น ผมก็เริ่มสงสัยกับคำว่า...ศรัทธา และสิ่งที่เหนือคำอธิบาย
ตอนนี้ผมเริ่มยอมรับมากขึ้น และไม่ดูถูกสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป
เมื่อก่อนสำหรับผมแล้ว เหตุ-ผล ต้องอยู่เหนือศรัทธา
แต่เดี๋ยวนี้สำหรับผมแล้ว ศรัทธา สามารถอยู่เหนือเหตุ-ผลได้
หากมันไม่ทำให้คุณเป็นคนไม่ดี โดยเฉพาะหากศรัทธานั้นเป็นเหตุหนุนนำไปสู่ความพ้นทุกข์
เหตุนี้เองครับ...
ผมถึงต้องไปอินเดีย ไปเพื่อพิสูจน์ศรัทธาของคนที่นั่น
ไปเพื่อลดอัตตาตัวตนของผมเอง

กับความรู้สึกจากการที่ได้ไปอินเดีย เป็นอย่างไร ?

ผมเคยไปเรียนที่อเมริกา เคยไปยุโรป ไปเยือนเมืองที่ได้ชื่อว่าศิวิไลซ์ที่สุดในโลก
ไปอยู่บนตึกที่สูงที่สุด ไปดูธรรมชาติที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด
แต่คราวนี้ผมกลับอยากไปเห็นที่ ๆ วุ่นวายที่สุด ไร้ระเบียบที่สุด
ยากจนที่สุด ขอทานมากที่สุด คนมีศรัทธาแบบ...ไร้เหตุ-ผล ที่สุด
ในทางกลับกัน ที่นี่กลับเป็นที่ตั้งของศาสนาที่ยิ่งใหญ่ และควรเคารพมากที่สุด
มันเพราะอะไร ? ...เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้

ผมคงไม่ท้าวความสิ่งต่างๆที่ พี่อนณ เขียนบรรยายไปแล้ว
แต่ผมจะบอกความรู้สึกที่ผมได้รับเลยดีกว่า

สิ่งแรกที่ผมได้เลย คือคำถามที่ว่า...
เราตัดสินความศิวิไลซ์ของสังคมที่ตรงไหน ?
สังคมอินเดียชนบททำให้ผมรู้สึกว่า ถาวรวัตถุ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ไม่ได้ทำให้ชีวิตคนเรามีความสุขเสมอไป
ในทางกลับกัน...ทำให้เรามีความทุกข์เสียด้วยซ้ำ หากเรายึดติดในสิ่งเหล่านั้น
คนเราจริงๆแล้ว ไม่ได้ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรต่าง ๆ มากมายเลย
ก็สามารถใช้ชีวิติย่างมีความสุขได้
คนอินเดียในชนบท ถึงจะดูภายนอกเหมือนอยู่อย่างอัตคัดแร้นแค้น
แต่เขาก็ดูมีความสุขดีตามสิ่งที่เขามี
คงเพราะเขาพอใจกับสิ่งที่เขามีนั่นเอง
อย่างที่แม่น้ำคงคา มันทำให้เราเห็นสัจธรรมจริง ๆ ว่า...
คนเราตายไปแล้ว สุดท้ายมันก็ไม่เหลืออะไรไว้สักอย่าง

สิ่งที่ผมได้ต่อมา และสำคัญสำหรับผมมากคือ...ความศรัทธา
ผมเคยดูถูกคำ ๆ นี้ ผมจึงต้องมาดูว่ามันยังไง
ผมกลับพบว่า ศรัทธา ควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตครับ
ถ้าคนเราปราศจากศรัทธาแล้ว ก็จะไม่มีแรงจูงใจ
ศรัทธาที่สมควร คือศรัทธาที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลนำมาก่อน
ถ้าศรัทธาแล้วไม่เบียดเบียนใครก็...ศรัทธาเลย ทำเลย
ความเชื่อมั่นในศรัทธา และความไร้เหตุผล ทำให้เราเปิดกว้างที่จะยอมรับสิ่งใหม่ๆเข้ามา
หลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่เห็น และยังไม่สามารถอธิบายได้
ไม่ได้หมายความว่ามัน...ไม่มี
เหมือนใบไม้ในกำมือ
เราจะเอาใบไม้ทั้งป่าที่เรายังไม่รู้ มาเป็นเหตุผลที่จะปฏิเสธใบไม้ในกำมือของพระพุทธเจ้าอย่างนั้นหรือ ??
ความศรัทธาอันแรงกล้าของชาวอินเดียทำให้ผม...ลดอัตตาตัวตน
และความเย่อหยิ่งว่า กูรู้แล้ว กูแน่ กูไม่เชื่ออะไรงมงาย ลงมาได้มากทีเดียว
ที่แท้เราก็แค่ กบในกะลา ที่หลงตัวเอง มาเกือบครึ่งชีวิตนั่นเอง

ผมได้แค่สองอย่างนี้ ผมก็พอใจแล้วครับกับการไปอินเดียครั้งนี้
ผมตั้งใจจะไปเพื่อลดอัตตา ลดตัวกู ของกู ลงเท่านั้นเอง
ผมจึงไม่เลือก ทริปไฮโซ ไงครับ
และคราวหน้าถ้าผมไปอีกผมก็จะเลือกทริป โลโซ อย่างนี้แหละ
ตราบใดที่สังขารของผมยังอำนวย

สิ่งที่ผมได้มาเพิ่มนอกเหนือจากนี้คือ การได้เห็นสังเวชนียสถาน
ยิ่งเวลาสวดมนต์ด้วยกัน ณ.สถานที่เหล่านี้แล้ว
ผมยิ่งรู้สึกศรัทธา และมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนเราไปเยี่ยมพ่อยังไงไม่รู้ครับ
ยิ่งเราเห็นทุกคนที่ไปด้วยเปี่ยมด้วยศรัทธาและความตั้งใจ
ยิ่งทำให้เรารู้สึกศรัทธาตามไปด้วย
นอกจากนี้ผมยังได้ กัลยาณมิตร เพิ่มขึ้นอีกหลายคนเลยครับ

ผมรู้ตัวครับว่า ผมปฏิบัติธรรมน้อย
เรียกว่าสวดมนต์ก็แทบจะไม่เป็นเลยครับ
เคยรู้สึกหงุดหงิดตัวเองนะครับว่าเราด้อยกว่าคนอื่น
อย่างในทริปนี้ก็เหมือนกัน เห็นคนอื่นเห็นพวกพี่ๆสวดมนต์เก่ง ๆ
ภาวนาดี ๆ กันเยอะแยะ ก็รู้สึกอิจฉา รู้สึกหงุดหงิดยังไง ๆ ชอบกล
อย่างไรก็ตามความรู้สึกแบบนี้ผมเคยเป็นมาก่อนครับ
เราก็แค่บอกตัวเองว่าอย่าไปมองคนอื่นเขา กลับมามองที่ตัวเองเราเยอะ ๆ
ทำบารมีสะสมมาแค่นี้ ก็เอาแค่นี้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป
การมองคนอื่นกลับทำให้รู้สึกหดหู่ และกดดันตัวเองครับ
ใจมันเลยไม่เหมาะกับการปฏิบัติธรรม
อย่างที่นั่งสมาธิ ใต้ต้นโพธิ์ ฟังคนอื่นเขาได้ใบโพธิ์ เราก็อยากได้บ้าง
กลายเป็นกดดันตัวเอง ใจวอกแวกไม่เป็นปกติ อิจฉาคนอื่นเขาอีก
พอรู้จิตรู้ใจตัวแล้วปล่อยวางซะได้แค่ไหนก็แค่นั้น ใจมันก็โล่งสบาย
ต้นโพธิ์เขาก็ให้ใบเรามาเองล่ะครับ
อย่างผมได้มาสองใบโดยที่ไม่ได้คิดว่าจะได้เลย...ปิติก็เกิดเลยครับ
เป็นปิติเล็ก ๆ เผอิญใบโพธิ์ตกมาใส่ ตอนที่ใจเรากำลังท้อน่ะครับ
คิดว่า พระพุทธเจ้า ท่านคงอยากให้กำลังใจเรา
“ ไม่ต้องไปสงสัยหรอกว่าจริง หรือไม่ เอาเป็นว่าถ้าคิดแบบนี้แล้วทำให้เราเกิดศรัทธา แล้วมีกำลังใจนั่งสมาธิต่อไปก็ไม่ต้องไปสงสัย ”
ใจผมบอกกับจิตตัวเอง ที่เผอิญแวบเข้ามาสงสัยในตอนนั้นน่ะครับ

ปิติอีกครั้งเกิดตอนนั่งในรถระหว่างทางไปกุสินารา
ก็ฟังพระท่านเล่าประวัติของพระพุทธเจ้า ช่วงปลงสังขาร และปรินิพพาน...น้ำตาซึมเลยล่ะครับ
เหมือนเราสูญเสียพ่อของเราไป
อย่างไรก็ตาม ก็นึกถึงคำตรัสที่พระพุทธเจ้า ตรัสกับพระอานนท์ว่า
“ สังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไป และดับไปเป็นธรรมดา ”
ก็ทำให้รู้สึกปลงสังเวช และคิดไปว่าก็เป็นเช่นนั้นเอง
ยิ่งเห็นสังเวชนียสถานที่ถูกทำลาย และเก่าพังไปตามกาลเวลา
รวมถึงได้กลับมาอ่าน พุทธพยากรณ์ ด้วยแล้ว ก็ทำให้รู้สึกแจ้งยิ่งขึ้นว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ไม่เว้นแต่พุทธศาสดาและพุทธศาสนา ก็ต้องอยู่ในกฎนี้ด้วย

กลับมาผมคงต้องทำการบ้านอีกเยอะครับ ทั้งทางโลก ทางธรรม
ชีวิตหลังกลับมาก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางโลก
บางครั้งก็เบื่อ ๆ เหมือนกัน
แต่หลวงพ่อบอกไว้ว่า เมื่อเราเป็นปุถุชนไม่ใช่สมณะ ความรู้ทางโลกก็ย่อมจำเป็น ย่อมเหมาะกับเรา
เมื่อเรายังอยู่ทางโลก ก็ยังละทางโลกไปเลยไม่ได้
ให้ใช้ชีวิตตามความเหมาะสมของตนเอง
เหตุนี้แหละครับผมจึงรัก และศรัทธาศาสนาพุทธ
เพราะเป็นศาสนาที่เหมาะสำหรับทุกคน

หมอโอ๋
14 เมษายน 2555



อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 15 เมษายน 2555    
Last Update : 15 เมษายน 2555 8:52:26 น.
Counter : 3556 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.