กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา เงินให้ได้ทุกอย่าง

เงินให้ได้ทุกอย่าง

ผมมีรุ่นน้องผู้ชาย คนหนึ่งซึ่งผมรักมาก อายุอ่อนกว่าผม ซัก 5 ปี
เรียนจบกฎหมายจากธรรมศาสตร์ เกียรตินิยม เป็นดาวเด่นของรุ่นคนหนึ่ง
ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ มาคว้าตัวไปทำงาน ฝ่ายสินเชื่อ
อนาคตรุ่งโรจน์ เรืองรองเชียวแหละ
ก่อนพิษต้มยำกุ้ง พนักงานธนาคารมันช่างเท่ห์ไม่แพ้ วิศวกร หรือหมอ
บางคน...ทำตัวเหมือนเป็นเทวดาด้วยซ้ำไป เลิศ เชิด หยิ่ง
สังคมของคนธนาคารในสมัยนั้น หลายคน หลายพวกออกจะฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม
น้องชายผมคนนี้ก็เหมือนกัน
ไปเข้ากลุ่ม เข้าพวกที่ทำตัวเลิศลอย ได้รุ่นพี่เสี้ยมสอนเรื่องไม่ดีหลายเรื่อง หัดใช้ชีวิตผิดแนวทาง
มีการรวมตัวกันเป็นแก็งค์สินเชื่อ หาประโยชน์เข้ากระเป๋า
ใคร หรือ นักธุรกิจคนไหนต้องการกู้เงินธนาคาร ต้องทำแผนธุรกิจ ต้องมีการประเมินสินเชื่อ
ถ้าไปแบบดุ่ยๆ ไม่รู้จักใคร โอกาสผ่านยาก.ก..ส์
แต่ถ้าผ่านแก็งค์นี้ จ้างทำแผนธุรกิจประกอบการกู้ ช่วยชงเรื่อง
การประเมินก็ผ่านง่าย...สุดท้ายอนุมัติ แบ่งเงินกันคนละหลาย

ผมเคยตักเตือนหลายครั้ง...แต่ไม่ฟัง
เชื่อรุ่นพี่...เค้ารวย...เค้าเท่ห์...เค้าเจ๋งกว่า
เงินเท่านั้น คือพระเจ้า...ถ้ามีเงิน ก็มีทุกอย่าง
ผมรู้สึกไม่ถูกต้อง พยายามเตือน...มันก็ไม่ฟัง
แต่ตอนนั้นผมก็ยังโง่...เห็นแก่เงินเหมือนกัน

เรื่องแฟน ผมก็สอนให้ดูให้ดี หาผู้หญิงที่ไม่ต้องสวยนัก ให้ดูที่นิสัย
ดูที่ความอดทน ดูครอบครัวที่ไกล้เคียงกับเรา จะได้เข้าใจกัน
ครอบครัวของผม เป็นข้าราชการ ฐานะแค่ปานกลาง...เท่านั้น
แต่น้องชายมันบอก...หาแฟนต้องดูที่ฐานะร่ำรวย ครอบครัวล่ำซำ
ถ้ารวยซะแล้ว ทุกอย่างจะดีไปหมด....
ผมก็สุดแสนจะเป็นห่วงมัน...ทำไมมันโง่อย่างงี้ ทฤษฎีเฮงซวยอะไรของมัน
สุดท้ายไปได้รุ่นน้องที่มาฝึกงานเป็นแฟน ฐานะรวยมาก...
ทางบ้านเป็นยี่ปั๊วเหล้า เบียร์ ในจังหวัดหนึ่งไม่ไกลกรุงเทพฯ
ยังมีกิจการพวกน้ำแข็ง น้ำดื่ม อีกด้วย
ผมก็เตือน พวกค้าเหล้า อย่ายุ่งเลย...มันก็ไม่ฟัง รุ่นพี่บอกว่าดี รวยดี
งานแต่งงานใหญ่โต...ลูกคนดังประจำจังหวัด

พ่อ แม่ กลัวน้อยหน้าสะใภ้ เลยให้อยู่บ้านที่เตรียมไว้ตอนเกษียณ
เป็นบ้านเดี่ยว 100 วา ไม่หรูนัก แต่น่าอยู่
ตอนจะแต่งงาน กลัวแฟนยังไม่พอใจ กู้เงินมาต่อเติมบ้านให้ดูดีขึ้นอีก
อยู่กันไม่นานก็มีลูกชาย
เมียรวยของมันคงจะกลัวว่าวันหนึ่ง พ่อแม่สามี อาจจะต้องมาอยู่ด้วยหลังเกษียณ
เลยยุให้ไอ้น้องชายผมรีบแอบขาย...แล้วไปซื้อใหม่ ใหญ่ หรูกว่าเดิม
ต้องกู้เงินเพิ่มอีก อยู่แถวบางใหญ่
ทุกอย่างไปได้สวย เลิศ เชิด หยิ่ง...
ต่อมามีคนมาทาบทามไอ้แก็งค์สินเชื่อ ไปอยู่ธนาคารใหม่...สหธนาคาร
เพิ่มทั้งเงินเดือน ทั้งผลประโยชน์...เพื่อ เงิน และความรวยเท่านั้น

จากนั้นไม่นาน...ไม่นานเลย
ปี 40 พิษต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจล่วง...ธนาคารเริ่มเลย์ออฟ ปลดพนักงาน
เมียไฮโซ ก็โดนไปด้วย...ไม่เป็นไร ทางบ้านร่ำรวย
อีกไม่นานเท่าไหร่ สหธนาคาร เจ็งไม่เป็นท่า แก็งค์สินเชื่อไปกันคนละทิศละทาง...ลำบากทุกคน
ไอ้น้องก็เครียด จากรายได้เดือนละหลายหมื่น...เหลือแค่หลายพัน
และไม่น่าเชื่อ ทางบ้านเมียมัน แสนจะรวย...เริ่มจะล่ม
เก็บหนี้ลูกค้าตามห้องอาหาร สวนอาหาร หรือรายอื่นๆ ไม่ได้...ก็มันเจ็งกันหมด
สุดท้ายพ่อตายี่ปั๊วเหล้า ก็ล้มป่วย เป็นหลาย...หลาย...โรค
ที่สำคัญ โรคเครียด...ปลงไม่ตก อยู่ดีๆ กลายเป็นคน เคย รวย.

เมียที่เคยรวย แต่ไม่เคยลำบาก...ทำงานอะไรก็ไม่เป็น ไม่เคยจับ ไม่เคยทำ
เข้าข่าย...จมก็ไม่ลง...ลอยก็ไม่ขึ้น
ต้องหัดทำงานบ้าน ต้องไปเป็นครูสอนหนังสือ…แต่สุดท้าย ทนไม่ไหวลาออก
พออยู่บ้านยิ่งเครียดมาก กลายเป็นโรคประสาทอ่อนๆ
ทำความสะอาดบ้านท้าง..ง...วัน เช็ดถูบ้านทั้งวัน...ไม่ยอมหยุด

ต่อมารายได้ยิ่งไม่พอใช้ แต่ไอ้น้องชายได้งานใหม่...เป็นข้าราชการ
ออฟฟิซอยู่ในเมือง เลยเอาบ้านสุดหรูให้เขาเช่า เอารายได้ไปช่วยผ่อนแบ็งค์
ตัวเองไปเช่าคอนโด ใกล้ที่ทำงาน
ตัดใจขายรถยนต์ทิ้งไป ให้เมียเฝ้าคอนโด เลี้ยงลูก
ส่วนเมียก็บอก ลูกต้องเรียนโรงเรียนไฮโซอินเตอร์ เท่านั้น

ผมไม่เจอไอ้น้องชายคนนี้หลายปีแล้ว
เขาก็ไม่ยอมมาเจอพ่อ แม่ เพราะละอายที่แอบขายบ้านไป
พ่อกับแม่ ก็ถามหา อยากเจอกัน ก่อนท่านตาย...คิดถึงลูก
ได้ข่าวครั้งสุดท้ายว่า บ้านหรูที่ซื้อไว้และให้คนเช่า
คราวซวย ไปเจอคนเลวมันเช่า...
ไม่ยอมจ่ายค่าเช่า และไม่ยอมออก กรูไม่มีจ่าย จะทำไมกรู...
ต้องฟ้องร้อง เรื่องยังไม่จบ ยืดเยื้อมาเป็นปี

ใครว่า เงิน ทำให้มีความสุข...ทำให้มีความสบาย
เงินให้ได้ทุกอย่าง...
ผมไม่เถียงหร๊อก..ก...เหนื่อยเปล่า
แต่ผมอยากให้คุณตั้งใจดูกันนะ...ตั้งใจดู
บ้านหลังใหญ่ ๆ...หรู ๆ...เจ้าของบ้าน ได้อยู่วันละเท่าไร
มีเวลาได้ใกล้ชิด..ลูก..เมีย...บ้างมั๊ย
รถเบนซ์ที่เห็นวิ่งกันเต็มถนน
ลองตั้งใจมอง...เจ้าของรถมีความสุข จริงหรือเปล่า
ผมเคยตั้งใจดู...10 คัน เจ้าของนั่งหน้าบูด 7 – 8 คัน
นอกนั้นสาว ๆ ขับไปโทรศัพท์ไป ทำสวยไป
ส่วนใหญ่อารมณ์เสีย บีบแตรไล่คันอื่น..แป๊น..แป๊น..แป๊น
รถโคตะละสวย...แต่เจ้าของ โคตะละเครียด
เห็นแล้ว...เศร้า

เมื่อเช้านี้เอง 27 ต.ค. ตอนหกโมง กว่าๆ
ขี่ ฮอนด้า..คลิ๊ก...ไปส่งลูกสาวคนเล็ก ที่ ม.ราชภัฎฯ สวนดุสิต
ซื้อหมูปิ้งไปสองห่อ เตรียมใส่บาตร
เจอพระวัดตรีทศเทพรูปหนึ่ง สำรวมอย่างมาก.ก...น่าเลื่อมใสดี จริงๆ
รีบจอด ให้ลูกสาวใส่...ท่านสำรวมพิจารณา เปิดฝาบาตร...ปิดฝาบาตร..
ใส่บาตรท่านแล้ว...อารมณ์ปลาบปลื้ม ปิติสุดๆ
ขี่เลยมาหน่อยติดไฟแดงข้างๆ ...เบนซ์ อี คลาส สามล้านกว่า..กว่า
คนในรถมี 3 คน...แต่บรรยากาศชอบกล
ผมไม่แน่ใจ บอกลูกสาว ดูให้หน่อยซิ...ท่าทาง อารมณ์ คนในเบนซ์ เป็นยังไง
ลูกผมมองแป๊ปนึง แล้วบอก
...นั่งหน้าตึงเครียด ทั้งคัน...น่าสงสารจัง.
ผมก็อดคิดไม่ได้ นะ

...เงิน...ให้ได้ทุกอย่าง...จริง...เหรอ.

อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 11:36:44




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:53:33 น.
Counter : 1138 Pageviews.  

กรรมทันตา จตุจักร

จตุจักร

เรื่องนี้ย้อนไปไกลมาก เกือบ 30 ปี ละมั๊ง
ผมเรียนอยู่ประมาณปี 4 ที่วิทยาลัยเกริก
มีการเปิดสวนจตุจักรได้ไม่นาน คนขายยังไม่เต็ม
ยังพอมีที่ว่างเหลือในบางโซน ประเภทริมๆ ขอบที่คนไม่ค่อยเดิน
สมัยนั้นพื้นที่ยังเหลืออีกเยอะ ใครไปขายครบ 4 อาทิตย์ติดต่อกัน
จะได้สิทธิ์เป็นเจ้าของล๊อคนั้นเลย....เดี๋ยวนี้ล๊อคละหลายแสน

ตอนนั้นผมกับแฟน...ก็คุณหม่อง ภรรยาสุดที่รักนี่แหละ แต่ตอนนั้นยังเป็นแค่แฟนกัน
ก็นึกสนุกชวนกันไปขายขนมหวาน ประเภทสลิ่ม ทับทิมกรอบ อะไรพวกนี้แหละ
พอไปขายจริงๆ ปรากฎว่าโซนที่เหลือ มันเป็นโซนสุดเงียบ
คนเดินผ่านน้อยมาก ยังมีร้านมาเปิดไม่มาก ยังโล่งๆ เหงาๆ
สมัยนั้นข้าวแกงจานละ 15 บาท ก็ถือว่าค่อนข้างแพง
ผมขายขนมถ้วยละ 5 บาท ก็ถือว่าหรูแล้ว

อาทิตย์ที่สอง ร้านก็ยังเงียบ
ผมรำคาญเลยไปเดินเล่น ดูร้านอื่นๆ ไปด้วย
สังเกตุได้อย่างหนึ่งคือ ร้านพวกนี้มักจะมีคนขายแค่คนเดียว
ไม่กี่ร้านที่จะมีคนมาช่วยขาย 2 คนขึ้นไป
ทำให้มีปัญหาทิ้งร้านไม่ได้ ถ้าปวดฉี่ก็ฝากร้านข้างๆ ได้ประเดี๋ยวประด๋าว
ผมก็เดินไปคุยกับเจ้าของร้านไป หาความรู้แปลกๆ...สนุกดี
แล้วก็อดถามไม่ได้ว่า จะกินขนมมั๊ย เดี๋ยวจะเอามาส่ง
ทุกร้านก็ดีใจ สั่งกันเกือบทุกร้าน...
บอกอยากกิน แต่ออกไปซื้อไม่ได้

ผมก็เอาออร์เดอร์กลับมาให้แฟนทำแล้ว ใส่ถาดไปส่ง
เดินไปเดินมาหลายเที่ยว เดินจนล้า
บางร้านยังฝากร้านรีบวิ่งไปห้องน้ำบ้าง ซื้อโอเลี้ยงบ้าง
แถมมีบางคนถามว่าไม่มีข้าวขายเหรอ หามาส่งหน่อยซิ...
ที่พวกเขาต้องการ คืออาหารตามสั่ง ผัดกระเพราะไข่ดาว ข้าวหมูทอด...
อีกอย่าง ทุกร้านจะมีกระติกใส่น้ำแข็ง หรือโอเลี้ยงไว้กิน
เพราะสมัยนั้นยังเป็นแค่เต็นท์ผ้าใบ อากาศจะร้อนมาก
ไม่หรูหราอย่างเดี๋ยวนี้...

ผมเลยมาปรึกษากับแฟน...เอาไงดีจ๊ะ ที่รัก

กลับมาบ้าน ผมชวนพ่อ กับแม่คุณหม่อง
แม่เค้าทำกับข้าวอร่อยมาก.ก..แทบทุกอย่าง
คบกันใหม่ๆ ผมเอว 29 นิ้ว พอกินกับข้าวคุณแม่ไม่เท่าไหร่
เอวกลายเป็น 34 นิ้ว
ว่าที่แม่ยายก็ดีใจ...อู๊ย.ย..ทำอะไร มันกินหม๊ด

ส่วนพ่อคุณหม่อง เป็นทหารยศตั้ง พันเอก แต่มีความฝันอยากลองขายกาแฟ สักครั้งในชีวิต
ผมก็ยุส่งเลย...ไปลองกัน...สนุกดี
พออาทิตย์ต่อมา เลยเพิ่มเป็น 2 ล๊อค มีทั้งอาหารตามสั่ง ชา กาแฟ โอเลี้ยง พร้อมขนมหวานเย็น

ตั้งร้านเสร็จไม่เกินแปดโมงเช้า...
ต้องช่วยกันเปิดร้าน จัดโต๊ะ แบกของ...งานหนักไม่ใช่เล่น
ผมก็ออกไปหาออร์เดอร์
เดินไปตีสนิทกับเขาไปทุกร้าน ช่วยตั้งแผงมั่ง ยกของมั่ง
แล้วถาม วันนี้อยากกินอะไรครับ...มีอาหารตามสั่ง กาแฟ โอเลี้ยง ขนมหวาน
ที่สำคัญ...จะให้มาส่งกี่โมง สั่งล่วงหน้าได้
ปรากฎว่า ที่ได้แน่ๆ คือมื้อเช้าด่วน...เพราะส่วนใหญ่ออกจากบ้านมากันแต่เช้า ยังไม่ได้กินอะไร
ทุกร้าน ต้องการโอเลี้ยงให้ใส่กระติกมา หรือน้ำแข็งเปล่า
พอส่งมื้อเช้า ก็จะได้ออร์เดอร์มื้อเที่ยงด้วย สั่งไม่ให้ซ้ำกับมื้อเช้า

ผมกับแฟน ช่วยกันคิดเมนูดัดแปลงไม่ให้ซ้ำกับร้านอื่น
เช่น ข้าวผัดของเราจะไม่เอาใข่ผัดลงไป แต่จะทำไข่เจียว หรือไข่ดาว โป๊ะหน้าไป...แลดูดี แต่ราคาเดิม
พวกหมูทอด หมูผัดพริก ก็จะมีผักแถมให้สวยงามอีกต่างหาก
ผมต้มน้ำชาจีน แถมอีกคนละกระบอก....โธ่..ต้นทุนแทบไม่มี
แต่ขนมหวานที่ลูกค้าเรียกร้องมาก ขายดีนึกไม่ถึง คือ...ถั่วเขียวต้มน้ำตาล
ผมเลยให้คุณหม่อง ทำมันทั้ง ถั่วเขียว ถั่วแดง
ยิ่งอากาศร้อน คนจีนจะยิ่งกินร้อนๆ...บอกแก้ยั๊ว
ต้นทุนถ้วยละไม่ถึงหนึ่งบาท...ขาย 3 บาท...เสริฟถึงที่

ผมก็จะกลับมาเรียงออร์เดอร์ ตามเวลาที่ลูกค้าต้องการ
อีตอนไปส่ง ก็จะใส่ถาดเดินผ่านโชว์ไปทุกร้าน...หน้าตาหน้ากิน กลิ่นก็หอม
ก็จะได้ออร์เดอร์ ประมาณว่า...เอาแบบเนี๊ยะ ด้วยนะ
ขายดีมาก..ก...วันหนึ่งไม่รู้กี่จาน กี่กระติก กี่ถ้วย
รู้แต่ว่ากลับถึงบ้าน...หลับเป็นตายทั้งบ้าน...แบบไม่ฝันเลย

ยิ่งขาย ยิ่งรู้จุดอ่อนลูกค้า
โอเลี้ยง เป็นสิ่งสำคัญ
น้ำชาจีน เป็นหัวใจในการผูกลูกค้า...ผมแถมให้เป็นกระบอก
...เพราะอากาศร้อน กินน้ำกันทั้งวัน
บางทีให้เค้าคิดเมนูเองว่าอยากกินอะไร...เราเองก็นึกไม่ออก
พอใจที่สุดที่ไม่ต้องออกจากร้าน มีเดลิเวลี่ส่งถึงที่

ขายดีจนร้านขายอาหารแถวนั้น แทบจะไล่เตะผม...ดีว่าสมัยนั้น ผมห้าว
ผมเดินส่งตั้งแต่เช้า...จนเย็นไม่รู้ตัว
ขายอยู่หลายเดือน...ต้องเลิก
แม่คุณหม่อง ผัดจนเป็นลมคากระทะ...เกือบตาย
พ่อคุณหม่องก็บอกสู้ไม่ไหว...เหนื่อยโว้ย
แต่ขายได้เท่าไหร่ ผมไม่เคยรู้เลย...คุณหม่องแกเก็บหม๊ด.ด..
แฟนผมเธอเป็นคน อ่อนหวาน...หนักไปทางเค็ม

สุดท้ายต้องเลิก เพราะมันเหนื่อยมาก
ขาย เสาร์-อาทิตย์ พอวันจันทร์ไม่อยากกระดิกตัวทั้งบ้าน
ผมกับคุณหม่อง ต้องไปเรียน พ่อ แม่ เค้าก็รับราชการทั้งคู่
พอเรียนจบ ก็ไม่มีแผงว่างให้ขายแล้ว ล๊อคเต็มหมด
สมัยนี้ล๊อคละหลายแสนเลยทีเดียว
มานั่งนึกก็เสียด๊าย..เสียดาย...

ทุกวันนี้ ยังนึกเลยว่า...ถ้าไม่มีอะไรทำ
จะหารถกระบะมาดัดแปลงเป็นร้านกาแฟโบราณ
ตระเวณขายตามชุมชน หรือตลาดน้ำ
กางโต๊ะสักสามตัว มีรุ่มเก๋...เลิศ
ผมชอบขายกาแฟ...สนุกดี

เคยเห็นคนส่งอาหารตามสั่ง ส่งตามออฟฟิซ หรืออาคารสำนักงาน
วิ่งตระเวณส่งไปทั่ว...เห็นแล้วคันไม้คันมือ
ถ้าใครไม่รู้จะทำอะไร น่าลองดูนะครับ
ไม่ต้องมีหน้าร้านด้วย แค่ไปแจกใบปลิว เมนูอาหารซัก 10 อย่าง
ผมว่าไม่เลวทีเดียวแหละ...

ที่เล่ามาเพราะอยากจะบอกว่า…ไม่ต้องเป็นลูกจ้าง
ทำมาหากิน ไม่ต้องอาย ไม่ต้องวุ่นวายลงทุนเยอะ
ทำเรื่องง่ายๆ นี่แหละ ทำให้มันสนุก ทำมันทู๊ก..ทุกวัน..
อย่าไปสนใจเรื่องเงิน...เรื่องรวย...แต่งตัวสวย
เราเป็นเจ้าของกิจการเอง...ถึงเล็กๆ ก็มีความสุขกว่าเยอะ
เชื่อเหอะ...ลืมตาอ้าปากได้
แต่...ต้องไม่ลืมสวดมนต์...เคร่งครัดศีลห้า...
คนมีศีล เทวดาช่วย หากินขึ้นแน่นอนครับ.

อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 53 10:16:20




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:51:23 น.
Counter : 1094 Pageviews.  

กรรมทันตา ลีฟ แอนด์ เลิร์น

ลีฟ แอนด์ เลิร์น

โดยส่วนตั๊ว..ส่วนตัว...ผมเป็นคนชอบรถมาสด้า...มาก ถึงมากที่สุด
มีเหตุผลสองอย่าง

อย่างแรก...
สมัยที่ยังเป็นลูกน้องเฮียเฮง ผมดูแลในส่วนงานสกปรกบางอย่าง
อย่างหนึ่งคือ การขายรถที่เคยชนอย่างแรงแล้วมาซ่อมแซม ย้อมแมวให้ดูดี
ซึ่งผมจะมีปัญหากับเฮียเฮงในเรื่องนี้ตลอดแทบทุกครั้ง
เฮียแกต้องการให้ต้นทุนต่ำที่สุด ซ่อมแค่พอแหกตาขายได้ก็พอ
ไอ้ผมต้องการให้รถอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ได้รับการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สำคัญให้มากที่สุด
ผมกลัวว่าถ้าซ่อมไม่ดี รถอาจเกิดอุบัติเหตุได้อีก...บาปกรรมตายโหง..

ในเมื่อต้องการให้ดีที่สุด ก็ต้องเข้าไปคุมการซ่อมอย่างใกล้ชิด
ผมก็จะได้เห็นการรื้อส่วนที่เสียหาย การประกอบใหม่ การตรวจเช็ค
ทำให้ผมได้เห็นและเข้าใจเปรียบเทียบรถในแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ประทับใจคือ รถมาสด้า ทุกรุ่นมันออกแบบมาดีมาก..มาก...
การผลิต การใช้วัตถุดิบ รู้ได้เลย สัมผัสได้ด้วยตัวเองเลยว่าทำได้ดีเยี่ยม
ใช้เนื้อเหล็กอย่างดี โครงสร้างถูกออกแบบอย่างซับซ้อน
ช่างทุกคนก็จะบ่นว่า มาสด้ารื้อยาก โครงสร้างมันแข็งแรง
ทางด้านเครื่องยนต์กลไก ก็ถือว่าออกจะดีกว่ายี่ห้ออื่น...ความเห็นส่วนตัวนะ
เทคโนโลยี่ทันสมัย แต่ไม่ล้ำหน้ามากเกินไป ระบบทนทาน ซ่อมง่าย
เมื่อตอนที่ลูกสาวคนโต จำเป็นต้องใช้รถขับไปทำงานและ ต้องออกไปตรวจงานต่างจังหวัดบางครั้ง
ผมคิดอย่างเดียว มาสด้า เท่านั้น...ปัจจุบันก็ซื้อมาสด้ามือสองให้ใช้
ไม่ผิดหวังเลย โดยเฉพาะเมื่อตอนขับไปเที่ยว ปาย-พิษณุโลก 1,864 โค้ง...สุดยอด
เชียร์มากไปหรือเปล่า....

อย่างที่สอง...
ในตอนนั้น เกือบ 30 ปีแล้ว
บ.กมลสุโกศล เป็นตัวแทนจำหน่ายมาสด้า แต่ผู้เดียว
ใช้สโสแกนว่า...มาสด้าเขาให้...
มาสด้าขายดีมาก โดยเฉพาะต่างจังหวัด รุ่น กระบะแฟมิลี่
รุ่นนี้ผลิตขายติดต่อกันถึง 20 ปี ไม่เคยมีรถรุ่นไหนยืนยงคงกระพันอยู่ได้นานขนาดนี้
มาตายเอาเมื่อนิสสัน ออกรุ่น เอ็นวี ซึ่งมันทันสมัยกว่าในทุกรูปแบบถึงได้จบซี่รี่ไป
ส่วนรุ่นอื่นๆ ไม่ว่า เก๋ง กระบะอื่น ก็ขายดีมากๆ

ครั้งหนึ่ง...ผมซื้อรถมาสด้ามาจากลูกค้า แต่ยังค้างไฟแนนซ์ซึ่งก็คือ บ.กมลสุโกศล โดยตรงอีกไม่กี่งวด
เอาเงินไปเคลียร์ยอดค้าง แต่ต้องรอรับทะเบียนอีกเป็นอาทิตย์...
เวลาผ่านไปหลายวัน ผมก็โทรไปตามเล่มทะเบียนว่าทำไมล่าช้านัก
คนที่รับโทรศัพท์...เสียงแปลกๆ
...สวัสดีค่ะ...กมลสุโกศลค่ะ...มีอะไรให้รับใช้ค๊ะ...
ผมก็แจ้งความประสงค์ ความต้องการ แถมบ่นนิดๆ
ทางโน้น ก็ตอบ
...ต้องขอประทานโทษด้วยนะ ตอนนี้พนักงานไปทานข้าวกันหมดเลย...
ไม่รู้จะถามจากใคร ขอเบอร์โทรกลับไว้นะค๊ะ จะรีบให้เขาจัดการด่วนเลยค่ะ...
ผมก็ดูเวลา อ้าว...เที่ยงครึ่ง...

ในสมัยนั้นการทำงานจะต้องมีพักเที่ยง ไม่มีคนอยู่เวรสลับกันเหมือนในยุคนี้
ผมก็รีบขอโทษ ขอโพยไปอย่างแรง ว่าผมไม่ได้ดูเวลา...ผมผิดเองครับ
มัวแต่ทำงานไม่ได้ดูนาฬิกาเลย...แย่จริงจริ๊ง...ต้องขอโทษด้วยนะครับ.
ทางโน้นก็พูดคุยด้วยดีมาก...บอกไม่เป็นไร อิชั้นก็ยังไม่ได้ทานข้าว มัวแต่ทำงานลืมเวลาเหมือนกัน
ผมก็เลยแกล้งชมไปว่า...แหมเป็นพนักงานที่ขยันมากจริงๆ นะ...บริษัทนี้ทำยังไง พนักงานถึงได้ขยันขนาดเนี๊ยะ...
ทางสายโน้นก็หัวเราะชอบอกชอบใจ...แล้วยืนยันจะให้รีบดำเนินการด่วน

ครั้งแรก ผมคิดว่าเป็นแม่บ้าน พนักงานทำความสะอาดมากวาดพื้น แล้วรับโทรศัพท์แทน
แต่เอะใจตรงคำที่ใช้ว่า...จะให้รีบดำเนินการด่วน...ฟังเหมือนสั่งได้
พอบ่ายโมงตรงเผง...มีโทรศัพท์จาก บ.กมลสุโกศล ถึงผมทันที
น้ำเสียงตกอกตกใจ พินอบพิเทาชอบกล
บอกได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ให้มาติดตามเรื่องให้เป็นการด่วน...
ผมก็บอกความประสงค์ บอกปัญหาไป
แต่อดถามไม่ได้ว่าใครรับโทรศัพท์เมื่อตอนเที่ยง...
ตั้งใจว่าจะชมเชยให้เจ้านายเขาได้ยินซะหน่อย...คนขยันเราต้องช่วยโปรโมท
แต่คำตอบ ผมถึงกับอึ้ง...
...ท่านประธาน คุณหญิง กมลา สุโกศล ท่านเดินมารับโทรศัพท์เอง...ท่านเป็นห่วง กลัวลูกค้าจะมีเรื่องด่วนถึงได้โทรมาต้องพักเที่ยง...
ในตอนนั้น ต้องเข้าใจนะครับว่า ความรู้สึกมันเหมือน ประธานใหญ่ บ.โตโยต้า
หรือ บิ๊กบอสองค์กรมหึมา ลงมารับโทรศัพท์เอง…ระดับนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้...
ผมงี้ทึ่งอย่างแรง
แถมตอนบ่ายโมงครึ่ง มีโทรมาอีก...
...ขอโทษนะค๊ะ...พนักงานโทรมาตามเรื่องหรือยังคะ...
โห..ท่านโทรมาเองเลย...
ผมก็บอกว่า โทรมาแล้วครับ...ขอบพระคุณมากครับ
แล้วผมก็อดถามไม่ได้ว่า ผมกำลังเรียนสายอยู่กับคุณหญิงใช่มั๊ยครับ
ท่านก็หัวเราะ แล้วถามว่าทำไมถึงรู้ล่ะ
พอแนะนำตัวกันดิบดีแล้ว...ท่านก็ขอสอบถามเรื่องการทำงานของบริษัทมาสด้า ว่าเป็นอย่างไร
อยากให้แก้ไขตรงไหนบ้างมั๊ย...
โอโฮ...ผมชื่นชมคุณหญิงท่านมาก จริง...จริง.

ต่อมาอีกหลาย..หลาย...ปี
ได้ยินเสียงคุณหญิงท่านร้องเพลง...ลีฟ & เลิร์น (Live & Learn)
ผมขนลุกทุกครั้ง...มันบอกไม่ถูก
ยิ่งฟัง ยิ่งคิดตามลึกเข้าไปในเนื้อเพลง...ความรู้สึกมันยิ่งประทุ
ภาพความทุกข์ ความสุขแต่หนหลัง ชีวิตที่ไม่แน่นอน ความเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ
ภาพในอดีต...มันทะลักออกมา

อาจจะเป็นด้วย ผมชื่นชมคุณหญิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ผมยิ่งรู้สึกว่า ใครร้องก็ไม่ได้อารมณ์ ไม่ได้ความรู้สึกเท่ากับท่าน

แต่สิ่งหนึ่ง ที่อดคิดไม่ได้ คือ ผู้แต่ง...คุณ บอย โกสิยพงษ์
คนที่เขียนเนื้อเพลงได้ขนาดนี้ แสดงว่า...
ต้องผ่านชีวิตทั้งสุข ทั้งทุกข์ ยินดี เศร้าโศก มาอย่างโชกโชน
แล้วยังต้องเป็นคนที่มองทะลุ เห็นซึ้งถึงพระธรรม อันเป็นธรรมะที่ละเอียดอ่อน
เข้าใจโลกธรรม...ความไม่เที่ยง...ความไม่ประมาท
ยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติฯ หลายๆ คนที่คร่ำเคร่ง แต่ยังเข้าไม่ถึงซะอีก
ผมเชื่อเลยนะ...หลายท่านก็ยังเข้าไปไม่ทะลุถึงหัวใจธรรมะ เท่าคุณ บอย...

ยิ่งเอาเนื้อเพลงนี้ มานั่งดู ยิ่งลึกซึ้งถึงแก่น......ยิ่งต้องประเมินกันใหม่...
ผมละนับถือคุณ จริง...จริ๊ง...คุณ บอย.
รู้สึกนับถือ ทั้งผู้แต่ง เนื้อ และทำนอง
ทั้งชื่นชม คุณหญิง กมลา ผู้ถ่ายทอดอารมณ์ และเสียงเพลงได้จับจิต
ยิ่งถ้าดูการแสดงสด ท่านแสดงอารมณ์เพลงออกมาหมด...ยิ่งจะซาบซึ้ง
ท่านไม่ได้ร้องออกจากปาก...แต่ท่านร้องออกจากใจ

ผมขออนุญาต นำเนื้อเพลงมาพิจารณาให้ลึกซึ้งนะครับ...
ศิลปิน : บอย โกสิยพงษ์ feat. กมลา สุโกศล
อัลบั้ม : Millions Ways to Love Part 1
เพลง : Live and learn

... เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

...อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด...


อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 13:37:03




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:50:08 น.
Counter : 1074 Pageviews.  

กรรมทันตา นิทาน นกอินทรี

นิทาน นกอินทรี

ผมเคยฟังนิทานมาก็หลายเรื่อง แต่ไม่ค่อยได้จำ
มีแค่บางเรื่องเท่านั้น ที่ติดอยู่ในหัวใจ เช่นเรื่องนี้...

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้
มีเด็กแสนซน ไปเที่ยวเล่นบนภูเขา
บังเอิญไปเจอรังนกอินทรี ซึ่งมีไข่อยู่หนึ่งใบ จึงขโมยเอากลับมาที่บ้าน
พอถึงบ้านก็เอาไปใส่ไว้ในเล้าไก่ เพื่อให้แม่ไก่ช่วยฟัก...

เวลาผ่านไปอีกหลายวัน แม่ไก่ก็ฟักไข่ออกมาหลายตัว รวมทั้งไข่นกอินทรีด้วย
แม่ไก่ไม่คิดมาก เลี้ยงดูลูกๆ ทุกตัวเหมือนกันหมด...คิดว่าเป็นลูกเจี๊ยบเหมือนกัน
สอนให้ลูกมีชีวิตแบบไก่ คุ้ยเขี่ยหาหนอน ใส้เดือน หรือข้าวเปลือกไปวันๆ...
ไก่เอ๋ยไก่ เลี้ยงลูกมาจนใหญ่ ไม่มีนมให้ลูกกิน
ลูกก็ร้องเจี๊ยบ..เจี๊ยบ... แม่ก็เรียกมาคุ้ยดิน
ทำมาหากิน ตามประสา...ไก่เอย.

อีทีนี้ เจ้าลูกนกอินทรี ก็คิดว่าตัวเองเป็นไก่เหมือนกัน…ไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่พวกลูกไก่ พี่ๆ ของมัน กลับมองว่ามันช่างเป็นไก่ที่ทุเรศที่สุด
หน้าตาหน้าเกลียด ไม่หล่อเหลาเหมือนพวกมัน
แถมยังพิกลพิการ แขนขายาวยื่น สูงโย่ง
ยิ่งอยู่ไปยิ่งมีปีกยื่นยาวผิดพี่ผิดน้อง กล้ามเนื้อก็ช่างแข็งแกร่งน่าสงสาร
รวมๆ แล้วมันพิการ น่าทุเรศจริงๆ ไอ้น้องตัวนี้...

อย่างไรเสีย...ลูกนกอินทรีก็ย่อมมีสัญชาติญาณบางอย่าง
มันชอบเงยหน้ามองท้องฟ้า...ชอบดูหมู่เมฆ...ชอบสายลมที่พัดมาสัมผัส
พวกพี่ๆ ไก่ ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้ไปคุ้ยดิน อย่ามัวมาชื่นชมสายลม แสงแดด

วันหนึ่ง...ด้วยสายตาที่เฉียบคม มันได้เห็นนกอินทรีตัวใหญ่
บินร่อนอยู่บนท้องฟ้า ไกล.ล....ลิบๆ...
ลูกนกอินทรีรู้สึกใจเต้น ตุ๊บ..ตั๊บ...กระตือรือล้น บอกไม่ถูก
รีบวิ่งไปตามพี่ๆ ให้มาดู...
อยากบินมั่งอ่ะ ต้องทำไงครับ...พี่.
พวกพี่ๆ ไก่มาดูแล้ว...มองก็ไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยชัด เลยโมโห
หาว่าไอ้น้องขี้เหร่ตัวนี้เพ้อเจ้อ...
ไอ้น้องเอ๊ย...นอกจากเอ็งจะพิการน่าเกลียดแล้วก็ยังชอบฝันเฟื่องอีกแน่ะ...
เราเป็นไก่ นะน้อง จะบินได้ยังไง...เลิกคิดไร้สาระ กลับไปหาไส้เดือน หาข้าวเปลือกต่อไปดีกว่า...

ลูกนกอินทรี ก็ยืนงง...ถามดีๆ ทำไมโดนด่า...อยากบินก็ไม่ได้เหรอ...เฮ้อ
ผ่านไปอีกหลายวัน มันก็ยังชอบมองท้องฟ้าตามสัญชาติญาณเหมือนเดิม
จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ได้เห็นนกอินทรี บินร่อนอย่างสง่างามบนท้องฟ้าอีกครั้ง...
มันช่างให้ความรู้สึก ยิ่งใหญ่ อิสระเสรี ซะนี่กระไร...
ทำยังไงหนอ...เราถึงจะบินได้หยั่งเค้าบ้าง
ถ้าเราบินได้ก็คงจะดีนะ...ถามพวกพี่ๆ ก็ไม่ได้เรื่อง ไปถามแม่ดีกว่า แม่ต้องเข้าใจเราแน่เลย...

เมื่อไปถามแม่ไก่ตามที่ตั้งใจไว้
แต่แทนที่แม่จะเข้าใจ และให้คำตอบ....กลับยิ่งซวยหนัก โดนว่า โดนห้าม
...นี่ลูก...เราเป็น ไก่ นะเป็นไก่ จะไปเอาอย่างนกอินทรีได้อย่างไร
พวกเราบินไม่ได้...ไม่ต้องคิด
และแม่ขอห้ามไว้เลย...ไม่ต้องไปมองดูพวกมันอีก
มันอันตรายรู้มั๊ย...เราต้องคอยหลบ คอยหลีก ซ่อนตัว
อย่าไปเสวนา เอาอย่างพวกนกอินทรี...เป็นอันขาด.

ไอ้เจ้าลูกนกอินทรี...เดินจ๋อย คอตกกลับออกมา
ด้วยถูกสำทับว่า ไม่ให้ดู ไม่ให้คิด ไม่ให้นึกแบบนกอินทรี
ให้คุ้ยเขี่ยหากิน...ตามประสาไก่เอย.ย...ต่อไป

นิทานเรื่องนี้ ไม่มีตอนจบ
และไม่ได้บอก...นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไร
แต่ทิ้งท้ายไว้ให้เราคนฟัง เป็นคนคิด...
ถ้าเราเป็นลูกนกอินทรี...จะทำยังไงกับชีวิต
จะเชื่อพี่ๆ เชื่อแม่ไก่...คุ้ยเขี่ยดิน หากินตามประสาไก่ เอย..ย...ต่อไป

หรือจะเชื่อสัญชาติญาณตัวเอง...
ตั้งอกตั้งใจฟันฝ่าอุปสรรค ฝึกฝนตนเอง คร่ำเคร่งออกกำลัง
กางปีกออก หัดกระพือ หัดกระโดด...หัดบิน
แล้วซักวันนึง...
ต้อง.ง..มีสักวัน...ต้อง.ง...มีสักวัน…
จะเดินตามฝัน.น...ไม่ท้อไม่หวั่น ด้วยแรงที่มี
ที่เราก็จะบินได้...ได้บินร่อนอยู่บนท้องฟ้ากับเขาบ้าง
อย่างอิสระ และเสรี.....

ผมชอบนิทานเรื่องนี้มาก
จำได้ติดหัวใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
ท่านที่มีทุกข์...
ท่านที่มีหนี้สิน...
ท่านที่เดินทางผิด...
คิดดูเองก็แล้วกัน...ถ้าท่านเป็นลูกนกอินทรี
จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต...
จะยอมพ่ายแพ้เป็นลูกไก่
หรือจะหันหน้าต่อสู้ ฝึกฝน อดทน...เพื่อเป็น
...นกอินทรี...

อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 14:34:32




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:48:54 น.
Counter : 1266 Pageviews.  

กรรมทันตา โทสะ

โทสะ

เมื่อประมาณ 7 ปีก่อน
ตอนค่ำ ผมมีธุระต้องไปที่ถนน พุธมณฑล สาย 4
ผมอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่จำไม่ได้ว่า เรื่องอะไร....รู้แต่ว่าอารมณ์ค้าง
ตอนนั้น ยังไม่รู้จักปฏิบัติธรรม ถึงแม้จะเป็นคนดีแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยมีสติ
ผมขับรถไปบนถนน บรมราชนนี จนเลยถนนวงแหวนแล้ว ขับมาปรกติ
รถเยอะเหมือนกัน ดูเหมือนจะเป็นวันศุกร์ด้วย ทุกคันก็เปิดไฟ เพราะมืดแล้ว แต่วิ่งกันเร็วมาก เพราะเป็นถนน 3 เลน

จู่ๆ ก็มีรถขับมาจ่อข้างหลัง ไฟหน้ารถของเขาเป็นไฟซีน่อน
ไอ้ไฟซีน่อน ในตอนนั้นเพิ่งจะออกมาไม่นาน มีปัญหาเรื่องมัน สว่างมากเกินไป จนรบกวนคันอื่น
ไฟซีน่อน ที่ส่องมาจากด้านหลังรถของผม มันสว่าง จ้า..า...มาก
แสงของมันแทงตาอย่างแรง มันส่องมาสะท้อน กระจกมองหลังในรถมาเข้าตาอย่างจัง
แสงไฟซีน่อน เนี่ย มันสุดแสนจะเจิด จ้า.า.า สุดบรรยายเลย
ผมรู้ทันทีเลยว่า เป็นรถ อีซูซุ รุ่นใหม่สุด
ผมต้องเอามือขึ้นบังอย่างอัตโนมัติ และผ่อนคันเร่ง เพราะแสงมันทำให้สายตามืดวูบ เพราะสายตาปรับไม่ทัน

แต่ไอ้....รถอีซูซุ คันนั้น ดันบีบแตรไล่ผมอีกแน่ะ.....ดูมัน
แป๊น...แป๊น....
ผมงี้ ฉุนกึ้ก เลย โมโหน่ะ......เหลือบตาไปดูกระจกหลัง โดยมือยังป้องแสงอยู่ เพื่อให้คนขับคันหลังรู้ว่า ไม่ได้แกล้งขับช้า...
แต่เพราะ มรึง....น่ะแหละ....สาดแสงไฟเข้าหน้า เข้าตาคนอื่น รู้บ้างมั๊ย

แต่ไอ้..อีซูซุ..มัน ยังบีบแตร....แป๊น...แป๊น...ไล่ผมอีก แน่ะ
ผมก็เสียสติ ขาดสัมปชัญญะ กระเด็นหายไปเลย...
เอ๊...ไอ้นี่.....ไม่รู้จัก จิ๊กโก๋เก่า ซะแล้ว
ว่าแล้วผม ก็หลบทางซ้าย เพื่อให้เขาแซงขึ้นไป
พอเขาแซงไป ผมหันมอง แว๊บหนึ่ง.....ผู้ชายขับ...มีผู้หญิงมาด้วย

แล้วผมก็เร่งเครื่อง ไล่จี้รถเขาไปติดๆ.....แถมเปิดไฟสูง สาดใส่เขา บ้าง
ไม่เปิดไฟสูงอย่างเดียว ยังดีดไฟ สูงต่ำ สลับกันตลอดเวลาอีกต่างหาก
ซึ่งวิธีนี้ จะทำให้สายตาเขา ยิ่งปรับแสงไม่ทันมากกว่า....มันจะมืดวูบๆ
ผมทำอยู่สักเดี๋ยวเดียว เพื่อสั่งสอน.....ให้รู้ซะมั่ง
ตอนนั้น ด้วยความที่สาดไฟสูงไล่จี้หลัง ทำให้เห็นกริยาอาการของคนในรถคันนั้นชัดเจนมาก

ผู้ชาย แสดงอาการโกรธมาก.....
ผู้หญิง พยายามห้าม.....
ผมเข้าใจเลย เพราะแต่ก่อนนี้ ผมก็เป็นประจำแหละ
ขับไปทะเลาะกับคันอื่นไป ภรรยาก็จะคอยห้าม ให้ใจเย็นๆ ช่างมัน อะไรอย่างเงี๊ยะ...
แล้วผมก็ผ่อนคันเร่ง ช้าลง.....เลิกกัน.....สั่งสอนแล้ว

แต่เหตุการณ์ ไม่ได้จบแค่นั้น
สถานการณ์ตอนนั้น รถคันอื่น วิ่งกันเร็วมาก เพราะเป็นถนนใหญ่
เราสองคันอยู่เลนกลาง ความเร็วพอๆ กับคันอื่นๆ แต่รถเยอะมาก ขวักไขว่ไปหมด
แล้วเขาก็ผ่อนคันเร่ง เบี่ยงทางซ้าย ให้ผมแซงไปก่อน
ไอ้ผม ก็นึกว่า เขาคงจะสำนึกแล้ว....เลิกแล้วกันไป
ผมก็เร่งความเร็วขึ้นไป
ระหว่างแซง สัญชาติญาณมองด้วยหางตา เห็นเลยว่า เขาหันมาจ้องหน้า
แล้วเขาก็เร่งเครื่อง ขึ้นมาซ้อนหลังผมอีก....
ทำแบบเดิมอีก คือ สาดไฟใส่ผม....ไอ้ไฟซีน่อนสว่างจ้า นั่นแหละ
ไม่สาดไฟเฉยๆ นะ มีบีบแตรท้าทายด้วยแน่ะ......

ตอนนั้น สายตาผมก็มืดวูบ ไปอีก
ผมละโกรธ ปี๊ด..ด..ขึ้นมาเลย
ผมผ่อนคันเร่งลง เรื่อยๆ แล้วเหยียบเบรค...ผมรู้ ไฟเบรคท้ายรถ จะแดงจ้าขึ้นมา
ไอ้รถอีซูซุ คันนั้นมันก็เลย ต๊กกะใจ....เบรคหัวทิ่ม หัวตำ เกือบชนท้ายรถผม
แต่ผมระวังอยู่แล้ว ผ่อนคันเร่ง เหยียบเบรค แล้วปล่อย ไปเหยียบคันเร่งต่อ
ที่ต้องเร่งเครื่อง เพื่อไม่ให้เขาชนท้ายเอาน่ะ
โอ้โฮ....ได้ผล คนขับยิ่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง.....คงไม่ได้ฝึกสติ เหมือนกัน
ผู้หญิงที่นั่งมาด้วย คงจะเป็นแฟน พยายามห้ามอุตหลุด
แต่ไอ้หมอนั่น ยิ่งยั๊วใหญ่เลย ไล่จี้รถผม สาดไฟ บีบแตร
แหม....มันทำทุกอย่าง พร้อมกันได้แฮะ...เก่ง

ผมนี่อดีต จอมยวนตี นนนน...เหมือนกัน
ผมก็ทำแบบเดิมอีกเรื่อยๆ ยั่วโมโหเขา.......ขาดสติเหมือนกัน
ตอนนั้น คิดแต่ว่า จะทะเลาะกับมัน คงด้วยอารมณ์ที่ค้างมาด้วย
รถคันนั้น ก็พยายามแซง
ผมก็พยายามขวาง....สนุกดี
สุดท้ายเขาผ่อนคันเร่งลง
ผมก็กลัวเขาเว้นจังหวะ เพื่อแซง ผมก็เลยลดความเร็วลงตามไปด้วย
จนสุดท้ายมาหยุด ทางเลนข้างซ้าย จ่อท้ายกัน แต่หางกันสักเมตรได้

จากนั้นผมก็จะลงจากรถ ไปต่อยกับเขา
เขาก็กำลังจะลงจากรถ มาต่อยกับผมเหมือนกัน

ตอนนั้น รถคันอื่นๆ เลนอื่นๆ ก็วิ่งกันเร็วมาก.....ถนนก็มืด....รถก็เยอะ
ทันใดนั้นเอง...เสียงเบรค....เอี๊ยด..ด....เอี๊ยด..ด..ด ดังลั่นมาข้างหลัง
แล้วก็....โครม..ม...
รถแท๊กซี่สีชมพูคันหนึ่ง วิ่งมาชนท้าย รถของเขาคันนั้น อย่างแรง...
แรงจน รถของเขา กระดอนมาชนท้ายรถผมอีกที
แรงกระแทกทำให้ผมถึงกับเจ็บที่หลัง...
ผมรีบลงจากรถไปดูเหตุการณ์
เขายังไม่ลงมา ปรากฏว่า เขากับแฟน เจ็บมากกว่าผมเป็นธรรมดา
แต่ที่น่าตกใจ ก็คือในรถแท็กซี่.....
ทั้งคนขับ ทั้งผู้โดยสาร ซึ่งมีคนเดียวนั่งหน้า เจ็บมาก..ก...
คนขับเจ็บหน้าอก แต่ผู้โดยสาร เลือดเต็มหน้าเลย

ผมตกใจมากเลย.......โอ๊ย...เราทำอะไรลงไป
ตอนนั้นสติ กลับมาอย่างเร็วเลย
สิ่งที่รู้สึกตอนนั้น คือ......เสียใจ.....เสียใจ ในการกระทำของตัวเอง
เราก่อกรรม ซะแล้ว.....ไม่น่าเลย
ความคิดตอนนั้น มันแล่นเร็วมาก
คิดย้อนไปถึงตอนเริ่มต้นของเหตุการณ์

ถ้า...ตอนนั้น...ตอนที่ ไฟซีน่อน แทงเข้าตาเรา ครั้งแรก
ถ้า...เราหลบให้เขาไปซะ....ก็สิ้นเรื่อง...ไม่น่าโมโหเลย
โธ่...ไม่น่าเลย...ไม่น่าเลยจริงๆ
ความคิดเพิ่งจะหยุด เขา คนขับรถอีซูซุ ก็มายืนข้างๆ ผม
มายืนหน้าซีด.ด.. คงตกใจเหมือนกัน
เราสองคน...รีบไปดูคนเจ็บในรถแท๊กซี่

ปรากฏว่า...คนขับไม่เป็นอะไรมาก เจ็บที่หน้าอกนิดหน่อย...เซฟตี้เบลท์มันกระชากดึงไว้
คนโดยสาร เลือดกำเดาออกมาก เลยดูน่าตกใจ....เอาผ้าเช็ดหน้าอุดไว้ซักพักก็ดีขึ้น แต่พรุ่งนี้ หน้าคงบวมแหละ
พักเดียว ตำรวจก็มา เขาประจำอยู่แถวนี้อยู่แล้ว
ตำรวจเล่าว่า ชนกันเป็นประจำ ถนนสายนี้อันตรายมาก
พอชนกันขึ้นมา รถที่วิ่งตามมา ก็จะเข้าชนซ้ำอีก เพราะมากันเร็ว...

รถทั้งสามคัน มีประกันฯ ทุกคันเลยไม่มีปัญหา
ผู้โดยสารที่เจ็บ ก็ไม่เอาความ...
ผมสองคน ขอโทษขอโพยเขากันใหญ่
เขาก็งง....ว่าทำไม
รถแท๊กซี่อู่ก็มาลากไป เพราะหม้อน้ำแตก
ก่อนไป เจ้าของอู่บอกว่า...แปลกใจมาก คนขับคนนี้ขับระมัดระวังมาก ไม่เคยมีอุบัติเหตุมานานแล้ว

คนอี่นไปกันหมดแล้ว เหลือผมกับเจ้าของรถอีซูซุ ยืนมองหน้ากัน
แล้วเขาก็ต่อว่าผม ว่าขับช้า
ผมก็ว่า ก็ไอ้ไฟซีน่อน เปร๊ต ของคุณนั่นแหละ เข้าตาวูบเลย ผมก็ต้องชะลอความเร็วซิ
เขาก็อึกอัก ว่าจะให้ทำยังไง ซื้อมามันก็เป็นอย่างนี้เอง โทษเขาไม่ได้
ผมเลยทำใจเย็นๆ บอกไปว่า......ที่จริงแล้ว คุณแค่ตั้งไฟให้ต่ำลงหน่อย ก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่เข้าตาคนอื่น
เขาสะอึกไป....แล้วก็ยอมรับว่า จริงด้วย.....วันก่อนก็เกือบมีเรื่องเหมือนแบบนี้ทีหนึ่งแล้ว
แล้วเราก็ขอโทษกันทั้งคู่ ที่ขาดสติด้วยกัน
ผมก็บอกว่า เราทั้งคู่เกือบก่อกรรมหนัก ซะแล้ว
ก่อนไปเขาบอกว่า
....เราไม่ได้สาดไฟใส่กันหรอก แต่ เหมือนเราสาดกองไฟใส่กันมากกว่า มอดใหม้กันทั้งคู่.....

พอเขาไปแล้ว ผมนึกได้...
ตอนนั้น....ถ้ามีคนอื่นตาย...ก็เป็นตราบาป ไปชั่วชีวิต
แต่ถ้าผมโชคร้ายตายพร้อมโทสะ...ผมต้องลงไปเป็นสัตว์นรก แน่นอน
เคยได้ยินที่ไหนจำไม่ได้

...ชีวิตนี้มันสั้นนัก จะเทียวรักเทียวโกรธ กันทำไม....


อนณ 089-995-9377
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 14:23:42




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 4 มกราคม 2554 22:47:33 น.
Counter : 1124 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.