กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 11

โอ้..อินเดีย 11

เมื่อวานเล่าถึงช่วงเช้า พวกเรายังมัวแต่ชื่นชมอยู่กับความงดงามของ...วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
ซึ่งเป็นวัดที่มีการออกแบบ มีการดีไซด์ สวยไปหมดทุกตารางนิ้ว
แต่ก็เป็นเพียงวัตถุธาตุ

สิ่งสำคัญไปกว่านั้น...คน
ที่นี่อันหมายรวมไปหมด ทั้งพระสงฆ์ แม่ชี เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครช่วยงาน ทั้งหลายแหล่
เป็น มนุษย์ ที่คัดสรรมาแล้ว ได้รับการอบรมมาอย่างดี
ทั้งความรู้ ทั้งกริยาท่าทาง ทั้งการกระทำ โดยเฉพาะ...จิตใจ
ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงคงต้องยกย่องให้กับ...พระราชรัตนรังษี หน.ธรรมทูตอินเดีย-เนปาล
พระธรรมทูต ท่านเป็นมากกว่าแค่ เผยแพร่พุทธศาสนา เท่านั้น
เพราะเท่าที่พอจะเห็นในเวลาอันสั้น พวกท่านทำงานกันตั้งหลายอย่าง
เอาเรื่องแรกก่อนนะ บุคคลิก กริยา ท่าทาง...เยี่ยมยอด
แต่ละรูป มีท่าทางเป็นพระรุ่นใหม่ กระฉับกระเฉง กระตือรือร้น คล่องแคล่ว
ทั้งเรื่องความรู้ระดับปริญญา
ทางธรรมระดับนักธรรมเอกเป็นอย่างน้อย
ทั้งเรื่องปฏิบัติฯ ก็ต้องเป็นนักภาวนาด้วยนะ
เห็นว่าก่อนที่จะสอบผ่านมาเป็น พระธรรมทูต ที่อินเดียนี่ได้
ต้องฝึกงานด้านการก่อสร้าง และต้องลงมือ ลงแรง สร้างกุฎิให้เสร็จ 1 หลังซะก่อนถึงจะผ่าน
ทั้งยังต้องทำหน้าที่ ดูแล คนไทยที่ไปแสวงบุญให้มีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และยังทำหน้าที่ประสานความสัมพันธ์ระหว่าง คนไทย และ คนอินเดีย ให้สนิทสนมกลมกลืนกัน
หน้าที่อีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นว่า ยากเย็นแสนเข็ญ คือประสานความสัมพันธ์อันดี
ระหว่าง ศาสนาพุทธ กับ ศาสนาหรือลัทธิ อื่นๆ
เรียกว่าท่านจะต้องมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน...มนุษย์สัมพันธ์

ที่วัดไทยหลายแห่ง มีคลีนิครักษาคนอินเดียด้วยนะ
ดูเหมือนจะ ฟรี หรือเกือบฟรี โดยที่ทางวัดไทยเราเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายสารพัด
ทั้งค่าจ้าง หมอ หมออินเดียเนี่ยแหละ ค่ายา ค่าอะไรต่อมิอะไรทุกอย่าง
มีคนไข้มารักษากันเยอะเลยเชียวแหละ คิวยาว..ว...ว
นอกจากนั้น พระธรรมทูตไทย ยังตั้งโรงเรียนอีกด้วย
เพื่อสอนพวกเด็ก ๆ อินเดีย
ยังไม่หมด...ยังจัดบวช สามเณร ให้กับเด็กอินเดียที่สนใจอยากจะบวช
แล้วเล่าเรียนกันจริงจัง จนถึงระดับปริญญาเอกโน่น..น...เลย
ผมมอง มองดูแล้วพวกท่านทำงานสารพัด ทุกมิติ ทุกรูปแบบ
ซึ่งหลายเรื่องที่พวกท่านกระทำมัน...แยบยล มาก
เช่น เมื่อเช้าผมเดินไปดูเห็นมี รูปหล่อทองเหลือง โคนันทิ ซึ่งก็คือวัวที่คนอินเดียเค้านับถือกัน
หรือ รูปเคารพ ในศาสนาฮินดู ไม่ใช่แค่ตั้งอยู่เท่านั้นนะ
แต่มีการจัดทำให้เห็นว่าเราเคารพสักการะ อีกต่างหาก
พอผมเห็นปุ๊ป ก็เกิดจิตใจชั่ว ตำหนิพระที่นี่ทันที
หันไปถาม พระหนุ่ม รูปหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลอยู่แถว ๆ นั้น
ผมก็ถามด้วยหางเสียงไม่ใคร่พอใจนักว่า ทำไมต้องมีรูปเคารพพวกนี้ด้วย...เราเป็นพุทธ นะ
ท่านก็ยิ้มนิดๆ แล้วเล่าให้ฟังว่า...
รูปปั้น รูปหล่อ รูปเคารพพวกนี้ บางองค์ก็อยู่มาก่อนจะสร้างวัด
หลวงพ่อ ท่านก็ไม่ให้เอาไปทำลาย...เค้าอยู่มาก่อนเราจะมาซะอีก
เหตุผลที่สำคัญอย่างคิดไม่ถึง ท่านว่า...เรามาอยู่โดดเดี่ยว ท่ามกลางคนฮินดู คนศาสนาอื่น ๆ เราเป็นคนแปลกถิ่นมา
เราก็ต้องทำตัวให้กลมกลืน ไม่กล่าวร้าย แต่ก็ไม่งมงาย
การที่มีรูปเคารพของพวกเค้าตั้งวางไว้อย่างดี อย่างเอาใจใส่...
พวกเขาก็จะเห็นว่า เรา เป็นพวกเดียวกับ เขา
ความรู้สึกต่อต้าน คัดค้าน หรือความรู้สึกแปลกแยกกันก็จะไม่มี
มากกว่านั้น พวกเราซะอีกที่ต้องคิดกันให้ดีว่า ทำไมพวกเขาถึงเคารพสิ่งเหล่านี้กันมาเป็นพันปีแล้ว
มันต้องมีสิ่งดี..ดี..บางอย่างซ่อนอยู่บ้างน่ะ
อย่างเช่นการที่คนที่นี่เขาเคารพ วัว ก็เพราะชีวิตพวกเค้าขึ้นอยู่กับ วัว ก็ว่าได้
สิ่งแรกคือใช้ น้ำนมวัว เป็นอาหารหลัก
ใช้ แรงงานวัว ในการช่วยทำงาน ช่วยทำนา ทำเกษตรอย่างสำคัญ
ใช้ ขึ้วัว ในการก่อสร้างบ้าน
ใช้ในการทำเชื้อเพลิงหุงหาอาหาร และให้ความอบอุ่นในยามหน้าหนาว ที่หนาวจนตายได้
เราจะเห็นว่า คนอินเดีย กตัญญูต่อวัวมาก ดูแลเอาใจใส่ หาอาหาร สุมไฟไล่ยุง
หรือบางคนยัง สวดมนต์ให้วัวฟังด้วยซ้ำไป

อีกอย่างหนึ่งที่คนอินเดียให้ความเคารพอย่างมากคือ...เทพหนุมาน
เราจะเห็นศาล หรือรูปปั้นหนุมาน มากมายหลายแห่ง
มีร่องรอยการเซ่นสรวงบูชากันอย่างยิ่ง
ซึ่ง พระราชรัตนรังษี ท่านก็ให้มองว่า...
หนุมาน เป็นทหารเอกของ พระราม
มีชื่อเสียงในเรื่อง อิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช เก่งกล้าสามารถเหลือหลาย
แต่สิ่งหนึ่งที่เราน่าเคารพยกย่องที่สุด คือ...ความซื่อสัตย์
มีครั้งหนึ่ง หนุมาน ถูกใส่ร้ายว่ามีความคิดทรยศ
หนุมาน ได้แสดงความบริสุทธิ์ ด้วยการ...ผ่าอก ควักหัวใจให้เห็นว่า
ในหัวใจ...มีแต่พระราม และนางสีดา เท่านั้น
ตั้งแต่นั้นมาพระรามก็เชื่อในความซื่อสัตย์ของทหารเอกอย่างสนิทใจ
ถ้าใครได้คนอย่างนี้มาเป็น ลูกน้อง หรือญาติพี่น้อง ก็ถือว่าโชคดีอย่างที่สุด
เฮ้อ...ผมฟังแล้วอึ้ง แยบคายมาก
แล้วก็ให้เสียใจที่นึกปรามาสท่าน...บาปกรรม

เรื่องการสร้างคลีนิครักษา ฟรี
ก็เป็นการทำทาน ทำเมตตา เป็นการปรารถนาดีให้พวกเค้าพ้นทุกข์ และเป็นสุข
เรื่องการสร้างโรงเรียน และการบวชสามเณร
คือการสร้างคน สร้างพุทธศาสนิกชน สร้างพุทธบริษัท 4
ทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นการทำตามแนวทางของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรา
เห็นหรือยังครับว่า งานของ พระธรรมทูต ท่านหนักหน้าสาหัสเหลือหลาย
พวกท่านทำงานต่างแดน ทำงานเบื้องหลัง ไม่ค่อยมีใครรู้
นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องการดูแล นักแสวงบุญคนไทย ให้มีความสุข
พระไทยเรา มาสร้างวัดไทย ไว้ในจุดสำคัญต่างๆ ของสังเวชนียสถาน
เป็นที่พึ่งอันเป็นหลัก สิ่งก่อสร้างต่างๆ ต้องคำนึงถึงญาติโยมที่จะมาพัก
มาปลดทุกข์ บรรเทาความหนักใจ ความเหนื่อยอ่อน จากการเดินทาง
ต้องมีห้องพัก ที่สะอาด สะดวก ห้องน้ำ ต้องไม่น้อยหน้าโรงแรม
เรื่องอาหารการกิน ต้องเพียบพร้อม แต่ไม่ฟุ้งเฟ้อตามใจกิเลส
ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า แต่ก่อนนี้คำว่า พระธรรมทูต แทบไม่เคยรู้จัก
หรือพอได้ยินว่า พระบางรูปไปประจำอยู่ต่างประเทศ
ก็ให้นึกว่า ท่านมาสบาย มาท่องเที่ยว มาเสพสุขสนุกสนาน
ไม่เคยรู้เลยว่า พวกท่านมาเป็นเหมือน...ทหารแนวหน้า
มาเสี่ยงภัย มาแผ้วถางทาง มาสู้รบให้กับพวกเรา
ที่สำคัญเป็น...หลัก ยึดขวัญและกำลังใจ ให้คนไทยผู้ตามรอยพระพุทธองค์

แล้วก็อดคิดไม่ได้นะว่า ยังไงเสียท่านก็ต้องหาเงิน หาปัจจัย มาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงานต่างๆ ให้ราบรื่น
ซึ่งเท่าที่เห็นผลงานอันมากมายก่ายกอง และประณีตบรรจง
โอ๊ย ท่านไปหาเงินเยอะแยะมาจากไหนกันนะ
ใครหนอที่มีใจศรัทธามาช่วยกันไม่ได้หยุดได้หย่อน
ไม่รู้แหละ ยังไงผมก็ขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธาของพวกท่านเหล่านั้นด้วย เทอญ.

เอ๊ะ...วันนี้ไหน ๆ ก็เล่าเรื่อง พระไทยในต่างแดนมาแล้ว
ยังมีพระอีกมุมหนึ่ง ที่ผมเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต
แต่ก่อนนั้น ผมก็คิดไปเองตามประสาคนไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนา
ว่า พระสงฆ์ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ พระป่า กับ พระเมือง
คือ พระป่า ในความคิดของผม ก็ไปบุกป่าฝ่าดง ทำความเพียรปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน อย่างเอาเป็นเอาตาย
มีความตั้งใจมุ่งลัดตัดตรงไปสู่พระนิพพานโดยเร็วพลัน
ถ้าเปรียบกับกองทหาร ท่านเหล่านี้ก็คงเป็น พวกทหารแรงเยอร์ นาวิกโยธิน
ซึ่งออกจะดุเดือด และสร้างศรัทธากับผมมาก
ทางด้าน พระเมือง ผมคิดไปเองว่า ท่านก็ทำหน้าที่บริหารซะเป็นส่วนใหญ่
มีชีวิตอยู่ร่วมใกล้ชิดกับประชาชนคนธรรมดา ฆราวาสทั้งหลาย
อยู่เพื่อศึกษา พระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าในแบบปริยัติ
ด้านทฤษฎี เทคนิค วิธีสั่งสอนคนอื่นๆ ต่อไป
เปรียบแล้วก็เหมือนกับ ฝ่ายธุรการ เสนาธิการ นักคิดนักวิชาการต่าง ๆ
อย่างที่บอกนะ...เป็นความคิดแบบของผม คนไม่ค่อยรู้เรื่อง

แต่เที่ยวนี้ผมได้เห็น พระสงฆ์ ในอีกมิติ อีกรูปแบบ
พระอาจารย์วิทยากร พระนำทัวร์ หรือบางคนเรียกว่า พระไกด์
ก็คงจะมีแต่ประเทศอินเดีย นี่ละมั๊งที่นักท่องเที่ยวอยากได้ พระ เป็นไกด์ นำคณะทัวร์
แต่ก่อนผมก็พอรู้ว่ามีพระจัดทัวร์เหมือนกันนะ
แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่อง ไม่เข้าเรื่อง เป็นพระดันมาจัดทัวร์ซะนี่
บางวัดมีการเชิญชวนกันเอิกเกริกซะด้วยแน่ะ
แต่พอได้มาประสบกับตัวเองในครั้งนี้..นี้..นี้
โอ๊ย...กระผมต้องขอขมาโทษ ขอได้โปรดงดโทษ ให้กับคนโง่ ๆ อย่างกระผมด้วยอย่างแรง ด้วยเถิด

ทัวร์ที่ผมไปนี่ชื่อ สังคมทัวร์
แต่มีคนที่แสวงบุญเกือบทั้งหมด มาจากนครปฐม
โดยมีพระอาจารย์วิทยาการ จาก...วัดพระปฐมเจดีย์
นำโดย...ท่านพระครูพิศาลเจติยาภรณ์
และมีพระอาจารย์อีก 4 รูปมาช่วยกันบรรยายความรู้ต่าง ๆ มากมายเหลือจะจดจำ
ตลอดเวลา 10 วัน พระทั้ง 5 รูปได้ช่วยกันดูแลเอาใจใส่พวกเราอย่างดีที่สุด
ผมเคยแต่ปรนนิบัติพระ แต่มาที่นี่ พระแทบจะปรนนิบัติเรา
นั่งรถบัสไปด้วยกันทุกวัน ท่านก็ผลัดเปลี่ยนกันสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานไม่น่าเบื่อ
ผลัดกันเล่าเรื่อง พุทธประวัติ พระไตรปิฏ ความรู้เกี่ยวกับสถานที่สำคัญทั้งหลาย
ทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ชี้ชวนดูนั่นโน่นนี่ ไม่ได้หยุด
ตลอดหลายวันเหมือนกับมาเข้าคอร์สธรรมะ และปฏิบัติธรรม
ท่านพาสวดมนต์ นั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน
ยิ่งตาม สังเวชนียสถาน แต่ละแห่งแล้วท่านก็พาเราสวดมนต์ เดินเวียนรอบ
พูดอธิบาย โน้มน้าวจิตใจพวกเราให้อ่อนนิ่ม ง่ายต่อการรวมจิต
นำการนั่งสมาธิภาวนา ณ.ตรงจุดที่เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
ท่านพาเราย้อนเวลา กลับไป 2,500 กว่าปี
ให้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว ว่ามีความสำคัญ และเป็นมายังไง
พระอาจารย์ทุกรูป ท่านตั้งใจมากที่จะช่วยให้เราพ้นอบายภูมิให้ได้
พวกท่านเหนื่อยนะ ไม่ได้สนุก ไม่ได้สบายซักนิดเดียว
แว่บนึง ผมยังอดคิดไม่ได้ว่า...ท่านทำถึงขนาดนี้ไปทำไมกัน
พวกเราเป็นใคร ก็แค่คนธรรมดา ที่ไม่ได้รู้จักกับท่านซักกะหน่อย
แต่สิ่งที่เห็น ที่สัมผัสได้...พระอาจารย์ทั้งหลาย ท่านทำเต็มที่ เต็มกำลัง
เวลาที่นำสวดฯ ท่านใช้น้ำเสียงที่ออกมาจากจิตวิญญาณเลยหละ
น้ำเสียงที่มีความตั้งใจ มีความปารถนาดี ดึงดูดจิตใจเราให้ไปกับท่านด้วย
แล้วก็แปลกนะ สวดมนต์ที่อินเดีย ที่สังเวชนียสถาน แต่ละแห่งนี่ขลังชะมัด
ได้ปิติ ได้น้ำตา แทบทุกครั้ง
ยิ่งอีตอน แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล ให้คนที่เรารัก เรารู้จัก คนที่เราเป็นหนี้กรรมเวร
รู้สึกเลยว่า มีพลังบุญกุศลทะลักทะลายออกจากตัวเรา...แผ่ไป พุ่งไป ถึงเขาเหล่านั้น
เฮ้อ...ความรู้สึกเหล่านี้อะนะ ต้องมาลองเองถึงจะซาบซึ้ง
ต่อให้อธิบายหลายพันหน้ากระดาษมันก็ไม่เท่ากับมานั่งที่ตรงนี้ ด้วยตัวเอง
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ติ...จริง จริง

วันที่ผมไปเห็น รูปสลัก...พระธรรมจักร
อันเป็นแผ่นหินรูปวงล้อเกวียน ที่พิพิธภัณฑ์พาราณสี
ผมอดแว่บคิดถึงคำ ...พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ให้พวกเราช่วยกันเข็น กงล้อธรรมจักร
ใช่แล้ว ใช่เลย พระอาจารย์ทุกท่าน กำลังออกแรงช่วยกันเข็นกงล้อพระธรรมจักรกันอย่าง...สุดกำลัง
พวกท่าน เป็น พระ พระแท้ ๆ ไม่ต้องปลุกเสก แต่ท่านปลุกพวกเรา
ณ.วันนี้ ผมได้เข้าใจอีกหลายอย่างแล้วว่า
ไม่สำคัญอะไรเลยว่าจะเป็น พระป่า พระบ้าน คันถธุระ วิปัสสนาธุระ
เถรวาท มหายาน พระโพธิสัตว์
แต่การทำตามคำสั่ง คำสอน ของพระบรมศาสดา
นั่นก็เป็นมรรค เป็นหนทาง ทั้งนั้น
ต่างคนก็ต่างทำตามหน้าที่ ทำตามที่ตนถนัด
แต่สำคัญที่สุด...ทำให้เต็มแรง ทำให้สุดกำลัง
ขอกราบระลึกถึงพระคุณ ของ พระธรรมทูต และ พระอาจารย์วิทยากร
ทุกรูป ทุกท่าน ไว้ด้วยความเคารพ...อย่างสุดซึ้ง



อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 14 เมษายน 2555    
Last Update : 14 เมษายน 2555 12:10:35 น.
Counter : 3468 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 10

โอ้..อินเดีย 10

วันนี้พวกเรามาถึงเมือง...กุสินารา
ที่จริงมาถึง วัดไทยกุสินารา เอาตอนค่ำ ประมาณ 2 ทุ่ม
ผมเองก่อนจะมาอินเดีย งานยุ่งวุ่นวายมากซะจนไม่ได้ทำการบ้านหาข้อมูลอะไรเลย
พอรถจอดเทียบวัด ก้มหน้าก้มตาขนของกันลงมา
รีบวิ่งจู๊ดไปเข้าห้องน้ำกันชุลมุน จนกระทั่งได้ห้องพัก
ขอบอก...ห้องพักอย่างกับโรงแรมดี ๆ เลยนะ จะบอกให้
อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วลงไปทานข้าวที่โรงอาหาร ซึ่งวัดนี้แปลกกว่าที่อื่นทั้งหมด
บริเวณที่กินข้าว เรียกว่า...ท่าข้าว อยู่ชั้นล่าง
บริเวณที่บริการเครื่องดื่ม ประเภท กาแฟ น้ำชา น้ำองุ่น ....เรียกว่า ท่าน้ำ จะอยู่ชั้น 2
อาหารการกินก็ดูแลโดย คุณแม่ชี ทั้งหลายเช่นกัน
กับข้าวง่าย ๆ แต่อร่อยมาก เวลากินต้องยับยั้งชั่งใจโดยตลอด
แล้วก็เดินไปหากาแฟดื่ม ที่เรือนท่าน้ำ
พอเดินขึ้นบันไดถึงชั้น 2 ก็ต้องอึ้งกับ พระพุทธรูปปาง...ประสูติ
ทางวัดได้ออกแบบ จัดวางไว้อย่างสวยงาม และน่าดูม๊าก..มาก
ห้องที่ใช้นั่งดื่ม ก็จัดได้น่ารัก น่านั่งอย่างมาก...โรงแรมยังสู้ไม่ได้
คุณแม่ชี ที่คอยบริการเรื่องเครื่องดื่ม ท่านก็สุดยอดจะแสนดี
ชี้ชวนให้ดื่มน้ำองุ่น ที่ท่านได้มาแล้วเอามาปั่นคั้นเตรียมเอาไว้ให้ อ่ะ
โอ้...คุณเอ๊ย เวลาที่เราไปอยู่ต่างแดน ไม่ใช่บ้านเมืองของเรา
จิตใจมันก็วังเวงอยู่บ้าง แต่ทุกครั้งที่ไปถึง...วัดไทย
ความรู้สึกว่า นี่..บ้านของเรา มันจะเข้ามาแทนที่ทันที
แต่นี่...ยิ่งได้น้ำใจจากคนไทยที่นี่ คุณแม่ชี ที่นี่
ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ จากการเดินทาง...เหนื่อยมั๊ย อาบน้ำกันหรือยัง
กินข้าวแล้วหรือยัง...สารพัด
มันเหมือนกับ กลับบ้านมาเจอ...แม่...ที่คอยห่วงใยปลอบประโลม
นี่ท่านยังกุลีกุจอเตรียมจัดหา น้ำองุ่น น้ำชา กาแฟ อะไรต่อมิอะไรให้สารพัด
ให้ ฟรี..ฟรี...นะ ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน
ให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่ปลดทุกข์ ให้ที่พัก...ให้น้ำใจอันใสเย็น..น..น
ให้เพราะพวกเรา...เป็นคนไทย
ให้เพราะพวกเรา...มาแสวงบุญ
แค่นั้นเอง....โอ้ เฮ้อ
พวกท่านไม่ใช่ คน ไม่ใช่ มนุษย์ แล้ว...
ท่านเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า แน่นอน

ตอนที่เดินไปกินข้าวกันน่ะ รีบ ๆ เดินกันไป ผ่านพระเจดีย์ขนาดใหญ่
อื้อฮือ...สวยจัง แล้วเราก็ยกมือไหว้
แต่อีตอนที่อิ่มข้าว อิ่มน้ำ อิ่มน้ำใจ เดินกลับมาห้องพักผ่านพระเจดีย์อีกครั้ง
แต่ครั้งนี้...ทางวัดเปิดไฟส่องสว่าง ยิงสปอร์ตไลท์บางจุด
โอ้โฮ...เจ้าประคุณ เอ๊ย..ย...ย...
งดงาม...ตระการตา อย่างที่สุด
คำว่า สวย ใช้กับภาพที่เห็นไม่ได้เลยซักนิด
ไปหาภาพดูกันเองก็แล้วกัน แต่เชื่อเถอะครับ
ไม่ได้ 1 ใน 10,000 ของสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ไม่ใช่พระเจดีย์นะ แต่เป็น พระมหาเจดีย์ นี้...งดงามจนสะกดพวกเรา ตะลึง
สิ่งที่ทำได้คือ...ก้มลงกราบ ระลึกถึง พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
ระหว่างที่หมอบกราบกันอยู่นั้น ได้ยินใครซักคนพูดขึ้นว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงของเรา...พระองค์ท่านออกแบบหลัก
ให้ไอเดีย แนวคิด แนวทาง ทั้งหมด
แล้วยังตรวจสอบแก้ไขอย่างใกล้ชิดเป็นระยะ ๆ เรียกว่า
ทรงควบคุมการออกแบบ ด้วยพระองค์เอง
และพระราชทาน พระบรมสารีริกธาตุ มาประดิษฐานอยู่ภายในด้วย
ผมเลย ก้มลงกราบอีกครั้ง...นิ่ง นาน
ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างใหญ่หลวง
โชคดีจริง ๆ ที่เกิดป็น...คนไทย

และแล้วแก็งค์ คุณหมอ ของผมก็เกิดความคิด...
เราไปเดินสวดมนต์ เวียนรอบพระมหาเจดีย์กันดีกว่านะ
เออ...ก็เข้าท่านะ
ว่าแล้วก็เดินกันไปถามที่โซนต้อนรับ
ระหว่างเดินไปก็ให้สังเกตุสิ่งรอบตัว...โอ้
วัดนี้สวยจริง ๆ สวยไปซะทุกตารางนิ้ว แสดงว่ามีการคิดออกแบบ
ไตร่ตรองอย่างคิดแล้ว คิดอีก...
การจัดวางผัง การดีไซน์ สุด...สุด
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของวัตถุอะนะ
พอพวกเราเดินไปโซนต้อนรับ ก็เจอดี...ดีจริง ๆ
มีพระ เอ้อ..พระสงฆ์ นี่แหละ...ท่านเดินเข้าหาเรา
ต้องใช้คำนี้แหละ ท่านเดินเข้าหาเรา ออกมาต้อนรับเราอย่างตั้งใจ
มารู้ทีหลังว่าท่านเหล่านี้เป็น...พระธรรมฑูต
เป็นพระ ที่ทำหน้าที่เป็นฑูตเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง คนไทย กับคนอินเดีย
แต่ผมว่าท่านยังเป็นฑูต เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง คนอย่างพวกเรา กับ พระพุทธเจ้า อีกด้วย
พระ ท่านเดินเข้ามาต้อนรับดูแล ถามถึงความยากลำบากของการเดินทาง
ถามว่าอยากให้ท่านช่วยอะไรมั๊ย...แล้วก็อธิบายเรื่องราวต่างของวัด ของทุกเรื่องที่เราอยากรู้
ท่านใจดีม๊าก..มาก อดทนกับพวกเรื่องมากอย่างเราสารพัด

แต่ที่ผมอึ้งมากก็คือ แนะนำให้พวกเราไปไหว้ศาลผู้คุ้มครองบริเวณนี้
และยังมีศาลของ หมอชีวกโกมารภัทร อีกด้วย
เท่านั้นแหละ...บรรดาคุณหมอรีบเดินแน่บไปกราบไหว้ พ่อหมอฯ ที่เคารพของพวกเค้า
อย่างที่บอกนะครับว่า เวลาตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว
คนที่มาด้วยกันเค้าเข้านอนพักกันเกือบจะหมดแล้ว
บรรยากาศเงียบสงบดีพิลึก
พอเดินไปถึงบริเวณที่ตั้งศาล ถึงได้เห็นว่าเป็นที่รวมของ...
พระแม่ธรณี พระภูมิเทวา หมอชีวกฯ และรูปเคารพที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็น
เทวรูป...พระยามัจจุราช
แล้ว คุณหมอ ปุ๊กกี้ ชาราร่า ก็บอกว่ากราบพวกท่านกันเหอะ
สถานที่แห่งนี้ มีเทวดาและความขลัง...มากมาย
พวกเราก็ต้องเชื่อแหละ เพราะแกเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้
แหม...กราบแล้วก็ชื่นอกชื่นใจดีแท้
เดินกลับมา ก็ยังเจอ พระ ท่านยืนคอยอยู่อีก
แล้วท่านก็แนะนำว่า...เราน่าจะไปเดินสวดมนต์เวียนรอบ พระมหาเจดีย์
แต่ต้อง 33 รอบนะ...สามสิบสามรอบ
เอ๊ะ ทำไมต้อง 33 รอบ
ฟังว่า เพื่อให้เราได้เกิดมามีร่างกายครบ 32 หรืออะไรซักกะอย่างนี่แหละ
แต่ทำไมต้องบวกอีก 1 ก็ไม่รู้แฮะ ลืมถามอ่ะ

แล้วเราก็ไปยืนอธิษฐานกันที่หน้า พระมหาเจดีย์
ผมก็สงสัยนะว่า พวกคุณหมอแกเอาจริงเหรอ...33 รอบเนี่ยะนะ
แต่ทุกคนศรัทธากันมาก เอาก็เอาวะ
มอบหมายให้ หมอปุ๊กกี้ เป็นคนคอยนับ...เพราะแกคุยว่า สติดีที่สุด
กว่าจะครบ หรือเกินก็ไม่รู้ กินเวลาเข้าไปตั้งเป็นชั่วโมง
เดินกันเงียบ ๆ ต่างคนต่างสวดมนต์กันไป
จนหลาย ๆ รอบแล้วผมเลยใช้วิธี เจริญสติ แทน
ทีแรกคิดว่าจะไม่ไหวซะอีก เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน
แต่เพราะ พวกคุณหมอ แกลากพากันจนตลอดรอดฝั่ง
เฮ้อ...กัลยาณมิตร เป็นแบบนี้ นี่เอง

ตอนเช้า...อากาศดีสุดยอด
หลังจากนอนหลับอย่างสนิท จิตแช่มชื่น อาบน้ำอาบท่าแล้วมากินข้าว ดื่มกาแฟกันอย่างมีความสุข
มายุ่งก็อีตอนผ่านไปเห็นห้องที่ สมเด็จพระเทพฯ ท่านเคยมาพัก
และยังมี พระเก้าอี้ ที่ประทับตั้งวางอยู่อย่างสง่างาม
มีคนในคณะทัวร์ของเรานี่แหละ กำลังดูอย่างชื่นชมกันสัก 3 – 4 คน
ผมกับแก็งค์คุณหมอ เดินมาดูบ้าง
แล้ว จู่ ๆ คุณหมอปุ๊กกี้ ชาราร่า ก็ดั๊นพูดขึ้นมาว่า
ห้องนี้มีเทวดารักษานะ ตั้งหลายองค์...
พวกเราก็ เหรอ..เหรอ..ดีจังเนอะ แค่นั้น
แต่คนอื่นๆ ซิ พอได้ยินเท่านั้นแหละ ถามกันวุ่นวายอุตลุต
จนในที่สุด คุณหมอปุ๊กกี้ บอกว่า...เอายังงี้นะ เดี๋ยวจะถ่ายรูปให้
แล้วจะลองอธิษฐานให้เห็นเทวดาท่าน
ว่าแล้วแกก็ยกกล้องของคนที่สนใจขึ้นอธิษฐาน แล้วถ่ายภาพคนนั้นนั่งหน้า พระเก้าอี้ ให้
พอย้อนดูในจอของกล้อง...นอกจากมีภาพคน คนนั้นแล้ว รอบๆ ตัวยังมีดวง เรือง ๆ แสง อีกหลายดวง
ก็ไม่รู้นะใครจะคิดยังไง แต่ผมน่ะ...โคตรนับถือแกเลย อ่ะ
บรรดาคุณหมอทั้งหลาย เค้ากลับพยักหน้ากันหงึกหงัก ดีใจด้วย
แค่นั้นเอง...เห็นเป็นเรื่องธรรมดา มาก...ก...

ผมก็ออกเดินสำรวจวัดแห่งนี้อีกครั้ง...โอ้ สวยจริง..จริง
ชื่นชมคนออกแบบอย่างแรง ทุกตารางนิ้วผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างที่สุด
โซนรับรองเมื่อคืนนี้ เพิ่งจะเห็น...มีพระพุทธรูป จัดวางไว้อย่างงดงาม
แถมผมยังไปเจอ...พระแม่กวนอิม พันมือ พันหน้า พันตา
ที่งามอย่างไม่เคยเห็นเลย
มารู้ทีหลังว่า เป็น..พระสหัสหัตถ์สหัสเนตร หรือพระกวนอิมพันมือพันตา
ภาคนี้เป็นภาคที่รับภาวะทุกข์ของสัตว์มากที่สุด เพราะประจำอยู่นรกภูมิ
สัตว์ที่ทำบาปต้องตกนรกในวันๆหนึ่ง มีมากมายเหลือคณา
ดังนั้น จึงต้องมีพันมือพันตา พันตา คอยช่วยเหลือเมื่อเห็นว่าสัตว์นรกนั้น
สำนึกบาปและพอช่วยได้
หาโอกาสไปกราบท่านกันนะครับ...พวกเราที่ สำนึกบาป และพอช่วยได้ น่ะ

วัดไทยกุสินารา แห่งนี้สวยไปหมดทุกสิ่ง
ไม่ต้องพูดถึง พระมหาเจดีย์ ซึ่งเป็นที่สุดแล้ว แต่ที่โบสถ์ก็เหลือจะบรรยาย
บอกได้คำเดียวว่า ผู้ที่ออกแบบ ท่านเป็นสุดยอดคน

แล้วเราก็ไปรวมตัวเพื่อถวายผ้าป่ากันที่โบสถ์อันงดงาม
ถวายแล้ว พระสงฆ์ ที่เป็นประธานในพิธีก็กล่าวยินดีแล้วเทศน์ว่า...
ทำไมเราต้องเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไปไหว้พระถึงประเทศอินเดีย
ซึ่งถ้าหากศรัทธาต่อคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ก็ไม่เห็นจะจำเป็นที่จะต้องไปไหว้พระถึงประเทศอินเดีย ให้เสียเงินเสียทองเสียเวลา
เพราะสถานที่ไหว้หรือทำบุญ มีอยู่ในประเทศไทยมากมาย ก็เพราะ

1 . เพราะอินเดียเป็นแผ่นดินที่ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา
ซึ่งถ้าเราจะเปรียบเทียบการบำรุงต้นไม้ก็ต้องรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ก็ต้องรดน้ำที่ต้นที่ราก
ต้นไม้จึงจะเจริญงอกงาม
การที่เราไปบำเพ็ญบุญ สร้างบารมี ถ้าจะให้มีพลังและบารมีจักเจริญงอกงามได้เต็มที่
ก็ต้องไปที่ แดนชมพูทวีป อันเป็นดินแดนต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนานั่นเอง
ผู้ศรัทธาที่มีสิทธิเลือกจึงเลือกที่จะไปไหว้พระ ณ ที่กำเนิดของแท้
หรือสถานที่จริงให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

2 . พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีตระหว่างบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้บำเพ็ญบารมีในแผ่นดินชมพูทวีปแห่งนี้
การเดินทางไปที่อินเดียจึงเท่ากับว่าเป็นการได้เดินตามรอยพระพุทธเจ้า
ได้มีโอกาสสัมผัสถึงบรรยากาศการบำเพ็ญบารมีของ พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ท่านเดินทางไปมาแล้ว ด้วยตนเอง

3 . การที่เราฟังพระเทศน์ก็ดี สวดมนต์ก็ดี การบรรยายก็ดี เรื่องพระพุทธศาสนา เรื่องพระพุทธประวัติ
ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศอินเดียแทบทั้งสิ้น
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก ถ้าไม่เคยพบไม่เคยได้เห็นแดนดินถิ่นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนา
ได้แต่สร้างภาพและจินตนาการ ซึ่งความเป็นจริงแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง

ฉะนั้น การไปไหว้พระที่ประเทศอินเดีย เป็นการเข้าถึง เป็นประสบการณ์ตรง ดังนี้
ถึงตา
คือได้เห็นกับตาตนเอง เป็นพุทธสถานที่จริง ๆ เช่นต้นพระศรีมหาโพธิ์
เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง ๆ
พระแท่นวัชรอาสน์ คือที่พระพุทธองค์ประทับนั่งบำเพ็ญเพียร
จนได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ
ในขณะเดียวกัน ในเมืองไทยแม้จะมีพุทธสถาน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่สร้างและจำลองขึ้นมา

ถึงหู
คือได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในอดีต ณ สถานที่นั้นๆ ดุจได้ย้อนเวลาในอดีต
ทบทวนความรู้ จากที่ได้เคยได้ยินได้ฟัง ณ สถานที่จริงๆ
เหมือนกับว่าได้กลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงด้วยตนเอง

ถึงที่
ได้มากราบมาไหว้สัมผัสด้วยตนเอง ซึ่งก็ไม่เหมือนกับที่ได้ดูจากภาพ จากสื่ออื่นๆ
ได้สัมผัส ได้เข้าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ ด้วยความลึกซึ้ง

ถึงใจ
ได้สัมผัสความรู้สึกที่เกิดจากใจ ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
บางท่านเกิดความเอิบอิ่มใจ เกิดปีติ น้ำตาไหลโดยไม่รู้สาเหตุ ความรู้สึกเหล่านี้เกิดจากใจ
อันเป็นความรู้สึกจากภายใน ซึ่งความรู้สึกนี้จะเกิดก็ต่อเมื่อได้มาสัมผัสด้วยใจตนเอง ณ สถานที่จริง ๆ ...เท่านั้น

นอกจากนี้แล้ว ท่านยังยกเนื้อความที่ พระพุทธองค์ ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
“ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังสังเวชนียสถาน ๔ สถาน เหล่านั้นแล้วมีจิตเลื่อมใส
ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่กายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”

ซึ่งเป็นคำสั่งเสียฝาก พุทธสถาน ให้ผู้ระลึกถึงพระองค์
ได้เดินทางมากราบสักการะ สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่งนี้
ด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาแล้ว...ย่อมมี สุคติ เป็นที่หมายแน่นอน
ดังนั้นผู้ที่มีโอกาส มีเวลา อย่าได้รีรอที่จะไปไหว้พระ แสวงบุญ ณ ประเทศอินเดีย ให้ได้

สา..ธุ...


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 11 เมษายน 2555    
Last Update : 12 เมษายน 2555 21:53:10 น.
Counter : 3530 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 9

โอ้..อินเดีย 9

เรามาฟังเรื่องการเดินทางไป สังเวชนียสถาน ของผมกันต่อนะ

พวกเราได้ไปสักการะ กราบไหว้สถานที่อันเกี่ยวเนื่องในพุทธศาสนาหลายต่อหลายแห่ง
ทำให้ได้เห็นร่องรอยการเดินทางของ พระพุทธองค์ ว่ายากลำบากไม่ใช่เล่นเลย
ที่อินเดียนี่ดีอย่างหนึ่งนะ คือกาลเวลามันเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
สิ่งแรกที่ผมได้เห็น ได้สัมผัสคือบ้านเมือง ทุ่งนา ชีวิตความเป็นอยู่
เสื้อผ้า การแต่งกาย การประกอบอาชีพ วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต
ถ้าไม่เข้าใกล้ตัวเมืองที่เริ่มมีความเจริญ มีสิ่งก่อสร้าง รถยนต์ขึ้นบ้าง
บอกได้เลยว่า...เหมือนเมื่อเป็นพันปีก่อน
ระหว่างทางที่รถวิ่งไป ส่วนใหญ่จะเป็นชนบทเหมือนกับบ้านนอกของเรานี่แหละ
ชีวิตคนอินเดียก็ขึ้นอยู่กับการเกษตร ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์นิดหน่อย
บ้านเรือนแต่ละหลัง ก็สร้างอย่างง่ายๆ หลังคามุงหญ้า ข้างฝาทำด้วยกิ่งไม้แห้งๆ หรือเป็นดิน ฉาบด้วยขี้ดินโคลน หรือขี้วัว
พูดถึงขี้วัวแล้ว คนที่นี่เขาใช้ทำสารพัดประโยชน์เลยนะ
ที่เห็นๆ คือฉาบข้างฝาบ้านเพื่อความแข็งแรง หรือเพื่อตากให้แห้งด้วยก็ไม่รู้แฮะ
แล้วก็ใช้ทำเชื้อเพลิงหุงหาอาหาร แทนการเผาถ่านไม้
ว่ากันว่า ที่คนอินเดียใช้ขี้วัวเป็นเชื้อเพลิง ทำให้ประหยัดไปได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท ทีเดียว
อย่าดูถูกขี้วัวนะจ๊ะ จะบอกให้
เออว่าไปแล้ว อินเดียนี่ไม่ค่อยเห็นป่าไม้แบบบ้านเรานะ
ต้นไม้ใหญ่มีน้อยกว่ากันเยอะ ส่วนที่ดูจะเป็นป่า ก็แค่ป่าโปร่งๆ คงเพราะแห้งแล้งกว่าบ้านเรา
ตามท้องนาบ้านเขาก็เป็นทุ่งโล่ง ๆ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ตามคันนา 
บ้านที่สมัยใหม่หน่อย ก็เป็นอิฐแดงๆ คล้ายๆ อิฐมอญ แต่ก้อนโตกว่า สร้างอย่างง่าย ๆ สี่เหลี่ยมธรรมดามาก
อีกอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือบ้านที่อยู่แต่ละหลังขนาดไม่ใหญ่ไม่โต
ดู ๆ แล้วผมว่าคนอินเดียเค้าสมถะนะ ไม่ชอบอะไรที่เกินตัวไปนัก
ทั้งๆ จะสร้างให้ใหญ่กว่าที่เห็นก็ได้ แต่เค้าก็ไม่ทำ เอาแค่นี้แหละ...พอแล้ว
ยังมีการใช้เกวียนกันอยู่เลย ซึ่งคิดไปคิดมาแล้วมันโอเคนะ
เสื้อผ้าการแต่งกาย ส่าหรีก็ยังรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้มากทีเดียว
ต้องเข้าไปในเมืองหรือแหล่งความเจริญนั่นแหละจึงจะเห็นแฟชั่นต่างๆ บ้าง
แต่ก็อย่างที่บอกน่ะแหละ...กาลเวลาที่นี่เปลี่ยนแปลงน้อยมาก

คณะพวกเราไปแวะพักกันที่...วัดไทยเวสาลี
ไปถึงเอาตอนค่ำ กินข้าวที่ทางวัดจัดเตรียมให้ แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน
เตือนความจำกันนิดนึงนะ ทัวร์ที่ผมไปนี้เป็นทริปราคาประหยัด แค่ 29,000 เท่านั้น
เดินทางด้วยรถบัสตลอดทริป พักที่วัด ไม่ได้นอนโรงแรม
อาหารแทบจะทุกมื้อ กินที่วัดฝีมือแม่ครัวพ่อครัวไทย ประเภทผัดผัก 
น้ำพริกเผา น้ำพริกนรก ไข่เจียว แกงส้ม...ข้าวต้มมื้อเช้า
แต่มีกาแฟ บริการทุกแห่ง
ว่าไปแล้วนะ ทีแรกผมก็กลัวเรื่องการกินอยู่ แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว...โอ๊ย สบายมาก
เหมือนเข้าคอร์สสุขภาพ อาหารไขมันน้อย อร่อยถูกปาก 
ได้เดินออกกำลังกายเยอะ เวลาแค่ 10 วัน เดินเท่ากับปีที่แล้วทั้งปีเลย
ภรรยาชมว่าพุงยุบไปตั้งเยอะแน่ะ
แล้วเรื่องที่พักนะขอบอก ค่อนข้างดี สะดวกสบายมาก
ถึงจะนอนกันห้องละ 3 คนบ้าง 5 คนบ้าง แต่ก็โอเคนะ
ห้องน้ำ ห้องส้วมสะอาดมาก น้อง ๆ โรงแรมเลยเชียวแหละ
แหม..บางวัดนะ ท่านจัดเตรียมต้อนรับคนไทยอย่างดีที่สุด
เข้าห้องพักไปงี้ นึกว่าโรงแรม 4 ดาว
แต่ที่สำคัญที่สุด...น้ำใจ
น้ำใจของคนไทย พระไทย ที่อินเดียนี่ โอ้โฮ...สุดประเสริฐ
ปนิธานของพวกท่าน คือ ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้แสวงบุญคนไทยให้ดีที่สุด
ผมละนับถือหัวใจของพวกท่าน จริง...จริง
ขอย้ำนิดนึง...ไปอินเดียไม่ได้ทุกข์ทรมาน หรือลำบากยากเย็นอะไรเลย
เสียแต่ว่านั่งรถนานหน่อย แค่นั้นเอง
แต่ก็ได้ฟังธรรมะ ฟังเรื่องราวดี ๆ พระอาจารย์วิทยากรท่านก็คอยผลัดกันชี้ชวนให้สังเกตุดูโน่นนี่นั่น
แล้วก็บรรยายเรื่องราวในพระไตรปิฎก หรือพุทธประวัติประกอบให้ฟัง
เหมือนเปิดวิทยุช่องธรรมะไว้ทั้งวัน
ยังมีอีกสิ่งที่วิเศษสุดอย่างนึกไม่ถึง คือ...ได้พบกัลยาณมิตร
ได้คุยกับคนที่คิดเหมือนกัน ปฏิบัติเหมือน ๆ กัน
ได้ปุจฉา วิสัชนา กันมันส์ไปเลย
หลายคนที่เจอกันในทัวร์ ชาตินี้ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนเลย แต่พอเห็นหน้าก็เกิดปิติสุข
รักใคร่ชอบพอกัน ปรารถนาดีต่อกันอย่างที่สุด...จิต มันจำกันได้
แต่พอกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ บ้านเรา
ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป มันมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์มากมาย
แต่ทุกคนก็ไม่รู้จะพูดอะไร มองกันไปมองกันมา
แล้วก็แยกย้ายกันไป...คนละทิศละทาง
ชีวิตก็อย่างนี้ละนะ ต้องพลัดพรากแยกจากกันไปตาม กรรม ของแต่ละคน
สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่...รอยจำ ลึก.ก.ก...เข้าไปในดวงจิต

ตอนเช้าตื่นมาอากาศดีมากๆ เหมือนทางเหนือของบ้านเรา
หรือคล้ายแถว ปาย แม่ฮ่องสอน อะไรพวกนี้
เย็นสบาย โอโซนเยอะ...ดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
กินข้าว ดื่มกาแฟแล้ว ก็เข้าไปรวมตัวกันทอดผ้าป่า
ที่วัดนี้มีสิ่งที่พิเศษกว่าคือ มี...เณรชาวอินเดีย
มาบวชเรียนอย่างตั้งใจ พวกท่านมาสวดมนต์ให้เราด้วยนะ
เลยมีการช่วยกันเรี่ยไรทำบุญ ให้เป็นปัจจัยในการศึกษาของเณรเหล่านี้ด้วย
ออกจากวัด ก็นั่งรถไปดู...วัดป่ามหาวัน
เป็นสถานที่สำคัญอย่างหนึ่งในพุทธศาสนาเรา คือเป็นที่กำเนิด...ภิกษุณี

เมื่อพระพุทธบิดาปรินิพพานแล้วไม่นานนัก ก็ได้กษัตริย์องค์ใหม่ 
ชื่อ พระมหานามะ เป็นพระราชาครองกรุงกบิลพัสดุ์ต่อไป 
พระน้านางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นทั้งน้า และแม่เลี้ยง
มีพระประสงค์จะบวช แต่พระองค์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง แต่พระนางปชาบดีโคตมีก็ไม่ยอมแพ้
วันหนึ่งพระนางพร้อมด้วยนางกำนัล ๕๐๐ คน ที่เต็มใจบวชด้วย ต่างพากันปลงผม นุ่งหุ่มผ้านักบวช ไปเข้าเฝ้ากราบทูลขอบวชอีก
แต่ พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอีก
ท่านจึงไปขอให้พระอานนท์กราบทูลช่วยเหลือ พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธถึง ๓ ครั้งอีก 
พระอานนท์กราบทูลถึงพระคุณของพระนางปชาบดีโคตมี ที่ทรงเลี้ยงดูมา นั่นแหละจึงทรงอนุญาต 
แต่มีเงื่อนไขให้ปฏิบัติ เรียกว่า ครุธรรม ๘ 
คือ หลักความประพฤติที่ภิกษุณีต้องปฏิบัติด้วยความเคารพศรัทธาตลอดชีวิตละเมิดไม่ได้ 
ถ้ากระทำตามได้จึงให้บวช
พระนางปชาบดีโคตมี ทรงมีพระศรัทธาแรงกล้า ทรงยอมรับปฏิบัติครุธรรมทั้ง ๘ ประการ 
และได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุณีองค์แรกในพระพุทธศาสนา 
ต่อจากนั้นพระญาติวงศ์ฝ่ายสตรี เช่น พระนางยโสธรา เจ้าหญิงชนบทกัลยาณี เจ้าหญิงโรหิณี เจ้าหญิงรูปนันทา ฯลฯ 
ได้พากันออกบวชตามกันมา และได้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูง เป็นพระอรหันตเถรีด้วยกันทั้งสิ้น 

การที่พระบรมศาสดาทรงปฏิเสธไม่ยอมให้สตรีบวชเป็นภิกษุณีนั้น มีสาเหตุหลายประการ เช่น 
นิสัยของสตรีไม่หนักแน่น เจ้าแง่แสนงอน ขี้อิจฉา มีเรื่องจุกจิก ฯลฯ 
ทำให้หมู่คณะอยู่ร่วมกันยาก 

ในครั้งกระนั้นได้มีพระอรหันตเถรีหลายรูปที่ได้รับการยกย่องจว่าเป็นเลิศในด้านต่างๆ 
เช่น พระนางปชาบดีโคตมี เป็นเลิศในทางรัตตัญญู (บวชนานรู้เหตุการณ์ก่อนใคร) 

พระนางเขมา พระอรหันตเถรีรูปนี้เป็นเลิสทางมีปัญญามาก นับเป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา 
เดิมเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร หลงความงามของตนเอง 
ฟังพระบรมศาสดาตรัสสอนเรื่องราคะ และวิธีกำจัดจบลง บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที แล้วบวชเป็นภิกษุณี 

นางอุบลวรรณา พระอรหันตเถรีรูปนี้เป็นเลิศทางแสดงฤทธิ์ เป็นอัครสาวิกาฝ่ายซ้าย 
เดิมเป็นธิดาของเศรษฐีในพระนครสาวัตถี มีผิวพรรณงามเหมือนดอกนิลุบล (บัวเขียว) 
มีผู้มาสู่ขอมากจนบิดาหนักใจ ขอให้นางบวช นางเต็มใจอยู่แล้ว 
จึงบวชเป็นภิกษุณี คราวหนึ่งอยู่เวรจุดประทีปในพระอุโบสถ 
ได้เพ่งดูเปลวเทียนเป็นนิมิต เจริญฌานด้วยเตโชกสิณ (กสิณไฟ) บรรลุเป็นพระอรหันต์ 

นางปฏาจารา พระอรหันเถรีรูปนี้เป็นเลิศทางทรงพระวินัย 
เดิมเป็นธิดาของเศรษฐี หนีตามคนใช้ไปอยู่ด้วยกัน มีลูกสองคน 
ขณะเดินทางกลับบ้านบิดามารดา สามีและลูกตายกะทันหันทั้งหมด 
มาตามทางทราบว่าพ่อแม่พี่น้องถูกบ้านพังทับตายหมด ทำให้เสียสติเป็นบ้า ผ้าหลุดลุ่ยไม่สนใจ 
เดินบ่นเพ้อไปตามที่ต่างๆ จนถึงวัดพระเชตวัน พระบรมศาสดาทรงแผ่เมตตา ตรัสวาจาให้สติ
นางก็พลันหายบ้าทันที
เมื่อฟังธรรมแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบัน ได้บวชเป็นภิกษุณี 
วันหนึ่งตักน้ำล้างเท้า ครั้งแรกน้ำไหลไปหน่อยหนึ่ง 
ครั้งที่สองไหลไปอีกหน่อย และครั้งที่สามไหลมากกว่าครั้งที่สอง 
จึงกำหนดเอาน้ำเป็นอารมณ์ เทียบกับความตายของหมู่สัตว์ว่า 
บางคนตายในปฐมวัย บางคนตายในมัชฌิมวัย บางคนตายในปัจฉิมวัย 
แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ 

นางกีสาโคตมี พระอรหันต์เถรีรูปนี้เป็นเลิศทางครองจีวรเศร้าหมอง 
เดิมเป็นธิดาของคนยากจน แต่เศรษฐีขอไปเป็นลูกสะใภ้ 
เพราะทรัพย์สมบัติของเศรษฐีกลายเป็นถ่าน มีนางคนเดียวที่เห็นถ่านเป็นกองเงินทอง 
เศรษฐีจึงรู้ว่านางเป็นคนมีบุญ มอบทรัพย์ให้นางทรัพย์จึงกลับเป็นเงินทองตามเดิม 
ต่อมาบุตรชายเพิ่งสอนเดินของนางตาย นางเสียใจไปกราบทูลให้พระบรมศาสดาประทานยาให้ลูกของนางฟื้น 
พระองค์ให้นางไปขอเมล็ดพันธุ์ผักกาด ในบ้านของคนที่ไม่เคยมีญาติตาย 
ปรากฏว่านางหาไม่ได้ คนทุกคนทุกบ้านล้วนมีแต่ญาติพี่น้องตายด้วยกันมาแล้วทั้งสิ้น 
นางจึงได้คิด เมื่อฟังพระธรรมเทศนา บรรลุเป็นพระโสดาบันทันที 
ได้บวชเป็นภิกษุณี
วันหนึ่งนั่งพิจารณาเปลวประทีปในพระอุโบสถ 
เห็นบางดวงกำลังลุกโพลง ไม่นานก็ค่อยหรี่ และในที่สุดก็ดับ 
นางถือเอาอาการของเปลวไฟ มีเกิดและดับ เป็นอารมณ์บรรลุเป็นพระอรหันต์

ข้อมูลพวกนี้ผมจำพระอาจารย์เล่าไม่ค่อยหมด ต้องมาค้นเพิ่มเติมเอาบ้าง
แต่พอฟังประวัติแต่ละท่านแล้ว...สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ไม่ยากเย็น
ที่สำคัญ ผู้หญิง ก็สามารถตั้งใจปฏิบัติฯ จนสำเร็จได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

วัดนี้มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นสถานที่ พระพุทธเจ้า ได้ปลงอายุสังขาร
ตามคำทูลเชิญของพญามาร

ที่วัดสำคัญแห่งนี้ สถานที่ใหญ่โต ร่มรื่น มีเสาอโศกที่สมบูรณ์และสวยงามมากตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
พระอาจารย์วิทยาการก็ได้นำสวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิ ซึ่งก็มีคณะผู้แสวงบุญคนไทยคณะอื่นๆ อยู่ด้วย
ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดี ไม่สวดมนต์แข่งกันวุ่นวายเหมือนคณะชาติอื่น

ออกจากที่นั่นแล้วก็เดินทางต่อไปเมือง...กุสินารา
ที่หมายคือ วัดไทยกุสินารา
ซึ่งขอบอกว่า...เป็นวัดไทยที่สวยงามงด อย่างที่สุด
พรุ่งนี้ค่อยเล่าต่อนะ...


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 11 เมษายน 2555    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2555 23:05:15 น.
Counter : 3547 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 8

โอ้..อินเดีย 8

เรามาคุยเรื่องของ คน ที่ผมเรียกว่า...กัลยาณมิตร ต่อนะ

คุณปรีชา...นักภาวนา จากการไฟฟ้า
เป็นพี่ชายของ คุณหมอเค็ก
สนใจเรื่องการปฏิบัติฯ ด้วยการภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง โลดโผน ดุเดือด
คุณปรีชา แกไม่เดินจงกรมแบบช้า ๆ นะ แต่แกจะไปเดินเร็ว ๆ เดินไปไกล ๆ เดินจริง ๆ จัง ๆ
เมื่อนั่งปฏิบัติฯ รวมจิตได้ดีแล้ว จิตก็จะมีพลังโลดโผนยั้งไม่ค่อยอยู่
มีปัญหามาก จนกระทั่งวันหนึ่งได้ไปรู้จักแม่ชี ที่สถานปฏิบัติธรรมในจังหวัดระยอง
แม่ชีท่านนี้ได้สะกิดบางอย่าง ทำให้คุณปรีชาเกิดศรัทธาจนขออุปถาก
จนได้มาอินเดียด้วยกันนี่แหละ
แม่ชีท่านนี้ เคยชี้บอกให้ระวังคนในทัวร์ทริปนี้บางคน ว่าทางภาวนาของเขาอาจจะรบกวนจริตของเรา
แล้วก็จริงด้วยแฮะ คนที่แม่ชีบอกเขามีครูบาอาจารย์ที่คนละแนวทางกับพวกผม
พอนั่งภาวนาใกล้กัน เลยทำให้คลื่นรบกวนกันจนนึกไม่ถึง...แปลกดี เน๊อะ
นั่นทำให้ผมไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้มาก กลัวท่านสัมผัสได้ถึงจิตใจด้านเลวร้ายของผมซะนี่

พี่มหา...ผู้เคยบวชเรียนตั้งแต่เด็ก จนวัยกลางคน
ท่านนี้คุยถูกคอกับผมมาก อย่างกับสนิทกันมาแต่ชาติปางไหน
พี่มหา แกเล่าว่า บวชจนได้ศึกษาเป็นมหาเปรียญ เป็นนักเทศน์ฝีปากเอก
เทศน์จนโยมผู้ฟังน้ำตาร่วงมาแล้วนับไม่ถ้วน
แต่มันมีปัญหาอีตรงที่ บวชมาตั้งแต่เด็กจนกลางคนก็ยังไม่เคยสัมผัสความสุข ความทุกข์ทางโลก
เวลาเทศน์สอนคนอื่น ก็ให้สงสัยในสิ่งที่เทศน์เอง...มันเป็นยังไงนะ
เปรียบเหมือนกับบอกใครต่อใครว่าเกลือมันเค็ม
แต่ตัวเองยังไม่เคยลองลิ้มชิมความเค็มของเกลือเลยซักกะนิ๊ด..ด..
สุดท้ายอดรนทนไม่ไหว สึกหาลาเพศออกมาทดลองของจริง
แล้วก็ได้ดังใจ...พบกับความทุกข์ ซะไม่มีดี
กว่าจะตั้งหลักชีวิตได้ เล่นเอาย่ำแย่ไปเหมือนกัน
ปัจจุบันท่านมีธุรกิจรักษาความปลอดภัย ร.ป.ภ. ซึ่งทำมานานนับสิบปีแล้ว
แล้วยังมีเรื่องตื่นเต้นผาดโผนเล่าให้ผมฟังมากมาย เช่น

เมื่อตอนเป็นเณร อยู่ภาคอีสาน ขณะนั้นอายุน่าจะซัก 15 ปีเห็นจะได้
อ้อ..ปัจจุบันนี้อายุ 61 แล้ว
ในตอนนั้นการเผาศพยังเป็นแบบ เผาสด ๆ บนเชิงตะกอนที่ใช้ฟืนในการเผา
แกก็มีหน้าที่ต้องคอยดูแลสารพัด
ศพที่มีปัญหามาก คือศพของพวกที่ชอบเล่นทางอาคม มนต์ดำ คงกระพัน หนังเหนียว
เวลาเผามันจะไม่ค่อยยอมใหม้ คือจะเผาใหม้แค่เกรียม ๆ เท่านั้น
ยังเหลือเป็นรูปเป็นร่างทั้งตัว เติมฟืนเท่าไหร่ก็ได้แค่นั้น
ต้องมาหาวิธีแก้อาถรรพ์กันวุ่นวาย
แล้ววันหนึ่งก็มีประเภทนี้มาอีกศพนึง ปัญหาเดิมก็เกิดขึ้นอีก
เผาเท่าไหร่ ๆ จนตีสองแล้วก็ไม่ยอมใหม้ซะที
ด้วยความเหนื่อยอ่อน บวกกับความเป็นเด็ก เลยออกปากด่าไปว่า...
ไอ้พวกชอบไสยศาสตร์นี่ยุ่งอิ๊บอ๊าย ตายแล้วก็ยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปหมด....
พอด่าจบ...จู่ ๆ ลมก็พัดอู้ ๆ ยอดไม้ไหวยวบยาบ
เณรก็เงยหน้ามองขึ้นไป แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด
มีเงาดำ ๆ เป็นรูปร่างของมนุษย์ กำลังขย่มอยู่บนต้นไม้
เท่านั้นแหละ เณรปากไม่ค่อยดีก็วิ่งอกตั้งไปที่โบสถ์
ระหว่างวิ่งไปได้กลางทาง ก็เหลียวหน้ากลับไปมอง
แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะเงาดำที่เป็นร่างมนุษย์ตนนั้น
กำลังกระโจนผาดโผนจากยอดไม้ยอดหนึ่ง ไปอีกยอดหนึ่งตามมาติด ๆ
พี่มหาเล่าว่า เงาดำตนนั้นกระโจนได้เหมือนลิงตัวใหญ่ๆ แต่มีรูปร่างเป็นคนแน่นอน
พอวิ่งจีวรปลิวสุดชีวิตเข้าไปในโบสถ์ รีบปิดประตูทันที
สักพักหนึ่งพอตั้งสติได้นิดหน่อย ลองแง้มประตูมองดู
อู๊ย..ย..มองเห็นชัดๆ เลยว่ายังยืนเกาะอยู่บนยอดไม้จ้องมาที่โบสถ์
ในที่สุดเณร ก็เลยต้องสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ทั้งคืน
พี่มหา บอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ผจญกับวิญญาณอย่างจัง
แต่ก็ยังมีครั้งอื่นๆ อีก วันหลังค่อยเล่าให้ฟังนะครับ

หลวงพ่อเทิด...พระป่า จากร้อยเอ็ด
ท่านเป็นพระ ที่พี่มหา...อุปถากให้มาอินเดียเพื่อกราบสังเวชนียสถานด้วยกัน
ผมต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะครับ คือผมไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องพระสงฆ์ หรือศาสนาเท่าไหร่นัก
อาจจะเรียก หรือใช้ศัพท์ผิด ๆ ถูก ๆ ก็ขอได้โปรดงดโทษให้กระผมด้วย
หลวงพ่อเทิด ท่านเป็นพระ...ธรรมยุต
แต่ประวัติความเป็นมาน่าสนใจยิ่ง
ท่านเป็น น้องชาย ของเพื่อนพี่มหา
ในปี 2540 ปีที่เศษฐกิจตกวินาศสันตะโรนั่นแหละ เป็นคนขอนแก่น
ทำงานเป็นพนักงานโอสถสภา ขอนแก่น นั่นแหละ
มีเมียที่แสนรัก และลูกสาวแล้ว งานการก็ดี ฐานะทางพ่อแม่ของท่านก็ดีมาก ๆ
แต่มีนิสัยเสียอย่างนึงคือชอบดื่มเหล้า เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงเป็นประจำ
ซึ่งเรื่องนี้ เมียของท่านจะโกรธเกลียดมาก มีปากเสียงทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้เป็นประจำ
กระทั่งวันหนึ่ง เหตุการณ์ก็ซ้ำซากอีก เมากลับมาบ้านเหมือนเดิม
เมียที่แสนดี แต่คราวนี้โกรธแค้นมากจนทนไม่ไหว หยิบฆ้อนขึ้นมาแล้วทุบเปรี้ยงเข้าไปที่ขาของผัว ที่เมาหลับอยู่อย่างแรง
ส่งผลให้เจ้าตัว ต้องตกใจตื่นด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
หลังจากเห็นเมียรัก ถือฆ้อนอยู่ด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นทันที
ความเจ็บปวด บวกกับความเมากลายเป็นความโกรธสุดขีด ลุกขึ้นจะวิ่งไปทำร้ายเมียรักให้หายแค้น
แต่ก็ต้องหกล้มลงอีก เพราะขาที่ถูกเมียรักทุบ...มันหัก
หลังจากญาติๆ ช่วยนำส่งโรงพยาบาลแล้ว อีกหลายวันที่นอนรักษาตัวอยู่นั้น
ความโกรธแค้น ความเสียใจ ความรู้สึกถึงอดีตอันแสนหวานสมัยเมื่อรักกัน มันประเดประดังขึ้นมาไม่รู้จบ
แต่ท่านก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เพราะเมียท่านพาลูกสาวหนีหน้าไปอยู่กับพ่อแม่
หลาย ๆ อาทิตย์ที่นอนรักษาตัวอยู่นั้น แม้เวลาจะผ่านไป
แต่ความโกรธแค้น ความเสียใจ กลับไม่ลดลงเลย
มันมากขึ้นด้วยความรู้สึกเจ็บแค้นที่ทำกันได้ขนาดนี้...
เมื่อรู้ตัวว่า ความโทสะมันปะทุขึ้นไม่มีหยุด
จนคิดได้ว่า...ต้องหาทางดับมันให้ได้
ท่านตัดสินใจหลบหน้าญาติพี่น้องทุกคนไปให้ไกลบ้านตัวเองที่สุด
ไปบวช อยู่ที่วัดเขาน้อย ท่าแฉลบ จันทบุรี
ใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าใจจะสงบ
จากนั้นก็ไปร่ำเรียนกรรมฐานกับ หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม
ด้วยความตั้งใจปฏิบัติฯ จนหลวงปู่ท่านออกปากฝากฝังกับพระลูกศิษย์เอกให้คอยดูแลให้ดี
หลวงพ่อเทิด ได้เริ่มฝึกออกเดินธุดงค์ขึ้นภาคเหนือ ไปถ้ำผาป่อง ส่องดาว
เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ทะลุไปพม่า และอื่นๆ อีก
ท่านเดินตามทางของพ่อแม่ครูอาจารย์ สายหลวงปู่มั่น หลวงปู่สิม
ไม่ได้ติดต่อกลับไปทางบ้านเป็นเวลาถึง 6 ปีเต็มๆ

จนกระทั่งจิตใจสงบดีแล้วนั่นแหละถึงได้กลับไปให้พ่อ แม่ ท่านเห็นหน้า
พร้อมกับให้ช่วยจัดการเรื่องราวทางโลกให้เรียบร้อย
จากนั้นก็ธุดงค์ ต่อไปจนไปพบที่พักสงฆ์แห่งหนึ่งในจังหวัด ร้อยเอ็ด
เป็นป่าช้ากะเหรี่ยงดั้งเดิม
ท่านบอกว่าชอบป่าช้าที่นี่มาก ได้ทดลองปฏิบัติฯ อย่างอุกฤต อดข้าว 3 วัน 5 วัน ก็ยังอยู่ได้
ทดลองไปจนกระทั่งอดถึง 15 วัน
เลยตัดสินใจอธิษฐานจิตปักหลักสร้างกุฎิให้พออยู่ได้เพียงรูปเดียว
ไม่ออกไปไหน เพราะเบื่อคน...อยู่กับผี ดีกว่า
ทุกวันตื่นตี 3 ครึ่ง ทำวัตรสวดมนต์ เดินจงกรม แล้วก็ออกบิณฑบาตรประมาณ 1 กม.
แต่ก็ศึกษาปริยัติ จนได้ระดับที่ไม่อายใครเหมือนกันนะ

ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ท่านได้ติดต่อไปที่ พี่มหา
ให้ช่วยเหลือเรื่องที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นวัดให้ถูกต้อง
นั่นก็เป็นเหตุให้ พี่มหา ได้รับรู้เรื่องราวของท่านหลังจากที่บวชมาแล้ว
และก็ให้เกิดศรัทธามาก
อยู่มาวันหนึ่งด้วยความจำเป็นต้องรีบไปพบกับท่าน ที่พุทธมณฑล กรุงเทพ
ภรรยาของพี่มหาก็ติดรถไปด้วย และได้พบกับหลวงพ่อเทิด เป็นครั้งแรก
อ้อ...แต่เดิมนั้น ภรรยาของพี่มหา ไม่ใคร่ศรัทธา พระ ทั้งหลาย
และความเป็นคนขี้เหนียว ก็พาลไม่ชอบทำทาน ทำบุญ ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่สามีจะวิ่งวุ่นวายช่วยเหลือใคร
แต่พอได้พบกับ หลวงพ่อเทิด แล้วเกิดปิติ ศรัทธาในบุคคลิกที่สงบนิ่งของท่าน
สิ่งที่ทำให้พี่มหาสามีงงมาก คือภรรยาออกปากขอเป็นโยมอุปถาก ซะเลยแน่ะ
แล้วที่มหัศจรรย์กว่านั้นนะ...ภรรยาของพี่มหาเริ่มสนใจ พุทธประวัติ
หัดทำทาน ขยันใส่บาตร หันมาเคร่งครัดในศีล จนเกิดอานิสงส์ทางด้านการงาน การเงินก็ดีขึ้น...ดีขึ้น
และมีสิ่งที่ไม่อยากคิดว่ามันจะเป็นไปได้...
คือลูกสาวสุดที่รักของพี่มหา มีโรคประจำตัว คือโรคหัวใจ ทำให้อ่อนแออยู่เสมอ
แต่พอแม่ ซึ่งก็คือภรรยาของพี่มหา รับเป็นโยมอุปถาก ถือศีลเคร่งครัด
อาการของคนเป็นลูกกลับดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ผู้เป็นพ่อ แม่ ดีใจมาก และเชื่อมั่นว่าเป็นเพราะได้ทำบุญกับ พระผู้ตั้งใจปฏิบัติฯ
ใจดีขนาดออกเงินให้ พี่มหา พาหลวงพ่อเทิด ไปพบพระพุทธเจ้า
ถึงบ้านของท่าน...สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

หลวงพ่อเทิด ท่านสำรวมระวังมาก ยืน เดิน นั่ง ไม่เหมือนกับพระรูปอื่น
ไม่ค่อยพูดจากับใคร แต่สนใจในสังเวชนียสถานอย่างมาก
ผมเองก็รู้สึกเลื่อมใส ศรัทธา ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นท่านแล้ว
ยิ่งพอรู้เรื่องราว ก็รีบเข้าไปกราบเท้าท่าน
แปลกนะ...กราบแล้วเกิดปิติซ่าน..น...ขึ้นทันที
เมื่ออยู่กันหลายวัน ผมพยายามเซ้าซี้ถามแนวทางปฏิบัติฯ
ท่านเมตตาสอนว่า...
ตามดูจิต...สติรู้...แล้ว ปล่อยวาง
ผมก็ยังถามต่อว่า...ทำแค่นี้เองเหรอ
ท่านว่า...ใช่ ท่านก็ทำแค่นี้เหมือนกัน
ผมสงสัยเรื่อง ฝึกจิต ท่านก็อธิบายว่า...
เหมือนเรา ทำนา นั่นแหละ
สิ่งแรกก็ สำรวจตรวจตรา เตรียมที่นาให้พร้อม
เมื่อพร้อมดีแล้ว ก็ลงมือทำนา คือลงมือปฏิบัติ
...ตามดูจิต...สติรู้...แล้ว ปล่อยวาง...
ทำแค่นี้แหละ โยม
พออ้าปากจะถามอีก ท่านก็ว่า...ทำซะก่อน แล้วจะหายสงสัย แล้วจะเข้าใจ
ทำมากสงสัยน้อย ทำให้บ่อย ให้มากที่สุด
แล้วทุกอย่างจะเข้าไปถึงใจ...เอง

สา..ธุ.....


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 09 เมษายน 2555    
Last Update : 12 เมษายน 2555 20:06:42 น.
Counter : 3535 Pageviews.  

กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 7

โอ้..อินเดีย 7

วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องอันเกี่ยวกับ คน ที่ไปเที่ยวแสวงบุญด้วยกัน
ต้นเหตุทั้งหมดทั้งปวง มาจาก...คุณสุเมธ โสฬศ
ที่ต่อมาผมเคารพนับถือท่านเป็นอาจารย์
ได้เอาใบโพธิ์ จากต้นพระศรีมหาโพธิ์มาให้ แล้วชวนให้ผมลองไปอินเดีย
ภายใน 3 วัน 5 วันหลังจากที่อธิษฐานแล้ว ได้สตางค์มาอย่างไม่คาดฝัน
ก็มาหากลุ่มที่จะไป ขอไปกับใครก็เต็มหมด
สังคมทัวร์นี่ก็เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก
ในที่สุดก็ได้ คุณสุเมธ นั่นแหละฝากฝังให้มากับกลุ่มลูกศิษย์ของท่าน
ซึ่งก็เป็นสารพัดหมอจากโรงพยาบาล บางบ่อ
โรงพยาบาลของรัฐ ที่มีแต่บรรดาผู้ป่วยประเภทคนจ๊น จนเกือบทั้งนั้น
คุณหมอทั้งหลายที่มานี่ เป็นแกนนำในชมรมพุทธ ของ รพ.
นอกนั้นก็มี พี่ชายของคุณหมอ ซึ่งเป็นนักภาวนาจากการไฟฟ้า
ซึ่งก็อุปถากแม่ชีท่านหนึ่งจากระยอง ให้ได้มาอินเดียด้วย
แล้วก็มีท่านที่ผมเรียก...พี่มหา
อ้อ...เป็นฆราวาสนะ
ซึ่งพี่มหาเนี่ยะ ท่านอุปถากพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระป่า ชื่อ... หลวงพ่อเทิด

พูดไปแล้วมีสิ่งหนึ่งที่ผมออกจะแปลกใจตะหงิด ๆ
คือที่มาด้วยกันทริปนี้ 80 คน มีกว่าครึ่งที่ความรู้สึกว่ามัน...คุ้น คุ้น กันยังไงก็ไม่รู้
จะว่าเคยรู้จักกันมาก่อนก็ไม่ใช่ แต่มันเหมือนเคยสนิทกัน ปารถนาดีต่อกัน...
มาเที่ยวนี้ผมได้เข้าใจอย่างซาบซึ้งกับคำว่า...กัลยาณมิตร
โดยเฉพาะแก็งค์คุณหมอนี่แหละ
พวกเค้าเห็นว่าผมเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน
ก็เลยดูแลผมเป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอหน้าตากันมาก่อนเลย
ช่วยจัดเตรียมสิ่งของสารพัดมาให้ ทั้งหนังสือสวดมนต์ บทสวดมนต์เฉพาะสังเวชนียสถานแต่ละที่
ธูป เทียน ทองคำเปลว แต่แทนที่จะใช้พิมพ์เสนในการปิดทอง
พวกคุณหมอดันไปใช้กาวแท่ง...ยู้ฮู แทนซะนี่
พอถึงสถานที่สำคัญ ควักทองออกมาปิดทีไรผมละขำทุกที
คุณหมอทั้งหลายยังคอยห่วงใยกัน ชักจูงลากพากันไป ปฏิบัติสมาธิ เจริญสติ ในรูปแบบต่าง ๆ ทุก ๆ ที่
ผมก็พลอยได้รับอานิสงส์ ปฏิบัติฯกับพวกเค้าไปด้วย
ที่พุทธคยา ก็ช่วยกันผลักดันให้ปฏิบัติฯ ได้ตลอดรอดฝั่งทั้ง 2 คืน
บางแห่งยังลากพากันเดินสวดมนต์เวียนรอบพระเจดีย์ ถึง 33 รอบ แน่ะ
แต่บางเรื่องก็ทำอะไรที่ผมนึกไม่ถึงนะ
คือ ถ้าที่แห่งไหนมีรูปเคารพของ...หมอชีวกโกมารภัทร
พวกคุณหมอทั้งหลาย จะรีบกรากเข้าไปกราบไหว้ สวดมนต์ อธิษฐานกันนาน..น...เชียวละ
ก็พอจะเข้าใจนะว่า เป็นที่เคารพอย่างสูงสุดในสายอาชีพของพวกเค้า

ในบรรดาคุณหมอ อันเป็นกัลยาณมิตรของผมนั้น แต่ละคนอายุไม่มากนะ ยังหนุ่มยังสาวเฉลี่ยแค่ 30 กว่า ๆ เอง
แต่ก็มีความแปลกพิสดารอย่างนึกไม่ถึงในสายตาของผม

หัวหน้าแก็งค์นี้คือ...คุณหมอเค็ก สูตินารีเวช
ผ่าตัดทำคลอดเป็นอาชีพหลัก แล้วก็เรื่องภายในของคุณผู้หญิงทั้งหลายด้วย
เธอเป็นประเภทนิ่ง ๆ ดูท่าจะทำบุญสะสมมาเยอะมาก จิตใจสงบ ไม่แส่ส่าย
ค้นคว้าหาข้อมูล คาถาเฉพาะของแต่ละสถานที่
เป็นหัวโจกชวนกันไปทำพิธีสวดเพิ่มพิเศษจนคนอื่น ๆ เค้าสงสัยว่ามีพิธีกรรมลับ ๆ อะไรกัน
ผมก็สงสัย แต่เธอบอกว่า...ฟังท่านอาจารย์วิทยากรสวดไม่ค่อยชัด
กลัวได้บุญน้อย เลยต้องพากันไปสวดเป็นการเฉพาะซ้ำอีกที
โธ่...เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำน่ะเอง พาเอาชาวบ้านเขาแตกตื่นไปหมด

คุณหมอปุ๊กกี้ ชาราร่า เป็นหมอฟัน และยังเป็น หมอกระเป๋าเขียว แพทย์อาสาฯ...คนนี้ซิแปลกจริง
ตั้งแต่เด็กๆ ก็ค้นพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษบางอย่าง
สามารถเพ่งให้ใครที่ถูกเล็งอยู่หันมาหาก็ได้
แล้วพอโตหน่อยก็ได้รู้ว่า สามารถเห็น...สิ่งที่คนธรรมดาอื่นๆ เค้าไม่เห็นกัน
เห็นวิญญาณ เห็นสัมภเวสี หรือแม้แต่บางขณะก็รับรู้เห็น...เทวดา ด้วย
เธอเล่าให้ฟังว่า บางครั้งเดินทางไปต่างจังหวัด ห้องที่นอนในโรงแรม ยังเจอวิญญาณบ่อย ๆ
เช่นคราวหนึ่ง เป็นผู้หญิงมายืนนิ่งทำหน้าละห้อย และก็มีเด็กมาด้วย
แต่เด็กที่ว่านี่ วิ่งวุ่นวายไปทั่วห้อง...วิ่งอยู่นั่นแหละ วิ่งไม่เลิก
คุณหมอก็นั่งดูอยู่นานแล้วจนเวียนหัว ก็ไม่เลิกซักกะที
ในที่สุดแกต้องดุว่า...ถ้าวิ่งวุ่นวายอย่างงี้แล้วจะนอนหลับได้ยังไง
พรุ่งนี้ถ้าไปทำบุญไม่ไหว ก็ไม่มีบุญจะแบ่งให้นะ...เข้าใจมั๊ย
เท่านั้นแหละ เลิกวิ่ง ไปยืนนิ่งหน้าละห้อยกันสองคน เอ๊ย สองตน
ถ้าผมจำไม่ผิด วันที่ไปวัด...ไทยกุสินารา
มีห้องที่สมเด็จพระเทพฯ เคยมานั่งพัก และมีพระรูปท่านพร้อม พระเก้าอี้ ตั้งอยู่ด้วย
( ขอโทษนะครับผมใช้ศัพท์ถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ )
บรรดาลูกทัวร์บางท่านก็เข้าไปชม พร้อมถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก
คุณหมอปุ๊กกี้ กับพวกผมเดินผ่านมาเจอ
แกทำท่านิ่งชะงักไปอึดใจ แล้วเผลอพูดออกมาว่า...ห้องนี้มีเทวดารักษา
เท่านั้นและ ลูกทัวร์คนอื่นๆ ที่กำลังชมห้องรีบหันมาถามกันใหญ่
คุณหมอแกเลยบอก...เอายังงี้ เดี๋ยวถ่ายรูปให้เผื่อจะติดท่านเทวดาด้วย
จัดแจงให้คนที่สนใจมาก..ก..ไปนั่งพับเพียบหน้าพระเก้าอี้
แล้วก็เอากล้องของคนนั้นมายกมือขึ้นอธิษฐาน ถ่ายเจ้าตัวเค้าให้
พอย้อนดูในจอกล้อง นอกจากมีรูปคนแล้ว ยังมีบางอย่างเป็นดวง..ดวง...ดวง หลายดวง...ในนั้นด้วย อ่ะ
ผมบอกแกว่า...คุณหมอนี่เจ๋งจริง ๆ
เธอกลับบอกว่า...คนที่เป็นเหมือนอย่างแกนี่มีเยอะนะ แต่เค้าไม่พูดกัน แล้วก็ไม่สนุกหร๊อก
ผมก็สงสัยว่าทำไม
คุณหมอ เธอว่า...มันวุ่นวาย ไม่สงบ ยิ่งรู้มาก เห็นมากก็กลับพาเราทุกข์มาก
วิญญาณลำบากทั้งหลายที่อยากให้เราช่วย แต่เราก็ไม่รู้จะช่วยยังไง...วิบากกรรมของพวกเขาเยอะ
เห็นแล้ว รู้แล้ว ก็เศร้า นะ...เฮ้อ

คุณหมอฝน หมอโรคจิต...จิตแพทย์นะ ไม่ใช่หมอเป็นโรคจิต
คนนี้ดูภายนอกน่าจะปรกติธรรมดาที่สุด เสียแต่แกชอบสงสัยในสภาพจิตของผมอยู่เรื่อย
คุยกันไป หัวเราะกันไป คอยจับผิด คอยวิเคราะห์ตลอดเวลา
ตามประสาหมอโรคจิต

คุณหมอเอ๋ หมอเด็ก...สวยเฉียบ น่ารัก ตาคม ยิ้มหวาน เย็น..น...น
แต่เป็นยิ้ม ที่สายตามองทะลุเข้าไปล้วงในความคิดของคู่สนทนาได้เลย
ผมว่าแกมีดีอยู่ข้างในเยอะแยะ แต่งำประกายไว้
เธอดูมีพลังบางอย่างมากมายซ่อนไว้ เหมือนภูเขาหิมาลัยที่มีหิมะคลุมสวยงาม
แต่ข้างใต้ลึกลงไปนั้น มีภูเขาไฟที่อาจจะทะลักทลายออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

คุณหมอโอ๋ อายุกรรม...ชายหนุ่มรูปหล่อ หุ่นดี หน้าอ่อนกว่าวัยซัก 10 ปี
เป็นคนที่กำลังมีปัญหามากที่สุด...แกสับสน
คุณหมอแกกำลังสงสัย และไม่แน่ใจอย่างที่สุด
แกเคยเชื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และการแพทย์แผนฝรั่ง
เชื่ออย่างฝังหัวว่าสิ่งที่แกร่ำเรียนมาแทบตายตลอดชีวิตนั้น
...ถูกต้องที่สุด พิสูจน์ได้ด้วยวิชาการ เป็นเหตุเป็นผล
แต่พอมาสนใจธรรมะ ของ...พระพุทธเจ้า
ก็เริ่มมองเห็นว่า ความรู้ที่มีอยู่เดิมนั้น ทำได้แค่...บรรเทาทุกข์ทางกาย ชั่วครั้งชั่วคราว
ที่แย่กว่านั้นคือ วิชาการทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่แน่ไม่นอน
วันนี้ว่าเป็นอย่างนี้ ต่อมาก็มีการหักล้างกันเองว่าเป็นอย่างนั้น
วันนี้ถูกต้อง แต่พรุ่งนี้อาจจะผิดก็ได้
การแพทย์แผนฝรั่ง รักษาได้แต่กาย ไม่สามารถรักษาจิตใจ
แต่ธรรมะของ พระพุทธองค์ ท่านเป็นอกาลิโก
จริงแท้ทั้งอดีต ปัจจุบัน ถึงอนาคต
เป็นความรู้ที่เป็นเหตุ เป็นผลยิ่งกว่า
สามารถรักษาจิตใจ ซึ่งเกี่ยวพันกับร่างกาย...จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
จิตใจที่ดี มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง หน้าตาแจ่มใส ร่างกายก็แข็งแรงตามไปด้วย
ที่สำคัญที่สุด พระธรรมคำสั่งสอนที่มีมากมาย แต่เมื่อดูโดยสรุปรวมย่นย่อที่สุดแล้วปฏิบัติง่าย
คีย์สำคัญ คือ...สติ เท่านั้นเอง
ที่คุณหมอเค้าสับสน ก็เพราะง่าย ๆ แค่นี้เองเหรอที่ทำให้...พ้นทุกข์ได้
ที่ผ่านมาทุกอย่างแกมัวหาคำตอบ แต่พอไปปฏิบัติสมาธิกรรมฐานกันที่พุทธคยา คืนแรกทั้งคืนแล้ว
เช้าวันนั้น คุณหมอบอกกับผมว่า...บางครั้งคำตอบก็ไม่ช่วยอะไร
ซึ่งบอกตรงๆ นะครับ จนถึงวันนี้ผมก็พลอยสับสนกับแกไปด้วย
มันแปลว่าอะไร อ่ะ

เมื่อนั่งคุยกันก็พอสรุปได้ความว่า
พวกคุณหมอ พบเห็น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วยไข้ ทุกข์ทรมาน
และความตาย
อย่างมากมายและเห็นอย่างใกล้ชิด...ทุกวัน
ทำให้เกิด...ธรรมสังเวช
แล้วก็ต้องการหาทางแก้ไข หาคำตอบ ตามประสาคนฉลาดมีปัญญามาก
ในที่สุดก็พบว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้า ท่านค้นพบนั่นแหละ...ดีที่สุด
แต่ผมว่า พวกคุณหมอกลุ่มนี้ท่านทำบารมีสะสมมามากแต่ชาติปางก่อน
ทำให้มีปัญญามองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ไม่สามารถควบคุมได้
เลยลุกขึ้นมาลุยหาทางออกจากทุกข์ให้ได้
ทั้งยังเคยทำบุญสร้างกุศลร่วมกันหลาย..หลาย ชาติมาแล้ว
ผมดีใจมากเลยนะ ที่ได้รู้จักกับคนเหล่านี้

ยังมีอีกหลายท่านที่น่าสนใจ จนอยากเล่าให้ฟัง
แต่ไม่รู้จะชอบกันหรือเปล่า...


อนณ 089-995-9377
tobeteam@yahoo.com




 

Create Date : 08 เมษายน 2555    
Last Update : 8 เมษายน 2555 1:14:03 น.
Counter : 3657 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.