กรรมทันตา อนณ 093-149-9564 tobeteam@yahoo.com Line : anon.nisarut
Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมทันตา ทำกรรมกับคนแก่

ทำกรรมกับคนแก่

เรื่องนี้เป็นเรื่องปัจจุบัน ที่เพิ่งเกิดขึ้น
คุณป้าของผม อายุเกือบ 90 แล้ว มีเพื่อนสนิทเคยเรียนมาด้วยกัน
อยู่ในซอยรามบุตรี หลังวัดชนะสงคราม ตรงข้าม ถนนข้าวสาร กทม.
เดินลึกเข้าไปสุดซอย จะมีบ้านแออัดอยู่เกือบจะเป็นชุมชนแออัด
มีหลังหนึ่ง ชื่อ บ้านแกะสลัก เป็นบ้านหลังเล็กนิดเดียวเช่าที่วัดปลูก
เพื่อนคุณป้า คือ ครูถนอมศรี อายุเกือบ 90
เป็นครูสอนแกะสลักผักผลไม้ มีคนมาขอเรียนทั้ง ไทย อินเดีย ญี่ปุ่น อเมริกา แคนาดา มาเลเซีย
ครูถนอมศรี อยู่ตัวคนเดียว นอกจากลูกศิษย์ที่แวะเวียนมาหาแล้ว
ก็มีลูกจ้าง คอยวิ่งซื้อของ เตรียมของอุปกรณ์การสอน ประเภท มันเทศ แครอท มะละกอ ฯลฯ
รวมทั้งทำงานบ้าน และอื่นๆ อีกจิปาถะ
ครูถนอมศรี มีรายได้จากการสอนที่บ้านเพียงอย่างเดียว แต่ก็พอเลี้ยงตัวเอง และเหลือเก็บอีกนิดหน่อย

เด็กลูกจ้างคนนี้ ชื่อ เจี๊ยบ ซึ่งไม่ใช่เด็กแล้ว อายุประมาณ 35
มีผัว และลูกสาว 2 คน อาศัยอยู่ใกล้เคียงบ้านของครูฯ
เจี๊ยบ รับใช้ครูมาหลายปีแล้ว หลังจากที่ทำงานอย่างอื่นล้มเหลวมาหลายอย่าง
ผัวเธอ ที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายนัก แถมยังกินเหล้าเป็นประจำ

ด้วยวัยที่มากมายของครูถนอมศรี ทำให้งกๆ เงิ่นๆ หน้ามืด วิงเวียน ไปตามเรื่อง
จนวันหนึ่งก็มีอาการเส้นเลือดในสมองตีบ หกล้มในห้องน้ำ
กว่าจะมีลูกศิษย์มาพบ และนำส่ง รพ.ก็เกือบไม่ทันการณ์
รักษาตัวอยู่ระยะหนึ่ง ก็กลับมาบ้าน พร้อมอาการเกือบพิการ
แขนขาซีกซ้าย ไม่ตอบสนอง อาการอัมพาต กว่าครึ่งตัว
มือไม้ที่เคยภูมิใจในการแกะสลัก ระดับอาจารย์ ก็ใช้การไม่ได้
ทำให้สอนต่ออีกไม่ได้ แต่ยังดี มีลูกศิษย์มาหาด้วยความห่วงใยมากหน้าหลายตา
ลูกศิษย์แต่ละคน ด้วยความสงสารครู ก็ช่วยกันมอบเงินให้ครูไว้ใช้ในยามลำบาก รวมแล้วจำนวนไม่น้อย

ลูกจ้างที่ชื่อ เจี๊ยบ ก็ยังมาดูแล เอาใจใส่คอยรับแขก วิ่งวุ่นดูแลให้สารพัด เธอช่างดีจริงๆ
ครูถนอมศรี มีนิสัยเสียส่วนตัว คือไม่ค่อยรอบคอบเรื่องการเงิน
แต่เดิมก่อนป่วย ก็ละเลยการตรวจสอบ ด้วยแน่ใจว่าอยู่ตัวคนเดียวใช้น้อย ฝากธนาคารไว้ก็สบายใจดี
เมื่อจำเป็นต้องใช้ ก็ไปเบิกเอาด้วยตัวเองบ้าง ใช้ให้ เจี๊ยบ ไปเบิกให้บ้าง ไว้ใจได้ อยู่กันมานาน
เงินที่มีเก็บสะสมไว้ตั้งแต่เกษียณก้อนหนึ่ง บวกกับเก็บรอมจากค่าสอน
รวมทั้งเงินที่ลูกศิษย์มอบให้เพื่อรักษาตัว รวมแล้วก็กว่าแสน

หลังจากป่วย ไม่สามารถสอนได้ ประมาณ 10 วัน ลูกจ้างที่แสนดีก็ขอลาไปตามผัว ที่ไปรับจ้างต่างจังหวัด
เธอหอบเอาลูก และของใช้หลายอย่างไปด้วย
เมื่อไม่มีเด็กลูกจ้างคนเดิม ครูได้จ้างหญิงกลางคนแถวๆ นั้นที่เคยมาช่วยงานอยู่บ้างแทน
จนกระทั่งเมื่อจำเป็นต้องไปเบิกเงินสด เก็บมาใช้บ้าง........ปรากฎว่า
......มีคนเบิกไปหมดแล้ว.......สร้อยทองที่มีสะสมอยู่นิดหน่อย ก็หายไปด้วย
คนแก่ เกือบ 90 เป็นอัมพาตกว่าครึ่งตัว แถมตัวคนเดียว ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังจากสอบสวนทวนความกับคนที่มาเยี่ยมจนแน่ใจแล้วว่า คนที่น่าจะเอาเงิน และสร้อยทองไป ก็คือ เจี๊ยบ ที่ไว้วางใจอย่างดี
จะไปแจ้งความ ก็ไม่มีหลักฐาน จะดำเนินอะไร ก็หมดปัญญา คนแก่หมดทางต่อสู้ ได้แต่นึกว่า........เป็นเวรกรรม
หลังจากนั้น ครูถนอมศรี ที่หมดสภาพการหากิน อยู่ได้ด้วยเมตตาของลูกศิษย์บางคน ที่แวะเวียนมาเจือจุนตามประสา

เจี๊ยบ หายหน้าไปหลายเดือน ก็กลับมาพร้อมกับครอบครัว อย่างน่าตาเฉย เพราะแน่ใจว่าคงทำอะไรเธอ และผัวไม่ได้แน่
ที่จริงเรื่องนี้ ผัวสุดที่รัก เป็นผู้ร่วมรู้เห็นอย่างดี ด้วยความโลภ และความอยากได้สิ่งของที่เห็นคนอื่นเขามีกัน
ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้น ต่างรู้ดีว่า เจี๊ยบ มีความเปลี่ยนแปลงในทางฟู่ฟ่าขึ้น ด้วยเงินของใคร ต่างก็ตักเตือนให้คืนเงินครูฯ ไปเถอะ มันบาป
แต่ก็ถูกสองผัวเมีย ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ถ้าไม่เชื่อไปหาหลักฐานมาฟ้องเลย....ไม่ได้เอาไปจะบาปได้ไง
ชาวบ้านเลยได้แต่แช่งชักหักกระดูกไปตามเรื่อง
โธ่เอ๋ย......หลักฐาน ไม่รู้มีหรือเปล่า.....แต่...กรรมชั่ว นี้ก็ได้ถูกบันทึกไว้แล้ว......แน่นอน

หลังจากเอ้อระเหย ลอยหน้าอยู่ได้ไม่ถึงปี ผัวของเจี๊ยบ ก็มีอาการเจ็บในช่องท้อง ทุรนทุราย
จนต้องไปโรงพยาบาลของรัฐเพื่อทำการรักษา แต่เมื่อนอนรักษาตัวอยู่หลายวัน คุณหมอก็มาพบ...แจ้งว่าให้กลับบ้านได้
เพราะผัวของเจี๊ยบ เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย…
ขณะนี้มีตับใช้งานได้ไม่ถึงครึ่ง

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ผัวของเจี๊ยบ ก็หอบเงิน และเก็บข้าวของมีค่าที่หาซื้อมาจากเงินที่ขโมยมาทั้งหมด
หนีไปเพียงลำพังคนเดียวเท่านั้น
ทิ้งให้ เจี๊ยบ กับลูกอีกสองคนไว้ตามลำพัง โดยที่ไม่มีเงินเลยซักบาทเดียว.....ช่างทำได้

ขณะนี้ เจี๊ยบ ได้แต่อับจนหนทาง ต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบ
มาลงทุนขายน้ำมะพร้าวอ่อน อยู่ในซอยรามบุตรีนั้นเอง
ต้องอยู่ท่ามกลาง สายตาชาวบ้านที่บอกเล่าเรื่องราวของเธอไปทั่ว
ยังไม่รู้ว่า กรรม ที่เธอทำไว้จะออกดอก ออกผลมาอย่างไร
ผัวของเธอ หนีไปรับกรรมแล้ว.....
ทีนี้ก็เหลือแต่เธอล่ะ.......เจี๊ยบ....ผู้ทำกรรมกับคนแก่เกือบ 90 ที่เป็นอัมพาต

อนณ 093-149-9564
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 22:08:34




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 30 กันยายน 2562 8:40:22 น.
Counter : 1311 Pageviews.  

กรรมทันตา อนิจจาน่าเสียดาย

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ แต่ง

อนิจจาน่าเสียดาย
ฉันทำชีวิตหายครึ่งหนึ่ง
ส่วนที่สูญนั่นลึกซึ้ง
มีนํ้าผึ้งบุหงาลดามาลย์ ฯ

ครึ่งหนึ่งหลงเหลือในอกนี้
สั่นชีวีเสียสะเทือนสะท้าน
ซํ้าโซ่ตรวนพันธนาการ
ทรมานปานทาสจะขาดใจ ฯ

ปี 2545 มีอยู่วันหนึ่ง
ผมนั่งทำงานอยู่ที่โชว์รูมนิสสัน ที่หนองแขม
ตอนนั้นยังเป็นผู้จัดการอยู่
มีลูกน้องเดินมาบอกว่า.......พี่..พี่..พระมาดูรถ ค่ะ จะให้หนูทำยังไงค๊ะ
ผมเลยบอกจะออกไปจัดการเอง.......คือถ้าเคสแปลกๆ ลูกน้องจะโยนมาเสมอ
แล้วก็ชอบมีพวก พะ....มาขอเรี่ยไร หรือมาขอตั้งถังผ้าป่า ผ้ากฐิน อะไรต่อมิอะไรวุ่นวายไปหมด จนต้องสั่งห้าม

*** เอ้อ....ต้องขอประทานโทษท่านทั้งหลายก่อนนะครับ
ผมเป็นพวกอ่อนวัด ไม่ค่อยสนใจพิธีกรรม เรื่องปลีกย่อย
ผมค่อนข้างหยาบๆ ออกแนวขวางๆ โลกด้วยซ้ำ ***

ออกไปนิมนต์ท่าน ถวายน้ำ แล้วนั่งคุยกัน
ดูท่านก็เป็นพระที่สงบเสงี่ยม ไม่วอกแวก ดูน่าเคารพเลื่อมใสดีมาก
แต่ เอ๊ะ....สมัยนี้ไว้ใจยาก จะตัดสินจากภายนอกไม่ได้
ในอดีต ชีวิตผมเคยเห็น พะ....พะ...นะครับ ไม่ใช่พระมาเยอะ
เพราะเจ้านายเก่าผม แกชอบมั่วสุมกับพวกนี้

แต่หลังจากคุยกัน ถึงได้รู้ว่า ท่านมาดูรถให้เจ้าอาวาสวัดใกล้ๆ กันนี้
เพราะเห็นว่าท่านพอจะมีความรู้เรื่องรถอยู่บ้าง
ไอ้ผมก็ปากไว ถามไปว่า ท่านเป็นพระ แล้วจะรู้เรื่องรถได้ยังไง
น่าจะรู้เรื่องธรรมะมากกว่า
ท่านก็หัวเราะ แล้วเล่าให้ฟังว่า......
ท่านมาบวชได้ไม่กี่พรรษาเอง มาบวชตอนอายุมากแล้ว 40 แล้ว
แต่ก่อนท่าน รับเหมาก่อสร้าง ทำมาตั้งแต่ยังหนุ่ม
ตั้งแต่ยังเป็นคนงานธรรมดาๆ แล้วลุยมาจนเป็นเจ้าของกิจการเอง
ผมก็บอกว่า ผมมีลูกค้าเป็นผู้รับเหมาฯ หลายคนเลย
พวกนี้แปลกนะครับ เวลามีเงิน ก็มีมากจนงง เวลาไม่มี บาทเดียวก็ไม่มี
ท่านชอบใจมาก บอกว่า มักจะเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ทำไม บริหารเงินกันไม่ค่อยเป็น
เวลาช่วงดีๆ งานเข้ามาหลายๆ งาน ก็รับมั่วไปหมด
แบ่งลูกน้องไปทำตรงนั้นตรงนี้ ลูกน้องที่ดีก็หายาก
พอวิ่งหลายงานเข้า มันเลยไม่ได้ดีซักงาน
เงินก็หมุนวุ่นวาย ไขว้เขวกันอุตลุด เอาเงินที่เขาจ่ายให้งานนี้ไปซื้อวัสดุฯ ให้งานโน้น
พอเงินงานโน้นกว่าจะออก งานนั้นมาอีกแล้ว วิ่งวุ่น หมุนเงินตลอดเวลา
ผมคุยกับท่านถูกคอกันมาก ไม่ได้เสแสร้ง
ผมก็ถามว่า แล้วทำไมมาบวชเสียล่ะครับ ลูกเมียไม่ว่าเหรอ แล้วกิจการทำไง มันเจ๊งหรือไงครับ
ท่านบอกไม่เจ๊ง ลุ่มๆ ดอนๆ ดีบ้าง แย่บ้างไปตามเรื่อง ถือว่าดีกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ
แต่ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคนงาน
คนงานทั่วๆไปหายาก คนงานมีฝีมือดีๆ ยิ่งหายากยิ่งกว่า
เราต้องคอยเอาใจลูกน้องเสมอ ก็ต้องออกแนวนักเลง ใจกว้าง
ตอนเย็นเลิกงานแล้วก็ต้องไปกินเหล้ากัน
เมียที่บ้านก็บ่นจนเลิกบ่น ดีแต่ว่าเขามีงานส่วนตัวขายเขาเลยไม่ค่อยสนใจ กลัวแต่เราจะไปเมามาย ตกน้ำตกท่าที่ไหนเท่านั้น
ทีนี้พอกินบ่อยๆ เข้าก็ติด แถมเมื่อไหร่หมดแต่ละงานก็ต้องไปเลี้ยงกัน
พาไปเที่ยวผู้หญิง เที่ยวอาบอบนวด เพื่อเอาใจลูกน้องไว้
จุดหักเหของท่านเกิดจาก ไปรับเหมางานที่หนึ่ง
ไปได้ยินใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นหน้า ท่องกลอนของท่าน อังคาร กัลยาณพงศ์
ที่ขี้นต้นประมาณว่า
................อนิจจาน่าเสียดาย ฉันทำชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง..........
และต่ออีกยาวเลย แต่ท่านจำไม่ได้ จำได้แต่ว่า เป็นกลอนที่ไพเราะมาก เลยหยุดยืนฟัง
และเหตุที่จำที่เหลือไม่ได้ ก็เพราะว่า มันสะดุดใจ มันติดอยู่แค่สองวรรคแรกเท่านั้น.......
สองวรรคนั้น มันติดแน่นอยู่ในสมอง ในใจ เข้าใจ เห็นภาพเลย

แล้วจากตอนนั้น ชีวิตที่เหลือของท่านก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ความคิดจะวนเวียนอยู่กับประโยคนี้เท่านั้น

อนิจจาน่าเสียดาย ฉันทำชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง

เวลาไปกินเหล้ากับลูกน้อง ก็ไม่อร่อยแล้ว
ไปเที่ยวกลางคืน ก็ไม่สนุกแล้ว.........ออกเบื่อๆ ฝืนๆ...
ท่านมาคิดดู 40 ปี ของชีวิตท่านที่ผ่านมา หายไปกับอะไรกัน หมดไปกับอะไรกัน แล้วได้อะไรมาบ้าง เป็นแก่นสารบ้างมั๊ย
แล้วต่อแต่นี้ไปล่ะ..........ชีวิตที่เหลือล่ะ
ท่านเอาแต่คิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ จนคนรอบข้างออกจะสงสัย นึกว่าคงเครียดเรื่องงาน เรื่องเงิน
สุดท้ายเมียของท่าน เห็นความเปลี่ยนแปลง ก็เป็นห่วง เลยมานั่งคุยกัน
ท่านก็เล่าให้ฟังว่า เป็นอย่างนี้ คิดไม่ตก ไปต่อไม่ได้.....
แล้วก็ร้องไห้ โฮ ออกมา....เสียดาย...เสียดายเวลา.
เมียท่านกลับบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไปบวชดีมั๊ย เพื่อสงบจิตสงบใจ ถือว่าพักจากงานน่าจะดี
เรื่องทางบ้านไม่ต้องห่วง ลูกก็โตแล้ว งานทางบ้านเลี้ยงตัวได้สบาย

ท่านบอกพอได้ฟังเมียพูดคำนั้น ....... บวช ......รู้สึกมันซาบซ่าน ดีใจ สบายใจ บอกไม่ถูก
แล้วท่านก็ตัดสินใจบวชทันทีเลย ยกธุรกิจรับเหมาฯ ก่อสร้าง ทั้งหมด ทั้งเครื่องมือ เครื่องไม้ ให้ลูกน้องที่เคยร่วมงานกันมาหมดเลย
ทุกคนก็คิดว่าท่านคงบ้า หรือคงเครียดมากไป

ท่านไปบวช ทางอีสาน ตั้งใจอยากจะเป็นพระป่า
และได้พยายามศึกษา และเดินตามทางของพระพุทธเจ้าอย่างสุดกำลัง
ผมก็ถามว่า แล้วไปไงมาไงถึงมาที่นี่ได้ละครับ
ท่านว่า เพื่อนที่ธุดงค์ด้วยกัน อยู่วัดใกล้ๆ นี้
ที่วัดมีโยมจะถวายรถให้ใช้ เจ้าอาวาสเลยวานให้มาช่วยดู
แต่อาตมาว่านั่นคงเป็นเรื่องรองนะ ไม่ใช่เรื่องหลักหลอกน่ะ.....
ผมก็ว่า เอ๊.....แล้วเรื่องหลักไอ้ที่ว่า คืออะไรหรือครับ
ท่านก็ยิ้ม มองหน้าผม ไม่ใช่ซิ.....มองเข้าไปในดวงตาผมเลย
แล้วท่านก็ว่า........เรื่องหลักก็คือ มาพบกับโยมน่ะแหละ............
หลังจากนั้นจำได้ว่าพูดกันอีกไม่กี่คำ แล้วผมก็ก้มลงกราบท่าน......
กราบที่พื้นเลย....กราบ...กราบ....กราบ...น้ำตาซึมเลย...ไม่รู้ทำไม
เงยหน้ามา ท่านเดินลงจากโชว์รูมไปแล้ว………ไม่เคยเจอท่านอีกเลย.

หลังจากวัน ผมก็มักจะคิดถึงแต่ประโยคนี้เหมือนกัน
อนิจจาน่าเสียดาย ฉันทำชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง
อีกประมาณไม่กี่อาทิตย์ ผมก็ไปลาออก....ใครก็ถามว่าลาออกทำไม
ผมก็ได้แต่ตอบว่า ไปศึกษาต่อ
ผมไม่ได้ไปบวชหรอกนะ.......บุญยังไม่ถึง....กรรมยังดึงไว้เล่นงานผมอีกเยอะ......

ท่าน อังคาร ฯ จะรู้มั้ยนะ ว่าบทกลอนของท่าน
ได้สร้างพระสงฆ์ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม...อย่างสุดกำลัง....ขึ้นมารูปหนึ่ง
ท่านคงได้บุญใหญ่ เท่าภูเขาเลยละครับ..........

อนณ 093-149-9564
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 10:31:51




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 30 กันยายน 2562 8:39:41 น.
Counter : 1569 Pageviews.  

กรรมทันตา มารผจญ 3

มารผจญ 3

เล่าเรื่อง การปฏิบัติธรรม ที่วัดอัมพวัน ครั้งแรกของผมมาหลายตอนแล้วยังไม่จบ ครบ 7 วันเลย

วันที่เจ็ด วันสุดท้าย
ช่วงเช้าวันนี้ก็สดชื่นดีคงจะอยู่ตัวแล้ว รู้สึกฟิตเปรี๊ยะ
การปฏิบัติฯ ดีมาก...ราบรื่นทุกอย่าง....สบายอกสบายใจ
แต่...มันชักคิดถึงบ้านแล้วแฮะ......อยากกลับบ้านตะหงิดๆ

ช่วงบ่าย ก็ยังดีนะ....แต่ก็เริ่มไม่ค่อยมีสมาธิเท่าวันก่อนๆ ไม่รู้ทำไม
และเริ่มมีอาการโรคกะเพาะกำเริบ มีปวดท้องหน่อยๆ
สงสัยเป็นเพราะไม่ได้ กินข้าวเย็นมาหลายวัน
ปรกติแล้วจะดูแลสุขลักษณะมาก ตอนเรียนสุขศึกษาท่องขึ้นใจ
ต้องกินอาหารหลักให้ครบ 5 มื้อ.........

โรคกระเพาะ กับผม พบปะกันเนืองๆ
โดยเฉพาะจะมีลม มีแก๊สในกระเพาะ เรอเอิ๊กอ๊ากประจำ
เคยไปหาคุณ หมอดู ท่านบอกว่า ผมเกิดธาตุน้ำ ลักคนาธาตุไฟ
แต่ขาดธาตุลม ให้พยายามซื้อพัดลมถวายวัด
แต่ไม่เห็นจริงเลย ลมเยอะมาก บางครั้งเรอจนเหนื่อย
ทุกวันที่ปฏิบัติฯ ผมจะกินไวตามิ้นทุกเย็น ถ้าไม่กินสู้ไม่ไหว
แต่วันนี้ อาการโรคกระเพาะชัดเจนมาก ซัดไวตามิ้นแล้วก็ไม่อยู่
ช่วงพัก ไปค้นตู้ยาที่หน้าห้องปฏิบัติฯ เห็นมีหลายอย่าง
ทั้งยาธาตุ ยาลม อุ่นใจได้

หลังจากนั้นชักจะไปกันใหญ่ ในท้องทำไมมีแต่แก๊ส
ต้องออกจากห้องมาเรอข้างนอก กลัวรบกวนคนอื่นเขา เราจะเป็นมารซะเอง
ช่วงค่ำอยากจะเข้าไปทำวัตรเย็น แต่ไม่ไหว
มีอาการจุกเสียดอย่างแรง ไปที่ตู้ยา กินยาธาตุน้ำขาว หมดไป 2 ขวด
แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
พอจะเดินเข้าไปในห้องปฏิบัติทีไร จุกเสียดขึ้นมาอีก มีคลื่นใส้ด้วย
เริ่มมีอาการทรมานขึ้นทุกที ๆ ผมได้แต่เดินวนอยู่แถวหน้าห้อง
สุดท้ายลงนั่งอาเจียร อยู่ข้างกอต้นไม้ แต่ไม่อาหารออกมา มีแต่ลม....
ทั้งเรอทั้งอาเจียรจนเหนื่อย นึกท้อใจเลย........รู้แต่อยากกลับบ้าน......

บางครั้ง บางช่วง ค่อยดีขึ้นนิดนึง เห็นเขาเริ่มเดินฯ ก็อยากทำมั่ง ก็จะจุกขึ้นมาอีก
ที่นี้ เริ่มมีเวียนหัวด้วย เอ.....ชักแย่เข้าไปทุกที เลยไปเอายาหอมในตู้ยามาละลายน้ำร้อนกิน
โอ๊ย.....ทีนี้ยิ่ง เรอ กันหนักเข้าไปอีก พลิกดู.......ปัทโธ่....เขาบอกยาขับลม.

เหนื่อยมากๆ เข้า นึกในใจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายครับ ช่วยลูกด้วย......
ในใจก็นึกอยากให้ท่านช่วย แต่มันไม่มีแรงอธิษฐาน แบบเรียกพลังไม่ขึ้นน่ะ
ตอนนั้นจิตตก นึกน้อยใจ.............เราตั้งใจทำความดีนะ แต่ทำไมเป็นแบบนี้ ไหนว่าทำแล้วได้ดี แต่นี่อดข้าวถือศีล กลับมาทรมานแทบตาย
นั่งหมดแรงอยู่ที่โต๊ะหิน หมาที่มันอยู่แถวนั้น 2-3 ตัว มันก็เดินมาดู คงคิดว่าไอ้นี่มานั่งทำอะไร คนอื่นเขาปฏิบัติฯกัน แต่เอ็งมานั่งทำไม
ผมก็คิดว่า เอ๊...ไอ้นี่ คนกำลังทุกข์มานั่งมองหน้าอยู่ได้ เอ็งล่ะมีทุกข์มั่งหรือเปล่า

ตอนนั้นผมคิดขึ้นได้ทันทีว่า....อ้อ...สัตว์โลกน่ะมันก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ
แต่มันก็ทุกข์ต่างๆ กันไป ไอ้เราก็เกิดมารับกรรมเหมือนๆ กันละวะ
แต่ทุกข์ที่เหมือนกันคือ ความเจ็บป่วย ความตาย..........
เมื่อถึงเวลาใครก็ช่วยไม่ได้ นี่เราแค่ป่วยนิดหน่อย....ยังลุกไปปฏิบัติธรรมไม่ได้ จะเอาบุญกุศลก็ไม่ได้
จากนั้น ผมก็คิดเลยเรื่อยเปี่อยไปว่า
........นี่ถ้าเกิดเราใกล้ตายขึ้นมา ตอนนี้จะทำยังไง ทำบาปกรรมมาตั้งมากมาย หนี้บาปเท่าภูเขา.....จะร้องเรียกใครมา ก็ช่วยก็ไม่ได้.........
สิ่งเดียวที่จะทำได้ คือต้องช่วยตัวเอง เอาบุญกุศลค้ำจุนไม่ให้ตกนรกเท่านั้น
แล้วตอนนี้ล่ะ เราทำบุญ ทำกุศลไว้เท่าไหร่กันเชียว....มองไม่เห็นเลย
เห็นเขาว่าตอนใกล้ตายไม่กี่วินาที สำคัญก็อีตอนชิงภพ จะไปทางไหนก็แล้วแต่นึกถึงบาป หรือถึงบุญ
โอ้โฮ......นึกปั๊บ......รายการบาปที่ทำมาแย่งกันผุดอุตลุตไปหมด.
แล้วรายการบุญอยู่ไหนหนอ....ใครไหนจะช่วยเจ้า.....เจ้ามาเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร......เจ้าก็ไปตัวเปล่า เหมือนเจ้ามา.
โอ๊ย..ย...มาเปล่า แต่ไม่ได้ไปเปล่านะซิ......ดั๊น..แบกเอาบาปกรรมไปตั้งมากมาย
ตอนนั้นเข้าใจเลย.......ถ้าตายตอนเนี้ยะ นรก แน่นอน ใครก็ช่วยไม่ได้...

รุ่งขึ้นไปที่กุฏิหลวงพ่อ กราบลาที่รูป ก้มกราบแล้วก็นึก
........ผมมา 7 วัน แทบเอาบุญกุศลไปไม่ได้เลย.......คราวหน้าผมจะขอมาแก้ตัวใหม่นะครับ
ไฟล์ทนี้สะบักสะบอม แพ้ราบคาบ ถูกน๊อคยกสุดท้าย....เฮ้อ.
พอเงยหน้าดูรูป เพิ่งจะเห็นรูปท่านยิ้มด้วยอ่ะ..................

อนณ 093-149-9564
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 01:21:09




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 30 กันยายน 2562 8:36:49 น.
Counter : 1284 Pageviews.  

กรรมทันตา มารผจญ 2

มารผจญ 2

คราวก่อน เล่าเรื่องตอนไปปฏิบัติธรรม ที่วัดอัมพวันไปบ้างแล้ว
แต่อย่างที่บอกน่ะ ผมไปอยู่ 7 วัน เจอเรื่องแปลกๆ ทุกวัน
ที่จะเล่าต่อเนี่ยะ เป็นวันต่อๆ มา

วันที่สี่ได้พบท่าน....มาทดสอบจิตใจ จนกระเจิดกระเจิง
บอบช้ำ เสียศูนย์ไปวันกว่า ๆ
พอมาวันที่ห้าช่วงเช้ารอดตัวมาได้ ก็ให้โล่งอก
กินข้าวเช้าแล้วสบายตัว สบายใจ
หลัง 8 โมงถึงเที่ยง ปฏิบัติฯ ได้ดีมาก...สงบนิ่ง เย็น...

ช่วงบ่ายเริ่ม บ่ายโมง ก็ยังดีอยู่มาก จิตใจโปร่งเบา
เดินจงกรมได้นิ่มนวล...ช้า...รู้ตัว...รู้ตน...
ยิ่งจัวหวะ ขวา.....ย่าง......หนอ.........
ซ้าย.....ย่าง...........หนอ
ตอนที่เท้าแตะลงพื้น หนอ. นั้น รับรู้ได้เลยว่ามีพลัง
มีความหนักแน่น....มั่นคง......มั่นใจ
เหมือนกับมีบางอย่างสะท้อนกลับมาให้เรารู้ว่า
แม่พระธรณีที่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ท่านไม่ได้วางเฉยต่อผู้ปฏิบัติฯ
ท่านรับรู้ และคอยให้กำลังใจ ส่งพลังให้เราทุกย่างก้าว
ผมรู้สึกเลยนะ...รู้สึกมั่นใจ.......เรามาถูกทางแล้ว
เกิดมาชาตินี้คงเอาดีได้บ้างละน่า
เราคงไม่หลงทางเดินลงนรกแน่.........สาธุ

ในใจตอนนั้นหนักแน่นมาก แต่ก็มีสิ่งแปลกคือ
เมื่อถึงเวลานั่งปฏิบัติฯ นั่งได้นิ่งดี....ไล่ไปเรื่อย
รู้สึกที่ท้อง พอง..หนอ..........ยุบ..หนอ..............
รู้สึกถึงลมหายใจ แล่นเข้าแตะโดนปลายจมูก
วิ่งลงถึงคอ....แล่นไปที่อก......จบที่ท้อง.......พอง..หนอ.......
เป็นอย่างนี้สักพัก ก็จะมีสิ่งที่เกิดขึ้นแทรกขึ้นมาอีกอย่างคือ
รู้สึกถึงหัวใจเต้น..ตุบ...ตุบ...ตุบ
รู้สึกถึงเส้นเลือดมันขยายทั่วตัว ตามแรงดันจากหัวใจ
พอทำไปนานๆ เข้า ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวค่อยหายไป
เสียง...กลิ่น....สัมผัสอื่นๆ มันเลือนๆ
แต่จะไปจับอยู่ที่จังหวะหัวใจเท่านั้น
ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ตลอดช่วงบ่าย…..ดีมากเลย

ช่วงเย็น ผมเริ่มปฏิบัติฯ ด้วยความมั่นใจเต็มร้อย
เอาละ เรามาตะกายขึ้นจากนรกกันนะ
ทางสะดวก กำลังจิต กำลังใจ พร้อมเต็มที่...ลุย
ตอนเดินจงกรม ไม่มีอะไร นิ่ง...ช้า....เนิบ.....ดี
แต่เมื่อนั่งปฏิบัติ นั่งไป...นั่งไป...ไล่ไป เรื่อยๆ
ยุบ..หนอ.......พอง..หนอ..........
ลมหายใจค่อยๆ เบา...เบา....
เริ่มรู้สึกหัวใจเต้น ตุบ....ตุบ....ตุบ
หายใจเข้า......รู้สึกถึงลมเข้า...เข้า.......
ลมออก....ออก
หัวใจเต้น ตุบ....ตุบ......ตุบ มันเต้นช้าลง แต่จิตนิ่ง
........ทันใดนั้น.....เสียง
....อะแห่มมมม.......
ผมสะดุ้งเฮือกเลย......ตกใจ...ตกใจ
เอ๊ะ....เสียงคนกระแอม…...ใครอ่ะ....
อ๋อ....คงจะคันคอ.........แหม สะดุ้งเลย…..ช่างมันเหอะ
มาเริ่มกันใหม่ ......
ดึงลมหายใจเข้า.......ปล่อยลมหายใจออก
ไล่ไปเรื่อยๆ.....................
รู้สึกหัวใจเต้นแล้ว.....อ่า...ตุบ.......ตุบ.........ตุบ............ตุบ
.......อะแห่มมมม.......
สะดุ้งเฮือก...ก....ก...........ตกใจ
หัวใจวูบ..บ....เสียวแหว๊บ..บ
ใจเต้น ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ............ใจสั่นเลย
หลังจากนั้น โมโหเลย........ใครวะ
โอ้โฮ..ทำยังงี้ได้ยังไง........เกิดหัวใจวายไปทำไง
หันไปดู อ้อ.....เป็นคุณลุง อายุสัก 60 แก่ๆ
แกนั่งไปทางข้างหลังผม ห่างกันไม่มาก
แถมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อีก
ช่างมันเหอะ......ช่างแกเหอะ.......แกคงทนคันคอไม่ไหว
แต่คนอื่นไม่เห็นใครลืมตาเลยแฮะ......นั่งกันนิ่งเชียว
ช่างมัน.......เริ่มใหม่........
แต่ทำยังไง ๆ ก็ไม่ได้ จิตไม่นิ่งแล้ว อู๊ย..ย...เสียดาย เวลาหมดแล้ว

ช่วงค่ำ ทำวัตรเย็น เดินจงกรม ก็ยังดีอยู่
พอปฏิบัติฯนั่ง ก็ยังดี....นั่งไป....นั่งไป......
.......อะแห่มมมม.......
ใจกระตุก เสียวแปล๊บ ที่ยอดอก
ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลย...............
เอาอีกแล้ว....ว......โว้ย....อะไรกันวะ

หันไปมอง เห็นแกดันมานั่งใกล้ๆ อีกแล้ว
คราวนี้แกคงรู้ตัว ว่าผมยั๊ว…..แกหันมามอง แล้ว..ยิ้ม
ผมก็นึกว่า.....แย่จริง.....ยังงี้คนอื่นก็แย่นะซิ
คนอื่น....เอ๊ะ....ทำไมคนอื่นเค้าไม่เห็นสนใจ
แสดงว่าคงฝึกกันมาดี พวกนี้คงสมาธิกล้าแข็งมั๊ง
คืนนั้นเลยรู้สึกโกรธค้างเลย

เช้าวันที่หก ทำวัตรสวดมนต์เช้าเสร็จ
ผมรีบมองหาตาลุงคันคอคนนั้นก่อนเลย ว่าแกอยู่ตรงไหน
แล้วผมก็หนีห่างแกให้ได้มากที่สุด คนละมุมห้องเลย
เอาล่ะ เริ่ม เดินฯ............ขวา....................ไปจนจบ
เริ่มนั่งฯ หายใจเข้า..........พอง.....................นิ่ง
หัวใจเริ่มเต้น...........ดี...........แต่เอ๊ะ..........ตาลุงนั่นจะ กระแอมอีกมั๊ยนะ
ใจมันพะวง ยอมรับเวลาตกใจ มันแปล๊บที่อกที่ใจจริงๆ
สรุปช่วงเช้า ได้บ้างไม่ได้บ้าง
ตอนเดินฯ น่ะ ดี สงบดี แต่ตอนนั่งฯ พอเริ่มนิ่ง ใจมันกลัว....

หลัง 8 โมง พอจะเริ่ม ผมเลยหนีไปที่ลานดิน
เห็นแล้วละ แกปฏิบัติฯ อยู่ในห้อง ห่างกันพอสมควร
ผมชอบที่ลานดินมาก ในห้องคนเยอะ ลานดินดีกว่า ลมเย็นดี
ช่วงเดินจงกรม สบายใจ ชัดเจนมาก คงได้กุศลเยอะ
ถึงช่วงนั่งฯ ก็ยังสบายใจ เพราะมั่นใจ ลานดินนี่ปลอดภัยแน่
นั่งไป..นั่งไป....ไล่ไปเรื่อย.................
นิ่ง....สงบ.......รู้สึกถึงสายลมแผ่วๆ ที่กระทบตัว สบาย สงบ
.......อะแห่มมมม.......ม.......ม..........
หัวใจผมตกวูบ...บ......สะดุ้งเฮือก..ก....
ผมลืมตาขึ้น ลุกพรวดขึ้นไปมองหาแกเลย
ที่ลานดิน ไม่มีแกนี่นา
เดินไปดูห้อง ชะเง้อดูทางหน้าต่าง
โอ้..คุณพระช่วย......แกนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ใกล้ๆ ผมนี่เอง
ตอนนั้นพอเห็นแกแล้ว ก็ตกใจ แกก็นั่งเฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติฯ
นั่งเฉยๆ จริงๆ.........ผมรีบเดินหันหลังกลับ
พอกลับไปนั่งใจเต้นที่ลานดินที่เดิม นั่งนิ่งๆ คิดว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ
เช็คสติ......อ้อ.....เรากำลังโกรธ..........โกรธหนอ..........
กำลังกลัวด้วย..........กลัวหนอ.............เอ๊ะกลัวอะไร..
กลัวตาลุงคนนั้นเหรอ.......กลัวทำไม........แล้วจะทำยังไงดี

ตอนเที่ยง ผมเข้าไปกราบพระประธานที่โบสถ์ เอากำลังใจก่อน
แล้วก็นั่งมองท่าน มอง มอง
พระประทานท่าน ปางผจญมาร แฮะ
แล้วก็นึกขึ้นได้มาได้......เอาล่ะ.....ลองดู

ตอนบ่าย เริ่มต้นกันใหม่
ผมออกไปปฏิบัติฯ ที่ลานดิน.....ลานดิน
ตั้งหลัก เริ่มเดินฯ.........................มั่นใจ...............สงบทุกย่างก้าว

พอเริ่มนั่งฯ ผมยกมือพนมอธิษฐาน
ขอพระแม่ธรณีผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ท่านประทานพืชพันธุ์
ต้นไม้ สายน้ำ และ สรรพสิ่งแก่สัตว์โลก
ขอให้ท่านได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย
ลูกตั้งใจทำความดี หนีความชั่ว
และจะทำต่อไป ช่วยให้พลังลูกด้วยเทอด......สาธุ.
จากนั้นผมก็สงบจิต เริ่มปฏิบัติฯ ไปตามขั้น ที่ละขั้น
หายใจ...เข้า.........ไล่ไปเรื่อย
หายใจ...ออก........สงบ เย็น
ดิ่ง ลึก .....หัวใจเต้น...ตุบ......ตุบ.......ตุบ
วูบ....ไม่รู้สึกอะไรเลย หลับหรือเปล่าก็ไม่รู้ จนหมดเวลาเลย
แต่ความรู้สึก มันช่าง สบาย สดชื่น เต็มพลังดีจัง
ผมลืม อีตาคุณลุงคนนั้นไปเลย.......ลืมไปเลย.

ช่วงค่ำ ทำวัตรสวดมนต์ ปฏิบัติฯ ทุกอย่างดีหมด
ได้เนื้อ ได้หนัง ได้กุศล พอแรง
เฮ้อ....ยกนี้ คะแนนเป็นยังไงก็ไม่รู้.....
ท่านกรรมการ ช่วยแอบบอกด้วยครับ

อนณ 093-149-9564
จากคุณ : tobeteam
เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 53 10:38:27




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 30 กันยายน 2562 8:36:03 น.
Counter : 949 Pageviews.  

กรรมทันตา มารผจญ 1

มารผจญ 1

เคยได้ยินว่า เมื่อเราเริ่มทำความดี หรือเริ่มปฏิบัติธรรมมักจะเจอมารผจญกันทั้งนั้น
ผมเองเมื่อครั้งไปปฏิบัติกรรมฐาน ที่วัดอัมพวัน ครั้งแรก ก็เจอเหมือนกัน
แต่จะว่าเป็นมารมาแกล้ง หรือก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องแปลกๆ ซะมากกว่า
เช่น คืนวันแรก ได้ยินเสียงเปรตร้องดังลั่น สั่นประสาทไปหมด

วันที่สอง ที่สาม ก็จะเป็นเรื่องปวดเมื่อยไปตามเรื่อง แต่ก็สุดทรมานเลยละ
โดยเฉพาะผมมีโรคปวดหลังเป็นแฟนประจำอยู่แล้ว นอกนั้นก็จะเป็นมด เป็นยุงซะมากกว่า

วันที่สี่ มีเรื่องที่ต้องผจญอย่างแรง
คือตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว ผมมองไปรอบๆ จะเห็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ผู้หญิงที่มาปฏิบัติ เมื่อนุ่งขาว ห่มขาวแล้ว จะดูดีมาก...ก
แต่ละคนเก็บเส้นผมเรียบ ไม่มีเครื่องสำอาง หน้างี้นวลผ่อง..ง คงจะอิ่มบุญน่ะ
กริยาก็สงบเรียบร้อย ยิ่งเดินจงกรม ก็จะเห็นได้ว่ายิ่งน่าดู น่าเลื่อมใสมาก เห็นแล้วประทับใจ
แต่ไม่ใช่เรื่องของกามนะครับ....แค่รู้สึกน่าศรัทธามาก

มายุ่งก็เพราะวันที่สาม ผมมองๆ พวกผู้หญิงแล้ว คิดในใจว่า เรานี่ก็ดีนะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผู้หญิง ศีลข้อกาเมฯ เราน่าจะผุดผ่องดีนะ...มั่นใจมาก
พอเช้าวันที่สี่ ทำวัตรเช้าตีห้า กว่าจะเสร็จก็ 7 โมง ไปกินข้าว
เริ่มปฏิบัติอีกที 8 โมง .......
ผมออกไปปฏิบัติฯ ด้านนอกห้อง ที่เรียกว่า ลานดิน ซึ่งเป็นลานกว้างๆ พื้นเป็นดินทราย
มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายต้น อากาศถ่ายเทดีมากๆ
ผู้ปฏิบัติก็แยกย้ายไปใต้ต้นไม้ ตามแต่ชอบ แต่ก็จะไม่ห่างกันมาก
ผมเดินจงกรมเสร็จ ก็ลงนั่งสงบนิ่ง...ง...รู้สึกได้ถึงลมอ่อนๆ กำลังดี
สดชื่นมาก.........ดำดิ่ง...ได้ดีมาก
เมื่อครบ 45 นาที ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ.....จนลืมเต็มตา.....โอ๊ะ....

ภาพที่เห็นตรงหน้า เป็นภาพหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งปฏิบัติสมาธิ ห่างไปประมาณ 5 เมตรมารผจญ 1

เคยได้ยินว่า…. เมื่อเราเริ่มทำความดี หรือเริ่มปฏิบัติธรรม มักจะเจอมารผจญกันทั้งนั้น
ผมเองเมื่อครั้งไปปฏิบัติกรรมฐาน ที่วัดอัมพวัน ครั้งแรก ก็เจอ
แต่จะว่าเป็นมารมาแกล้ง หรือก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องแปลกๆ ซะมากกว่า
เช่น คืนวันแรก ได้ยินเสียงเปรตร้องดังลั่น สั่นประสาทไปหมด

วันที่สอง ก็จะเป็นเรื่องปวดเมื่อยไปตามเรื่อง แต่ก็สุดทรมานเลยละ
โดยเฉพาะผมมีโรคปวดหลังเป็นแฟนประจำอยู่แล้ว นอกนั้นก็จะเป็นมด เป็นยุงซะมากกว่า
วันที่สาม ปวดหัว มึนตึ๊บบบ ๆ บ่นตัดพ้อว่าเทวดาฟ้าดิน
จนท่านมาสั่งสอน เปิดกรรมที่ได้เคยทำไว้เมื่อตอนยังเด็ก….ให้ดูกับตาตัวเอง เลย

วันที่สี่ …..มีเรื่องที่ต้องผจญอย่างแรง
คือตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว ผมมองไปรอบๆ จะเห็น ผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย
ผู้หญิงที่มาปฏิบัติธรรม เมื่อนุ่งขาว ห่มขาวแล้ว จะดูดีมาก.ก..ก
แต่ละคนเก็บเส้นผมเรียบ ไม่มีเครื่องสำอาง ใบหน้างี้นวลผ่อง..ง คงจะอิ่มบุญน่ะ
กริยาก็สงบเรียบร้อย ยิ่งเดินจงกรม ก็จะเห็นได้ว่ายิ่งน่าดู น่าเลื่อมใสมาก เห็นแล้วประทับใจ
แต่ไม่ใช่เรื่องของกาม หรือความใคร่ นะครับ....
แค่รู้สึกน่าศรัทธามาก

มายุ่งก็เพราะวันที่สาม ผมมองๆ พวกผู้หญิงแล้ว คิดลำพองในใจว่า…
ตัวเรานี่ก็ดีนะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผู้หญิง ศีลข้อกาเมฯ เราน่าจะผุดผ่องดีนะ...นึกมั่นใจมาก

พอเช้าวันที่สี่ …..
ทำวัตรเช้าตีห้า กว่าจะเสร็จก็ 7 โมง ไปกินข้าว
เริ่มปฏิบัติอีกที 8 โมง .......
ผมออกไปปฏิบัติฯ ด้านนอกห้อง ที่เรียกว่า….ลานดิน 
ซึ่งเป็นลานกว้างๆ พื้นเป็นดินทราย
มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายต้น อากาศถ่ายเทดีมากๆ
ผู้ปฏิบัติก็แยกย้ายไปใต้ต้นไม้ ตามแต่ชอบ แต่ก็จะไม่ห่างกันมาก
ผมเดินจงกรมเสร็จ ก็ลงนั่งสงบนิ่ง.ง..ง...รู้สึกได้ถึงลมอ่อนๆ กำลังดี
สดชื่นมาก.........ดำดิ่ง...ได้ดีมาก
เมื่อครบ 45 นาที ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ.....จนลืมเต็มตา.....โอ๊ะ....

ภาพที่เห็นตรงหน้า ….เป็นภาพหญิงสาวคนหนึ่ง 
เธอกำลังนั่งปฏิบัติสมาธิ ห่างไปประมาณ 5 เมตร
เธอนั่งสงบนิ่ง หลังตรง สง่างามมาก 
สายลมอ่อนๆ ใบไม้ไหวน้อยๆ ....มีแสงแดดอ่อนๆ ส่องมาอย่างเหมาะเหม็ง 
ยิ่งช่วยขับเน้นให้เด่นชัด ถึงความ…สวย สดใส

โอ้ยยยย……เธอช่างสดใส เป็นแบบที่ผมชอบมาก ยิ่งกว่าคำว่า สเปค ร้อยเท่า
ปรกติ ผมเป็นคนชอบผู้หญิงอวบนิดๆ ไม่ชอบพวกหุ่นนางแบบ
ชอบคนไม่แต่งหน้า ชอบผิวธรรมชาติ ....ซึ่ง เธอ เป็นทุกอย่างที่เราชอบ
ผมเป็นคนรักครอบครัวมาก โดยเฉพาะภรรยา
ผมทำงานกับลูกน้องสาวๆ สวยๆ มามากมาย ทั้งๆที่ใกล้ชิด และพยายามมาชิดใกล้เยอะแยะ
แต่ผมก็ไม่เคยวอกแวก เพราะเคยผ่านเรื่องวุ่นวายแบบนี้มาแล้ว ทำให้เบื่อมาก ภูมิต้านทานด้านนี้เลยเยอะ

แต่ภาพที่เห็นเต็มตาอยู่ตรงหน้านี้ เธอช่างสดใส งดงาม ซึ่งไม่ใช่สวยเลิศ นะครับ
แต่เป็นงดงามมาก โดยเฉพาะแดดอ่อนๆ ส่องกระทบผิวเธอ อย่างกับมีความเรืองรองออกมาเลย
โอ้โฮ...ตอนนั้น สติ และสัมปชัญญะ หรืออะไรก็แล้วแต่มันถูกเธอคนนั้นดูดกลืน หายไปหมด
สติสัมปชัญญะ ความยั้บยั้งชั่งใจ ความรู้สึกนึกคิด อะไร ๆ ……มันก็ไม่มีเหลือเลย
ที่เค้าว่า…ต้องมนต์ คงเป็นอย่างงี้เอง
ผมได้แต่นั่งมองดูเธอคนนั้น....
เธอ ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ อย่างมีสติ.....ยืนขึ้นเดินจงกรม ช้า..ช้า………ช้า
เธอก้าว ขวา...ย่างงง...หนออออ
ซ้าย...ย่างงง...หนออออ...........มันเหมือนภาพสโลว์สเตป จนกระทั่งหมดเวลา 45 นาที
ส่วนผมนะเหรอ ได้แต่….. ก้าวขวา...หันไปดูหนอ
.....ซ้ายเหลือบตาดูหนอ จนหมดเวลา

จากนั้น ทั้งวัน ได้แต่คอยมองหา ว่า เธอคนนั้นไปนั่งปฏิบัติฯ อยู่ตรงไหนกันนะ
อยากเข้าไปพูดคุย ไปคุยด้วยจังเลย

พอช่วงค่ำ สวดมนต์ทำวัตรจบแล้ว ค่อยมีสติขึ้นมาบ้าง
คิดได้ว่า เฮ้ยยย….เรามาทำอะไร มาทำไม แล้วเกิดอะไรขึ้นกัน เนี่ยะ
จะมาบ้าอย่างนี้ได้ยังไง....ไอ้บ้าเอ๊ย...ย
เมื่อปลงได้ก็ค่อยสงบใจ ปฏิบัติไปได้พอสมควร
แต่ก็ยังเห็น… เธอ โผล่ตรงนั้น โผล่ตรงนี้ เฉียดไป เฉียดมา
มีแต่ความน่าหลงใหล ไปซะหมดทุกอย่าง ทุกอริยาบท

ผมพยายามนึกถึงที่ได้ยินมา…. รูปไม่เที่ยงหนอ
ถ้าเอาหนังออก เนื้อออก คงจะแย่
พยายามหันไปดูคนแก่ๆ ที่มาปฏิบัติ แล้วใคร่ครวญ คิด
อีกหน่อยก็ยังงี้เหมือนกัน มันจะไม่เหี่ยวให้มันรู้ไป.....

เช้าวันที่ห้า ทำวัตรเช้า แล้วผมก้มหน้า ก้มตาปฏิบัติฯ
ตั้งใจไว้….ไม่อยากเห็น ไม่อยากดู ไม่อยากรู้ ขอความสงบอย่างเดียว
จนถึงเวลากินข้าว....
ทุกคนก็จะเดินเข้าแถวเป็นระเบียบ ไปหยิบถาดหลุมเพื่อไปรับข้าวต้ม
ก้มหน้าก้มตา เดินตามคนอื่น
เมื่อถึงคิวผม พอยื่นถาดไป แต่....โอ๊ยยยยย.....
คนที่ตักให้เป็น เธอ สาวน้อย แสนสดใส ที่น่าหลงใหลลลล คนนั้นเอง.......
ผมนะใจเต้น ตุ๊บ..ตุ๊บบ..ตุ๊บ.บบ….ตุ๊บบบบ
แต่แล้วก็ ฉุกใจคิดได้ทันทีเลย......เธอ คนนี้ คือ….. มารผจญ

…..อาจจะเป็นเพราะผมชงักไป ทำให้การตักเสียจังหวะ
เธอจึงเงยหน้ามามอง แล้วยิ้มที่มุมปากนิดๆ …….
เป็นรอยยิ้ม ที่เต็มไปด้วย…เสน่ห์ และความรู้สึกอีกมากมาย
ทั้งยั่วเย้า และ…เวทนา
ชั่วเวลาแค่…วินาที นั้น มันหยุดนิ่ง นานนน

ความรู้สึกของผม ในตอนนั้น มัน แว่บบบ เข้าไปอก ที่หัวใจ
อึดอัด ติดขัด
ได้แต่พยายามหายใจเข้าให้..ลึกกกก ที่สุด
แล้ว ถอนหายใจออกยาว นึกในใจ
...ผมขอโทษ...ผมเข้าใจแล้ว...ผมจะไม่ประมาทอีกแล้วครับ...
เธอ คนนั้นก็กลับ…ยิ้มมากขึ้น เหมือนกับ..ดีใจด้วย
แววตา บอกถึงความยินดี ไปกับผมอย่าง จริงใจ

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็น ….เธอ
หลังจากนั้นไม่ได้เห็น หรือรู้สึกถึงอีกเลย ก็แปลกดี
เฮ้อออ....การต่อสู้ ยกนี้ไม่รู้ว่า แพ้ หรือชนะ
แต่แน่นอน เกือบถูกน๊อค........

อนณ นิศารัตน์
โทร – ไลน์.  0931499564




 

Create Date : 04 มกราคม 2554    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2565 13:41:48 น.
Counter : 2298 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

tobeteam
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add tobeteam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.