กอนฟฟ์ เจ้าหนูจอมขโมยค่อยๆคืบคลานอย่างเงียบกริบ ไปตามทางเดินระหว่างห้องเก็บเสบียงอาหารกับห้องเก็บของในปราสาทโกตีร์ มันเป็นหนูตัวเล็กๆที่อวบอ้วนห่อหุ้มตัวเองอยู่ในเสื้อรัดรูปไม่มีแขนสีเขียว คาดด้วยเข็มขัดที่มีหัวขนาดใหญ่ กอนฟฟ์เป็นทั้งนักดำน้ำและนักปั่นทอโดยกำเนิด เป็นนักเลียนแบบที่มหัศจรรย์ นักแต่งเพลงพื้นบ้าน นักร้องรวมทั้งนักสะเดาะกลอน ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำได้อย่างสนุกสนาน พวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชอบมันกันทั้งนั้น
กอนฟฟ์เลียนแบบพวกนากที่มันชื่นชมโดยเรียกสัตว์ทุกตัวในป่าว่า “สหาย” มันกระเดาะปากเบาๆขณะดึงมีดเล่มเล็กๆออกจากเข็มขัดมาตัดก้อนเนยแข็งที่ถืออยู่ออกมาส่วนหนึ่ง ที่บ่าของมันมีกระติกบรรจุไวน์เอลเดอเบอร์รีที่ขโมยมาจากห้องเก็บเสบียงแขวนอยู่ กอนฟฟ์ร้องเพลงงึมงำกับตัวเองด้วยเสียงทุ้มต่ำขณะกินเนยแข็งและดื่มไวน์
เจ้าชายหนูหัวขโมยให้เกียรติท่าน
โดยจะมาเยี่ยมเยียนในวันนี้
ควรล้อคประตูห้องเสบียงให้แน่นหนา
เก็บอาหารไปเสียให้หมด
ไอ้พวกโง่เอ๋ย ไปตรวจห้องเก็บของเสียด้วย
สำรวจอาหารดีๆที่มีอยู่มากมาย
แน่ใจได้เลยว่าเราจะกลับมาเอาอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวน์รสเลิศนี้
กอนฟ์หุบปากลงทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆดังมาตามพื้น มันรีบกลับเข้าไปซ่อนอยู่ในเงามืด ก้มตัวลงต่ำและกลั้นหายใจ วีเซอร์สองตัว (สัตว์กินเนื้อขนาดเล็กรูปร่างเรียวยาวคล้ายแมว – ผู้แปล) ที่อยู่ในเสื้อเกราะ มือถือหอกกำลังเดินผ่านมาพร้อมกับส่งเสียงทะเลาะทุ่มเถียงกันมาตลอดทาง
“ฟังนะ ข้าจะไม่ยอมเป็นแพะรับบาปที่เจ้าไปขโมยอาหารจากห้องเสบียงเป็นอันขาด”
“ใครขโมย? ข้าน่ะหรือ? ระวังปากหน่อย ข้าไม่ได้เป็นหัวขโมยนะ”
“หนอย ก็ตอนนี้เจ้าน่ะอ้วนจนพุงป่องแล้ว ขอบอก”
“เชอะ ถึงยังไงข้าก็ไม่อ้วนม่อต้อเหมือนเอ็งหรอกวะ ไอ้ถังกลม”
“เอ็งน่ะแหละไอ้ถังกลม เอ็งกำลังจะกล่าวหาข้าสินะ”
“อ้าว ก็เจ้าเป็นผู้ถือกุญแจห้องเสบียงนี่นา แล้วใครที่ไหนจะเข้าไปขโมยได้ล่ะ?”
“อาจเป็นเจ้าก็ได้นี่ ข้าเข้าไปในห้องทีไรเจ้าก็ตามเข้าไปด้วยทุกที”
“ข้าเข้าไปกันไม่ให้เจ้าขโมยน่ะแหละ”
“ข้าก็เหมือนกันแหละ ข้าก็ไปคอยกันท่าเจ้าเหมือนกัน”
“ดีละ ต่อไปนี้เราก็คอยกัดกันเองก็แล้วกัน”
กอนฟฟ์ยัดมือข้างหนึ่งเข้าไปในปากเพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะรอดออกมา เจ้าวีเซอร์ทั้งสองหยุดทุ่มถียงหันมามองหน้ากันแทน
“เสียงอะไรน่ะ?”
“โอ๊ย ข้ารู้น่าว่าเสียงอะไร---เสียงเจ้าหัวเราะเยาะข้าไง”
“เอ๊ะ อย่ามาพูดจางี่เง่ากับข้านะ”
“เจ้าว่าข้างี่เง่างั้นหรือ?” พูดเสร็จเจ้าวีเซอร์ตัวนั้นก็หันหลังให้เพื่อนของมันอย่างขุ่นเคือง
กอนฟฟ์รีบส่งเสียงเลียนเสียงเจ้าวีเซอร์ออกไปดังๆว่า “ไอ้อ้วนจอมขโมย!”
ขาดคำวีเซอร์ทั้งสองตัวก็หันไปเผชิญหน้ากันทันทีอย่างโกรธจัด
“ไอ้อ้วนจอมขโมยงั้นหรือ---เอานี่ไปเลย!!”
“โอ๊ย!! ไอ้คางคกจอมส่อเสียด เอานี่ไปบ้างสิ!!”
เจ้าวีเซอร์ทั้งสองใช้ด้ามหอกที่ถืออยู่ฟาดฟันใส่กันอย่างดุเดือด กอนฟฟ์รีบหลบออกจากที่กำบังคลานหนีออกไปในทิศตรงกันข้าม ทิ้งวีเซอร์ทั้งสองให้ฟัดกันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นทางเดิน ตอนนี้ทั้งคู่กัดข่วนจิกทึ้งกันยกใหญ่ ลืมหอกของมันไปเลย
“โอ๊ยยยยยยยย! ปล่อยข้า---นี่แน่ะ เอาไปบ้างสิ!!”
“แกก็เอาของข้าไปบ้างสิ ไอ้ขี้ขโมย!! อ๊าววววว! กัดหูข้าเหรอนี่!”
กอนฟฟ์เก็บดาบเข้าฝัก หัวเราะจนตัวสั่นอย่างชอบอกชอบใจ มันถอดสลักหน้าต่างออกแล้วมุดลอดออกไปภายนอก เดินไปตามพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะมุ่งหน้าเข้าไปในป่า
สู้กันไปเลยเจ้าหนุ่มน้อยสู้กันต่อไป
ข่วนกันเข้าไป เจ้าหนุ่มน้อย กัดกันเข้าไป
กอนฟฟ์จะกินเนยแข็งกับไวน์
ทันทีที่กลับถึงบ้าน
มาร์ตินปักส้นเท้าลึกลงไปในหิมะยันตัวไว้ ขณะที่พวกทหารลากตัวเขาไหลเลื่อนผ่านประตูกำแพงด้านนอกของดินแดนต้องห้าม ตรงซากหลักหักพังที่เขาเพิ่งผ่านมาเมื่อตอนเช้า พวกทหารในเสื้อเกราะเซล้มไปกระทบกระแทกกันดังโกร่งเกร่ง เมื่อถูกเชือกที่ล่ามเชลยไว้ลากเข้าไปข้างใน ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เจ้าหนูนักโทษ
แบล๊คทูธและสปลิทโน๊สช่วยกันปิดประตูใหญ่ด้วยเสียงโครมครามอย่างอารมณ์ไม่ดี หิมะละเอียดเป็นฝอยขาวปลิวจากยอดกำแพงลงมาใส่ ลานตรงที่ใช้ตรวจแถวทหารที่เต็มไปด้วยหิมะกลายเป็นพื้นแบนเรียบและลื่นโดยพวกทหารที่เดินไปเดินมากันอยู่แถวนั้น บ้างก็ถือคบไฟที่มีไฟลุกโชนพวกนี้คือพวกพังพอน วีเซอร์และตัวสโต๊ท พวกมันตัวหนึ่งตะโกนพูดกับสปลิทโน๊สว่า
“ฮอย สปลิตตี้ ตอนอยู่ข้างนอกโน่นเห็นเจ้าหมาจิ้งจอกไหม?”
เจ้าตัวสโต๊ทสั่นหัว “อะไรนะ? เจ้าหมายถึงผู้รักษาหรือ? ไม่เห็นหรอก ไม่เห็นแม้แต่หนวดของมัน แต่เราจับหนูได้ตัวหนึ่ง ดูของที่มันถืออยู่สิ”
สปลิทโน๊สปัดดาบขึ้นสนิมของมาร์ตินให้ชูสูงขึ้นไป ทำให้แบล๊คทูธต้องกระโดดหลบเป็นพัลวัน
“เฮ้! เลิกเล่นดาบนั่นเสียที เจ้าโฉบมันไปมาแบบนั้นอาจจะไปแทงถูกใครเข้าก็ได้ อืมม์ พวกเขารอหมาจิ้งจอกอีกแล้ว ก็แปลว่าท่านผู้เฒ่ากรีนอายน์อาการไม่ดีขึ้นน่ะสิ เฮ้ เจ้านั่นน่ะ มัดเชือกให้แน่นๆเอาไว้! ทำให้มันอยู่นิ่งๆสิวะ ไอ้พวกสมองทึบ”
ประตูทางเข้าห้องโถงยิ่งยากลำบากเป็นสองเท่า เมื่อนักรบหนูยึดเสาประตูที่ทำด้วยไม้เอาไว้แน่น ในที่สุดพวกทหารต้องใช้หอกดันให้มือของเขาหลุดออกจากเสาประตูต้นนั้น
วีเซอร์ตัวที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลขนมปังไม่เข้าไปร่วมกับกลุ่มทหารพวกนี้ มันเดินตรงไปที่ห้องเก็บของและห้องเก็บเสบียงอาหาร เมื่อเดินผ่านทางเข้าห้องโถงเข้าไป สัตว์ตัวอื่นๆหลายตัวที่อยู่แถวนั้นจับตามองก้อนขนมปังสีน้ำตาลในมือมันอย่างหิวโหย
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัด พวกสัตว์มากมายที่อาศัยอยู่ในนิคมรอบๆโกตีร์พากันหลบหนีเข้าป่าไปหลังฤดูเก็บเกี่ยว และพากันขนอาหารต่างๆเท่าที่จะขนได้ไปด้วย ทำให้ไม่มีการส่งส่วยหรือภาษีในรูปเสบียงมาที่โกตีร์ เจ้าตัววีเซอร์กอดก้อนขนมปังไว้แน่นขณะเดินผ่านไป
ห้องโถงมีสภาพเย็นเยือกไม่น่าอยู่และชื้นแฉะ ที่หน้าต่างบานเตี้ยๆมีบานไม้ปิดกั้นเอาไว้ พื้นห้องโถงเป็นหินที่ดูคล้ายหินแกรนิตสีทึมๆและเย็นเฉียบ ทหารยามผลัดกลางคืนจุดคบไฟเล็กๆทิ้งไว้ตามมุมต่างๆตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เปลวไฟทำให้ฝาห้องเป็นรอยดำๆจากควันไฟและขี้เถ้า เฉพาะพวกระดับนายทหารเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อคลุมตัวยาว ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของยศตำแหน่ง แต่ทหารหลายตัวก็นำเอากระสอบเก่าๆและผ้าห่มที่ยึดมาได้จากนิคมมาสวมใส่
บันไดซึ่งทอดลงไปชั้นล่างมีลักษณะผสมปนเปกันไประหว่างบันไดเวียนที่เก่าแก่และขั้นบันไดที่ทำด้วยหินซึ่งไม่ต่อเนื่องกัน คบไฟมากกว่าครึ่งในบริเวณนี้มอดดับหมดแล้วและยังไม่มีใครเอาอันใหม่มาเปลี่ยน ทำให้บริเวณบันไดมืดและอันตราย ต้นตะไคร่น้ำและราขึ้นปกคลุมด้านล่างของกำแพงและตามขั้นบันไดเต็มไปหมด
ตัววีเซอร์เดินอย่างรีบเร่งไปตามทางเดินแคบๆ เมื่อถึงหน้าห้องเก็บของมันก็ทุบประตู ผู้ที่อยู่ข้างในไขกุญแจเปิดประตุให้
“เอาอะไรมาน่ะ? อ้อ ขนมปัง เอาเข้ามาเลย”
ทหารวีเซอร์สองตัวที่เพิ่งทะเลาะกันเมื่อครู่ที่ผ่านมานั่งอยู่บนกระสอบแป้ง ตัวหนึ่งจ้องมองขนมปังอย่างหิวโหย
“โธ่เอ๊ย ทั้งคืนเจ้าหาได้แค่นี้เองหรือ? ข้าบอกได้เลยว่า ที่นี่กำลังแย่มากขึ้นเรื่อยๆ ใครให้เจ้าเอาขนมปังลงมาล่ะ?”
“แบล๊คทูธ”
“อ้อ เจ้านี่เอง เขานับจำนวนหรือเปล่าล่ะ?”
“เอ้อ เปล่า ไม่ได้นับมั้ง”
“ดีเลย มีขนมปังห้าก้อน ถ้าเราเอาก้อนละครึ่ง— ก็จะเหลือสองก้อนครึ่ง คงไม่มีใครรู้หรอกนะ”
พวกมันรุมทึ้งขนมปังก้อนสีน้ำตาลของนางกุ๊ดดี้กันอย่างอดหยากปากแห้ง
ในห้องโถงข้างบน มาร์ตินเอาเชือกเส้นหนึ่งไปพันรอบเสาหินต้นหนึ่งได้สำเร็จ พวกทหารรอบๆห้องพากันโห่ร้องตอนที่ทหารลาดตระเวณพยายามลากตัวเขาออกจากเสาหินไปที่บันได
“เยเย เป็นอะไรไป พวกเจ้า กลัวเจ้าหนูตัวนั้นหรือ?”
แบล๊คทูธหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มพวกที่โห่เยาะเย้ย
“พวกเจ้ากล้าไหมล่ะ? ไม่กล้าหรอกน่า ข้ารู้”
ประตูด้านหลังเปิดกว้างออกพาเอาหิมะและลมเย็นเฉียบเข้ามาในห้อง สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมเก่าๆขาดๆเดินผ่านกลุ่มทหารขึ้นไปตามขั้นบันไดที่แบนกว้างไปที่ชั้นหนึ่ง พวกทหารปากเปราะได้เหยื่อชิ้นใหม่แล้ว
“โฮโฮโฮโฮ เดี๋ยวก่อน เจ้าหมาจิ้งจอก เจ้ามาสายนะ”
“อืมม์ ท่านผู้เฒ่ากรีนอายน์ไม่ชอบคอยนะ”
“ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะอยู่ให้ห่างเลดี้ทซาร์มิน่า”
นางสุนัขจิ้งจอกเดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจคำพูดของพวกทหาร
มาร์ตินพยายามจะวิ่งไปยังประตูที่เปิดอยู่ครึ่งๆ ออกไปที่บริเวณลานตรวจแถวทหาร แต่ทหารลาดตระเวณหลายนายกระโดดเข้าตะครุบและกดตัวเขาลงกับพื้น ถึงอย่างนั้นมาร์ตินก็ยังดิ้นรนต่อสู้กับพวกมัน ทหารปากเปราะกลุ่มเดิมส่งเสียงโห่ฮาอีก แถมตะโกนให้คำแนะนำตลกๆต่างๆมากมาย แบล๊คทูธพยายามทำหน้าถมึงทึงใส่พวกมันเพื่อให้เงียบ แต่ไม่มีใครสนใจ
สปลิทโน๊สทำท่าเหยียดหยาม “วินัยของเจ้าพวกนี้แย่ลงมากตั้งแต่ท่านลอร์ดเวอร์เดากาป่วย” มันพูด
นางสุนัขจิ้งจอกฟอร์จูนาต้าคอยอย่างกระสับกระส่ายอยู่ตรงหน้าห้องโถงของโกตีร์ กองไฟที่จะดับมิดับแหล่ส่องแสงไปจับกำแพงหินทรายที่อับชื้น เห็ดและราสีเขียวชื้นๆขึ้นอยู่ระหว่างเสาธงที่เปียกแฉะแล้วลามเข้าไปในผ้าธงขาดวิ่นผุพังที่ห้อยลงมาจากเสาธงที่ทำด้วยเหล็กขึ้นสนิมเขรอะ นางสุนัขจิ้งจอกมองแล้วเกิดอาการขนลุกขนพองอย่างช่วยไม่ได้
ทหารพังพอนสองตัวซึ่งแต่งตัวพะรุงพะรังเดินเข้ามา ทั้งคู่ถือโล่ห์ซึ่งมีตราเป็นรูปดวงตาสีเขียวเป็นร้อยๆพันๆดวงจ้องมองไปทุกทิศทุกทางของเจ้านายของมันประดับไว้ ทหารยามใช้หอกที่อยู่ในมือเป็นสัญญาณให้นางสุนัขจิ้งจอกเดินตามพวกมัน ลงไปตามทางโถงทางเดินที่ทั้งยาวและมืดแล้วพากันมาหยุดตรงหน้าประตูไม้โอ๊คขนาดใหญ่สองบาน ทหารยามตัวหนึ่งใช้ปลายหอกเคาะลงไปบนพื้น เมื่อประตูเปิดออกนางสุนัขจิ้งจอกมองเห็นสภาพภายในที่ถึงแม้จะสลักหักพังแต่ก็ยังมองเห็นความงดงาม
แสงริบหรี่จากเทียนและคบไฟทำให้เห็นสภาพของห้องไม่ได้ชัดเจน ขื่อที่ขวางอยู่บนเพดานจมหายอยู่ในความมืด สุดปลายด้านหนึ่งของห้องมีเก้าอี้ตั้งอยู่สามตัว ซึ่งถูกยึดครองโดยแมวป่าสองตัวและตัวมาร์เทนตัวหนึ่ง (สัตว์ป่าชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายแมวแต่ใหญ่กว่า – ผู้แปล) มีเตียงใหญ่สี่เสาซึ่งมีม่านกำมะหยี่สีเขียวเข้มกั้นปิดอยู่โดยรอบตั้งอยู่หลังเก้าอี้ พนักปลายเตียงแกะสลักเป็นสัญญลักษณ์เดียวกับที่โล่ห์ของพวกทหาร
ตัวมาร์เทนเดินกระโผลกกระเผลกเข้ามาค้นย่ามที่นางฟอร์จูนาต้าถืออยู่ นางสุนัขจิ้งจอกขยับตัวให้ห่างจากการสัมผัสกับรูปร่างอัปลักษณ์ผิดส่วนของมัน ตัวมาร์เทนที่ชื่อแอชเลคนี้มีขาเทียมทำจากไม้ข้างหนึ่ง รูปร่างของมันบิดเบี้ยวไปซีกหนึ่งราวกับถูกทำร้ายจนพิการ และเพื่อปกปิดความพิการนี้มันจึงสวมเสื้อคลุมสีแดงตัวยาวขลิบปลายเสื้อด้วยขนหางนกยูงป่าไว้ตลอดเวลา มันอาศัยความชำนาญเทของที่บรรจุอยู่ในย่ามทั้งหมดคือสมุนไพรต่างๆ รากไม้ ใบไม้ มอสส์และราซึ่งนางสุนัขจิ้งจอกใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาโรคลงมากองบนพื้น
ต่อจากนั้นแอชเลคเดินเข้าไปใกล้เตียงและส่งเสียงราวกับร้องเพลงสวดศพว่า “ท่านผู้เฒ่าเวอร์เดาก้า ท่านลอร์ดแห่งมอสฟลาวเวอร์ ท่านผู้เป็นใหญ่แห่งดวงตาหนึ่งพันดวง ผู้พิฆาตศัตรู เจ้าผู้ครองอาณาจักรโกตีร์…..”
“หยุดพล่ามได้แล้ว แอชเลค นางหมาจิ้งจอกมาหรือยัง? เอาไอ้ม่านที่ทำให้ข้าหายใจไม่ออกนี่ออกไปที” เสียงที่ถึงแม้จะแหบห้าวแต่ก็ทรงพลังดังออกมาจากหลังม่าน
ทซาร์มิน่า นางแมวตัวใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกระชากม่านเขรอะฝุ่นเพียงครั้งเดียวมันก็เปิดออก
“นางฟอร์จูนาต้ามาแล้ว อย่าออกแรงมากนักเลย ท่านพ่อ”
นางสุนัขจิ้งจอกเดินเข้าไปข้างเตียง ด้วยท่าทางสบายๆตามปกติ แล้วลงมือตรวจอาการคนไข้ผู้ดุร้ายของนาง ครั้งหนึ่งลอร์ดเวอร์เดาก้าแห่งตาพันดวงเคยเป็นอัศวินขุนศึกที่มีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดินแถบนี้ แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งและพลังกล้ามเนื้อของเขาสิ้นสลายไป เขานอนอยู่ใต้ผ้าห่มขนสัตว์ที่ปกคลุมร่างกายที่เหนื่อยล้าของเขาอยู่ หน้าตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นแมวป่าที่ผ่านศึกสงครามมาโชกโชน หูกางๆตั้งอยู่เหนือแผลเป็นเก่าๆที่พาดจากหัวไปถึงหนวด นางฟอร์จูนาต้าเหลือบมองฟันสีเหลืองน่ากลัวและดวงตาสีเขียวที่ยังลุกโชนเป็นประกายอย่างโหดร้าย
“วันนี้ใต้เท้าดูดีขึ้นมากเจ้าค่ะ”
“ไม่เท่าคำพูดเจื้อยแจ้วไร้สาระของเจ้าหรอก นางหมาจิ้งจอก”
แมวป่าอีกตัวหนึ่งลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ หน้าตาอ่อนโยนของเขาดูมีกังวล “อยู่นิ่งๆดีกว่านะขอรับ ท่านพ่อ นางฟอร์จูนาต้ากำลังหาทางช่วยรักษาท่านพ่ออยู่”
ทซาร์มีน่าผลักเขาไปทางหนึ่ง “หุบปากของเจ้าเถอะ จินจิเวียร์ เจ้าปากเหม็นบูด….”
“ทซาร์มิน่า!!” เวอร์เดาก้าดึงตัวลุกขึ้นนั่ง ชี้อุ้งมือข้างหนึ่งมาที่ลูกสาวหัวแข็งของเขา “อย่าพูดจาแบบนั้นกับพี่ชายของเจ้า ได้ยินไหม?”
ท่านลอร์ดแห่งตาพันดวงหันไปทางลูกชายคนเดียวของเขาอย่างเหนื่อยอ่อน “จินจิเวียร์ อย่ายอมให้น้องสาวเจ้าข่มขู่เจ้าแบบนั้น เจ้าต้องลุกขึ้นต่อสู้กับนาง”
จินจิเวียร์ยักไหล่ เขายืนนิ่งเงียบขณะที่นางฟอร์จูนาต้าใช้ลูกบดๆสมุนไพรจนเป็นผงแล้วใส่ลงไปผสมกับของเหลวสีดำชนิดหนึ่งในพวยเขาสัตว์
ลอร์ดเวอร์เดาก้ามองนางสุนัขจิ้งจอกอย่างไม่ไว้ใจ “ไม่เอาปลิงแล้วนะ นางหมาจิ้งจอก ข้าไม่ยอมให้เจ้าตัวโสโครกน่าขยะแขยงนั่นมาดูดเลือดข้าอีกแล้ว ให้ดาบไอ้พวกศัตรูมาแทงข้าเสียยังดีกว่า นั่นเจ้ากำลังปรุงขยะอะไรให้ข้าน่ะ?”
นางฟอร์จูนาต้ายิ้มอย่างผู้มีชัย “ท่านเจ้าขา นี่คือสูตรยาที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร ปรุงจากสมันไพรโบราณที่จะช่วยให้ท่านนอนหลับสบาย ท่านสไควร์จินจิเนียช่วยส่งยานี่ให้บิดาของท่านด้วยเจ้าค่ะ”
ระหว่างที่จินจิเวียร์ป้อนยาให้บิดาของเขา ไม่มีใครเห็นทซาร์มีน่าและนางฟอร์จูนาต้าที่ลอบหลิ่วตาให้แก่กัน
เวอร์เดาก้านอนลงไปบนเตียงอีกครั้งหนึ่งและรอให้ยาออกฤทธิ์ ทันใดนั้นความเงียบในห้องถูกทำลายลงด้วยเสียงทะเลาะทุ่มเถียงกันที่ดังมาจากนอกห้อง ประตูสองชั้นถูกกระแทกเปิดเข้ามา