|
ภพผูกรัก บทที่ 3/1
บทที่ 3 ผ่านภพพิพิธ โสภิตากลับไปพร้อมปริศนาภาพถ่ายของชายหนุ่มเจ้าของบ้านเรือนไทยที่ทำให้รุ้งตะวันถึงกับอยู่ไม่ติด พอคล้อยหลังเพื่อนเธอก็รีบปิดประตูเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านที่อยู่ภายในรั้วเดียวกัน บ้านของรุ้งตะวันตั้งอยู่ย่านชานเมืองขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ ด้วยเนื้อที่กว่าหกไร่ที่ดัดแปลงจากที่ดินรกร้างมรดกคุณปู่ทำเป็นสวนสมุนไพรขนาดใหญ่มีพืชพันธุ์ไม้หายากโดยเฉพาะสมุนไพรที่นำมาทำยาพื้นบ้านตามตำรับแพทย์แผนไทย ทำให้รุ้งตะวันที่เติบโตมากับการมีอยู่ของอาศรมคุณปู่ที่ตกทอดมาจากรุ่นปู่มีความรู้เรื่องสมุนไพรโบราณชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่ง เธอซึมซับมันและพร้อมจะอยู่กับมันจึงตัดสินใจทิ้งคณะที่มารดาต้องการเพื่อมาเลือกสาขารองที่คะแนนน้อยกว่า แต่เธอบอกมารดาว่าคะแนนไม่ถึงเอง ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่เป็นที่ปลาบปลื้มของมารดา... “ยายรุ้ง... อยู่ไหน” รุ้งตะวันถึงกับชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงมารดา เธอรีบเก็บกล่องเหล็กใบเก่าสีเทาขอบเต็มไปด้วยสนิมใส่ลงในกำปั่นโบราณที่ตั้งอยู่ในห้องทำงานของบิดาเข้าที่แล้วรีบขานรับ “อยู่ห้องทำงานพ่อค่ะแม่” สิ้นเสียงตอบประตูห้องทำงานของบิดาก็เปิดออกปรากฏร่างสูงเพรียวของมารดาในชุดสูทกระโปรงสั้นสีน้ำตาลอ่อนก้าวเข้ามา รุ้งตะวันกุลีกุจอลุกขึ้นไปรับทันที “ทำไมวันนี้แม่กลับเร็วคะ ไม่ต้องเข้าเวรเหรอ” “แม่กลับมาเตรียมตัวเดินทางไปสัมมนาคืนนี้ไง เราลืมหรือไม่ใส่ใจแม่กันแน่... หืม” “หนูเปล่าคิดแบบนั้นนะคะ” รุ้งตะวันโอดครวญรีบเข้าไปหากอดรอบเอวมารดาอย่างรักใคร่ รัชนีส่ายหน้าแต่กอดตอบรุ้งตะวันหลวม ๆ ก่อนเอ่ย “พอได้แล้ว แม่ต้องรีบไปสนามบิน เราอยู่บ้านกับพ่อก็ดูแลด้วยล่ะอย่าปล่อยให้รับคนไข้ทั้งวันทั้งคืนอีกแม่เบื่อจะพูดแล้ว” “ได้ค่ะแม่” “เราก็เหมือนกัน” รุ้งตะวันมุ่นคิ้วที่โดนหางเลขจึงเอ่ยถาม “หนูทำไมคะ” “หาที่เรียนต่ออย่างน้อยให้ได้สักปริญญาโท... เข้าใจไหม” หญิงสาวได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าปล่อยให้มารดาบ่นจนพอใจเพื่อจะได้ไปสัมมนาที่สิงคโปร์อย่างสบายใจ เพราะเธอวางแผนจะไปหาความจริงเรื่องเจ้าของภาพวาดในบ้านเรือนไทย พรุ่งนี้เธอจะตามบิดาไปค้างที่อยุธยาจนกว่าละครเวทีจะพ้นผ่านและที่สำคัญเธออยากเจออาจารย์ทินพัฒน์อีกด้วย หญิงสาวโบกมือไล่หลังรถตู้มหาวิทยาลัยที่มารอรับมารดาแล่นจากไปลับตาแล้วรีบปิดประตูรั้วประตูบ้านขึ้นไปที่ห้องทำงานบิดาอีกครั้ง เพียงย่างเท้าเข้าไปในห้อง รุ้งตะวันก็ชะงักเพราะยังไม่ทันปิดประตูเสียงหน้าต่างบานพับก็ตีกันไปมากระทั่งลมเย็นพัดวูบเข้ามาปะทะ เธอถึงกับห่อไหล่ลูบมือไปมากับต้นแขนก่อนจะตรงเข้าไปหยิบกล่องเหล็กเมื่อครู่ออกมาเปิดดู “มีแต่ตำราสมุนไพรโบราณหรอกหรือ” รุ้งตะวันพึมพำขณะหยิบหนังสือแต่ละเล่มออกมาดู กระดาษสีน้ำตาลที่ติดกันเป็นพรืดและมุมกระดาษเป็นรอยเปื่อยยุ่ยบ่งบอกให้รู้ว่าตำราเหล่านี้ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน กระทั่งเล่มหนึ่งที่เธอสนใจเป็นพิเศษถึงกับเปิดออกดู “เขียนด้วยอักษรเทวนาครี[1]ด้วย?” เพราะได้ร่ำเรียนมาจากภาควิชาทำให้เธอพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แม้ตัวอักษรจะจางตามกาลเวลาแต่รุ้งตะวันก็รู้ว่านี่คือต้นตำรับยาที่มีค่าควรเมือง “นี่ใช่ตำราอโรคยาศาลาจริง ๆ ใช่ไหม ทำไมมาอยู่กับพ่อได้ แล้วเป็นฉบับคัดหรือยังไงทำไมลายมือคุ้นๆ จัง” รุ้งตะวันรำพึงเพียงเท่านั้นก็เก็บตำราโบราณใส่กระเป๋าสะพายแล้วเก็บกล่องเหล็กกลับคืนที่เดิม ขณะจะเดินออกมาลมเย็นก็พัดมาวูบหนึ่งตามด้วยเสียงที่เธอคุ้นเคย “เจ้าตะวัน…” ไม่เพียงเสียงเรียกเมื่อครู่... ตอนอยู่ในห้องเธอรู้สึกเหมือนจะเกิดฝนฟ้าคะนองจึงทำให้ลมพัดมาวูบใหญ่แต่เพียงย่างเท้าออกมานอกห้องกลับพบว่าต้นไม้ใหญ่ที่อยู่นอกชานนิ่งสนิทแม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่ไหวติง กระทั่งเสียงเอียดอาดดังจากทางด้านหลังบานประตูทำให้เธอถึงกับขนลุก “สงสัยฉันคงคิดถึงเรือนไทยนั่นมากเกินไป” หญิงสาวส่ายหน้าระอากับความคิดหมกมุ่นของตัวเองจึงรีบกลับเข้าห้องนอนที่อยู่ถัดไปสองห้องอย่างเร่งรีบแต่ยังไม่ทันปิดประตูก็ต้องชะงักพราะเสียงเรียกที่ดังแหวกความเงียบมา “เจ้าตะวัน...” เอ๊ะ! รุ้งตะวันหับขวับมายังต้นเสียงแต่ภาพที่เห็นคือความว่างเปล่าก็ถึงกับหนาว ๆ ร้อน ๆ เริ่มอยู่ไม่ติดจนต้องรีบปิดประตูลงกลอนแน่นหนาเพราะวันนี้มีเธออยู่บ้านคนเดียวทำให้ความหวาดระแวงมีมากกว่าปกติ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอนั้นคืออะไรแต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือเหตุการณ์นี้มิใช่วิสัยปกติเป็นแน่ “แม่รุ้งของพี่...” อีกแล้ว? เดี๋ยวก็เจ้าตะวัน นี่ก็แม่รุ้ง ตกลงเจ้าของเสียงต้องการอะไรจากเธอกันแน่นะ! รุ้งตะวันสะบัดหน้าไล่ความมึนงง มือคลำสายสร้อยทองคำสลับลูกปัดสีดำมีจี้ทองเล็ก ๆ ขนาดเท่าเม็ดทับทิมที่สวมอยู่บนคอขณะยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งอย่างลืมตัวพลันนึกถึงคำอาจารย์ระวีอีกครั้ง “เธอได้สร้อยมงคลสูตร[2]เส้นนั้นมาจากไหน” “สร้อยอะไรนะคะอาจารย์” “นี่ไง” อาจารย์ระวีช้อนสายสร้อยที่ห้อยลงมาจากคอเธอขณะนั่งคุยงานวิจัยด้วยกันทำให้รุ้งตะวันถึงกับผงะทันทีที่อาจารย์ชะโงกหน้าดูด้วยความสนใจ “อาจารย์ถามทำไมหรือคะ” “เธอรู้ความหมายของมันไหม... รุ้งตะวัน” “ไม่รู้ค่ะ” เธอตอบพลางมุ่นคิ้วด้วยความสงสัยที่เห็นอาจารย์ทำหน้าปุเลี่ยน ๆ จึงเล่าให้ฟัง “สร้อยเส้นนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากคุณปู่ค่ะ ตอนที่คุณปู่เสียคุณพ่อได้มรดกจากคุณปู่คือบ้านเรือนไทยที่อยุธยากับที่ดินและบ้านอาศรมคุณปู่ที่ปทุมแล้วสร้อยเส้นนี้ก็เป็นของตกทอดมาจากคุณย่าอีกทีค่ะ” “อ๋อ... อย่างนี้นี่เอง แต่ผมว่าคุณอย่าใส่จะดีกว่า...” อาจารย์ระวียั้งไว้แค่นั้น รุ้งตะวันอยากรู้เหตุผลที่ถูกห้ามแต่ก็จำต้องยุติบทสนทนาเพราะการมาถึงของทินพัฒน์ที่มารับเธอกับโสภิตาไปบ้านเรือนไทยด้วยกันเมื่อหนึ่งเดือนก่อน นับแต่เหตุการณ์วันนั้นทินพัฒน์ก็ตามรับตามส่งเธอไปกลับที่บ้านเรือนไทยทุกครั้งและไม่เคยได้ยินเสียงร้องเรียกอีกเลยกระทั่งวันนี้ วันที่เธอหยิบสร้อยมงคลสูตรขึ้นมาสวมอีกครั้ง... “มันจะเกี่ยวกันไหมนะ” รุ้งตะวันจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองหน้ากระจก มือเรียวเอื้อมดึงหนังยางที่ผูกผมรวบตึงสูงออกจนผมยาวสลวยดำขลับลู่ลงกลางหลัง เธอหยิบหวีที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นหวีอย่างพิถีพิถัน สายตาก็ยังมองดวงหน้าที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเหมือนแขกขาวของตัวเองอย่างตั้งใจ กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังเธอจึงกดรับและเปิดไปด้วย “ยายรุ้ง!” เสียงตื่นเต้นในโทรศัพท์ไม่ใช่ใครนอกจากเพื่อนร่างอวบที่เพิ่งกลับไปไม่นาน รุ้งตะวันส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยถามไปอย่างไม่ใส่ใจ “อะไรอีก... ยายเพิ้ง” “เรื่องพี่สุดหล่อสุดหลอนของฉัน” “หืม...” เธอนิ่วหน้าคิ้วขมวดไม่ตั้งใจแล้วถามต่อ “คนไหน” “คนไหนอะไรยะ อย่าทำเป็นไม่รู้สิ... ชิ!” เสียงปลายสายพ่นมาราวกับหมั่นไส้เต็มประดา คราวนี้รุ้งตะวันหัวเราะคิกเพราะรู้ว่าโสภิตาคงกัดไม่ปล่อย ป่านนี้คงหาคำตอบเรื่องภาพนั้นได้แล้วจึงได้แต่นิ่งฟังครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงกระแอมตามมาจากปลายสาย “คืองี้ ตั้งใจฟังให้ดีนะยายรุ้ง” “อือ ว่ามา” “เธอก็รู้ใช่มะว่าฉันชอบใช้กล้องฟิล์ม” “รู้ แล้วไง” “คือว่า... ฉันว่ามันมีอะไรแปลก ๆ แล้วล่ะ ยายรุ้ง” หญิงสาวมุ่นคิ้วเริ่มหงุดหงิดที่ปลายสายอมพะนำทั้งยังส่งเสียงอึกอักในลำคอแทนที่จะพูดต่อ เธอได้แต่ถอนใจขณะมองหน้าตัวเองในกระจกพลันสีหน้าแปรเปลี่ยนทีละน้อย “นี่ไม่คิดจะถามจะบิวต์เพื่อนเลยหรือไงยายรุ้ง! ฟังอยู่ปะ ยายรุ้ง รุ้งทำไมเงียบไป!” ยามนี้รุ้งตะวันหน้ามืดตามัวไม่ได้สนใจเสียงร้องเรียกของโสภิตาอีกแล้วเพราะสายตาเธอเอาแต่จ้องมองภาพสะท้อนหน้ากระจกราวกับไม่เชื่อสายตา เธอเห็นตัวเองสวมผ้าแถบสีน้ำตาลแกมแดงไว้ผมแสกกลางไถข้างปลายผมยาวกว่าติ่งหูเล็กน้อย ที่ลำคอมีสร้อยลักษณะเหมือนกับสร้อยเส้นที่เธอสวมใส่อยู่มันกำลังถูกประดับบนลำคอของเธอโดยชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังกระทั่งครู่หนึ่งหญิงในภาพจึงเหลียวมองทำให้รุ้งตะวันเห็นหน้าชายหนุ่มผู้นั้นเต็มตา คุณภพ!!
++++++++++++++++++++
คุณภพมาแล้ว ^^ ไปยังไงมายังไงไม่รู้ ขอฝากติดตามตอนหน้าด้วยนะคะ ช่วงนี้งานรุมอีกแล้ว จะพยายามลงบ่อยๆ ค่า ขอบคุณมากๆ ค่ะ
[1] อักษรเทวนาครี : Devanagari ถูกพัฒนามาจากบารมี ภาษาฮินดีที่ใช้ในประเทศอินเดีย [2] สร้อยมงคลสูตร : สร้อยทองคำตกแต่งลูกปัดสีดำตามความเชื่อว่าลูกปัดสีดำมีอำนาจแห่งเทพช่วยปกป้องคู่สามีภรรยาจากดวงตาปีศาจ เป็นสร้อยที่เจ้าบ่าวสวมให้เจ้าสาวในวันแต่งงาน
Create Date : 31 สิงหาคม 2564 |
|
25 comments |
Last Update : 31 สิงหาคม 2564 0:05:19 น. |
Counter : 1245 Pageviews. |
|
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณmultiple, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณกะว่าก๋า, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณ**mp5**, คุณดาวริมทะเล, คุณtoor36, คุณเริงฤดีนะ |
| |
โดย: multiple 31 สิงหาคม 2564 3:06:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 31 สิงหาคม 2564 6:34:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 31 สิงหาคม 2564 22:40:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: **mp5** 1 กันยายน 2564 10:40:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: multiple 1 กันยายน 2564 18:09:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 2 กันยายน 2564 20:29:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 2 กันยายน 2564 21:02:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: ณ มน 3 กันยายน 2564 13:29:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชีริว 4 กันยายน 2564 21:05:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 6 กันยายน 2564 22:33:48 น. |
|
|
|
|
|
|
|
พรุ่งนี้พี่ต๋ามาใหม่
ฝันดีค่ะน้องนุ่น