Somebody's me... Nobody's know.. You are what you thinks.. and.. I am who i am.. Whatever will be, will be..
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2561
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
15 ตุลาคม 2561
 
All Blogs
 

หักเหลี่ยมร้ายซ่อนลายรัก บทที่ 1 / 2





      โรงเตี๊ยมนักรอนแรมเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้านสภาพเก่าทรุดโทรมเพียงย่างเท้าเข้าไปผู้เป็นนายถึงกับยกหลังมือปิดจมูก กลิ่นสาบรุนแรงราวกับขาดการดูแลมานานปีแม้สภาพที่มองจากภายนอกนับว่าแย่แล้วแต่ภายในกลับย่ำแย่ยิ่งกว่า พรมสีแดงกระดำกระด่างบนพื้นแค่เหยียบลงไปฝุ่นก็ตลบขึ้นมาทุกย่างก้าวจนรองเท้าสานขึ้นฝุ่นหนักกว่าย่ำเดินบนทางดินด้านนอกเสียอย่างนั้น

      บ่าวร่างอวบหน้าซีดเผือดแหงนมองบนเพดานถึงกับผงะเพราะโคมกระดาษสีแดงลายอักษรทองที่แขวนขาดวิ่นเอียงคล้ายจะตกแต่ไม่ตก

“โรงเตี๊ยมนี้เปิดหรือร้างก็ไม่รู้นะขอรับ... นายท่าน”

“เจ้าดูนั่นสิแล้วจะได้คำตอบเอง”ผู้เป็นนายตอบเสียงเรียบแต่มองไปอีกทาง

ดวงตาบ่าวร่างอวบถึงกับเบิกกว้างเมื่อพบสายตากระหายใคร่รู้หลายคู่บ้างยืนบ้างนั่งต่างจับจ้องมองมาเป็นตาเดียว สองนายบ่าวทำใจดีสู้เสือเดินตรงเข้ามาถามหาห้องพัก

“ข้าต้องการห้องพักสำหรับค้างแรมในคืนนี้ มิทราบว่า...”

หนึ่งบุรุษผิวเข้มมีรอยบากบนหน้าที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดกลับเดินหนีทำให้ผู้เป็นนายอ้าปากค้างแต่เพียงครู่เดียวก็มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากม่านกั้นดวงตาเรียวหรี่ของอีกฝ่ายจ้องทั้งสองอย่างระแวงระวัง หมวกเก่าคร่ำคร่าฟ้องการใช้งานสมบุกสมบันไรผมสีขาวข้างหูทั้งสองข้างบ่งบอกความชรา

คนผู้นั้นค้อมศีรษะให้อย่างเอาใจก่อนเอ่ย“นายท่านต้องการห้องพักสำหรับงานประมูลในคืนนี้ใช่หรือไม่”

     “งานประมูลหรือ ร่างอวบอ้วนออกหน้าถาม “ประมูลสิ่งใดหารู้ไม่ เราสองคนเพียงต้องการที่พักและเสบียงอาหารสำหรับเดินทางต่อ”

     “ถ้าหากพวกท่านมิได้มาเพื่อการประมูล”เจ้าของโรงเตี๊ยมหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนเอ่ย “เช่นนั้นพวกท่านจะไปที่ใดกัน”

“พวกข้าจะขึ้นไปบนเขา”

“บนเขาเสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกันแต่ละคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“เป็นเช่นนั้น” คราวนี้ผู้เป็นนายเป็นคนกล่าว

ทว่าเสียงแตกฮือดังกว่าครั้งแรกมากนักสองนายบ่าวมองหน้ากันด้วยความงุนงงแต่ผู้เป็นนายก้าวมาดักเจ้าของโรงเตี๊ยมหนึ่งก้าวกล่าวเสียงหนักแน่น

     “พวกข้าจะไปหุบผาอมตะท่านทราบหรือไม่ว่าต้องไปอีกกี่ชั่วยาม”

     “โอว!พวกเจ้าคิดผิดแท้ ๆ ที่จะไปหุบผาอมตะ” ชายหน้าเสี้ยมเจ้าของโรงเตี๊ยมทวนคำสีหน้าหวาดหวั่น“ต้องไปกี่ชั่วยามข้ามิอาจรู้ได้แต่หากเหยียบย่างไปแล้วมิอาจมีผู้ใดไม่มีอันเป็นไปแต่หากพวกเจ้าดึงดันจะไปก็ต้องผ่านโรงเก็บศพไร้ญาติทางผ่านป่าไผ่ไปก่อน”

     “โรงเก็บศพไร้ญาติหรือ”บ่าวร่างอวบถามพลางหดคอด้วยความหวาดกลัว

ชายหน้าเสี้ยมพยักหน้าโดยเร็วก่อนเอ่ย“ทว่าจะผ่านที่แห่งนั้นไปได้ก็ต้องใช้ความเก่งกล้าเป็นอันมาก”

“มันน่ากลัวมากหรือ”

สองนายบ่าวถามพร้อมกันก่อนจะหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายเมื่อได้รับคำตอบคืออากัปกิริยาหวาดกลัวจากคนถูกถาม ไม่เว้นแม้แต่บุรุษพเนจรที่นั่งดื่มสุราราวกับไม่สนใจสิ่งใดแต่ที่จริงลอบฟังอยู่นานแล้ว

“ไม่ต้องกลัวหรอกสวี่ลี่” ผู้เป็นนายเอ่ยปลอบ

“ได้ห้องแล้วพวกเจ้าต้องการอาหารด้วยหรือไม่” เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามหน้านิ่งเช่นเดิม

“ย่อมต้องการ แต่ข้าขอถามอีกข้อ...”

“เช่นนั้นข้าจะนำพวกเจ้าไปที่ห้อง ส่วนอาหารจึงจะตามไป”

เจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าวตัดบทท่าทางลุกลี้ลุกลนถือกุญแจพวงใหญ่เดินนำหน้าขึ้นบันไดไป

สวี่ลี่หันหาผู้เป็นนายพลันเอ่ย “ดูสิขอรับคุณชายข้ายังไม่ทันถามเรื่องนั้นเลยเหตุใดจึงเดินหนีไปเช่นนี้เล่า”

“เอาเถอะ... ตามไปก่อน” คุณชายน้อยตัดบทเดินตามเจ้าของโรงเตี๊ยมไปเงียบๆ


ล่วงเข้ายามไฮ่[1]สองนายบ่าวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังต่อเนื่องมาจากราวป่าด้านทิศตะวันตกเสียงนั้นเหมือนสตรีร้องขอความช่วยเหลือ บ่าวร่างอวบกระเด้งตัวขึ้นนั่งหยิบมีดพกปลายคมกริบจากผ้าคาดเอวมากระชับมั่นกระโจนหลบซุ่มดูอยู่ตรงหน้าต่างบานกระดาษริมทางเดินผู้เป็นนายรีบแต่งเนื้อตัวกระชับกระบี่ด้ามยาวซุ่มยืนอีกฝั่งของหน้าต่างเช่นกัน

“ข้าว่าชอบกลอยู่ ด้านนั้นที่ว่ากันว่าเป็นที่ตั้งโรงเก็บศพไร้ญาติเหตุใดจึงมีเสียงร้อง... หรือว่า... ”

“อย่าคิดหากไม่เห็นด้วยตา ข้าว่าเราน่าจะไปดูว่าเกิดเหตุใด”ผู้เป็นนายแนบหน้ากับหน้าต่างที่เปิดแง้มไม่ละสายตา

“อย่าเลยคุณชาย หาใช่เรื่องของเราไม่”

สวี่ลี่ดึงนายน้อยห้ามปรามแต่ยังไม่ทันได้คำตอบแสงไฟวิบวับจำนวนมากด้านนอกบ่งบอกว่ามีการเคลื่อนไหวของผู้คนกลุ่มใหญ่คล้ายอันตรายคล้ายไม่ใช่ทำให้สองนายบ่าวต่างมองตากันด้วยความกังวลอีกครั้ง

นอกจากจะต่างถิ่นแล้ว คำพูดของบุรุษร่างเล็กเจ้าของโรงเตี๊ยมนั่นยังทำให้คุณชายผู้อ่อนเยาว์อยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนคิดจะลอบออกไปดูมิใยที่บ่าวร่างอวบจะทัดทาน

“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้านะคุณชาย”

“แต่เสียงร้องนั่น เจ้าไม่ได้ยินรึว่าโหยหวนเพียงใด”

“แต่นี่มิใช่เรื่องของเรา” สวี่ลี่แย้งอีกครั้งถึงรู้ว่าพูดไปก็ไม่สามารถห้ามผู้เป็นนาย

“หรือเจ้ากลัวเป็นกลัวตาย”

“นึกแล้วว่าคุณชายต้องว่าข้าขี้ขลาดตาขาวแต่เราสองคนใช่ว่าวิทยายุทธ์จะเก่งกาจ...ก็แค่พอเป็น” บ่าวร่างอวบบ่นกระปอดกระแปด

“แต่คนขอความช่วยเหลือไม่คิดยื่นมือจะมีหน้าออกท่องยุทธภพให้อายผู้ใดเล่า”ผู้เป็นนายเอ่ยฉุนเฉียวพลันถอดกลอนประตูสวี่ลี่กลับยั้งไว้จนผู้เป็นนายเอ่ยเสียงกร้าว “เจ้าอย่าขัดใจข้า”

“เช่นนั้นข้ารึจะห้ามคุณชายได้”

สุดที่บ่าวร่างอวบจะคิดหาคำใดมาดึงรั้งไว้ได้อีกนายน้อยผู้ปราดเปรียวเปิดประตูออกไปอย่างเงียบกริบไม่สนคำห้ามปราม

เพียงคล้อยหลังลับตา บุรุษพเนจรก็ออกมาจากห้องตรงข้ามแล้วย่างด้วยฝีเท้าเบาที่สุดเข้าไปภายในห้องก่อนจะปิดประตูย่องไปยังเตียงนอนเพื่อค้นหาสิ่งต้องสงสัย

ข้าวของในห่อเป็นระเบียบเรียบร้อยมีชุดฮั่นฝูของบุรุษเป็นผ้าแพรไหมสีครีมอ่อนประเมินค่ามิได้หยางซุนหยางสะดุดใจแต่ไม่ทันคิดอะไรสายตาพลันสะดุดเข้ากับป้ายหยกสีเขียวอ่อนสลักนาม

“คุณชายหลิวเสียะแห่งสำนักการค้าหลิวซือซือ”

     หยางซุนหยางทวนคำบนแผ่นป้ายในห่อผ้าก่อนจะวางลงข้างๆ ค้นลึกไปจนเจอม้วนแผนที่นอนก้นอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู ภาพที่ปรากฏบนนั้นต่อกันกับแผนที่ของเขาได้พอดีราวกับเป็นภาพที่วาดมาจากแหล่งเดียวกันทั้งลายเส้น ตัวอักษร น้ำหนักอ่อนเบาของปลายพู่กันช่างคล้ายคลึงกันจึงง่วนหาพู่กันเพื่อคัดลอกแผนที่ฉบับนั้นแต่ทั้งห้องกลับไม่มี ครั้นจะหนีก็ไม่ทันเมื่อมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจึงรีบดับตะเกียงแล้วหลบวูบเข้าหลังฉากกั้น

     สองนายบ่าวเปิดประตูเข้ามาภายในด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนร่างอวบรั้งท้ายปิดกลอนประตู ส่วนคุณชายร่างเพรียวก็ผละมาตรงฉากกั้น

หยางซุนหยางเห็นท่าไม่ดีรีบหลบหลังม่านอีกชั้นด้านในสุดด้วยใจระทึก

     “อาลี่...ข้าจะแช่น้ำสักหน่อย”

“สุดแต่คุณชายเถอะ อยากไม่เชื่อข้ามิเช่นนั้นคงได้พักผ่อนเอาแรงไม่ต้องเหงื่อไหลไคลย้อยเช่นนี้”

“เชื่อเจ้าแล้วหดหัวอยู่ในห้องหรือ เจ้าก็รู้มิใช่นิสัยข้า”คุณชายผู้ปราดเปรียวเอ่ยน้ำเสียงขบขันไม่ทุกข์ร้อนพลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก

“เช่นนั้นข้านอนก่อนนะขอรับ”

บ่าวร่างอวบส่งเสียงมาหลังสำรวจตรวจตราสัมภาระสองห่อบนที่นอนพบว่ายังอยู่ดีก็เบาใจจึงล้มตัวลงนอนที่พื้นหน้าเตียงอีกครั้ง

“เจ้าอย่าบ่นนักเลยง่วงก็นอนเสียข้าอึดอัดเต็มทีขอนอนสะอาดๆ”

“ตามใจคุณชายเถอะขอรับ ข้าหรือจะขัดได้” เสียงบ่าวกระเง้ากระงอดครู่เดียวก็เงียบไป

บุรุษพเนจรพรูลมหายใจโล่งอกค่อยๆก้าวออกจากหลังม่านเมื่อเหลือบมองเห็นคุณชายหันหลังให้และง่วนอยู่กับการถอดชุดด้านในอีกชั้น

ยังไม่ทันก้าวพ้นฉากกั้นบุรุษพเนจรก็หันกลับมามองอีกครั้งพลัน ต้องขยี้ตาด้วยความตื่นตะลึงเมื่อร่างนั้นเล็กกว่าที่คิดไม่พอหนำซ้ำผิวยังขาวราวหิมะเอวนั้นคอดกิ่วไร้ริ้วรอย

ช่างเป็นเอกลักษณ์ของอิสตรีโดยแท้...

ร่างนั้นคลายปมผ้าสีขาวรอบอกม้วนออกทีละชั้นจนทรวงอกอวบนูนคู่งามปรากฏแก่สายตาเพียงแค่เห็นด้านข้างไม่เต็มตายังพาให้เขาตะลึงถึงเพียงนี้ และยิ่งชวนให้ตื่นตาหนักยิ่งกว่าเมื่อร่างขาวราวหิมะนั้นค่อยๆ หย่อนกายลงแช่ในอ่างอย่างเชื่องช้า เรียวขาเล็กไร้ริ้วรอยชวนมองจนไม่อยากละสายตาเสียงขับลำเนาเบา ๆ หวานแว่วนั่นอีกที่ทำให้หนุ่มพเนจรเผลอมองอย่างเคลิบเคลิ้มใหลหลง

ที่แท้สกุณางามในลำธารก็มาปรากฏกายอยู่ที่แห่งนี้...

ไม่น่าเชื่อว่าอิสตรีงดงามถึงเพียงนี้จะทำให้เขาหลงคิดว่านางเป็นบุรุษไปได้นางสกุณาตัวน้อยดูกลมกลืนกับชุดฮั่นฝูราวกับมิต้องเสริมเติมแต่งใด ๆ

เหตุใดกันที่ทำให้นางต้องซ่อนกายหรือเพราะเป้าหมายของนางคือผ้าโบราณพันปีบนหุบผาป่าสนอมตะเป็นเหตุ...

ต้องใช่แน่!

นางต้องมีเจตนารมณ์เดียวกับเขา ยิ่งป้ายสลักในห่อผ้านั้นบ่งบอกว่าเป็นของสำนักการค้าที่ใหญ่ที่สุดในฉางอันด้วยแล้วยิ่งแทบคลายความสงสัยนอกจากขายออกไปแล้วยังรับประมูลของมีราคาจากทั่วทุกสารทิศนับว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักให้ถวายสิ่งของในหลายครั้งคราวด้วยแล้ว

แต่น่าแปลกที่นั่นมีเพียงบุตรชายสืบทอดกิจการเพียงคนเดียวและกิจการที่ต้องติดต่อกับวังหลวงเนือง ๆ ต้องอาศัยบุตรชายสืบทอดจึงจะได้รับอนุญาตให้ค้าขายได้

แล้วเหตุใดนางงดงามผู้นี้จึงกลายเป็นคุณชายหลิวเสียะแห่งหลิวซือซือไปได้!

เขาต้องค้นหาความจริง...

หยางซุนหยางรู้สึกแปลก ๆ เหมือนร้อนรุ่มภายในมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว หลังมือยกอังจมูกด้วยความเคยชินพลันถึงกับงุนงงเมื่อเลือดกำเดาไหลหลั่งโดยไม่รู้ตัวไวเท่าความคิดมือแข็งแกร่งกระตุกผ้าพันอกผืนบางที่พาดอยู่หลังฉากขึ้นมาซับโดยไม่ละสายตาจากดวงหน้างามที่เห็นเพียงด้านข้าง

กลิ่นหอมจากกายสาวที่ติดอยู่บนผ้ายิ่งทำให้เขารู้สึกถึงเลือดลมในกายพลุ่งพล่าน

อา... หรือว่าเพราะห่างหายจากกลิ่นกายของอิสตรีมานานร่างกายจึงทรยศด้วยการหลั่งเลือดกำเดาเช่นนี้

กว่าจะรู้ตัวว่าควรออกไปจากห้องก็ต่อเมื่อเสียงน้ำในอ่างไม้ไหวกระฉอกหยางซุนหยางสะดุ้งสุดตัวปล่อยผ้าผืนเดิมร่วงหล่นแล้วกระโดดผลุงออกไปทางหน้าต่างโดยที่ร่างอรชรไม่ทันได้รู้ตัว

หลิวเสียะชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงสวบสาบรีบเอื้อมหยิบเสื้อขึ้นมาคลุมอย่างเร่งรีบก่อนจะหยิบกระบี่คู่ใจกระชับมั่น แต่เสียงประหลาดเมื่อครู่เงียบไปนางมองหาไม่มีแม้เงาผู้ใด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่วางใจจึงเอ่ยถามบ่าวคู่ใจอีกครา

“เจ้ายังไม่นอนหรือ สวี่ลี่”

เงียบ... มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจากร่างที่นอนอยู่เท่านั้น

“เช่นนั้นข้าคงหูแว่ว” นางเอ่ยพลันเก็บกระบี่เข้าฝักก่อนจะก้าวออกจากอ่างอาบน้ำมาหยิบผ้าพันรอบอกทว่ากลับมีบางสิ่งผิดปกติ มีหยดเลือดปรากฏบนผ้าที่นางใช้พันอกเมื่อครู่มันยังสะอาดไม่มีรอยเลือด หลิวเสียะเหลียวมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น

หรือจะมีคนลักลอบเข้ามาในห้อง!

แต่ใครกันที่กล้า...

ดวงตากวางมองปราดไปที่ประตูไม่รับรู้ถึงความผิดปกติกลอนยังคงถูกลงไว้จากด้านใน มีทางเดียวที่แขกมิได้รับเชิญยามวิกาลจะออกไปได้คงเป็นทางหน้าต่างเท่านั้น

ร่างอรชรจัดแจงแต่งกายชุดฮั่นฝูด้วยความเร่งรีบดับแสงตะเกียงล้มตัวลงนอนแต่กลับไม่สามารถข่มตาหลับลงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่ อาจมีใครบางคนสอดรู้สอดเห็นถึงกับลอบเข้ามาที่แน่ ๆ ต่อไปนี้ทั้งนางและบ่าวต้องระวังตัวให้มากกว่านี้อีกหลายเท่าเพราะกว่าจะถึงหุบผาคงอีกหลายชั่วยาม

ร่างอรชรในคราบคุณชายนอนกอดกระบี่หลับๆ ตื่น ๆ ระวังภัยกลับต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนราวกับเจ็บปวดทรมานดังขึ้นอีกครั้งมันสะดุดหูและรบกวนจิตใต้สำนึกด้านดีของนางอย่างร้ายกาจ

นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!

หลิวเสียะผุดลุกนั่งมองสวี่ลี่หลับสนิทก็ตัดสินใจย่องไปแอบฟังเสียงประหลาดที่หน้าประตูอย่างเงียบเชียบ

“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ใครก็ได้... ช่วยด้วย!...”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาตามทางเดินผ่านหน้าห้องนางไปไม่พอยังมีเสียงเหมือนโลหะหนักกระทบพื้นดังเป็นระยะตลอดแนวทางเดินก่อนจะจางหายไปคุณชายน้อยแห่งหลิวซือซือตั้งท่าจะกระโจนออกไปแต่บ่าวร่างอวบที่นอนหลับเมื่อครู่ผุดลุกขึ้นโผมารั้งไว้ได้ทัน

“คุณชาย! อย่าไป

“เจ้าได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินหรือไม่” นางเอ่ยเสียงเบาแต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจก่อนเอ่ย “ช่างเถอะ... พูดกับพวกนอนกินบ้านกินเมืองอย่างเจ้าจะรู้อะไรรอที่นี่ก็แล้วกันข้าจะออกไปดูลาดเลา”

“มิใช่กงการของเราอย่าไปเลยขอรับ”บ่าวแย้งทั้งงัวเงีย “นอนเอาแรงดีกว่า”

“ข้าหรือจะหลับลงหากไม่เห็นกับตาตัวเอง” คุณชายน้อยตอบกลับสีหน้าเป็นกังวล “น้ำเสียงนางเจ็บปวดเช่นนั้นข้าอยากไปดูว่าพอจะช่วยได้หรือไม่”

“แต่เราต้องออกเดินทางต่อพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นท่านเจ้าสำนักจะดุเอา”

“แล้วเจ้าจะให้ข้านิ่งดูดายงั้นหรือ”

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ” สวี่ลี่เสียงหลงทันที

“เห็นแก่มนุษยธรรมท่านพ่อต้องเข้าใจ” คุณชายน้อยกล่าวอย่างมั่นใจแต่สีหน้าปรากฏความลังเลหนึ่งส่วน “เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องกังวลไป ยังพอมีเวลาจะกลับสำนักช้าลงสักวันสองวันคงไม่เป็นไร”

     “แต่ข้าว่า...”

     “อย่าขัดข้า”หลิวเสียะทำเสียงดุใส่ ดวงหน้านวลงอง้ำ

     บ่าวร่างอวบหน้าเหยเกถอยออกห่างประตูพลางเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก“ขอรับ... ข้ามิเคยขัดคุณชายได้อยู่แล้ว”

“รู้เช่นนั้นก็ดีแล้ว ถอย

บ่าวร่างอวบส่ายหน้าระอารู้ทั้งรู้ว่ามิใยที่นายน้อยจะฟังกว่าจะรู้ตัวประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างอรชรในคราบบุรุษผลุบหายไปลับตา

“โธ่! คุณหนู” สวี่ลี่ได้แต่รำพึงแล้วนึกได้ตบปากตัวเองเบา ๆ “เอ๊ย! ต้องเรียกคุณชายสิ ชอบลืมอยู่เรื่อย คุณชาย! รอข้าด้วยขอรับ”



[1] ยามไฮ่ :เวลาประมาณ21.00 น.-22.59 น.


++++++++++++++++++++++


ขอฝากนิยาย+อีบุ๊กด้วยค่า

ขอบคุณมากๆ ค่ะ 

^__^




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2561
0 comments
Last Update : 15 ตุลาคม 2561 8:40:54 น.
Counter : 634 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณSweet_pills, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณtoor36, คุณkae+aoe, คุณนกสีเทา, คุณALDI


lovereason
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 76 คน [?]









+ ++
Friends' blogs
[Add lovereason's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.