โอรสลับในพงศาวดารกระซิบ! จากพระเอกาทศรถ พระนารายณ์ ถึงพระเจ้าตากสิน!!

 

 

โอรสลับในพงศาวดารกระซิบ! จากพระเอกาทศรถ พระนารายณ์ ถึงพระเจ้าตากสิน!!
ร.๕ ทรงสร้างปราสาทแบบเขมรที่พระเจ้าปราสาททองขุดพบไว้ในพระราชวังบางปะอิน

       

“ความรัก” บางทีก็มีความจำเป็นที่จะต้องเป็น “ความลับ” ด้วยเหตุผลทางสังคมหรือการเมือง ในสมัยก่อน แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงมีความจำเป็นในเรื่องนี้ จึงมี “โอรสลับ” เกิดขึ้นอยู่หลายองค์ แรกๆ ก็เป็นเพียงเรื่องกระซิบ ภายหลังก็กระซิบกันอย่างเปิดเผย จนเป็นเรื่องที่ไม่ลับอีกต่อไป
       
       โอรสลับองค์แรกเกิดขึ้นเหมือนนิยาย เมื่อ สมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขณะยังดำรงพระยศเป็นมหาอุปราช ได้เสด็จประพาสทางชลมารคล่องเรือลงมาจากกรุงศรีอยุธยา

พอมาถึงเกาะบ้านเลนถูกพายุกระหน่ำจนเรือพระที่นั่งล่ม สมเด็จพระอนุชาทรงว่ายน้ำขึ้นเกาะ และ “ปะ”กับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ “อิน” จนเกิดตำนานทำให้เกาะบ้านเลนได้ชื่อใหม่เป็น“บางปะอิน”
       
       ทรงได้นางเป็นบาทบริจาริกา ต่อมานางตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย สมเด็จพระเอกาทศรถก็ทรงรับบุตรของนางไปเลี้ยงดู แต่ไม่ทรงเปิดเผยว่าเป็นพระโอรส มอบให้พระยาศรีธรรมมาธิราช ซึ่งเป็นสามีของพี่สาวพระสนมคนหนึ่งเป็นผู้ดูแลในฐานะบิดาเลี้ยง แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า แท้ที่จริงแล้วกุมารผู้นี้เป็นใคร จึงเรียกกันว่า “พระองค์ไล”
       
       พระองค์ไลก็รู้ว่าตัวเองเป็นใคร จึงวางตัวเป็นหัวโจกของเด็กรุ่นเดียวกัน ชอบเล่นเป็นกษัตริย์ขึ้นนั่งว่าราชการบนจอมปลวก โตขึ้นก็เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก และได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
       
       จนถึงรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม พระราชโอรสอีกองค์ ของสมเด็จพระเอกาทศรถขึ้นครองราชย์ พระองค์ไลซึ่งฝากเนื้อฝากตัวมาตั้งแต่ครั้งยังทรงผนวชเป็นพระพิมลธรรม ก่อนสึกมายึดอำนาจ จึงกลายเป็นคนโปรด ได้เลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพระยาศรีวรวงศ์ สมุหกลาโหม มีอำนาจยิ่งกว่าข้าราชการคนใดในแผ่นดิน
       
       ในปี พ.ศ. ๒๑๗๑ พระเจ้าทรงธรรมประชวรหนัก ทรงปรึกษาเจ้าพระยาศรีวรวงศ์ว่าจะยกราชสมบัติให้พระเชษฐาธิราช ราชโอรสพระชนม์เพียง ๑๔ พรรษา แทนที่จะให้พระศรีศิลป์พระอนุชาตามราชประเพณี

 เจ้าพระยาศรีวรวงศ์จึงสนองรับสั่ง นำทหารเข้าล้อมวังเมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต อัญเชิญพระเชษฐาธิราชขึ้นครองราชย์ กำจัดข้าราชการที่คัดค้านด้วยการประหารชีวิตไป ๕ คน ซึ่งสมเด็จพระเชษฐาธิราช ได้ตอบแทนเจ้าพระยาศรีวรวงศ์โดยโปรดเกล้าฯขึ้นเป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์
       
       แต่เป้าหมายของ “พระองค์ไล” ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้
       
       ต่อมาเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ได้จัดงานศพมารดาอย่างยิ่งใหญ่ที่วัดกุฎ ซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำกับพระราชวัง เป็นธรรมดาของงานศพมารดาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน บรรดาข้าราชการต่างไปช่วยงานกันเนืองแน่น

เมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชออกท้องพระโรงจึงเกือบไม่มีใครเฝ้า ทรงกริ้ว ซ้ำยังถูกยุยงให้ตื่นตกใจอีกว่า เจ้าพระยากลาโหมกำลังคิดกบฏ จึงตรัสสั่งชาวป้อมล้อมวังขึ้นประจำที่ แล้วรับสั่งให้ไปเรียกเจ้าพระยากลาโหมฯมาเข้าเฝ้า แต่ก็มีผู้ภักดีแอบส่งหนังสือลับออกไปว่า
       
       “...พระโองการจะให้หาเข้ามาดูมวย บัดนี้เตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว เมื่อเจ้าคุณเข้ามานั้นให้คาดเชือกเข้ามาทีเดียว...”
       
       เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็เลยได้โอกาส ป่าวประกาศต่อขุนนางผู้ใหญ่ที่ไปช่วยงานว่า อุตส่าห์ยกราชสมบัติถวายก็ยังหามีความดีไม่ กลับมาหาว่ามาชุมนุมกันเป็นกบฏ ท่านทั้งหลายก็เห็นแจ้งกันอยู่แล้วว่า ถ้าเรารักราชสมบัติ จะพ้นจากเราเชียวหรือ แล้วตบท้ายว่า
       
       “บัดนี้ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินว่าเราทำการประชุมขุนนางพร้อมมูลครั้งนี้คิดการกบฏ ก็ท่านทั้งปวงซึ่งมาช่วยเราโดยสุจริตนั้น จะมิพลอยเป็นกบฏไปด้วยหรือ”
       
       บรรดาข้าราชการทั้งหลายจึงพากันก้มกราบ แล้วว่า
       
       “ถ้าท้าวพระกรุณาจะทำการใหญ่จริง ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอเอาชีวิตสนองพระคุณก่อนตาย”
       
       ทุกอย่างจึงเข้าล็อค เมื่อจุดเพลิงเผาศพมารดาแล้ว เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็นำขุนนางและทหารสามพันคนพร้อมด้วยอาวุธครบมือบุกเข้าวัง ยุวกษัตริย์ผู้ยังอ่อนเชิงจึงต้องเผ่นหนี แต่ก็ถูกตามจับได้ นำไปประหารด้วยท่อนจันทน์ที่วัดโคกพระยาตามระเบียบ
       
       หลังจากกำจัดพระเชษฐาธิราชไปแล้ว บรรดาเสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตก็นำเครื่องราชกกุธภัณฑ์มาถวาย แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ฉลาดกว่านั้น ตอบว่า
       
       “เราทำการครั้งนี้จะชิงราชสมบัติหามิได้ เพราะภัยมาถึงตัวแล้วก็จำเป็น พระอาทิตย์วงศ์ซึ่งเป็นราชบุตรพระมหากษัตริย์นั้นยังมีอยู่ ควรจะยกพระอาทิตย์วงศ์ขึ้นผ่านสมบัติโดยราชประเพณีจึงจะชอบ”
       
       ด้วยเหตุนี้ พระอาทิตย์วงศ์ โอรสของพระเจ้าทรงธรรมซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษาจึงได้รับการอัญเชิญขึ้นครองราชย์
       
       จากนั้นเพียงหกเดือน หลังจากกำจัดคนที่จะเป็นขวากหนามหมดสิ้นแล้ว เส้นทางสู่ราชบัลลังก์ของ “พระองค์ไล” ก็ปลอดโปร่ง บรรดาเสนาพฤฒามาตย์จึงได้อ้างว่า พระอาทิตย์วงศ์ยังเยาว์นักไม่รู้เรื่องว่าราชการ

วันๆเอาแต่เที่ยวจับแพะจับแกะเล่น ต้องตามไปป้อนข้าวป้อนน้ำ ขืนปล่อยไว้การแผ่นดินจะเสียไป จำจะต้องยกพระอาทิตย์วงศ์ลงจากเศวตรฉัตร เอาราชสมบัติถวายเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์
       
       เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ ๕ ต่อมาทรงพระสุบินว่า จอมปลวกที่เคยนั่งว่าราชการเล่นเป็นกษัตริย์ตอนเด็กนั้น มีปราสาททองฝังอยู่ และเมื่อให้คนขุดก็พบปรางค์แบบเขมรย่อส่วนทำด้วยทองคำฝังอยู่จริง

จึงได้รับการถวายพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงสร้างพระตำหนักบางปะอินขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์รักของพระราชบิดาและพระราชมารดา
       
       โอรสลับองค์ต่อมาเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตามพงศาวดารไม่ปรากฏว่าสมเด็จพระนารายณ์มีพระราชโอรส คงมีแต่ พระปีย์ ลูกสามัญชนที่ทรงเลี้ยงเหมือนราชโอรสบุญธรรม กับพระศรีสิงห์ โอรสของพระไชยทิศซึ่งเป็นพระเชษฐา

เมื่อพระเชษฐาสวรรคต สมเด็จพระนารายณ์จึงทรงรับพระศรีสิงห์มาเลี้ยงไว้เหมือนพระราชโอรสบุญธรรม แต่พระศรีสิงห์เป็นเด็กมีปัญหา ครั้งแรกแอบซ่อนอาวุธเข้าไปเงื้อจะฟันสมเด็จพระนารายณ์ถึงแท่นพระบรรทม แต่สมเด็จพระนารายณ์ป้องกันพระองค์และจับพระศรีสิงห์ไว้ได้

ทรงเห็นว่าพระศรีสิงห์ยังเยาว์พระชนม์แค่ ๑๕ พรรษา จึงอภัยโทษให้ แต่พระศรีสิงห์ก็ไม่สำนึก กลับส้องสุมผู้คนคิดกบฏ จนสมเด็จพระนารายณ์พลาดท่าต้องเสด็จหนีออกจากวัง พระศรีสิงห์ทำพิธีราชาภิเษกครองราชย์ได้ ๑ วัน ๑ คืน สมเด็จพระนารายณ์ก็กลับมาจับพระศรีสิงห์ไปสำเร็จโทษได้
       
       สมเด็จพระนารายณ์เลยเข็ด ที่จะเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยง ทั้งยังขยาดที่จะมีลูกกับพระสนม แต่ก็ทรงพระปริวิตก ที่จะไม่มีพระโอรสสืบราชบัลลังก์ จึงโปรดให้พระมเหสีทั้ง ๒ พระองค์ตั้งสัตยาธิษฐานขอพระโอรส แต่ห้ามพระสนมขอ หากพระสนมคนใดตั้งครรภ์ก็จะถูกรีดออก
       
       มาวันหนึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงสุบิน เทวดามาบอกว่าพระสนมที่ชื่อ นางกุสาวดี ซึ่งเป็นราชธิดาพระเจ้าเชียงใหม่มีครรภ์ และโอรสที่จะเกิดมานี้มีบุญญาธิการมาก พระสุบินนี้ทำให้สมเด็จพระนารายณ์ไม่สบายพระราชหฤทัย

จะรีดทิ้งตามที่ได้ตั้งสัตย์ไว้ ก็ติดที่พระโอรสองค์นี้มีบุญญาธิการ จึงรับสั่งให้มหาดเล็กไปนิมนต์พระอาจารย์พรหม วัดปากน้ำประสบ เข้าวัง และทรงเล่าพระสุบินให้ฟัง
       
       พระอาจารย์พรหมเป็นพระอาจารย์ที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงนับถือมาก และมีสำนวนโวหารไม่แพ้หลวงพ่อคูณปริสุทโธแห่งวัดบ้านไร่
       
       พงศาวดารฉบับขุนหลวงหาวัดกล่าวว่า
       
       “....พระมหาพรหมผู้เป็นอาจารย์จึ่งว่า อันทรงสุบินนี้ดีหนักหนา พระองค์จะได้พระราชโอรสเป็นกุมาร แต่กูนี้ไม่ชอบใจอยู่สิ่งหนึ่งว่า มีพระราชโอรสกับพระสนมกำนัลแล้วให้ทำลายเสีย อันนี้กูไม่ชอบใจยิ่งนัก

พระองค์มาทำดังนี้ก็เป็นบาปกรรมนั้นประการหนึ่ง ถ้าในพระอัครมเหสีและมิได้มีพระราชโอรส มีแต่พระราชโอรสในพระสนมนี้ พระองค์ก็จะทำประการใดที่จะได้สืบศรีสุริยวงศ์ต่อไป ถ้าแลพระองค์จะไม่มีพระราชบุตรและพระราชธิดา สืบไปเบื้องหน้าแลพระองค์ทิวงคตแล้ว จะได้ผู้ใดมาสืบศรีสุริยวงศ์ต่อไป

อันว่าน้ำพระทัยนี้ จะให้เสนาบดีเศรษฐีคหบดีและพ่อค้า ให้ขึ้นเสวยราชย์สืบศรีสุริยวงศ์หรือประการใด ถึงจะเป็นพระราชโอรสในพระสนมก็ดี ก็ในพระราชโอรสาของพระองค์ที่จะได้สืบศรีสุริยวงศ์ต่อไป

อันนี้สุดแต่กุศลจะคู่ควรและไม่คู่ควร ถ้าแลพระองค์ไม่ฟังกูว่า ดีร้ายกรุงศรีอยุธยาจะสูญหาย จะเป็นเมืองโกลัมโกลีมั่นคง ถ้าและทำดังกูว่า กรุงศรีอยุธยาจะได้เป็นสุขสุภาพต่อไป”
       
       สมเด็จพระนารายณ์ได้ฟังพระอาจารย์ว่าก็ไม่กล้ารีดทิ้ง แต่มาขัดอยู่ที่ได้ลั่นพระวาจาไปแล้วว่าจะไม่ให้พระสนมมีพระราชโอรส จึงรับสั่งให้เจ้าพระยาสุรสีห์ ขุนนางคู่พระทัยมาเข้าเฝ้า ซึ่งเจ้าพระยาสุรสีห์ผู้นี้เป็นลูกของพระนม ทั้งยังเป็นครูช้างของสมเด็จพระนารายณ์

ตรัสเรียกเข้าไปในที่ลับและบอกเรื่องนางกุสาวดีมีครรภ์ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เอานางไปเลี้ยงเป็นภรรยา ถ้าลูกในครรภ์ออกมาเป็นชาย ก็ให้เป็นลูกเจ้าพระยาสุรสีห์ แต่ถ้าเป็นหญิงก็ให้ส่งคืนมา
       
       ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์เสด็จไปนมัสการพระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาสุรสีห์ก็พานางกุสาวดีตามเสด็จไปด้วย แต่พอมาถึงตำบลโพธิ์ประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตร นางได้คลอดบุตรเป็นชายที่โคนต้นมะเดื่อ และนำรกฝังไว้ที่โคนต้นมะเดื่อนั้น จึงตั้งชื่อให้กุมารว่า “เดื่อ”
       
       ครั้นกุมารโตขึ้นรู้ความ ก็เข้าใจว่าเจ้าพระยาสุรสีห์คือบิดาของตัว จึงรักใคร่สนิทสนมกับบิดามาก ครั้นเจริญวัยถวายตัวเป็นมหาดเล็ก สมเด็จพระนารายณ์ทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรสมีรูปโฉมสง่าผ่าเผย ท่าทางองอาจกล้าหาญ ก็ทรงพระเมตตาเป็นอันมาก
       
       วันหนึ่งสมเด็จพระนารายณ์ให้เจ้าพนักงานเชิญพระฉายมาตั้ง ทรงส่องพระฉายแล้วกวักพระหัตถ์เรียกนายเดื่อมหาดเล็กเข้าไปใกล้ รับสั่งว่า
       
       “เอ็งจงดูเงากระจกเถิด”
       
       นายเดื่อก็คลานเข้าไปส่องพระฉายข้างสมเด็จพระนารายณ์ ทรงดำรัสถามว่าเอ็งเห็นรูปเรากับรูปเอ็งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
       
       นายเดื่อก็กราบทูลว่า
       
       “รูปทั้งสองอันปรากฏอยู่ในพระฉายนั้น มีพรรณสัณฐานคล้ายคลึงกันพ่ะย่ะค่ะ”
       และแล้วเส้นทางชีวิตของ “นายเดื่อ” ก็เหมือนกับ “พระองค์ไล”
       
       ในปี พ.ศ. ๒๒๒๕ สมเด็จพระนารายณ์สวรรคต ข้าราชการทั้งปวงเห็นว่าสมเด็จพระนารายณ์ไม่มีพระราชโอรสที่จะสืบราชสมบัติ และรู้กันว่า “นายเดื่อ” ซึ่งเป็น เจ้าพระยาศรีสรศักดิ์ ในตอนนั้น แท้จริงแล้วเป็นใคร จึงพร้อมใจกันอัญเชิญขึ้นครองราชย์ แต่เจ้าพระยาศรีสรศักดิ์ว่า
       
       “บิดาของเรายังอยู่ ท่านทั้งปวงจงเชิญบิดาของเราขึ้นครองราชย์สมบัติเถิด”
       เจ้าพระยาสุรสีห์ จึงขึ้นครองราชย์มีพระนามว่า สมเด็จพระมหาบุรุษ หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม พระเพทราชา ซึ่งนักประวัติศาสตร์จัดให้อยู่ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง อันเป็นบ้านเกิดของพระเพทราชาที่เมืองสุพรรณบุรี

แต่เมื่อสมเด็จพระเพทราชาสวรรคต “นายเดื่อ”ได้ขึ้นครองราชย์ต่อ เรียกกันว่า “สมเด็จพระเจ้าเสือ” แต่กลับถูกจัดให้อยู่ในราชวงศ์ปราสาททอง เช่นเดียวกับสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า สมเด็จพระเจ้าเสือเป็นราชโอรสของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
       
       ส่วนโอรสลับอีก ๒ รายเกิดขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี และมีเหตุผลต่างไปจาก ๒ พระองค์แรก
       
       ทั้งนี้เมื่อครั้งพระเจ้าตากสินปราบปรามชุมนุมต่างๆ เมื่อทรงปราบปรามชุมนุมของเจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้แล้ว พระเจ้าตากสินก็ไม่ทรงถือว่าเจ้าพระยานคร (หนู) เป็นกบฏ เพราะต่างคนต่างก็ตั้งตัวเป็นอิสระเมื่อกรุงแตก

เมื่อยอมสวามิภักดิ์ พระเจ้าตากสินจึงให้เข้ามารับราชการในกรุงธนบุรี เจ้าพระยานครได้ถวายธิดาคนโต ชื่อ “ฉิม” เป็นพระสนม มีพระเจ้าลูกยาเธอ ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าทัศพงษ์ และพระองค์เจ้าทัศภัย เจ้าจอมมารดาฉิมยังได้พาน้องสาวที่ชื่อ “ปราง” มาอยู่ในวังด้วยอีกคน
       
       ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๙ เจ้าพระยาพิชัยราชา เจ้าเมืองสวรรคโลก ทหารเอกของพระเจ้าตากสินคนหนึ่ง ลงมาราชการที่กรุงธนบุรี พบเจ้าจอมปราง ซึ่งก็เคยพบกันเมื่อครั้งไปตีเมืองนครศรีธรรมราช และคุมตัวกลับมาจากที่หนีไปเมืองตานี

โดยรู้เหมือนคนทั่วไปว่า ธิดาของเจ้าพระยานครคนนี้ ติดตามพี่สาวมาอยู่ในวัง ไม่ได้เป็นพระสนมด้วย เกิดต้องตาต้องใจจึงแต่งเถ้าแก่ไปสู่ขอต่อเจ้าจอมมารดาฉิมพี่สาว แต่พอพระเจ้าตากสินทรงทราบก็กริ้วหนัก

ดำรัสว่ามันบังอาจจะมาเป็นคู่เขยน้อยเขยใหญ่กับกูผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน รับสั่งให้เอาตัวเจ้าพระยาพิชัยราชาไปประหารชีวิต ตัดหัวเสียบประจานไว้ที่ริมประตูลงตำหนักแพ
       
       ในเวลาใกล้ๆกันนั้น เจ้าพระยานคร (พัด) อุปราชเมืองนคร ได้มาเฝ้า พระเจ้ากรุงธนบุรีทราบว่าภรรยาของเจ้าพระยานคร (พัด) ซึ่งเป็นพี่สาวคนหนึ่งของเจ้าจอมปรางถึงแก่กรรม จึงดำรัสว่า
       
       “สงสารด้วยภรรยาตาย จะพระราชทานน้องสาวให้เป็นภรรยาแทน”
       
       ครั้นแล้วจึงนำตัวเจ้าจอมปราง ที่เพิ่งทำให้ทหารเอกหัวขาดไปหยกๆ พระราชทานเป็นภรรยาของอุปราชเมืองนคร
       
       เจ้าพระยานคร (พัด) พาเจ้าจอมปรางมาถึงเมืองนคร เจ้าจอมก็กระซิบกับอุปราชว่า
       
       “ระดูไม่มา ๒ เดือนแล้ว”
       
       เจ้าพระยานคร (พัด) รู้ว่าเจ้าจอมปรางมีครรภ์กับพระเจ้าตากสินมาก่อน จึงมิกล้าแตะต้อง ยกขึ้นไว้เป็นแม่เมือง
       
       ต่อมาเจ้าจอมปรางคลอดบุตร ที่ตั้งครรภ์มาจากกรุงธนบุรี ตั้งชื่อให้ว่า “น้อย” ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เป็นเจ้าพระยานครเช่นกัน ครองนครศรีธรรมราช ตลอดจนไทรบุรี กลันตัน เประ และเป็นผู้สำเร็จราชการทัพศึกทางภาคใต้ฝ่ายตะวันตก จนถึงอสัญกรรมในรัชกาลที่ ๓
       
       นอกจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) แล้ว ยังมีโอรสลับของพระเจ้าตากสินอีกคน คือ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอินทร์) ซึ่งเป็นต้นตระกูล อินทรกำแหง และ ณ ราชสีมา
       
       โดยในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ เจ้าอนุเวียงจันทน์ได้ยกทัพเข้ามา พระเจ้าตากสินโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) เป็นทัพหน้า ในระหว่างทำสงครามนี้ ท่านผู้หญิงของเจ้าพระยาปิ่นถึงแก่อนิจกรรม

พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงพระเมตตาพระราชทานเจ้าจอมจวนให้ เจ้าพระยาปิ่นทราบว่าเจ้าจอมจวนตั้งครรภ์มาก่อนก็ไม่กล้าแตะต้อง ยกขึ้นเป็นแม่เมืองเช่นเดียวกับที่เจ้าพระยานคร (พัด) ปฏิบัติต่อเจ้าจอมปราง จนเจ้าจอมจวนคลอดบุตรเป็นชาย ให้ชื่อว่า “ทองอินทร์”
       
       ทองอินทร์ได้รับโปรดเกล้าฯในรัชกาลที่ ๓ ให้เป็น เจ้าพระยากำแหงสงคราม ผู้สำเร็จราชการเมืองนครราชสีมา อันเป็นเมืองเอกทางด้านอีสาน มีผลงานพระราชสงครามหลายครั้ง จนถึงอสัญกรรมในปี พ.ศ. ๒๓๘๘ รวมอายุได้ ๖๗ ปี หลังจากที่เจ้าพระยานคร (น้อย) ถึงอสัญกรรมแล้ว ๖ ปี
       
       โอรสลับพระเจ้าตากสินทั้ง ๒ รายนี้เป็นที่รู้กันทั่วไป เหมือนอย่างที่ ร.๕ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า “เล่ากระซิบกันเป็นการเปิดเผย” แต่เหตุใดพระเจ้าตากสินจึงพระราชทานพระสนมที่ตั้งครรภ์ มีพระราชโอรสติดอยู่ในครรภ์ทั้ง ๒ รายให้แก่เจ้าเมืองที่ห่างไกล

อาจจะเป็นเพราะต้องการให้พระราชโอรสไปครองเมือง ที่มีความสำคัญยิ่งทั้งทางภาคใต้และภาคอีสาน เช่นที่ได้เตรียมจะส่งเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์พระราชโอรสองค์ใหญ่ไปครองราชบัลลังก์เขมร

หรืออาจจะเป็นเพราะพระองค์ล่วงรู้ชะตากรรมของพระองค์เองดี จึงไม่ต้องการให้พระราชโอรสในครรภ์เจ้าจอมทั้ง ๒ นี้รับเคราะห์ไปด้วย ความจริงของเรื่องนี้ ไม่มีใครที่ล่วงรู้พระราชหฤทัยของพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ นอกจากจะวิเคราะห์กันไป
       
       อย่างไรก็ตาม “โอรสลับ” ทั้ง ๔ รายนี้ ก็ไม่ใช่เรื่อง “กระซิบ” กันแล้วในยุคนี้ เปิดเผยอยู่ในพงศาวดารให้คนรุ่นหลัง ได้รับรู้เหตุการณ์ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เหมือนนิยาย


โอรสลับในพงศาวดารกระซิบ! จากพระเอกาทศรถ พระนารายณ์ ถึงพระเจ้าตากสิน!!
พระราชานุสาวรีย์พระเจ้าเสือที่วัดโพธิ์ประทับช้าง พิจิตร
       

โอรสลับในพงศาวดารกระซิบ! จากพระเอกาทศรถ พระนารายณ์ ถึงพระเจ้าตากสิน!!
ต้นมะเดื่อที่สมเด็จพระเทพฯทรงปลูกที่วัดโพธิ์ประทับช้าง
       

โอรสลับในพงศาวดารกระซิบ! จากพระเอกาทศรถ พระนารายณ์ ถึงพระเจ้าตากสิน!!
รูปปั้นเจ้าจอมปรางที่นครศรีธรรมราช
       

โอรสลับในพงศาวดารกระซิบ! จากพระเอกาทศรถ พระนารายณ์ ถึงพระเจ้าตากสิน!!
ภาพเขียนพระเจ้าตากสินมหาราช
       

โอรสลับในพงศาวดารกระซิบ! จากพระเอกาทศรถ พระนารายณ์ ถึงพระเจ้าตากสิน!!
อนุสาวรีย์เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย)
       

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

คุณโรม บุนนาค

สิริสวัสดิ์ภุมวารค่ะ




Create Date : 08 กันยายน 2558
Last Update : 8 กันยายน 2558 8:59:32 น.
Counter : 3162 Pageviews.

0 comments
บัตรทอง -รายชื่อหน่วยบริการเอกชนบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ newyorknurse
(16 เม.ย. 2567 04:04:52 น.)
สุริยุปราคา อเมริกา /นิวยอร์ก อินเดียน่า เทกซัส newyorknurse
(9 เม.ย. 2567 04:13:31 น.)
สรุปวิชาคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.5) เรื่องเอกซ์โพเนนเชียล & ลอการิทึม นายแว่นขยันเที่ยว
(27 มี.ค. 2567 00:52:25 น.)
ถนนสายนี้ ... ... มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 348 "ฉุกละหุก" toor36
(24 มี.ค. 2567 10:27:24 น.)

Vinitsiri.BlogGang.com

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]

บทความทั้งหมด