พระบาง คู่อริ พระแก้วมรกต

โดย โรม บุนนาค

 

พระบาง คู่อริ พระแก้วมรกต
พระแก้วมรกต (ซ้าย) และ พระบาง หรือ พระพุทธลาวัณ

อ่านชื่อเรื่องนี้แล้วคงมึนไปตามๆกัน

“พระบาง” เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองหลวงพระบางของลาว ซึ่งชื่อเมืองก็ตั้งตามชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ ส่วน “พระแก้วมรกต” เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย แล้วพระพุทธรูปสำคัญสององค์นี้จะเป็นอริกันได้อย่างไร แต่ในอดีตเรื่องประหลาดเหลือเชื่อนี้ก็เชื่อกันเช่นนั้นจริงๆ และ มีบันทึกไว้ในพงศาวดารด้วย

       เรื่องมีอยู่ว่า ใน พ.ศ.๒๓๒๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้งยังดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต

ที่พระเจ้าไชยเชษฐา เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้อัญเชิญไปหลวงพระบางตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๙๕ กลับมาประดิษฐานที่กรุงธนบุรี พร้อมกับนำ พระบาง หรือ “พระพุทธลาวัณ” จากหลวงพระบางมาไว้ที่กรุงธนบุรีด้วย

       ครั้นเมื่อทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงย้ายพระแก้วมรกตกับพระบางมาประดิษฐานที่เมืองหลวงใหม่ด้วย แต่พอ เจ้านันทเสน ราชบุตรพระเจ้าล้านช้างที่เข้ามาอยู่ในพระนคร ทราบเรื่องจึงกราบทูลว่า

“พระแก้วกับพระบางมีปีศาจที่รักษาองค์พระไม่ชอบกัน ถ้าอยู่ด้วยกันที่เมืองใดก็มีความไม่สบายที่เมืองนั้น เหตุการณ์เช่นนี้เห็นมา ๓ ครั้งแล้ว”

       เจ้านันทเสนได้ลำดับเหตุการณ์ทั้ง ๓ นั้นกราบทูลว่า เดิมพระแก้วอยู่เมืองเชียงใหม่ พระบางอยู่เมืองหลวงพระบาง ครั้นพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เจ้าเมืองเชียงใหม่ อัญเชิญพระแก้วไปให้บรรดาญาติกราบไหว้ ในงานพระศพเจ้าโพธิสาร พระบิดา ที่เมืองหลวงพระบางแล้วไม่กลับ

๓ ปีผ่านไปทางเมืองเชียงใหม่จึงตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ขึ้นแทน พระเจ้าไชยเชษฐาฯ ไม่พอใจ นำกำลังเมืองหลวงพระบางไปจะตีเอาเมืองเชียงใหม่คืน รบกันเป็นปี กองทัพหลวงพระบางก็เอาชนะเมืองเชียงใหม่ไม่ได้

แต่กองทัพเชียงใหม่กลับรุกเข้ามา จนฝ่ายหลวงพระบางเกรงจะเสียเมือง จึงเข้าทรงถามผีที่รักษาเมือง ผีที่รักษาพระบางบอกว่า ตนเป็นเจ้าของเมืองไม่ชอบกับผีที่รักษาพระแก้ว ขอให้ไล่พระแก้วไปเสียจากเมือง

จึงจะช่วยให้การศึกได้รับชัยชนะ พระเจ้าไชยเชษฐาไม่อยากคืนพระแก้วให้เมืองเชียงใหม่ แต่ก็กลัวผีที่รักษาพระบาง จึงให้นำพระแก้วไปฝากไว้ที่เมืองเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน

       ตั้งแต่อัญเชิญพระแก้วไปไว้เมืองเวียงจันทน์แล้ว กองทัพเมืองหลวงพระบางก็มีกำลังขึ้น ตีเอาดินแดนที่เสียไปคืนได้หมด ฝ่ายเชียงใหม่ถอยกลับไปแล้วไม่มารุกรานอีก บ้านเมืองก็อยู่กันสงบสุข

       ครั้นอีก ๒๐๐ ปีต่อมา เจ้าเมืองเวียงจันทน์ เกิดรบกับเจ้าเมืองหลวงพระบางและเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ จึงนำพระบางจากเมืองหลวงพระบางมาไว้ที่เมืองเวียงจันทน์ร่วมกับพระแก้วอีก ตั้งแต่นั้นมาเมืองเวียงจันทน์ก็ไม่มีความสุข พี่น้องรบรากันเองบ้าง รบกับญวนจนต้องเสียเมืองกับญวน

“ภายหลังจึงได้เสียเมืองต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เมื่อเสด็จขึ้นไปปราบเมื่อปีกุน”

       เจ้านันทเสนกราบทูลต่อไปว่า “พระแก้วกับพระบางอยู่ด้วยกันที่กรุงธนบุรีได้ ๒ ปีก็เกิดวุ่นวายอย่างที่ทรงทราบแล้ว ขอพระราชทานโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้แยกย้ายพระแก้วกับพระบางให้อยู่ต่างบ้านเมืองกัน จึงจะมีความเจริญแก่พระนครซึ่งตั้งใหม่ครั้งนี้”

       เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสดับเรื่องราวของพระแก้วกับพระบางเช่นนี้ ก็มีพระราชหฤทัยรังเกียจตามเหตุการณ์ จึงพระราชทานพระบาง ให้เจ้านันทเสนซึ่งโปรดฯ ให้กลับไปครองเมืองเวียงจันทน์แทนบิดา นำกลับไปประดิษฐานไว้ที่เมืองเวียงจันทน์ตามเดิม

       ครั้นต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นกบฏ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลยกทัพขึ้นไปตีเวียงจันทน์ได้อีกครั้ง ทรงนำพระพุทธรูปมีชื่อในเวียงจันทน์มาทอดพระเนตรทั้งหมด

ทรงเลือกเอาพระบาง พระแทรกคำ พระฉันสมอ กับพระพุทธศิลาเขียวซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะแปลกและยังไม่มีชื่อ นำมาถวายรัชกาลที่ ๓

       พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ไม่ได้สดับเรื่องราวในรัชกาลที่ ๑ จึงได้อัญเชิญพระบาง พระแทรกคำ พระฉันสมอไว้ในหอนาควัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาเมื่อได้ทรงทราบเรื่องแต่หนหลัง จึงทรงพระราชดำริว่าจะขัดกับที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงปฏิบัติมาก่อน

จึงพระราชทานพระบางให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) อัญเชิญไปไว้ที่วัดจักรวรรดิราชาวาส พระราชทานพระฉันสมอ ให้เจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม) อัญเชิญไปไว้ที่วัดอัปสรสวรรค์ และพระราชทานพระแทรกคำให้พระยาราชมนตรี (ภู่) อัญเชิญไปไว้วัดคฤหบดี ภายนอกพระนครทั้ง ๓ องค์

       ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๐๗ ได้เกิดฝนแล้ง ข้าวยากหมากแพง บรรดาเสนาบดีจึงได้เข้าชื่อกันทำเรื่องกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งได้อัญเชิญพระพุทธรูปลาวอีก ๓ องค์

คือ พระเสิม พระไสย และพระแสน จากเมืองหนองคายมาไว้ที่กรุงเทพฯ กล่าวหาว่าพระพุทธรูปลาวทั้ง ๓ องค์นี้เป็นต้นเหตุ โดยอ้างว่า

       “ด้วยได้ยินราษฎรชายหญิงหลายเหล่าบ่นซุบซิบกันอยู่เนืองๆ มานานแล้วว่า ตั้งแต่พระเสิมเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งมาอยู่หนองคายและอัญเชิญมาไว้ ณ กรุงเทพมหานครเมื่อปลายปีมะเส็ง นพศก

และพระไสยเมืองเวียงจันทน์ซึ่งมาอยู่ด้วยพระเสิม ณ เมืองหนองคาย และพระแสนเมืองมหาไชยเชิญมาไว้ ณ วัดปทุมวนารามเมื่อปลายปีมะเมีย สัมฤทธิศก

แต่นั้นมา ฝนในแขวงกรุงเทพมหานครตกน้อยไปกว่าแต่ก่อนทุกปี ต้องบ่นว่าฝนแล้งทุกปี ลางพวกก็ว่าพระพุทธรูปเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนของแพงที่นั่น และว่าของลาวเขาถือว่า พระพุทธรูปของบ้านร้างเมืองเสีย ปีศาจมักสิงสู่ ลาวเรียกว่าพุทธยักษ์ รังเกียจนักไม่ให้เข้าบ้านเข้าเมือง...”

       ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า พระเสิม พระไสย และพระแสน ก็เป็นพระพุทธรูปมีชื่อเสียงของเวียงจันทน์ คนลาวนับถือกันมาช้านาน แต่เหตุใดเมื่อรัชกาลที่ ๑ ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ใน พ.ศ.๒๓๒๒ ก็ดี

หรือเมื่อกรมพระราชวังบวรในรัชกาลที่ ๓ ไปตีเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๐ ก็ดี ไฉนจึงไม่ทรงอัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์นี้มาด้วย และว่าฝนแล้งคราวใดราษฎรก็โทษกันแต่พระเสิม พระไสย ๒ องค์นี้

ทั้งยังขู่ว่าจะเอาไปลงข่าวใน นสพ.อเมริกันของหมอบรัดเลย์ ซึ่งจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ ทั้งกรุงเทพมหานครก็มีพระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงส์ และพระพุทธรูปงามๆ อีกหลายองค์คู่บารมีอยู่แล้ว บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุข

ตั้งแต่อัญเชิญพระบาง พระแทรกคำ พระเสิม พระไสย พระแสน มาก็นานแล้ว ยังไม่เคยเห็นฤทธิ์เดชวิเศษเป็นคุณแก่บ้านเมืองแต่อย่างใด มีแต่เป็นที่นับถือของพวกลาว

       จึงกราบทูลขอให้คืนไปแก่เจ้าเมืองลาวตามเดิม หรือถ้าเอามาแล้วคืนจะเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติ ก็ขอให้พระราชทานไปไว้ที่พระอารามหลวงเมืองสระบุรีหรือพระพุทธบาท ซึ่งมีคนลาวอยู่แถวนั้นมาก ราษฎรก็จะยินดี

       พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) บันทึกไว้ว่า

“พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสดับในเรื่องราวนั้นแล้ว ทรงพระราชดำริเห็นด้วย ครั้นมาถึง ณ ปีขาล อัฐศก เจ้าอุปราชเมืองหลวงพระบางมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รับเอาพระบางขึ้นไปประดิษฐานไว้ ณ เมืองหลวงพระบางตามเดิม เจ้าอุปหาดราชวงศ์ได้เชิญเสด็จพระบางออกจากวิหารวัดจักรวรรดิ ณ วันเดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๐๘) เวลาเพล

แล้วโปรดให้ไปประทับไว้ที่พระตำหนักริมน้ำทำการสมโภชอยู่ ๓ วัน แล้วบอกบุญพระราชาคณะ เปรียญฐานานุกรม สัตบุรุษ แห่ขึ้นไปส่งเพียงแค่ปากเกร็ด

       พระเสิม พระไสยนั้น โปรดให้ประดิษฐานไว้ในที่วิหารวัดปทุมวนาราม พระแสนนั้นประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถด้วยกันทั้ง ๓ องค์ พระเสิมหน้าตักกว้าง ๒ ศอก ๑ นิ้ว พระไสยหน้าตักกว้าง ๑ ศอก ๑ นิ้ว พระแสนหน้าตักกว้าง ๑ ศอก ๖ นิ้ว”

       ด้วยเหตุนี้ พระบางจึงถูกอัญเชิญให้แยกเมืองห่างไกลจากพระแก้วมรกต กลับไปอยู่เมืองหลวงพระบาง ที่ตั้งชื่อเมืองตามชื่อองค์พระอีกครั้ง ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้

       ปัจจุบัน พระบางประดิษฐานอยู่ที่วิหารคำ เมืองหลวงพระบาง พระฉันสมออยู่ในพระอุโบสถวัดอัปสรสวรรค์ พระแทรกคำอยู่ในพระอุโบสถวัดคฤหบดี พระไสยอยู่ในพระอุโบสถวัดปทุมวนาราม ส่วนพระเสิมและพระแสนอยู่ในวิหารวัดปทุมวนารามเช่นกัน ตามที่พระราชทานไปในครั้งนั้น

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

คุณโรม บุนนาค                  

สิริสวัสดิ์ภมวารค่ะ




Create Date : 07 กรกฎาคม 2558
Last Update : 7 กรกฎาคม 2558 16:52:33 น.
Counter : 1691 Pageviews.

0 comments
แนะนำนิยายน่าสนใจ : แค้นรักคนคุ้นเคย สมาชิกหมายเลข 2288960
(11 ม.ค. 2568 12:55:47 น.)
Volkswagen Beetle GSR Zamak (Majorette) kid^_^
(2 ม.ค. 2568 14:47:32 น.)
ทนายอ้วนจัดดอกไม้ - จัดดอกไม้ง่ายๆ – แจกันแวนด้าหลายสี ทนายอ้วน
(6 ม.ค. 2568 15:58:07 น.)
"ยุ่งยาก" อาจารย์สุวิมล
(13 ม.ค. 2568 07:37:03 น.)

Vinitsiri.BlogGang.com

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]

บทความทั้งหมด