20100222 วิพากษ์ EVERTON vs MAN UNITED สวัสดีครับ มิตรรักแฟนผีทั้งหลาย วันนี้ตั้งใจมากมายว่าจะต้องมาเขียนกระทู้ให้อ่านกันให้ได้ เนื่องจากฟอร์มไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆเลยให้ตาย อยากจะระบายเต็มแก่ แต่ทุกๆท่าน อย่าเพิ่งคาดหวังรายละเอียดลึกๆมากนัก เพราะบอลเกมนี้เตะกันเร็วมาก เร็วจนลูกๆสองคนที่บ้านผมยังไม่หลับไม่นอน ทำให้สมาธิไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยมากนัก แต่ก็ได้เฝ้าหน้าจอแทบจะครบเก้าสิบนาทีเลยทีเดียว แต่เป็นเก้าสิบนาทีที่แสนจะระทมอุราเสียนี่กระไร ฟอร์มก็แย่ ผลลัพธ์ก็บาดใจ การลุ้นแชมป์ก็รำไรตกลงไปอีกหน่อย เฮ้อ..... แต่ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมมีลางสังหรณ์แปลกๆก่อนเกมจะเริ่ม ว่าผลลัพธ์เกมนี้อาจไม่เป็นไปอย่างที่คาด หนึ่งก็คือ การที่กูรูทุกๆท่านกางสถิติมาข่มกันอีกแล้ว แล้วไอ้สถิติพวกนี้ รู้มั้ยว่าทีมตูรู้แล้วจะแพ้ทางน่ะ ไอ้ที่ว่า ชนะรวดมาตลอด ไม่แพ้มากี่ปีเนี่ย เซ็งเป็ดจริงๆ อีกหนึ่งอย่างก็คือ สังหรณ์เมื่อเห็นคู่จอนนี่ เอแวนส์ กับเวสลี่ย์ บราวน์ ที่ถูกหนีบข้างหนึ่งด้วย แกรี่ เนวิลล์..... การลงสนามในเกมนี้ของทั้งสองทีม ก็ต้องถือว่าพิการไม่ต่างกัน สภาพบาดแผลย่ำแย่พอๆกัน ทีมเจ้าบ้านนั้นต้องขาดไอ้หัวฟู มารูยาน เฟลไลนี่ กับซิโก้แดนใต้ ทิม เคฮิลล์ ที่ถือเป็นสองคีย์แมนหลักในเกมไดเรกต์ที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดของเอฟเวอร์ตันในยามนี้ แต่เดวิด มอยส์เหลือบตาดูทัพที่เหลือพลางยักไหล่ไม่แยแส บอกว่า [u]ก็แล้วไง... เล่นไดเรกต์ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเล่นสิ[/u] แล้วก็เลือกแท็คติคบอลภาคพื้นลงมาใส่เพิ่มในทีมไดเรกต์ พร้อมหวังว่าการปรับให้ทีมมาเล่นบอลเร็วบนพื้นมากขึ้น จะช่วยกลบข้อด้อยของการไร้สองคีย์แมนไปได้ เราจึงได้เห็นการลงสนามของมิดฟิลด์ถึงห้าคน ที่แต่ละคนก็มีคุณภาพในสไตล์บอลคอนโทรลพอตัว ไม่ว่าจะเป็น ดินิยาร์ บิลยาเลทดินอฟ, มิเกล อาร์เตต้า, ลีออน ออสแมน, แลนดอน โดโนแวน และ สตีเฟ่น พีนาร์ ที่ยืนเป็นตัวฟรีข้างหลังหน้าเป้าอย่าง หลุยส์ ซาฮา พลางถอยมิดฟิลด์จำเป็นอย่างฟิลลิปป์ เนวิลล์ ลงไปยืนตำแหน่งที่แจ้งเกิดขึ้นมาคือฟูลแบ๊คโดยนัดนี้วางเป็นแบ๊คขวา และมี เลห์ตัน เบนส์ เป็นแบ๊คซ้าย คู่เซ็นเตอร์คือ จอห์นนี่ ไฮติงก้า และ ซิลแว็ง ดิสแต็ง ใช้งานทิม ฮาวเวิร์ด เฝ้าระหว่างเสา ส่วนฝั่งแชมป์เก่าผู้มาเยือน ที่ป๋าช่วงช่วงพลิกดูสถิติแล้วคงลูบปาก(ทำไม) บอกว่า [u]จัดปายจั๊กดอกสองดอก เพื่อเถลิงที่นั่งจ่าฝูงให้ป๋าหน่อยสิลูก[/u] แล้วก็จัดการใส่ชื่อวิดิช ที่มีข่าวว่าฟิตเต็มถังพร้อมรบแล้วไว้ข้างสนาม (ทำไม 2, รึว่าจะมีเคืองกันจริงๆ หรือยังไม่ฟิตกันแน่เนี่ย) โดยท่านเซอร์ยังไว้ใจ เอ็ดวินให้เฝ้าเสาต่อไป แต่คู่เซ็นเตอร์อาจเกิดจากการประมาทเล็กๆที่เห็นทอฟฟี่ขาดสองคีย์แมนตัวแกร่ง เลยเลือกส่งจอนนี่ เอแวนส์ และ เวสลี่ย์ บราวน์ลงมาเป็นคู่เซ็นเตอร์ ทั้งๆที่วิดิชพร้อมเนี่ยนะ แถมด้วยแกรี่ เนวิลล์เป็นแบ๊คขวา (ทำไม 3) ทางซ้ายใช้เอวร่าตามเดิม นัดนี้วางหมากมาทะลวงด้วยหน้าคู่ จึงต้องใช้มิดฟิลด์สี่คน ไล่ตามกันไปดังนี้ ปาร์ค ชี ซอง, ไมเคิล คาร์ริค, ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ และ วาเลนเซีย โดยมีหน้าคู่เป็น รูน และเบิร์บ ตามหน้าตักค่าเหนื่อยของทั้งคู่นั่นเอง จะเห็นว่าการจัดทัพหลังบ้านนัดนี้นั้น เราค่อนข้างสบายตัวสบายใจเหลือเกิน คิดว่าสปีดของสามในสี่แผงหลังจะเอาชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่ แกรี่งี้, บราวน์งี้, เอแวนส์งี้ สปีดต้นด้อยกว่ากองหน้าทุกรายเห็นๆ แต่กลับถูกจับมายืนเรียงเป็นแผงโดยมีตัวเร็วที่สุดเป็นเอวร่าทางซ้ายคนเดียว รูปเกมที่เกิดขึ้น เอฟเวอร์ตันที่คงดูและศึกษาเทปเกมมิลานมาเต็มที่ จึงหักหน้าเสื่อและหักด้ามปากกาของทุกเซียนอย่างไม่ไว้หน้า แล้วหันมาเปิดเกมรุกกดดันแผงหลังแชมป์เก่าทันที มอยส์เลือกส่งการบ้านอาจารย์ด้วยการวางเกมแพลน 4-4-1-1 ลงสนามเพื่อช่วงชิงเกมตรงกลางมาเป็นของตัวเอง พร้อมทั้งทิ้งไพ่แท็คติคเพรสซิ่ง ไล่เร็ว ประกบติดทุกตัว วิ่งทั้งสนาม เรียกได้ว่าเอาตายกันเลยทีเดียว ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเราก็รับทราบกันดีอยู่แล้วว่า บรรดานักเตะทอฟฟี่นั้น มีดีที่ความฟิต ถึงแม้ว่าทั้งสองทีมจะเพิ่งลงสนามกลางสัปดาห์มาพร้อมๆกัน แต่เรียวแรงที่เหลือกลับดูต่างกันลิบลับ อาจจะเพราะการเฝ้าบ้าน กับการต้องออกไปเยือนนั้น (หมายถึงมิดวีค) อาจส่งผลกระทบต่างกันก็เป็นได้ เกมของยูไนเต็ดต่อเกมกันไม่ค่อยได้ ความเคยชินกับเกมแพลน 4-5-1 (หรือ 4-3-3 ในอีกนัยยะ) เริ่มแสดงออกมาให้เห็น เมื่อแผงมิดฟิลด์แชมป์เก่าออกอาการหาบอลไม่ค่อยเจอ และยืนกันค่อนข้างห่างกว่าเกมแพลน 4-4-2 ตามปกติ นี่คือข้อเสียของการปรับแท็คติตบ่อยๆก็ว่าได้ มันจะทำให้นักเตะสับสนง่าย ซึ่งทอฟฟี่เมนอาศัยจุดนี้มาเล่นงานตรงกลางสนามเราเต็มๆ มิดฟิลด์ของทอฟฟี่เคลื่อนที่กันได้ดีกว่า และรับ-ส่งบอลได้ไหลลื่นกว่า ดูเหมือนว่ารูปเกมที่เกิดขึ้นทำให้เราเผลอมองได้ตลอดว่า นักเตะเอฟเวอร์ตันมีมากกว่าเรารึเปล่า นี่แหละครับ คือจุดที่การเคลื่อนที่และวางตำแหน่งการยืนที่ดีกว่ามันส่งผลเกิดขึ้นให้เราเห็น และตรงนี้ก็ต้องยอมรับด้วยว่า เดวิด มอยส์นั้น ทำการบ้านและปลุกเร้านักเตะได้ดีกว่าท่านเซอร์ในเกมนี้ กับอีกอย่างหนึ่งก็คือนักเตะของมอยส์นั้น ตอบสนองต่อแท็คติคของมอยส์ได้ดีกว่านักเตะเราตอบสนองป๋า การเดินเกมของทั้งสองทีมกลายเป็นว่า เอฟเวอร์ตันพยายามเดินเกมด้วยระบบทีมและแท็คติคที่วางมา ในขณะที่ยูไนเต็ดกลับต้องอาศัยจังหวะฉาบฉวยเข้าตอบโต้มากกว่า มีเพียงช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของเกมเท่านั้น ที่ยูไนเต็ดเหมือนจะทำเกมได้ดีและกดดันให้เจ้าบ้านต้องถอยร่นไปตั้งรับได้เต็มๆหน่อย แต่พอถูกประตูตีเสมอเท่านั้น ก็เหมือนทำนบสมาธิเราแตกกระเจิงในที่สุด จนเริ่มที่จะค่อยๆเล่นหลุดฟอร์มกันไปตามๆกัน ประตูแรกของเราได้มาจากการที่เกมริมเส้นทางฝั่งขวาทำงานได้ดีตามเป้า วาเลนเซียวูบวาบหนีเบนส์ได้เรื่อยๆและดึงเอาดิสแต็งฉีกตามออกมาได้ตลอดจนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จหลังจากใกล้เคียงจะทำได้มาหลายลูกในลักษณะคล้ายๆกัน นาทีที่ 16 วาเลนเซียกระชากหลบจนถึงเส้นหลังก่อนจะตบบอลเรียดกลับมากลางติดเท้านักเตะทอฟฟี่ที่พยายามสกัดนิดหนึ่ง แต่บอลยังมาเข้าเท้าเบิร์บที่ถอยออกมาเก็บบอล เบิร์บยิงสวนเร็วเสียบใต้คานทันที ส่งผลให้แชมป์เก่าออกนำได้สำเร็จ แล้วผมก็ลุกไปชงนม//หยอกเย้า ไม่กี่นาที ได้ยินเสียงผู้บรรยายให้อรรถรสเต็มที่ ผมก็รีบแจ้นกลับมาดูทีวี ปรากฏว่ากลับมาเท่ากันซะงั้น และจากภาพไฮไลต์นั้น ก็แสดงให้เห็นว่า กองหลังเราพลาดกันอีกแล้ว จากบอลสาดยาวขึ้นหน้า เอวร่าหลุดตำแหน่งตามซาฮามาไม่ทัน ซาฮาเทคขึ้นกะโหม่งชงให้เพื่อน แต่เอแวนส์ปรี่ออกจากตำแหน่งมาโหม่งสกัด แต่ดันผิดเหลี่ยมบอลตกมาเข้าทางบิลย่าร์ ที่ตามมาเก็บจังหวะสองแล้วมีเทพน้ำตาลขวางไลน์วิ่งอยู่ บิลย่าร์เงยหน้าเห็นบราวน์วิ่งประคองอยู่ก็เหมือนเห็นสกอร์อยู่รำไร จึงใช้ลูกบอดของบราวน์ให้เป็นประโยชน์ นั่นคือล็อคกลับมาอีกข้างทำให้บราวน์ต้องหันหลังกลับตัวมาและนั่นคือจังหวะที่บิลย่าร์รออยู่ เขาบรรจงปั่นบอลออกจากเท้าโดยใช้ร่างของบราวน์ที่หลังหักอยู่นั้นเป็นเกราะกำบังการมองเห็นของน้าซาร์ ก่อนจะบอลจะโค้งซุกหน้าต่างโดยที่น้าซาร์ขยับไม่ทัน นี่คือจุดที่ต้องชมมอยส์จริงๆครับกับการทำการบ้านได้ดีมากๆ รู้จุดอ่อนของแผงหลัง รู้จังหวะที่จะเจาะและเลือกวิธีการที่เหมาะสมมาใช้จนสำเร็จในที่สุด แผงหลังของยูไนเต็ดนั้น ถ้าเป็นเอแวนส์กับริโอ หรือวิดิช จะยังพอเบาใจได้บ้างเรื่องการยืนตำแหน่งและสั่งการแผงหลัง แต่กระนั้น เกมกับมิลานเอง ป๋าช่วงช่วงยังต้องมาออกงิ้วข้างสนามใส่เอแวนส์เรื่องการยืนตำแหน่งอยู่เลย แต่นี่เอแวนส์กลับได้มาจับคู่บราวน์ ที่ทำให้การสั่งงานแผงหลังและยืนกำกับตำแหน่งมันด้อยลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย มอยส์พิจารณาแล้วจึงวางตัวเจาะทางกราบมาทั้งโดโนแวน และบิลย่าร์ ที่กำลังฟอร์มสดทั้งคู่ บวกกับมีพีนาร์เป็นตัวฟรีวิ่งพล่านดึงตำแหน่งทั้งซ้ายขวา และให้ซาฮาค้ำคู่เซ็นเตอร์ตัวหนึ่งอยู่ตลอด นี่คือการเล่นกับตำแหน่งแผงหลังที่เป็นสก็อตต์ของเรา (หมายถึงทิชชู่นะ) อันนี้ถือเป็นแผนการแรกที่มอยส์วางมา ส่วนแผนขั้นที่สองนี่มอยส์วางมาเพื่อจัดการเกมรุกของเราที่มีรูนี่ย์เป็นผู้บัญชาการ ซึ่งผมเองพอเห็นรูปเกมก็เข้าใจทันที ว่าการที่ไฮติงก้าให้สัมภาษณ์ว่า ก ร ะ สั น เหลือเกินที่จะหยุดความร้อนแรงของรูน คำพูดนั้นก็มีน้ำหนักขึ้นมาทันที และทำให้ผมเชื่อสนิทใจเลยว่า การที่มอยส์หยุดแนวรุกผีแดงได้นั้น ไม่ใช่เรื่องฟลุ้คแต่อย่างใด โอเคว่าการจะหยุดรูนี่ย์ให้ได้นั่นคือเรื่องที่ยากสาหัส แต่มีวิธีการที่ง่ายกว่านั้น ก็คือการตัดรูนี่ย์ออกจากเกมไปเลยต่างหาก มอยส์พยายามกดดันพื้นที่ตรงกลางด้วยมิดฟิลด์คุณภาพถึงห้าคน และบีบให้ยูไนเต็ดต้องหันมาเล่นทางกราบแทนมากขึ้น เป็นการตัดรูนี่ย์จากการมีส่วนร่วมกับเกม ซึ่งทางขวาเขาไม่กังวลเมื่อถอยเนวิลล์ผู้น้องลงมารับบทบาทแบ๊ค เพราะฟิลล์เป็นฮาร์ดแมนตัวรับอาชีพอยู่แล้ว สามารถหยุดเอวร่าและปาร์คร่วมกับไฮติงก้าได้แน่ๆ ถึงแม้ต้องแลกมาด้วยการออกบอลที่สะเปะสะปะและสาดยาวบ่อยเกินความจำเป็นของฟิลล์ก็ตาม (นิสัยฟิลล์เขาแหละฮะ) ส่วนทางซ้าย เบนส์ที่เสียท่าให้วาเลนเซียบ่อยๆช่วงแรก มอยส์เห็นแล้วกลับไม่เลือกหาวิธีการปรับเกมรับมาแก้ แต่แก้ลำด้วยการจงใจสวนเกมรุกขึ้นข้างนี้แทนทันที และให้บิลย่าร์กับพีนาร์ คอยมาป่วนตามกราบแกรี่แทน นี่ได้ผลเต็มๆสิครับ แกรี่ที่วันนี้สปีดไม่เหลือแล้ว ลงไม่ค่อยทัน วาเลนเซียก็ต้องลงไปเล่นรับมากขึ้นจนไม่สามารถปั่นป่วนเบนส์ได้ตามใจตัวเองอีกเลย สองแท็คติคการเล่นของมอยส์ที่วางลงมามานั้น ได้ประสิทธิภาพเต็มที่จริงๆ หากจะมองถึงรูปเกมหลังจากช่วงครึ่งค่อนชั่วโมงแรกผ่านพ้นไป และยิ่งหากมองถึงผลลัพธ์มันก็ยิ่งใช่ ส่วนทางฝั่งแชมป์เก่านั้นเล่า กลับไม่ได้เล่นในเกมที่ตัวเองถนัดสักเท่าไหร่นัก การครองเกมเบ็ดเสร็จที่เคยทำได้ประจำๆ ก็ถูกเอฟเวอร์ตันขโมยเอาไปซะ ส่วนการโต้กลับสวยๆตามสไตล์ก็ทำไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว จังหวะหวาดเสียวมีน้อยลงกว่าเกมพรีเมียร์ลีกเกมอื่นๆที่เราเคยเล่น บางจังหวะที่ควรได้ก็กลับไม่ได้ โอกาสของรูนี่ย์ที่ได้มาอย่างงามๆจากการชิ่งหนึ่งสองกับเบิร์บแล้วหลุดเดี่ยวนั้น ก็ถูกฟิลล์ตามเก็บในจังหวะสุดท้ายได้อย่างน่าหวาดเสียว และนั่นก็คือโอกาสจะจะของเจ้าหมูที่แผงหลังทอฟฟี่ปล่อยให้เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนครบครึ่งชั่วโมงของเกมนั่นเอง หลังจากนั้น เจ้าหมูก็ดูเหมือนจะถูกตัดออกจากเกมไปกับเบอร์บาตอฟทั้งคู่ ท่านเซอร์เองก็ดูแล้วพอจะทราบว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอะไรบ้างในเกมนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่การถูกมอยส์เอาชนะทางแท็คติคเท่านั้น เพราะหากเป็นแบบนั้น แค่ลงมาเล่นงิ้วข้างสนามสักสองสามองค์ ประกอบกับการปรับเกมเล็กน้อย ก็คงเพียงพอที่จะให้เรากลับมาสู่เกมได้ แต่นี่มันมีมากกว่านั้นครับ หลายคนอจจะเถียงหากผมบอกว่ามันเป็น Mid-week effect เพราะทอฟฟี่เองก็ผ่านเกมมิดวีคเช่นกัน แต่ที่ผมอยากจะสื่อให้เห็นภาพก็คือ ที่มิลานนั้น ยูไนเต็ดทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งก๊อกแรก ก๊อกสอง และความมุ่งมั่น สมาธิ รวมถึงพลังกดดันวิญญาณ//หยอกเย้า ออกมาจนเรียกได้ว่า หมดทุกก๊อกจริงๆ เพราะมันคือเกมที่ยูไนเต็ดตั้งใจเล่นกันมากเพื่อลบรอยแผลฝังลึกยาวนานตลอดห้าสิบปีที่นั่นออกไป และเมื่อทำได้ มันก็เหมือนได้เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างมอดไหม้ไปหมดแล้ว และคงต้องอาศัยเวลามากว่าสามสี่วัน เพื่อสร้างมันขึ้นมาใหม่แน่นอน นอกจากนั้น จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อรูปเกมนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงก็คือ การโดนแบนของริโอ เฟอร์ดินานด์ และหลุยส์ นานี่ ที่ทำให้ทางเลือกในการจัดทัพแทบไม่มีทางไปมากนัก ตัวที่ดีกว่าปาร์คที่จะส่งลงมาเลื้อยเพื่อเปลี่ยนทรงของเกม จึงมีเพียง โอแบร์กตอง เท่านั้น ส่วนวิดิช วันนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่า จริงๆเขาเจ็บ หรือมีเรื่องกับป๋าสองช่วงอย่างที่เป็นข่าวกันแน่ ป๋าถึงได้จงใจจัดแผงหลังที่มันเหมือนแท่นขุดเจาะน้ำมันลงไปเช่นนี้ เมื่อทุกอย่างที่กล่าวมานั้น คือ แท็คติคของมอยส์, ความ หมด ของนักเตะยูไนเต็ด, และอาการไร้ทางเลือก ที่เกิดขึ้น มันจึงส่งผลให้รูปเกมของแชมป์เก่าไม่สามารถทำอะไรกับมันได้มากนัก กลับกันทางทีมของมอยส์เอง ต่อให้ไม่ต้องเปลี่ยนตัวอะไรก็สามารถยันรูปเกมแบบเดิมๆเอาไว้ได้อยู่แล้ว แต่ยิ่งเห็นว่ายูไนเต็ดออกอาการหมดมากขึ้น มอยส์เองก็เลือกที่จะส่งเด็กปั้นตัวแสบลงมาบดต่อ และนั่นเองก็คือจุดที่ทำให้มอยส์และเด็กๆได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินกว่าที่ตัวเองคาดหวังด้วยซ้ำครับ ท่านเซอร์พยายามปรับจังหวะของลูกทีมกลับมาด้วยการหันหลังกลับมาใช้เกมแพลน 4-5-1 อีกครั้ง เพื่อช่วงชิงพื้นที่ตรงกลางกลับมาให้ได้ ด้วยการถอดปาร์ค ชี ซองออก แทนที่ด้วยโอแบร์กตองที่เป็นมิดฟิลด์ริมเส้นโดยธรรมชาติมากกว่า กับอีกจุดหนึ่งคือการถอดเบอร์บาตอฟออกแทนที่ด้วยพอล สโคลส์ เพื่อเพิ่มผู้เล่นมิดฟิลด์ตรงกลางไว้ต่อสู้กับเจ้าบ้าน แต่บางกระแสเองก็บอกว่าเบิร์บมีอาการเจ็บ ซึ่งผมเองมองว่าต่อให้เขาเจ็บ แต่ถ้าป๋าจะคงแพ็ทเทิร์น 4-4-2 ไว้ ก็สามารถส่งโอเว่นลงมาแทนได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนด้วยสโคลส์ นี่จึงเป็นการเปลี่ยนเกมแพลนมากกว่าเปลี่ยนตัวธรรมดาครับ แต่การเปลี่ยนครั้งนี้มันมีเดิมพันสูงมากๆ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะถึงแม้ปาร์คเองจะไม่สามารถเข็นเกมริมเส้นให้วูบวาบได้มากนัก แต่กับเกมรับริมเส้นแล้วเขาช่วยเอวร่าวิ่งไล่ได้มากกว่า ซึ่งตรงนี้แหละ จะทำให้เกมรับทางกราบของเราเสียขบวนไปแน่ๆ ส่วนพื้นที่ตรงกลางนั้น สโคลส์ลงมาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก เนื่องจากเอฟเวอร์ตันยังเล่นกันด้วยสปีดเกมที่เร็วมากๆอยู่ การเพรสซิ่ง กดดัน ไล่บี้ ก็ทำได้ดีซะจนผู้เล่นยูไนเต็ดออกบอลกันลำบอกจนหลายครั้งต้องส่งคืนไปตั้งหลักกันใหม่ที่น้าเอ็ด ส่วนไมเคิล คาร์ริค และดาร์เรน เฟล็ทเชอร์นั้น ดูก็รู้ว่า หมด นานแล้ว ไม่สามารถวิ่งได้เต็มสปีดตั้งแต่นาทีที่ 60 กว่าๆแล้วด้วยซ้ำไป แถมเฟล็ทช์เองกลายเป็นลิงชิงบอลในหมู่นักเตะทอฟฟี่แล้วตั้งหลายครั้งจนผมเองอดสงสารไม่ได้ แล้วในที่สุด เมื่อป๋าช่วงช่วงชิงแก้เกมไปก่อนนั้น มอยส์ก็สามารถใจเย็นรอดูสถานการณ์ แล้วค่อยส่งตัวทีเด็ดลงมาตอบโต้ได้เต็มที่ นั่นคือทั้งๆที่เขายังเหลือยาคูบูนั่งอยู่ แต่กลับเลือกที่จะส่งแดน กอสลิ่ง ลงมาแทนบิลย่าร์ เพื่อเพิ่มความสดและแรงกดดันใส่แผงหลังยูไนเต็ด ตรงนี้แหละครับ ที่เสริมให้เห็นว่าเราหมดจริงๆ และเพียงห้านาทีกว่าๆเท่านั้น กอสลิ่งก็ยิงประตูให้เจ้าบ้านได้ พีนาร์เล่นชิ่งแล้วสลัดแผงหลังยูไนเต็ดสองสามคนหลุดมาทางกราบของแกรี่โล่งๆ ชนิดผมหัวเสียเอามากๆ ก่อนจะได้เปิดเรียดเข้ามากลางประตู ไม่มีแนวรับยูไนเต็ดคนไหนยืนตำแหน่งจัดการบอลได้ เอวร่าที่ตามคุมกอสลิ่งอยู่ก็ดันประมาท ถลามาคงกะจะบล็อคไม่ให้กอสลิ่งที่อยู่ข้างหลังเข้าถึง แต่กอสลิ่งเขี้ยวครับเขาเบียดเอวร่าจนสามารถจิ้มเท้าเข้าถึงบอลจนได้ ส่งบอลตุงตาข่ายในนาทีที่ 76 ให้แฟนๆเจ้าบ้านเริงร่าอย่างที่สุด หลังจากนั้น ป๋าก็ส่งพี่เว่นลงมาแทนวาเลนเซียที่ครึ่งหลังเริ่มหมดทางทำมาหากิน จนกลายเป็นมิดฟิลด์ตัวรับริมเส้นไปซะงั้น แต่เฮียเว่นลงมาก็ไม่สามารถเล่นได้ตามถนัดเช่นกัน เพราะทรงบอลมันเสียหมดแล้ว กลายเป็นเกมของเจ้าบ้านไปหมดแล้ว จังหวะบุกจังหวะลุยจังหวะเข้าทำของแชมป์เก่ากลับไม่สามารถสร้างความกดดันให้เจ้าถิ่นได้มากนัก ยิ่งน้องหมูนี่ยิ่งเห็นเลยว่า ลำพังตัวคนเดียวปราศจากการสนับสนุนนั้น ไม่สามารถทำอะไรได้เลยครับ มอยส์ปรับอีก ส่งแจ๊ค ร็อดเวลล์ลงมาแทนพีนาร์เมื่อเหลือเวลาไม่มากนัก และแค่ไม่กี่จังหวะ ร็อดเวลล์ก็ยิงประตูได้ทันที เมื่อได้จังหวะสวนกลับ อาร์เตต้า(รึเปล่า) จ่ายบอลทะลุเร็วขึ้นหน้าให้ร็อดเวลล์ที่ควบไปเอาบอลโดยวิ่งฉีกเอแวนส์จนขาดเป็นริ้วๆ ก่อนจะตวัดยิงด้วยขวาเสียบเสาไกลสุดปลายมือของน้าซาร์ในช่วงนาทีสุดท้ายได้สำเร็จ ทำให้เจ้าบ้านได้เริงร่าสุดขีด ตรงข้ามกับแฟนบอลทีมเยือน ที่ไม่เคยสัมผัสความพ่ายแพ้ที่นี่มานานแล้ว ต้องแบกความขมขื่นกลับบ้านไปในที่สุด แถมด้วยความชอกช้ำแบบดับเบิ้ล เมื่อเชลซีทำงานของตัวเองได้สำเร็จลุล่วง เก็บสามคะแนนบวกสองสกอร์ที่โมลินิวซ์ กราวนด์ได้ ทำให้แต้มห่างกลายเป็นสี่เข้าไปแล้ว พร้อมประตูได้-เสียเราตามกลายเป็นสองลูก ยังครับ ยังกลายเป็นชอกช้ำแบบทริปเปิ้ล เมื่ออาร์เซน่อลเองก็เก็บชัยชนะได้สำเร็จ ทำแต้มไล่หลังเราเหลือเพียงแค่สองแต้มเท่านั้นเองแล้วในขณะนี้ ดันเขียนมาซะยืดยาว ขอสรุปเลยนะครับ ว่า ผลจากเกมนี้ มันกระทบชิ่งเยอะมากๆ ทั้งปล่อยให้เชลซีลากหนีห่างออกไป ทั้งทำให้อาร์เซน่อลไล่จี้หลังเข้ามา แถมยังโชว์ให้ชาวบ้านชาวช่องเขาได้เห็นอีกว่า อาการหมดของเรานั้นมาเร็วกว่าที่คิด นี่ยังเหลือตั้งสิบเอ็ดนัด จะรีบมาหมดทำไมกันเนี่ย//หยอกเย้า ที่สำคัญคือเดวิด มอยส์ กับลูกทีมควรได้รับคำชมเต็มที่จากการแข่งขันเกมนี้ ที่ทั้งเกมแพลน-แท็คติค-ตัวผู้เล่น-ความมุ่งมั่น มันมาพร้อมๆกันหมดเลย จึงไม่น่าแปลกใจที่ทีมๆนี้เองจะสามารถเก็บเชลซีได้เมื่อไม่นานมานี้นะครับ และอีกอย่างหนึ่งคือ หลายคนอาจจะคิดว่า การขาดนักเตะอย่างเคฮิลล์ และเฟลไลนี่ อาจเป็นช็อตบังคับที่ทำให้มอยส์จัดทีมและวางแผนเกมนี้มาแบบนี้แล้วเข้าทางปืนก็เป็นได้ แต่ผมว่าต่อให้เปลี่ยนเกมมาเป็นเฟลไลนี่กับเคฮิลล์แล้ว คิดเหรอว่าแกรี่-บราวน์-เอแวนส์ จะจัดการกับบอลไดเรกต์ของพวกนี้ได้ง่ายๆ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ สำหรับยูไนเต็ด ผมเองและแฟนๆทีมรุ่นใหญ่หลายๆท่านคงไม่แปลกใจ หากฟอร์มของทีมจะออฟเช่นนี้หลังจากเพิ่งสลุตฟอร์มเทพมาหลายนัดติดต่อกัน ยูไนเต็ดเราก็เป็นเช่นนี้แหละครับ ไม่ใช่ทีมอินวินซิเบิ้ล ไม่ใช่ทีมที่เดินเครื่องเป็นเครื่องจักร และไม่ใช่ทีมที่มีนักเตะเกรดเอมากมายแทบทุกตำแหน่งคอยทดแทน ยูไนเต็ดเราจะเป็นทีมที่มักจะผสมผสานดาวรุ่ง-ตัวเก๋า-ดารา ได้อย่างค่อนข้างกลมกล่อม อาศัยส่วนผสมที่พอเหมาะกับแท็คติคการจัดทีม และวางแผนของท่านเซอร์ รีดเอาฟอร์มของนักเตะแต่ละคนออกมาประสานงานกันได้อย่างดีเยี่ยมมาตลอด แต่จะทำได้ติดต่อกันอย่างมากแค่สิบนัดก็หรูแล้ว เพราะการจัดทีมและวางแผนการเล่นแบบหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันไปในลักษณะนี้ มันย่อมเกิดเหตุการณ์ ผิดแผน-ไม่ลงล็อก กันบ้าง รวมทั้งการที่มีนักเตะผสมผสานกันในทีมเยอะ มันย่อมเกิดเรื่อง เดย์-ออฟ / ฟอร์มหลุด เกิดขึ้นได้เช่นกัน และที่สำคัญที่สุดคือ หลังจาก match of the year เช่นเกมกับมิลานนั่น ทีมของเราเองก็มักจะ หลุด อย่างนี้ให้เห็นแทบทุกปีอยู่แล้วเช่นกัน แต่ผมเองเชื่อครับว่า หลังจากฟอร์มบู่ในเกมนี้แล้ว ป๋าช่วงช่วง จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ พาทีมกลับมาอยู่ในวงโคจรลุ้นแชมป์เต็มตัวได้อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อริโอ เฟอร์ดินานด์ ชดใช้โทษแบนครบถ้วน กำลังจะกลับมาในเกมหน้ากับเวสต์แฮมวันพรุ่งนี้ รวมทั้งการที่วิดิชมีชื่อในม้านั่งสำรองอย่างน้อยก็อุ่นใจว่าหายเจ็บ และปัญหากับป๋าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะถ้าเรื่องใหญ่ ก็คงไม่มีชื่อให้เห็นแน่ๆ ตอนนี้เราคงรอเพียงนานี่ชดใช้โทษแบนครบและกลับมาเป็นตัวเลือกอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น มาเอาใจช่วยป๋าช่วงช่วงและบรรดาลูกๆของป๋ากันนะครับ แล้วมาลุ้นกันครับ สงบใจ เที่ยงแล้วๆๆ หม่ำๆๆ ให้อร่อยน้า^^
โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว
![]() |
บทความทั้งหมด
|