20100408 วิพากษ์ MAN. UNITED vs BAYERN MUNICH in UCL Quarter Final 2nd Leg
แผนน่ะ...มาดีแล้ว แต่วาสนาเรามันน้อย


สวัสดีครับ คงยังช็อคไม่หายสินะครับ กับเกมการแข่งขันเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เราเปิดบ้านยำเสือใต้ไปก่อน 3:0แต่สุดท้ายมาโดนยิงคืนทีเดียวสองลูก ฉุดให้พลพรรคเสือใต้แห่งบาวาเรียเข้ารอบรองชนะเลิศไปด้วยกฎอเวย์โกล์ เป็นแมทช์ที่เจ็บปวดใจอย่างยิ่งสำหรับผม ซึ่งหลายๆท่านอาจจะมีมุมมองในเกมนี้แตกต่างกันไป แต่สำหรับผมแล้ว ที่สุดก็ค่อนข้างทำใจได้ เพราะแผนการเล่นที่เสียไปรวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมมันอำนวยให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้นเอง โดยที่มันค่อยๆกะเทาะเปลือกที่ห่อหุ้มมันออกทีละนิดทีละหน่อย จนสุดท้ายก็กลายมาเป็นสิ่งที่เราๆท่านๆได้ชอกช้ำระกำทรวงกันไป และผมขออนุญาตสาธยายในมุมมองของผม ถึงสิ่งที่ผมบอกไปว่าแผนน่ะวางมาดีทุกอย่างแล้ว แต่อะไรกันคือสิ่งที่บอกว่า เราวาสนามันน้อย จนกลายเป็นไปอำนวยให้ผลลัพธ์กลับทิศกลับทางเช่นนี้ได้

ท่านเซอร์จัดปาฏิหารย์ให้แฟนๆได้ตามคำเรียกร้อง โดยสามารถเข็นเวย์น รูนี่ย์ผ่านการทดสอบความฟิตลงมาเป็นหน้าเป้าได้ตามที่สื่อหลายค่ายเล่นประเด็นนี้ไปก่อนล่วงหน้า แผนการเล่นนัดนี้วางแผน 4-3-3 เต็มรูปแบบเน้นเกมรุกเต็มที่ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์เฝ้าเสาเหมือนเดิม แผงแบ๊คโฟร์เกมนี้วาง ราฟาเอล ดา ซิลวา, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช, ปาทริซ เอวร่า แผงมิดฟิลด์สามตัววันนี้มีเซอร์ไพรส์เล็กๆเมื่อจัด ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, ไมเคิล คาร์ริค และดาร์รอน กิ๊บสัน ลงมายืนตรงกลาง โดยวางกิ๊บสันเป็นกลางตัวรุกค้ำหลังรูนี่ย์หน้าเป้าเอาไว้ ส่วนคาร์ริคและเฟล็ทเชอร์คอยไล่เพรสซิ่งพื้นที่กลางสนาม แผงแนวรุกข้างหน้าสามตัววางอันโตนิโอ วาเลนเซียทางขวา, นานี่ ทางซ้าย และค้ำรูนี่ย์เป็นหน้าเป้าตรงกลาง ดีเทลแพลนนิ่งที่ว่าทำไมถึงจัดทีมแบบนี้ ผมจะได้กล่าวถึงในส่วนของรูปเกมต่อไปครับ

สำหรับผู้มาเยือนจากบาวาเรียที่ถือสกอร์เหนือกว่าในกระเป๋าก่อนมาโรงละครนั้น วันนี้หลุยส์ ฟาน กัล ก็ยังคงยืนพื้นนักเตะชุดเดิมจากเลกแรก โดยมีเปลี่ยนแปลงเพียงสองตำแหน่ง คือสามารถจับอาร์เยน ร็อบเบน ผ่านความฟิตลงสนามได้ และได้บาสเตียน ชไวสไตน์เกอร์กลับมาจากโทษแบน โดยฟาน กัล วางแผนการเล่นเหมือนเดิมจากเลกแรก คือ 4-4-2 ให้ฮันส์ ยอร์ก บุตต์ เฝ้าเสา แผงหลังสี่คนมี ฟิลลิปป์ ลาห์ม, ดาเนียล ฟาน บุยเต็น, มาร์ติน เดมิเคลิส และ โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์ กองกลางตรงกลางสนามสองคนให้ มาร์ค ฟาน บอมเมล ยืนคู่กับบาสเตียน ชไวสไตน์เกอร์ ที่ได้ลงมาแทน ดานิเยล ปรานยิชจากเลกก่อน ริมเส้นฝั่งซ้ายยังเป็น ฟรองก์ ริเบรี่ ฝั่งขวา และได้อาร์เยน ร็อบเบนลงมาแทน ฮามิต อัลตินท็อปจากเลกก่อนเช่นกัน ส่วนหน้าคู่เป็นคู่เดิม คือ อิวิก้า โอลิช และ โธมัส มุลเลอร์

แผนการเล่นที่ท่านเซอร์วางมานั้น ต้องบอกเลยครับ ว่าได้ผลมาก และมีประสิทธิภาพจริงๆ ไม่ใช่ทำงานแบบไฟไหม้ฟางห้านาทีสิบนาที แต่สามารถยืนพื้นคุมเกมข่มเสือใต้แบบวันเวย์ได้ตลอดที่แผนการเล่นยังทำงานได้ตามหน้าที่ของมัน ท่านเซอร์ทำการบ้านจากเกมที่แล้วมาได้ดีมากๆ โดยมองว่าที่เราไล่เพรสซิ่งนักเตะเสือใต้ไม่ค่อยจน ส่วนหนึ่งก็คือนักเตะเสือใต้ไม่ยอมลงมาบู๊ในแดนกลางให้เราไล่บี้ แถมยังออกบอลเร็ว ใช้พื้นที่เต็มสนาม เคลื่อนที่เร็วหาช่องตลอดเวลา นักเตะแต่ละคนที่มีส่วนในเกมรับก็รูปร่างสูงใหญ่ ครองบอลแข็งแกร่ง เบียดลงยาก วิธีการแก้หมากในภาพรวมตรงนี้ที่ท่านเซอร์วางแผนมาก็คือ ใช้เกมเพรสซิ่งเร็วบีบพื้นที่ทั้งสนามแบบโททั่ลเพรสซิ่ง วางรูนี่ย์เป็นตัวไล่เพรสซิ่งตัวแรกตั้งแต่การออกบอลของคู่เซ็นเตอร์เสือใต้ไม่ให้ต่อบอลกับกลางรับได้ถนัด จากนั้น มิดฟิลด์สามคนตรงกลางวันนี้เลือกที่ physical มาก่อน skill/technical เพื่อใช้ร่างกายเข้าบดสู้ เบียดปะทะกับนักเตะของเสือใต้ ซึ่งเป็นจุดที่ปาร์ค ชี ซอง สู้ไม่ได้ในเลกก่อนนั่นเอง รวมกับความถนัดในการหาช่องยิงจากแถวสองของกิ๊บโบ้ ซึ่งนี่คืออีกเหตุผลที่เราเห็นดาร์รอน กิ๊บสันลงสนามแบบน่าเซอร์ไพรส์ในเกมนี้

นี่คือเกมแพลนที่วางมาทำลายแท็คติคของเสือใต้โดยเฉพาะ เกมของเสือใต้ที่เซ็ตเกมจากหลัง เมื่อถูกบีบเร็วจากรูนี่ย์, ตัวรับบอลแถวแรกถูกคุมแจจากวาเลนเซีย, นานี่, กิ๊บสัน จึงทำให้ทางเลือกของการเซ็ตบอลทำไม่ได้มากนัก นอกจากเปิดข้ามไปข้างหน้า แล้วโดนชิงเล่นกลางอากาศก่อนจากวิดิชและริโอ หรือไม่ก็ต้องย้อนกลับมาหาบุตต์ แล้วมาถูกรูนี่ย์วิ่งบดเข้าใส่จนบุตต์ออกอาการต้องเตะทิ้งเตะขว้างไปหลายดอก อีกทั้งยูไนเต็ดเมื่อได้บอลก็โหมเข้าใส่ไม่ให้เสือใต้ตั้งตัวได้ทันตลอด การเซ็ตเกมรุกมาจากทุกทิศทุกทางทั้งซ้ายกลางขวา หรือเปิดจากหลัง เกมนี้วาเลนเซียและนานี่มีอิสระจากคำสั่งท่านเซอร์ให้เลือกที่จะหุบเข้ามาด้านในในมากขึ้น เปิดทางให้ฟูลแบ๊คได้เติมขึ้นทางริมเส้น เพื่อป่วนแนวรับและทำให้แผงหลังเสือใต้สับสนกับตำแหน่งการยืนให้ได้มากที่สุด นั่นคือแผนการกระซวกประตูจากเสือใต้ที่วางลงมา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ตลอดเกือบสี่สิบนาทีแรก แผนทำลายเกมเสือใต้ และทวงประตูให้ได้ของเรานั้น ได้ผลมีประสิทธิภาพดีมากๆ ร็อบเบน, ริเบรี่, โอลิช และมุลเลอร์ ได้บอลถึงเท้าแทบนับครั้งได้เลย

ประตูแรกในนาทีที่ 3 ก็มาจากการขึ้นเกมตรงกลาง รูนี่ย์รับบอลจากการเปิดของราฟาเอล แปะขึ้นหน้าให้กิ๊บสันที่เติมขึ้นมาข้างๆ ก่อนจะฉากตัวออกมารับบอลด้านข้างซึ่งดึงกองหลังและสมาธิของบุตต์ไปได้มากทีเดียว กิ๊บสันเมื่อได้บอลจากรูนี่ย์ก็ลากขึ้นมาก่อนจะตัดสินใจยิงโดยมีเดมิเคลิสปรี่เข้ามาบังแต่ไม่ทัน กลายเป็นบังทางบุตต์ไปเสียอีก ซึ่งบุตต์เองนั้นก็ดันไปพะวงไลน์วิ่งรูนี่ย์จนเสียตำแหน่งการยืนปิดเสาแรกไปด้วย ทำให้บอลของกิ๊บสันพุ่งเบียดเสาเข้าไปได้ตั้งแต่สามนาทีแรกเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน จ้าบ้านก็ได้ประตูที่สองเมื่อรูนี่ย์สาดบอลสวนกลับยาวขึ้นมาทางขวาให้วาเลนเซีย วาเลนเซียโยกหลอกบาดสตูเบอร์สองสามครั้งก่อนจะดึงไปสุดเส้นแล้วเปิดเข้ากลางที่มีนานี่สอดจากทางซ้ายหลุดเข้ามาโล่งๆแล้วไขว้ด้วยขวาส่งบอลไหลเสียบโคนเสาสองอย่างสวยงาม เป็นสองประตูก่อนครบสิบนาทีที่ทำให้หลายๆคนฝันหวานทีเดียว รวมทั้งผมด้วย

หายนะเริ่มส่อเค้าลางมาแต่ไกล ราฟาเอลที่ดันเกมขึ้นมาสุดเส้นถูกเกี่ยวล้มแต่ไม่ได้ฟาล์ว จึงไปสอยเขาคืนแล้วก็เลยต้องรับใบเหลืองไปก่อนแบบน่าเขกกะโหลก ช็อตนี้ริเบรี่ที่ถูกราฟาเอลประกบมาตลอดจึงเริ่มลูบปากขึ้นมาบ้าง แล้วหลังจากนั้นไม่นานนัก หายนะเริ่มส่งสัญญาณเตือนดังขึ้นมาอีก เมื่อรูนี่ย์ถูกปะทะเล็กน้อยตรงกลางสนามฝั่งซ้ายทำให้ข้อเท้าเกิดอาการเจ็บซ้ำขึ้นมา และหลังจากนาทีที่ 24 เป็นต้นมาถึงแม้รูนี่ย์จะยืนยันกับสต๊าฟฟ์ว่าเล่นไหว แต่รูนี่ย์กลับวิ่งไม่ได้เต็มที่เหมือนช่วงแรกอีกเลย และเริ่มทำให้เกมเพรสซิ่งที่ใช้กดเสือใต้ได้ผลมาตลอดนั้น เริ่มคลายความกดดันลงไปทีละนิดละหน่อย จนเสือใต้เริ่มขยับเกมรุกของตัวเองขึ้นมาได้บ้าง โดยมีการเปิดของร็อบเบนให้มุลเลอร์ได้แทงทะลุตัดหลังเข้ากรอบ แต่โอลิชแตะยาวไป ถูกน้าซาร์พรวดออกมาตะครุบไว้ได้ทันเป็นสัญญาณอพยพหนีภัยครั้งแรก

แต่เจ้าบ้านมาได้ประตูที่สามจากเกมเร็วที่เราได้ลูกทุ่มฝั่งขวาในแดนเสือใต้ ราฟาเอลวิ่งมาทุ่มเร็วขึ้นหน้าให้วาเลนเซียหลุดขึ้นไปก่อนจะกระดกบอลหลบผู้เล่นเสือใต้แล้วพุ่งเข้าหากรอบจากทางด้านขวา แล้วเปิดเรียดตบกลับเข้ามาหน้ากรอบโทษ บอลหลุดรูนี่ย์และตัวประกบเลยไปถึงบริเวณเส้นกรอบโทษ นานี่เติมขึ้นมาซัดด้วยขวาทันทีส่งบอลพุ่งเสยเพดานตาข่ายให้เจ้าบ้านออกนำไกลสุดกู่ในนาทีที่ 41 แต่แล้วสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นมาเต็มที่ในสองนาทีให้หลัง จากลูกเปิดเข้ามาหน้ากรอบในจังหวะขึ้นเกมรุกเร็วของทีมเยือน มุลเลอร์เทคขึ้นโหม่งเช็ดบอลย้อยมาทางกรอบโทษด้านขวา คาร์ริคเบียดโอลิชเข้าหาบอลในกรอบแล้วสู้แรงปะทะไม่ไหว คาร์ริคลงไปกองก่อนที่โอลิชจะควบตามบอลที่กำลังจะหลุดเส้นหลังประตูไปแล้วตวัดยิงสวนด้วยสัญชาตญาณทันที บอลพุ่งเร็วเรียดผ่านข้างตัวน้าซาร์ที่ไม่ทันได้ระวัง เสียบโคนเสาสองอย่างน่าตกตะลึง และเป็นประตูที่ทีมเยือนต้องการอย่างมาก เมื่อรูปเกมมันเริ่มกลับมาเข้าทางพวกเขาอีกครั้ง กับอีกประตูที่ต้องการเท่านั้น เพื่อผ่านเข้ารอบต่อไป

ครึ่งหลัง เมื่อแผนการเล่นที่วางมาถูกปรากฏการณ์ในสนามพาให้มันทำงานได้แย่ลง เนื่องจากการที่รูนี่ย์ไม่สามารถไล่เพรสซิ่งการเซ็ตบอลจากหลังของเสือใต้ได้เหมือนเดิม เมื่อหลังสามารถเซ็ตบอลให้แดนกลางได้ การเล่นของเสือใต้จึงเริ่มกลับมาเข้าสู่แบบแผนเดิมๆของตัวเอง งานก็จึงเข้าสำหรับบรรดากองกลางและกองหลังที่ต้องไล่เพรสซิ่งหนักหน่วงขึ้น การที่ราฟาเอลติดไข้เหลืองก็ยิ่งถือเป็นงานช้าง เพราะการตามคุมริเบรี่มีโอกาสเสียฟาล์วตลอดเวลาอยู่แล้ว และก็โดนจนได้ จากลูกที่ราฟาเอลตามพัวพันเหนี่ยวริเบรี่ไปถึงกลางสนามจนล้ม ริเบรี่ไม่รอช้า ลุกขึ้นฟ้องกรรมการทันที แล้วกรรมการก็ควักเหลืองที่สองให้ราฟาเอลตั้งแต่นาทีที่ 50 เท่านั้น ทำให้เจ้าบ้านเหลือสิบคนร่วมๆสี่สิบนาที เมื่อประกอบกับการที่เจ้าบ้านไม่สามารถเพรสซิ่งได้ดีเหมือนเคย แถมสมาธิและความมุ่งมั่นในเกมก็ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่รูนี่ย์เริ่มเจ็บ ทั้งหมดทั้งปวงนี้คือจุดที่ทำให้เกมของบาเยิร์นกลับมาขึงเจ้าบ้านได้เต็มๆจนต้องเล่นลิงชิงบอลกันสนุกเท้า

ทีมเยือนมีการเปลี่ยนตัวโดยเอาโกเมซลงมาแทนมุลเลอร์ตั้งแต่พักครึ่ง ส่วนเจ้าบ้านถอดรูนี่ย์ที่เล่นไม่ได้เต็มที่ออก แทนที่ด้วยโอเชเพื่อมาทดแทนราฟาเอลที่โดนใบแดง ดันนานี่ขึ้นเล่นหน้าเป้า ตรงนี้ยิ่งทำให้เกมของบาเยิร์นดูดีมีระดับขึ้นมาทันที กลางของเจ้าบ้านที่เหลือเพียงเฟล็ทเชอร์, กิ๊บสัน และคาร์ริค ซึ่งต้องถ่างออกมารับภาระปีกซ้ายด้วย ยิ่งทำงานยากขึ้นไปอีก ในที่สุดก็มาเสียประตูที่ทำให้ตกรอบในนาทีที่ 74 จากลูกคอร์เนอร์ที่เราเคยใช้มาหลายครั้งกลับมาทำร้ายตัวเอง ริเบรี่เปิดคอร์เนอร์จากฝั่งขวาของน้าซาร์หลุดมาเสาสองบริเวณหน้ากรอบให้ร็อบเบนตั้งเท้าง้างแล้วยิงด้วยซ้ายแบบเต็มๆ บอลพุ่งวาบเบียดแผ่นหลังคาร์ริคที่พุ่งเข้าขวางแล้วลอยหายวับเข้าไปที่หน้าต่างเสาแรก ชนิดที่ผมรู้เลยว่าเข้าประตูตั้งแต่เห็นวิถีบอลออกจากเท้าร็อบเบนนั่นเลย นี่คือประตูที่ดับฝันของเจ้าบ้านอย่างสนิท เพราะรูปเกมมันสู้ไม่ได้ไปแล้วในตอนนั้น และหลังจากนั้น เสือใต้ก็ใช้กลยุทธ์ครองเกมถ่ายบอลวนไปมาเพื่อดึงเวลาให้หมดไป

ฮามิต อัลตินท็อปถูกส่งลงมาแทนร็อบเบนเพื่อครองบอล และเล่นกับเวลามากขึ้น ในขณะที่เบอร์บาตอฟกับไรอัน กิ๊กส์ ก็ถูกส่งลงมาแทนกิ๊บสันและคารริค ดูเหมือนเป็นความพยายามเพื่อทวงประตูที่สี่ แต่กลับกลายเป็นไร้ค่ามากกว่า เมื่อสองคนที่ถูกส่งลงมานั้น ไม่ได้ช่วยให้เกมเพรสซิ่งไล่เอาบอลคืนมาเกิดเป็นผลสำเร็จได้ ยิ่งการเปลี่ยนครั้งสุดท้ายชองเสือใต้ที่ส่งปรานยิชลงมาแทนโอลิชเพื่อเพิ่มผู้เล่นแดนกลาง ยิ่งทำให้อาการเล่นเป็นลิงของเราดูหนักข้อมากขึ้นไปอีก จนกลายเป็นว่าทั้งๆที่ต้องการประตู แต่กลายเป็นลูกทีมของ ฟ่าน กัล เสียอีกที่ครองเกมฆ่าเวลาอยู่ฝ่ายเดียวจนหมดเวลา เป็นการผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศของบาเยิร์น มิวนิค ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2001 และเป็นการตกรอบที่ชอกช้ำที่สุดครั้งหนึ่งของชาวแมนคูเนี่ยน เพราะเป็นการตกรอบด้วยอเวย์โกล์อีกครั้ง แถมยังมีหลากหลายสิ่งหลายอย่างให้พูดถึงในเกมทั้งสองเลกที่ผ่านไป

ผมคงไม่โทษอะไรมากกับเกมในเลกนี้เกี่ยวกับเรื่องแผนการเล่น เพราะมันก็ดูสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ท่านเซอร์จะวางลงมาสู้แล้ว และมันก็แสดงให้เห็นชัดเจนตลอดครึ่งชั่วโมงแรกว่า มันทำงานได้ผลดีมาก จนรูนี่ย์เจ็บไป จนราฟาเอลถูกใบเหลืองแบบไม่น่าเสีย และใบแดงในท้ายที่สุด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ทั้งสิ้น รูนี่ย์ถูกเข็นลงมาในสภาพที่ทุกๆคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่เต็มร้อย ส่วนราฟาเอลก็เด็กเพิ่งอายุ 19 ที่ต้องรับมือริเบรี่และวิ่งขึ้นลงทำเกมรุกและรับตลอดเวลา เราจะไปตำหนิพวกเขาได้แค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น และการได้ถึงสามประตูนำไปก่อนอีกต่างหาก หากจะตำหนิ ก็คงเป็นเรื่องสมาธิเป็นอันดับแรกที่ทำให้เสียประตูแรกให้โอลิช ซึ่งการที่คาร์ริคต้องเบียดกับโอลิชไปทั้งๆที่เขาไม่ใช่กองหลังนั้นมันบ่งบอกอะไรบ้าง อย่างน้อยก็คือจังหวะโหม่งของมุลเลอร์ที่คงมีวิดิช (?) เป็นตัวเทคประกบ แล้วในจังหวะที่บอลมาถึงโอลิช ทำไมกลายเป็นคาร์ริคที่เข้าไปเบียด บอลที่ทะลักออกไปจนเกือบสุดเส้นหลังนั้น ทำไมไม่มีใครปรี่เข้าไปขวางทางเปิดเข้ามาของโอลิชสักคน หายไปไหนกันหมด ตรงนี้คือสิ่งที่น่าตำหนิที่มองเห็นได้ชัดว่า เหมือนจะชะงักกันไปหมดในจังหวะที่บอลทะลักออกมาจากโอลิช กลายเป็นโอลิชเพียงคนเดียวที่พรวดไปหาบอล แล้วตวัดยิงตามสัญชาตญาณแบบโล่งๆ ง่ายๆ

ความจริงนี่คือลูกที่สองในรอบสัปดาห์ที่เสียแบบง่ายๆเกินไป ลูกที่โอลิชยิงคว้าชัยในนัดก่อนก็เช่นกัน ชะงักกันไปหมดตอนที่โอลิชแอบพรวดเข้ามาขโมยบอลจากเอวร่าไปยิงน้าซาร์แบบซึ่งๆหน้าแบบนั้น และทั้งสองครั้งเกิดจากชายที่ชื่อ อิวิก้า โอลิช เหมือนกัน แถมเป็นในนาทีที่ไม่ควรเสียประตูด้วยซ้ำไป กับช่วงทดเจ็บในเกมแรก และช่วงนาทีที่ 43 ในเกมนี้ การหลุดสมาธิและเสียประตูง่ายๆในรูปแบบที่น่าตำหนิแบบนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับทีมเรา ทีมที่เคยภูมิอกภูมิใจในแผงหลังที่เหนียวแน่น และเกมรับที่ขึ้นชื่อลือชามาตั้งแต่ปีก่อน มาปีนี้ดูเหมือนอาการบาดเจ็บที่พรากริโอไปบ้าง วิดิชไปบ้างนั้น จะทำให้เกมรับของเราแกว่งได้ง่ายขึ้น หลุดสมาธิได้ง่ายขึ้น และเสียประตูแบบที่ไม่น่าเสียบ่อยครั้งขึ้นด้วย นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าการที่เรามีกองหน้าเหลือน้อยหรือบาดเจ็บมากขึ้น เพราะต่อให้กองหน้ายิงไปเยอะแค่ไหน แต่ถ้าหลังบ้านยังเสียง่ายๆแบบนี้ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เหมือนในเกมนี้นั่นแล อีกทั้งการที่เสียประตูง่ายๆของแนวรับ ยังทำให้การวางแผนการเล่นทำได้ยากมากๆ อย่างน้อยการเล่นเกมรับแล้วสวนกลับคงทำไม่ได้ หากว่ารับแล้วยังมีโอกาสเสียประตูง่ายๆอยู่แบบนี้

แต่หากมองถึงในภาพรวม องค์ประกอบของทีม และทีมอื่นๆที่เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้แล้ว ผมคงไม่อาย ที่จะบอกว่าตกรอบไปก็ดีเหมือนกัน จะได้ทุ่มสมาธิกับเกมลีกให้เต็มที่กว่านี้ ถึงแม้โอกาสในลีกมันจะน้อยลงมากแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าจะเล่นแบบเผื่อโน่นเผื่อนี่ทั้งๆที่ทัพนักเตะก็ลูกผีลูกคนอยู่แบบนี้ ถึงแม้ผ่านเข้ารอบไปได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่า การที่มีรูนี่ย์คนเดียวที่สามารถเล่นในแท็คติค 4-3-3 หรือ 4-5-1 ได้ประสิทธิภาพสูงสุดแบบนี้ มันจะพาทีมเราไปได้ไกลถึงไหน เมื่อเห็นๆอยู่ว่าเบิร์บไม่ตอบสนองต่อแท็คติคหน้าเป้าตัวเดียวเช่นนี้ แล้วการวางแท็คติคนี้ในเกมยุโรปที่จำเป็นมากมาย จะไปได้ถึงไหนเมื่ออาการของรูนี่ย์จะไม่เต็มร้อยอยู่ตลอด ต่อให้ฝ่าด่านลียงไปได้ (ลียงที่เชือดเรอัลมาเนี่ยนะ) เราก็ต้องพบกับบาร์เซโลน่าที่เคยสอนบอลเรามาก่อนทั้งๆที่ฟอร์มของเมสซี่ตอนนั้นก็ยังไม่พีคเหมือนปีนี้ หากมาเจอกันปีนี้ผลจะเป็นอย่างไรเมื่อสภาพทีมเราเป็นอย่างนี้ หรือไม่ก็ต่อให้ได้เจออินเตอร์ มิลาน ที่ปีนี้มีเอโต้, สไนเดอร์ เป็นทีมที่ตอบสนองแท็คติคมูรินโญ่ได้ดีกว่าปีก่อนๆ คิดว่าเราจะผ่านได้ง่ายๆหรือเปล่า

หลายๆคน โดยเฉพาะแฟนทีมอื่นๆอาจจะมองว่าผมปลอบใจตัวเอง หรือองุ่นเปรี้ยวก็ตามแต่ แต่ผมยืนยันว่า ผมมองเกมตามความเป็นจริง หากรูนี่ย์อยู่ในสภาพแบบนี้ การผ่านเข้ารอบต่อไปจะมีประโยชน์อะไร ขนาดเลกแรกที่รูนี่ย์เต็มถังตลอดเก้าสิบนาที เกมยังมีปัญหาต่อบอลกันขึ้นไม่ได้ แล้วถ้าสมมติผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ ผมก็คงต้องไปลุ้นต่อว่า รูนี่ย์จะฟิตไหม แท็คติคเกมนี้จะเป็นอย่างไร เพราะในเกมยุโรปเกมใหญ่ๆแบบนี้ บอกตามตรงครับว่า ทีมใหญ่ๆกุนซือเขี้ยวๆเขาอ่านเราออกหมดแล้ว ว่าทีมเราขาดนักเตะประเภททักษะ ประเภทสกิลล์สูงๆในแดนกลาง แต่อาศัยทีมเวิร์กที่มีนักเตะที่พละกำลังดี ฟิตพอจะไล่ได้ทั้งเกม เล่นบอลเร็วและหนักเข้ามาสู้ ซึ่งหลายๆทีมก็เลือกที่จะหนีเกมกลางสนามแล้วหันมาเล่นด้วยการต่อบอลออกบอลเร็ว การดึงโซนเพรสซิ่งของเราให้แตกแล้วเจาะทะลวงเข้าไป อย่างที่บาร์เซโลน่าที่เคยผิดหวังได้กลับมาแก้ตัวได้ในรอบชิงฯปีที่แล้ว อย่างที่เสือใต้ทำในเลกแรก และเลกที่สองหลังจากรูนี่ย์เจ็บไปนั่นเอง ผมมองว่านี่คือการมองโลกตามความเป็นจริงและยอมรับในสิ่งที่เราเป็นอยู่ ท่านเซอร์ก็คงต้องทำใจยอมรับเช่นนี้ และมองไปข้างหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้

ปีที่แล้วเกมของเราก็เป็นแบบนี้แหละ แต่โรนัลโด้คือผู้ที่พลิกเกมได้ด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งเตเวซก็ยังคอยไล่กัดแดนหลังคู่ต่อสู้จนสามารถฉกฉวยความผิดพลาดให้เกิดประโยชน์ แต่มันเปล่าประโยชน์ที่จะพร่ำเพ้อถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ฟอร์มของโรนัลโด้ปีก่อนก็ไม่ได้ทะลุปรอทอะไร แรงมุ่งมั่นขับดันก็ตกลงไปจากปีที่ได้บัลลง ดอร์ การย้ายทีมจึงน่าจะเป็น วิน-วินโซลูชั่น และเราก็ต้องหาทางเดินหน้าต่อไป เช่นเดียวกับเตเวซที่เราไม่สามารถการันตีตำแหน่งตัวจริงได้ แม้แต่เบอร์บาตอฟเองก็ไม่ได้โอกาสนั้นในปีนี้เช่นกัน ประกอบกับการทำลายเพดานค่าเหนื่อยที่ปัจจุบันก็สูงลิบลิ่วอยู่แล้วก็ไม่ใข่ทางออกที่ถูกต้องในสายตาผู้บริหาร การแยกทางกันจึงน่าจะเป็นทางออกเดียวที่เป็นไปได้ ดังนั้นทีมเราอ่อนลงแน่จากปีที่แล้ว ตรงนี้ต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น แต่กับทีมที่อ่อนลงแบบนี้ เราก็สามารถทะลุมาถึงรอบก่อนรองฯได้ ยังมีลุ้นแชมป์ลีก และได้ถ้วยคาร์ลิ่งมากอดแล้วใบหนึ่ง ก็ย่อมการันตีได้ระดับหนึ่งว่า สโมสรเราไม่เคยสิ้นไร้ไม้ตอก และยังคงหาทางออกใหม่ได้เรื่อยๆ

สำหรับผมเอง การตกรอบวันนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต อาจจะเจ็บปวดจากการที่เห็นเราออกนำไปก่อนเยอะแล้วดันตกม้าตาย แต่มันก็ต้องยอมรับว่าบาเยิร์น มิวนิค ประคองสมาธิและความมุ่งมั่นในช่วงเวลาที่กดดันได้ดีกว่าเรามาก ถึงแม้ถูกนำไปสามลูกแต่ก็ไม่ได้ท้อถอย ถึงแม้จะยิงคืนได้สองลูกจนสามารถเข้ารอบต่อไปได้ แต่ก็ยังไม่ประมาท ไม่มีเตะทิ้งเตะขว้าง ใช้ทุกวินาทีที่มีลูกบอลให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้แต่เมื่อตอนไปไม่ได้ต้องเตะออก ก็ยังเลือกเตะออกเส้นหลังฝั่งน้าซาร์จากครึ่งสนาม เพื่อกินเวลาแม้แต่ห้าวินาทีสิบวินาทีก็ยังดี นี่คือสิ่งที่บาเยิร์น มิวนิคเรียนรู้จากความผิดพลาดเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนได้อย่างน่านับถือ แล้วเราล่ะ ควรต้องเรียนรู้อะไรบ้างจากเกมสองเลกที่ผ่านไปอย่างเจ็บปวดนี้ อย่างน้อยก็คงเป็นเรื่องของสมาธิและความมุ่งมั่น ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้หล่นหายแม้เพียงเสี้ยววินาทีของเกมที่กลายเป็นสองประตูของโอลิช หรือการจบสกอร์บางจังหวะที่ต้องนิ่งและมองให้รอบด้านกว่านี้ ถึงแม้ผมจะเชื่อว่ารูปเกมแบบนี้ ต่อให้เรานำ 4:0 ไปก่อน ก็ไม่แน่ว่าจะเข้ารอบต่อไปได้ก็เถอะ แต่การจบสกอร์ที่ไว้วางใจได้จากโอกาสน้อยครั้งที่เกิด ย่อมเป็นตัวชี้วัดคุณภาพเกมรุกที่ดีไม่ใช่หรือ นี่อคือสิ่งที่ผมเองเรียนรู้จากสองเลกที่ผ่านไปของเรา และเป็นการเรียนรู้ด้วยความเจ็บปวดจริงๆ

สุดท้าย ทีมที่ดีกว่าก็ยังเป็นผู้ชนะ ผมยินดีกับบาเยิร์น มิวนิคด้วย พวกคุณทำได้ดีกว่าจริงๆ ทั้งสองนัด แต่ผมก็ยังหวังเช่นเดิมอยู่ว่า เราจะกลับมาได้อีกครั้งในปีหน้า และเป็นการกลับมาที่น่าจะดีขึ้นกว่านี้ได้อีก แต่ที่สำคัญ ภารกิจในปีนี้ยังไม่จบ เรายังคงต้องทุ่มเทเต็มที่ในห้านัดที่เหลือต่อจากนี้ แล้วหวังว่าเทพีแห่งโชคจะเข้าข้างเราบ้าง หลังจากถูกเมินมาตลอดในช่วงหลังนี้ครับ


แล้วมาลุ้นกันครับ

สงบใจ



Create Date : 08 เมษายน 2553
Last Update : 8 เมษายน 2553 10:39:15 น.
Counter : 599 Pageviews.

2 comments
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โดย: TREE AND LOVE วันที่: 8 เมษายน 2553 เวลา:19:31:20 น.
  
เขียนได้ดีมากครับ

โดย: ต๊าด IP: 118.174.55.40 วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:07:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sa-ngob-jai.BlogGang.com

สงบใจ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด