20100510 วิพากษ์ MAN. UNITED vs STOKE CITY
ยินดีกับเชลซีด้วยครับ


สวัสดีครับ ทุกๆท่าน จบแล้วนะครับ กับการแข่งขันชิงชัยในศึกอิงลิชพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้ และก็เป็นเชลซีที่ยังคงยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง สามารถเก็บชัยชนะในนัดสำคัญส่งท้ายฤดูกาล และคว้าแชมป์ไปได้อย่างสวยงาม สำหรับผมแล้วก็คงไม่มีอะไรอื่นนอกจากจะต้องขอแสดงความยินดีกับทีมเชลซี และบรรดาแฟนๆทีมเชลซีทั้งหลายอย่างเต็มใจและจริงใจ ฤดูกาลนี้พวกคุณทำได้ดีจริงๆ แต่ฤดูกาลหน้า พวกเราจะขอกลับมาแก้มืออีกครั้ง และจะทำให้ดีกว่าเดิมด้วย เอาล่ะ เรื่องของเชลซี จะมีอะไรอีกเล็กน้อยที่อยากพูดถึงแต่จะขอเก็บไว้ในช่วงท้ายๆ ตอนนี้ขอเริ่มด้วยการวิเคราะห์เกมสุดท้ายของยูไนเต็ดก่อน ถึงแม้รายละเอียดจะไม่มีอะไรมาก เพราะผมเองก็ดูสลับไปสลับมาสองช่องจนอาจจะเก็บรายละเอียดได้ไม่เต็มที่ แต่เท่าที่เห็นก็คือ เป็นการเปิดเกมบุกแบบเอ็นเตอร์เทนแฟนๆในมุมที่เราไม่ได้เห็นกันมานานแล้ว

การจัดทัพเกมสุดท้ายในบ้านของป๋าอเล็กซ์นี้ จัดทัพมาด้วยระบบ 4-4-2 นัยว่าเน้นเกมบุกเพื่อยิงประตูเป็นการเอ็นเตอร์เทนแฟนๆในบ้านนั่นเอง โดยนัดนี้ไม่ได้มีการวางแท็คติคอะไรมากมายระหว่างเกม แต่เหมือนเปิดโอกาสให้ลูกทีมมีอิสระและเล่นตามจินตนาการของตัวเองอย่างเต็มที่ เหมือนเป็นการปลดปล่อยในนัดสุดท้าย เกมนี้ผู้รักษาประตูยังคงเป็นเอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ แผงหลังสี่ตัวเป็นชุดใหญ่ ได้แก่แกรี่ เนวิลล์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช และปาทริซ เอวร่า มิดฟิลด์ตรงกลางสองตัวเลือก พอล สโคลส์ และดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ วางไรอัน กิ๊กส์ ลงเลื้อยทางฝั่งซ้าย และหลุยส์ นานี่ทางฝั่งขวา ส่วนคู่กองหน้าเลือกเวย์น รูนี่ย์ และดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ว่ากันถึงซุมม้านั่งสำรองก็เป็นที่ยินดีที่ได้เห็นชื่อปาร์ค ชี ซองคนหนึ่ง ที่เหลือก็มีเบน ฟอสเตอร์, โจนาธาน เอแวนส์, จอห์น โอเชีย, ไมเคิล คาร์ริค, ดาร์รอน กิ๊บสัน และเฟเดริโก้ มาเคด้า

สำหรับผู้มาเยือนอย่างสโต๊ค ซิตี้ ที่มีโทนี่ พูลิสกำกับการเล่นอยู่นั้น มีอัสเมียร์ เบโกวิช เป็นผู้รักษาประตู แผงหลังสี่คนประกอบไปด้วย แอนดี้ วิลกินสัน, ไรอัน ชอว์ครอสส์, โรเบิร์ต ฮูธ และ แดนนี่ ฮิกกิ้นบ๊อตท่อม มิดฟิลด์มีรอรี่ ดีแลป, ดีน ไวท์เฮด, เกล็น วีแลน และ แม็ทธิว เอเธอร์ริงตัน ศูนย์หน้ามี มามาดี้ ซิเดเบ้ และ ริคาร์โด้ ฟูลเลอร์ รายละเอียดคงต้องขออนุญาตสงวนสิทธิ์ที่จะพูดถึง เพราะข้อมูลในหัวเกี่ยวกับทีมนี้มีน้อยมากครับ

เกมการเล่นที่เกิดขึ้นในสนามนั้น ก็ต้องบอกว่าเป็นการเปิดเกมบุกของเจ้าบ้านเพื่อเอาใจแฟนๆ แต่ดูเหมือนแฟนๆเองก็มัวแต่ใจจดใจจ่อกับการเงี่ยหูฟังรายงานวิทยุการแข่งขันจากสแตมฟอร์ด บริดจ์ซะมากกว่าจะลุ้นสนามของตัวเองนะ ยิ่งมีข่าวว่าเชลซีออกนำตั้งแต่ไก่โห่แล้วยิ่งเหมือนเกมในโรงละครจะออกอาการกร่อยอย่างชัดเจน ยูไนเต็ดเจ้าบ้านเดินหน้าเปิดเกมบุกใส่ทีมเยือนแบบเต็มๆ โดยที่ทีมเยือนนั้นเน้นตั้งรับลึกและเพรสซิ่งกดดันในแดนตัวเองอย่างขยันขันแข็ง โดยเกมนี้สโต๊คทิ้งผู้เล่นห้อยไว้ในแดนยูไนเต็ดเพียงสองคนคือ ซิเดเบ้ และฟูลเลอร์ เกมนี้เมื่อเจ้าบ้านเปิดเกมรุกแบบไม่ลืมหูลืมตาและทีมเยือนก็เน้นตั้งรับลึกนั้น ทำให้ผู้เล่นในแนวรุกของเจ้าบ้านได้เล่นเกมรุกอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมเห็นเลย ไรอัน กิ๊กส์, นานี่, สโคลส์ และ เฟล็ทช์สลับกันเติมกันสอดขึ้นหน้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา แกรี่ เนวิลล์ และปาทริซ เอวร่าก็ช่วยกันเติมทางริมเส้นกันสนุกสนาน โดยที่รูนี่ย์ และเบอร์บาตอฟเองก็ถอยลงมาต่ำสลับกันกับผู้เล่นแดนกลาง

การเคลื่อนที่ในเกมรุกวันนี้ หากไม่มองว่าสโต๊คเองเน้นเกมรับมากเกินไปแล้วล่ะก็... คงต้องบอกว่าเป็นการเคลื่อนที่ที่ค่อนข้างรวดเร็ว ลื่นไหล และจัดจ้านดีจริงๆ ผมอยากให้สังเกตการเคลื่อนที่ของรูนี่ย์ และเบอร์บาตอฟในเกมนี้ เพราะเป็นการเคลื่อนที่ที่ลบจุดบอดของปีก่อนและช่วงต้นฤดูกาลได้ดีมากๆ ถ้าจำกันได้นะครับให้นึกภาพเมื่อก่อนหน้านี้ ที่เวลาโดนคู่ต่อสู้มาตั้งเกมรับวางกำแพงสองชั้นป้องกันลงล็อคอย่างแน่นหนา เราจะตื้อทันที และเหมือนจะหาทางเจาะไม่เข้า เพราะจ่ายเข้าไปให้รูนี่ย์ ให้เบอร์บาตอฟก็จะโดนรุมกินโต๊ะจนบอลเสีย หรือเสียจังหวะ โยนเข้าไปก็ติดกองหลังเคลียร์ออกมา ยิงไกลก็ไม่มีจังหวะว่างๆ มักถูกบล๊อคไลน์วางเท้าตลอด ก่อนหน้านี้เราจึงต้องพึ่งมหัศจรรย์แห่งโรนัลโด้กันมากหน่อย พอช่วงต้นซีซั่นที่ไม่มีโรนัลโด้ บางเกมเราจึงดูตื้อๆ แต่เริ่มที่จะปรับหมากหาทางออกได้ดีขึ้นเรื่อยๆจนมาเกมนี้ที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างหน่อยนี่แหละครับ

การเปิดโอกาสให้ลูกทีมมีอิสระในการเล่นมากขึ้นวันนี้ และผสานกับความพยายามในการเคลื่อนที่ลบจุดบอดที่เคยมี ค่อนข้างได้ผลมากทีเดียว รูนี่ย์ และเบอร์บาตอฟไม่ยอมอยู่เป็นเป้าในกรอบให้ถูกรุมกินโต๊ะได้ง่ายๆ กลับมีการถอยร่นลงมาเพื่อเชื่อมเกมตรงแดนกลางมากขึ้น แง่หนึ่งก็เพื่อหนีการประกบจากกองหลังออกมาหาที่ว่างรับบอล แง่ที่สองก็มีประโยชน์ในการดึงตัวประกบออกมาจากพื้นที่สุดท้าย ซึ่งเท่ากับถ่างเกมรับของคู่ต่อสู้ให้มีที่ว่างมากขึ้น แง่ที่สามก็คือสร้างความสับสนให้กองหลังของคู่ต่อสู้ เมื่อศูนย์หน้าถอยออกจากพื้นที่ประจำการแล้วมีผู้เล่นแดนกลางสอดเติมขึ้นไปแทนแบบนี้ การเคลื่อนที่ในเกมต้องยอมรับว่าทำได้ดีมากๆ แต่สิ่งที่ยังขาดไปแบบเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ ความเข้าใจกันในการเคลื่อนที่แต่ละคน และความแม่นยำในการออกบอลให้กัน รวมทั้งลูกแอ๊คอาร์ททั้งหลายที่วันนี้แสดงออกมาจากนานี่และกิ๊กส์แทนที่จะเป็นเบอร์บาตอฟ ทั้งนานี่และกิ๊กส์เหมือนจะพยายามเล่นลูกเล่นตลอดเวลาทั้งไขว้หลัง, ข้ามบอล, ส่งคนละด้านกับที่ตามอง หรือแม้แต่พยายามใช้ทริคในการดริบเบิ้ลผ่านคู่ต่อสู้มากเกินไป

หากจะมองในแง่ดีก็คือนี่เป็นนัดที่ป๋าอนุญาตให้ปล่อยของได้เต็มที่ หลายคนก็เลยต้องการระบายออกมาบ้าง เพราะถ้าไม่หลอกตัวเองเกินไปนัก ก็คงรู้กันดีอยู่แล้วว่าโอกาสที่เชลซีจะพลาดท่าคาบ้านนั้น เกิดได้ยากมากๆ ยิ่งถ้าจับอาการกองเชียร์บนอัฒจรรย์นี่ยิ่งจะเห็นชัดเลยว่าเงียบฉี่ เป็นที่รู้กันว่าที่ลอนดอนคงไม่มีปาฏิหารย์เกิดขึ้น ทำให้พอขึ้นนำไปแล้วผู้เล่นบางคนเลยอยากจะปล่อยของออกจากตัวกันบ้าง เหมือนเป็นการปลดปล่อยสิ่งที่เก็บกดมานาน ความต้องการในการเล่นตามใจอยากที่ถูกกดด้วยแท็คติคและวินัยในการเล่นมาตลอด มันก็จะถูกระบายออกมาตอนนี้แหละครับ ดังนั้นเราจึงเห็นตลอดเลยว่าการเคลื่อนที่ของผู้เล่นถึงแม้จะทำทาง และสอดประสานตำแหน่งแทนกันได้ค่อนข้างไหลลื่น แต่การให้บอลระหว่างกันยังไม่แม่นยำและเข้าใจกันมากพอ จนหลายครั้งกลายเป็นปิดโอกาสจะจบสกอร์ของตัวเองไปซะ แต่ในแง่ดีก็คือ มีน้อยครั้งมากครับที่แต่ละคนจะโวยวายหรือหงุดหงิดกัน หากจะย้อนรอยกันสักนิด ผมพอนึกออกสองจังหวะที่จะจะตาหน่อย

หนึ่งก็คือจังหวะที่นานี่สลัดตัวประกบหลุดขึ้นมาทางสุดเส้นหลังฝั่งขวา ก่อนจะปาดเรียดเส้นหลังเข้ามาทางเสาแรกแล้วถูกผู้รักษาประตูป้องกันไว้ได้โดยรูนี่ย์ที่รออยู่ตรงกลางประตูทำสีหน้าแบบว่า อะไรของเมิงเนี่ยอาบัง เปิดเรียดเส้นยังงี้ก็เสร็จโกล์ดิฟะ แล้วนานี่ก็โวยรูนี่ย์คืนทันทีพร้อมทำภาษามือสองข้างชี้นิ้วสวนไขว้กันประกอบด้วยว่า “อารูน อีนี่ลูกนี้นี่ฉานว่านายผิดเต็มประตูนะ อีนี่ลูกนี้นายต้องสลัดตัวประกบสอดมาเสาแรก แล้วปาดหน้าโกล์สะกิดบอลนินาย” เห็นท่าทางเถียงของนานี่แล้วผมก็ขำครับ ประมาณว่าบังน่ะทำของบังถูกแล้ว หมูต่างหากที่เข้าสอดผิดที่ไปเอง ซึ่งผมค่อนข้างพอใจนะครับ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าในการฝึกซ้อมของเรานั้น มีการฝึกฝนการยืนตำแหน่งและสอดหาที่ว่างทดแทนกันและกัน รวมทั้งฝึกฝนความเข้าใจว่าหากผู้ที่ได้บอลหลุดเข้ามาทางนี้ ตำแหน่งอย่างนี้ ตัวเข้าทำต้องไปรอในจุดไหน (ที่เรียกว่าจุดนัดพบนั่นแหละ) เพียงแต่ว่ามันอาจจะมีให้จดจำกันมากจุดมากตำแหน่งไปหน่อย ในเกมจริงจึงอาจจะสับสนไปบ้าง แต่ผมเข้าใจนะ เพราะผมจำได้ว่าถ้าจังหวะนี้เป็นอันโตนิโอ วาเลนเซียหลุดขึ้นไป วาเลนเซียจะเปิดเรียดกลับเข้ามากลางกรอบ แทนที่จะเปิดเรียดเส้นหลังแบบนานี่ ก็ว่ากันไปครับ ที่เหลือก็ไปเคลียร์กันในสนามซ้อมแล้วกันนะ//ฮ่าฮ่าฮ่า

ส่วนจังหวะที่สองนั้น คือจังหวะที่เบอร์บาตอฟถูกผู้เล่นสโต๊คสอยเอาจนเจ็บ ต้องลงไปนั่งกุมข้อเท้า ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้น สองมือเท้าพื้นสนามก่อน ค่อยๆยันโก่งบั้นท้ายขึ้นมา ลองทิ้งน้ำหนักดู ค่อยๆยันตัวขึ้น ลองเดิน ลองวิ่งเหยาะๆ ลงน้ำหนักดู ซึ่งอากัปกิริยาทั้งหมดนี้ ไม่พ้นสายตาของรูนี่ย์เลยครับ ตั้งแต่เฮียอาร์ตแกลงไปนอนกุมข้อเท้าแล้วรูนี่ย์ก็เหมือนว่าจะรู้แล้วว่าจะเห็นอะไรต่อไป รูนี่ย์เลยก้มหน้าก้มตาส่ายหัวนิดๆ แล้ววิ่งกลับไปช่วยเกมรับต่อ โดยไม่ได้หยุดตำหนิหรือต่อว่าเบิร์บ นัยหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าเบิร์บเป็นแบบนี้ คือค่อนข้างระแวงอาการบาดเจ็บมากกว่าคนอื่น อาจเป็นเพราะว่าตัวเองเป็นนักเตะในสไตล์ที่ไม่ได้มีพละกำลังมากมาย แต่ใช้ทักษะมากกว่า ดังนั้นอาการบาดเจ็บจึงอาจเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าพวกที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายสูง แต่ในอีกมุมมองหนึ่งก็เป็นไปได้ที่รูนี่ย์อาจจะระอา เพราะตัวเองเป็นนักเตะที่พอเสียบอลแล้วจะรีบลุกไปแย่งคืนทันทีนั่นเอง และรูนี่ย์เองนี่แหละที่ออกมาป่าวประกาศให้สโมสรรีบหาดาวยิงระดับโลกมาเพิ่มอีกคน เพื่อแบ่งเบาภาระ คงเพราะรู้ดีว่า สภาพของโอเว่นและเบอร์บาตอฟนั้นไม่สามารถฝืนเล่นได้แบบเต็มที่ได้ยาวตลอดซีซั่นแน่ๆ

ประตูที่เกิดขึ้นในเกมประตูแรกก็คงไม่มีอะไรให้พูดถึงมากมาย เป็นจังหวะที่มีโชคนิดๆผสมอยู่ เมื่อบอลจากลูกเตะมุมมันกระดอนไปมาแล้วมาเข้าทางเฟล็ทเชอร์ที่ยืนคุมเสาแรกอยู่จึงซัดเสยเพดานเข้าไปง่ายๆ ส่วนลูกที่สองก็เกิดจากการประสานงานที่ดี บอลจากเบอร์บาตอฟที่หลุดมาทางซ้ายของกรอบโทษแล้วถูกเปิดเข้ามา นานี่โดดข้ามปล่อยบอลไหลมาถึงทางขวาถึงกิ๊กส์ที่บรรจงสไลด์บอลลอดตัวเบโกวิชเข้าไปง่ายๆ ลูกที่สามนั้นมาเกิดในครึ่งเวลาหลัง ที่รูนี่ย์พาบอลลัดเลาะลุยขึ้นไปถึงเส้นหลังทางฝั่งซ้ายแล้วเปิดยัดเข้ามากลางประตู มีฮิกกิ้นบ๊อตท่อมพุ่งเข้ามาสไลด์บอลทิ้งแต่กลายเป็นเสียบตาข่ายตัวเองซะงั้น หลังจากนั้นยูไนเต็ดก็ส่งกิ๊บสันลงมาแทนสโคลส์ และมาเคด้าแทนเบิร์บ ส่วนสโต๊คก็ส่งแดนนี่ พิวจ์, แดนนี่ คอลลินส์ และซาลิฟ ดิเยาลงมาแทน ไวท์เฮด, ฮิกกิ้นบ๊อตท่อม กับ ซิเดเบ้ ให้หลังอีกไม่นาน รูนี่ย์ก็ส่งสัญญาณเจ็บและขอเปลี่ยนตัว จึงถูกแทนที่ด้วยปาร์ค ชีซอง แล้วลูกที่สี่ก็มาตามนัด เมื่อกิ๊กส์เปิดบอลข้ามมาจากฝั่งซ้ายข้ามนานี่มาถึงปาร์คที่ลอยตอร์ปิโดบกมาแต่ไกลโขกบอลตุงตาข่ายก่อนครบเก้าสิบนาทีไม่นานนัก


จากการเปลี่ยนตัวที่เกิดขึ้นนี้ คงต้องบอกว่ากิ๊บสันยังต้องมีงานให้เรียนรู้และพัฒนาตัวอีกมากทีเดียว ทั้งน้ำหนักการให้บอลเพื่อนยังขาดไปเยอะ บอลระยะกลางจ่ายขาดแทบทุกลูก ทั้งการอ่านตำแหน่งคู่ต่อสู้ในทิศทางการจ่ายบอลที่ไม่แม่นยำ บอลที่กิ๊บสันจ่ายระยะยาวจึงมักถูกคู่ต่อสู้พุ่งมาตัดได้กลางทางบ่อยมาก แถมเมื่อถูกตัดบอลได้แล้วยังต้องตั้งสติสักระยะนึงก่อนจะรู้ตัวอีกต่างหาก กว่าจะไปไล่บอลก็ไม่ทันเขาแล้ว เขาไปนู่นนนนนแล้ว เรียกว่าคนละเรื่องกับสโคลส์เลย ส่วนมาเคด้า ผมเห็นว่าเขาแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังคงต้องปรับปรุงทางด้านการอ่านเกมและเลือกไลน์วิ่ง เพราะในเกมชุดใหญ่ กองหลังคู่ต่อสู้เขาเขี้ยวๆและมักอ่านทางของมาเคด้าออกได้ง่าย มาเคด้าต้องเรียนรู้ที่จะหาวิธีตัดสินใจเล่นในจังหวะพวกนี้ให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพกว่านี้ครับ ส่วนปาร์คนั้นไม่ต้องพูดถึง การอ่านเกมของเขาแต่ละซ็อตแต่ละจังหวะยังถือว่าแม่นยำเป็นเบอร์ต้นๆของทีมเรา เพียงแต่จุดอ่อนของเขาคือร่างกายที่เล็กและแรงปะทะมีน้อย ทำให้ถึงแม้จะเลือกตำแหน่งถูก ถึงบอลก่อน แต่ก็ขืนสู้แรงปะทะไม่ไหว นี่เองที่ผมเดาว่าเป็นเหตุผลที่บาเยิร์นให้ความสนใจเขา ถึงแม้ปาร์คจะโดนเบียดกระแทกตลอดเลกแรกจนไปไม่เป็น แต่การที่เขามักอยู่ในจุดที่ได้สัมผัสบอลบ่อยมาก ย่อมแสดงให้เห็นถึงเซนส์การอ่านเกมของเขานั่นเอง

หากจะให้เลือกชื่นชมนักเตะคนไหน ในเกมนี้ผมขอชื่นชมวิดิชกับน้าซาร์สองคนมากเป็นพิเศษ ความเข้าขารู้ใจตอนนี้ระหว่างวิดิชและน้าซาร์นั้น น่าจะเป็นกิ๊กกันได้แล้ว จังหวะที่วิดิชเบียดบังฟูลเลอร์เพื่อเปิดทางให้น้าซาร์เข้ามารับบอลนั้นค่อนข้างได้เปรียบ และบังฟูลเลอร์ให้อยู่ในไลน์เสียเปรียบได้ตลอด ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ผมเห็นจังหวะนี้สองสามครั้งทีเดียวในเกม เล่นเอาฟูลเลอร์ถึงกับเซ็ง และวิดิชต้องออกอาการกับแคล็ตเท่นเบิร์ก เพราะฟูลเลอร์อยู่ในไลน์เสียเปรียบตลอดแต่ไม่เคยหยุดตัวเอง ทำให้น้าซาร์ต้องตีลังกาทุกครั้งซึ่งมันคือการเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ นอกจากสองคนนี้แล้ว รองลงมาก็เป็นรูนี่ย์ที่มีการเคลื่อนที่ทำทางช่วยเพื่อนร่วมทีมได้ค่อนข้างดี และเล่นได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆมาก ถึงแม้ตัวเองจะมีโอกาสอยู่ในตำแหน่งที่ทำประตูได้น้อยลง แต่เขาก็เต็มใจที่จะทำเพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนๆได้ยิงประตูเพื่อทีมได้มากกว่าที่จะเห็นแก่ตัวไว้คนเดียว ทั้งๆที่ตัวเองยังมีลุ้นดาวซัลโวก่อนเกมเริ่มด้วยซ้ำไป

เรื่องนี้ผมค่อนข้างเห็นใจนะครับ รูนี่ย์เองกวาดรางวัลส่วนตัวมาเพียบในซีซั่นนี้ ทั้งของสาธารณชน หรือแม้แต่ของสโมสรเอง หากเจ้าตัวที่ครองผู้นำดาวซัลโวร่วมกับดร็อกบาอยู่ก่อนจะเห็นแก่ตัวและเลือกที่ปักหลักจ้องจะยิงก็คงได้ แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะทำเพื่อทีมก่อน ทั้งๆที่รู้ว่ามันจะลดทอนโอกาสของตัวเองที่จะได้สับไกลงไปเยอะก็ตาม สิ่งที่ผมเห็นในเกมทำให้ผมนับถือหัวใจรูนี่ย์ยิ่งนัก และหากให้ผมเดา ผมก็คงเดาเอาว่า ไอ้อยากได้น่ะคงอยากได้อยู่หรอก แต่ถ้าทีมไม่ได้แชมป์ซะแล้ว ไอ้รางวัลที่จะไปชื่นชมมีความสุขเพียงคนเดียวมันจะไปมีประโยชน์อะไร เพื่อนๆกำลังเศร้าโศกเสียใจที่พลาดแชมป์ แล้วจะให้เราดีใจมีความสุขที่ได้รางวัลดาวซัลโวทั้งๆที่อีกมุมในใจก็เศร้าที่พลาดแชมป์น่ะรึ เป็นผมผมก็คงทำใจลำบากเหมือนกัน แต่ถ้าหากเราหมดลุ้นแชมป์ไปก่อนหน้านี้สักเกมสองเกมแล้วสิ ผมก็คิดว่าสถานการณ์ตรงนี้อาจจะเปลี่ยนไปครับ รูนี่ย์อาจจะกระหายที่จะคว้าอะไรสักอย่างมาทดแทนการพลาดแชมป์ก็เป็นได้ เพราะมันทำใจเรื่องแชมป์ไปก่อนแล้ว แต่กับเกมนี้ เรายังมีหวังแชมป์ และเพิ่งมาชวดเอาก็ตอนกำลังเล่นในเกมนี่แหละ สถานการณ์มันจึงต่างไป

การพลาดแชมป์ในปีนี้ ถึงแม้ผมจะเสียใจอยู่พอสมควร เพราะอุตส่าห์มีลุ้นมาได้ถึงนัดสุดท้าย และเราก็เพิ่งมาพลาดท่าเสียทีในโค้งสุดท้ายนี่เองถึงสองนัดติดต่อกัน แต่อยากให้ทุกคนได้คิดเหมือนป๋าครับ หนึ่งคือป๋าไม่เคยมองเกมแบล๊คเบิร์นว่าเป็นการพลาด (จากการให้สัมภาษณ์) เพราะมันก็ชดเชยกับที่เชลซีได้พลาดท่าให้สเปอร์สไปพร้อมๆกันแล้ว ป๋าคงคิดเหมือนผม (เหมาเอาเองเนี่ย) ว่า ถ้าเราไม่พลาดเกมกุหลาบ สถานการณ์เชลซีในเกมกับสเปอร์สก็คงเป็นอีกแบบ เชลซีอาจจะทำในสิ่งที่แตกต่างไปก็ได้ และผลลัพธ์มันก็เกินคาดเดา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงตอนนั้นหลังจากเราพลาดให้กุหลาบแล้วมาเฉือนซิตี้ได้ก็คือ เชลซียังมีโอกาสพลาดได้หนึ่งครั้ง ซึ่งเขาก็พลาดไปในเกมสเปอร์สนั่นเอง และหลังจากนั้น เมื่อเขาไม่มีโอกาสพลาดเหลืออีก เขาก็เร่งเอาจนได้จริงๆ ผมเชื่อครับ ว่าถ้าเราเก็บสามแต้มจากอีวู้ด ปาร์คได้ เชลซีก็จะไม่พลาดในเกมสเปอร์สครับ

แล้วป๋าเรามองโค้งสุดท้ายว่าอย่างไร แกมองว่าเราพลาดในเกมรับมือเชลซีต่างหาก เรามัวแต่สมาธิแตกซ่านจากการตกรอบบอลยุโรปแบบชอกช้ำระกำทรวงทั้งๆที่นำไปก่อน 3:0 แล้วเราก็ปล่อยให้ความหดหู่นั้นครอบงำเราตลอดเกมครึ่งแรกกับเชลซี ป๋าบอกว่าถึงแม้ผู้ตัดสินจะมีเป่าพลาดไปบ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่คุณควรจะเก็บเอามาคิด นั่นคือ ป๋ายอมรับว่าผลการแข่งขันนัดนั้นมันคือการตัดสินแชมป์นั่นแหละครับ ไม่ใช่นัดแบล๊คเบิร์นหรอก ซึ่งผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เรามัวแต่มองผลลัพธ์ระหว่าง เชลซี-สเปอร์ส มากซะจนกลายเป็นให้น้ำหนักเกมที่เราพลาดท่าแบล๊คเบิร์นจนเกินจริงไปมาก ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว เกมระหว่างเรากับเชลซีที่เกิดขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของการลุ้นแชมป์นั่นต่างหาก ที่เป็นเกมที่เราไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะการพลาดเกมนี้ มันเท่ากับส่งให้เชลซีเป็นแชมป์กลายๆนั่นแหละ

ว่าถึงเชลซีบ้าง การที่เชลซีได้แชมป์ในปีนี้ ผมก็มองว่าสมควรด้วยประการทั้งปวง และผมคงขอยกเหตุผลที่ทำให้ผมต้องยอมรับเชลซีด้วยความจริงใจมาประกอบ และหวังว่า แฟนๆผีแดงทุกๆท่าน จะคล้อยตามและเลือกที่จะชื่นชมแชมเปี้ยนเชลซี ที่เขาทำได้ดีกว่าเราจริงๆ ดังนี้

1 เชลซีทำคะแนนได้สูงกว่าเรา อย่าหัวเราะครับ เพราะสถิติมันบอกว่า ตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกมา ทีมที่ทำคะแนนเหนือเราได้แล้วไม่ได้แชมป์นั้นมีน้อยครั้งมากจริงๆ จนอาจจะพูดได้ว่า หากคุณอยากได้แชมป์ล่ะก็...ทำคะแนนให้สูงกว่าพวกยูไนเต็ดสิ

2 เขาได้ทำในสิ่งที่ผมอยากร้องไห้ นั่นคือยิงประตูเกินร้อยลูก ผมลุ้นให้ทีมรักของผมยิงเกินร้อยมาเป็นสิบปีตั้งแต่เป็นดิวิชั่นหนึ่ง บางปีควรจะยิงได้ แต่ก็หันมาเน้นผลการแข่งช่วงปลายซะก่อน มากที่สุดที่เราทำได้คือ 97 ลูก และผมไม่คิดว่าใครจะทำลายได้นอกจากเราเอง แต่สุดท้ายเป็นลูกทีมอันเช่ ที่ทำไป 103 ประตู ผมยกนิ้วให้เลยครับ

3 ผลงานการเจอทีมในกลุ่มบิ๊กโฟร์ (ที่ไม่ใช่ท็อปโฟร์) เชลซีกวาดเรียบครับ และมันหมายความว่า พวกเขาชนะเราไป-กลับ ซึ่งนั่นก็เหมาะสมแล้ว ที่เขาจะคว้าแชมป์ในปีนี้ไปครอง ใช่ไหมครับ

4 มีดาวซัลโวของลีกอยู่ในทีม ซึ่งเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงครับ

5 สไตล์... บอกตรงๆว่า ก่อนเปิดซีซั่น ผมไม่ได้ให้ราคาเชลซีเลย เพราะจากฟอร์มสองปีล่าสุด นักเตะของเชลซีไม่ได้แสดงคาแรกเตอร์ที่เหมาะสมและคงเส้นคงวา แถมยังเริ่มแก่ขึ้นเรื่อยๆ ในปีที่ผ่านมาที่ชัดมากๆ แต่พอมาได้อันเชล็อตติ ที่เชี่ยวชาญในการดึงศักยภาพนักเตะได้มากที่สุดคนหนึ่งของโลกมาทำทีม ผมก็เริ่มหวั่นใจ และมันก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ อันเช่สามารถเลือกแผนที่เหมาะสมกับนักเตะ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ดีโดยไม่ทำให้ระบบมันเพี้ยน การครองบอลและการรุกของเชลซีกลับมามีสีสันและจัดจ้าน ดุดัน มากขึ้นเยอะ นักเตะให้บอลเคลื่อนที่มากกว่าจะวิ่งปุเลงๆไปเอง และสุดท้าย ไม่หยุดยิงจนกว่าจะหมดเวลา นี่คือสิ่งผมยอมรับนับถือจริงๆ และคงต้องยอมรับอีกด้วยว่า ไม่ใช่งานง่ายๆเลย ที่จะโค่นบัลลังก์นี้ในปีหน้า แต่เราก็ยังหวังว่าจะทำให้ได้

วันนี้ ผมขอยอมรับคุณอย่างเต็มหัวใจครับ เชลซี คุณเหมาะสมกับแชมเปี้ยนในปีนี้จริงๆ

สำหรับซีซั่นหน้า ผมคงตั้งความหวังไว้สูงกว่านี้ เนื่องจากการชวดแชมป์นี้น่าจะกระตุกผู้บริหารสโมสรได้ดี และน่าจะกระตุ้นให้ทีมต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อกู้คืนศรัทธาจากแฟนๆ อย่าปล่อยให้ดีลโรนัลโด้กลายเป็นอากาศธาตุไป อย่าปล่อยให้ราคาคำพูดที่ว่า “เรามีเงิน แต่อเล็กซ์ไม่ต้องการใช้มัน” นั้นกลายเป็นคำพูดที่ไร้ราคา ผมมองว่าการชวดแชมป์ลีกปีนี้ในนัดสุดท้าย และการตกรอบยุโรปแบบน่าเจ็บปวด น่าจะให้เราสำนึกได้เสียที ว่าเราต้องปรับปรุงทีมด้วยความกระหายด้วย และด้วยศักยภาพบ้าง ไม่ใช่ด้วยการเติมเพียงนักเตะมากประสบการณ์แต่ร่างกายไม่ไหว หรือนักเตะที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่กระดูกยังไม่แข็งพอ เราต้องยอมรับความจริงเสียที ว่าซีซั่นนี้ เราไม่ได้เติมทีมให้เพียงพอและไม่ได้มีทีมที่เหมาะสมพอจะคั่วแชมป์สามสี่รายการในปีเดียวครับ ซึ่งปีหน้าก็คงต้องมาดูอีกที ว่าเราจะปรับอะไรในทีมได้บ้าง เพื่อสู้ศึกครั้งหน้า


แล้วมาลุ้นกันนะครับ

สงบใจ



Create Date : 10 พฤษภาคม 2553
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 10:43:12 น.
Counter : 498 Pageviews.

1 comments
  
โดย: nuyza_za วันที่: 10 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:05:35 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sa-ngob-jai.BlogGang.com

สงบใจ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด