20100331 วิพากษ์ BAYERN MUNICH vs MAN. UNITED in UCL
ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด


สวัสดีครับทุกๆท่าน กลับมาพบกันตามคำเรียกร้องหลังศึกหนักเมืองเบียร์ ถึงแม้เกมนี้จะจบลงด้วยความโศกเศร้าของชาวเราพลพรรคปิศาจแดง แต่หากมองในแง่ดี เรายังมีเกมในบ้านให้แก้มือกันอีกนัด ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า ลูกทีมของป๋าช่วงช่วงจะสามารถเค้นฟอร์มเก่งกลับมาได้ทันเวลา รวมทั้งอาการบาดเจ็บของไอ้หมูเดือดจะไม่เป็นอะไรมากอย่างที่ท่านเซอร์ของเราคาดการณ์เอาไว้นะครับ ไม่งั้นงานเข้าแน่ ความจริงหากเราไม่โดนลูกยิงของโอลิชในนาทีสุดท้ายนั่น จั่วหัวบทความผมวันนี้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเป็น “The Real FLYING DUTCHMAN” แต่พอมาถูกยิงในนาทีสุดท้าย จึงขออนุญาตเปลี่ยนหัวเรื่องมาป็น “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” ดีกว่าครับ ซึ่งมันจะสื่อถึงอะไรในเกม ผมจะค่อยๆกะเทาะมันออกมาในบทความก็แล้วกัน

เริ่มต้นด้วยการจัดทัพเหมือนบทความเดิมๆ ฝั่งเจ้าบ้านมีปัญหาหนักอกมากกว่า เมื่ออาร์เยน ร็อบเบน นางวันทองตัวดีของเราเกิดได้รับบาดเจ็บจากเกมลีก ทำให้พลาดโอกาสลงสนามวันนี้ รวมทั้งบาสเตียน ชไวสไตน์เกอร์ก็ติดโทษแบน แต่หลุยส์ ฟาน กัล ได้เดมิเคลิสแปลงร่างเป็นฮอลโลว์สวมหน้ากากลงมาได้ทัน ทำให้ทัพของเสือใต้วันนี้มีหน้าตาดังนี้ครับฮันส์ ยอร์ก บุตต์ เป็นผู้รักษาประตู แผงหลังสี่คนประกอบไปด้วย ฟิลิปป์ ลาห์ม, ดาเนียล ฟาน บุยเต็น, มาร์ติน เดมิเคลิส และ ดาวรุ่ง โฮลก้า บาดสตูเบอร์ แผงมิดฟิลด์สี่คนมี ฮามิต อัลตินท็อป, มาร์ค ฟาน บอมเมล, ดานิเยล ปรานยิช และ ฟรองค์ ริเบรี่ หน้าคู่วันนี้จับเอาดาวรุ่งอีกดวงอย่างโธมัส มุลเลอร์ขึ้นมายืนกับอิวิก้า โอลิช โดยทิ้งมาริโอ โกเมซ และมิโรสลาฟ ดุ๊กดิ๊ก... เอ๊ย โคลเซ่ไว้ข้างสนาม รวมทั้งตัวทีเด็ดอีกตัวอย่าง อนาโตลี ติมอสชุค ก็อยู่ข้างสนามเช่นกัน

ฝั่งทีมเยือนรองแชมป์เก่า และอดีตแชมป์เมื่อสองปีที่แล้ว มาวันนี้ด้วยทัพที่หน้าตาดูดีกว่า เมื่อได้รับข่าวดี ริโอ เฟอร์ดินานด์ และเวย์น รูนี่ย์ สามารถผ่านความฟิต ลงสนามเป็นตัวจริงได้ทั้งคู่ ทำให้ท่านเซอร์สามารถจัดทัพชุดใหญ่ตามแท็คติคได้เต็มที่ โดยวันนี้มาเน้นเกมรับด้วยระบบ 4-5-1 ซึ่งพยายามยืนพื้นทั้งเกมด้วยโพสิชั่นนี้เพื่อความปลอดภัย ไม่ดันขึ้นมาเป็น 4-3-3 เหมือนเคย โดยได้เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์เฝ้าเสาตามเดิม มีแกรี่ เนวิลล์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช และปาทริซ เอวร่า เป็นแผงแบ๊คโฟร์ชุดเก่งที่สุดในตอนนี้ มิดฟิลด์ตัวกลางสามคนวางไมเคิล คาร์ริค และ พอล สโคลส์ ปักหลักต่ำห้อยหน้าแผงหลัง มีดาร์เรน เฟล็ทเชอร์เป็นตัวปัดกวาดกลางสนามสูงขึ้นมา มิดฟิลด์ริมเส้น (ที่เกมนี้อยากใช้คำว่า ปีกตัวรับมากกว่า) วางปาร์ค ชี ซอง ทางซ้าย และนานี่ทางขวา มีเวย์น รูนี่ย์เป็นหน้าเป้า ข้างสนามมีตัวเปลี่ยนเกมรออยู่พร้อมอย่าง วาเลนเซีย, กิ๊กส์และ เบอร์บาตอฟ


เริ่มเกมยังไม่ทันตั้งหลักป้อนนมลูก ทีมเยือนก็มาได้ประตูนำอย่างรวดเร็ว เมื่อบอลจากการเขี่ยเปิดเกมถูกสาดขึ้นมาทางขวา นานี่ควบไปรับแล้วถูกแท็คเกิ้ลล้มลงเป็นฟรีคิกบริเวณมุมธงด้านขวา นานี่ลุกขึ้นมาเปิดเอง บอลแฉลบศีรษะกำแพงที่ขวางอยู่คนหนึ่งย้อยมาที่กลางปากประตู รูนี่ย์ที่ถูกเดมิเคลิสพัวพันอยู่ได้ฉีกตัวออกมาหาบอลในขณะที่เดมิเคลิสก็ออกตัวตามมาแต่ดันลื่นล้ม ทำให้รูนี่ย์ได้ปรี่เข้าชาร์จโล่งๆแค่ห้าหลาเสยเพดานตาข่ายเข้าไปตั้งแต่นาทีที่หนึ่งกว่าๆเท่านั้น และหลังจากได้ประตูนี้ ผมกล้าสาบานเลยว่า ไม่ว่าแฟนผีแดงหรือแฟนเสือใต้ คงเตรียมใจรับความ “เละ”ของเจ้าบ้านด้วยการเอาเข่งมาเตรียมใส่ประตูกันไว้ล่วงหน้าแล้ว รอแต่ว่าเมื่อไหร่สกอร์จะไหลเท่านั้นเอง แต่การณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่คาดแต่อย่างใด แถมไม่เท่านั้นสิครับ ยังอุตส่าห์ดราม่าได้อีก ทั้งๆที่เกมนี้ไม่ควรมีอะไรให้ต้องซีเรียสแล้วแท้ๆจากการได้อเวย์โกล์ตั้งแต่นาทีแรก แถมเจ้าบ้านก็เปิดพื้นที่หลังบ้านโล่งโจ้งซะขนาดนั้น

ดราม่ามันเกิดก็เมื่อผมเห็นว่าแท็คติคของป๋าเราวันนี้ ดันมาเพลย์เซฟเหมือนเกมเปิดบ้านรับมือน้องหงส์อย่างไงอย่างงั้น ทั้งๆที่ได้ประตูขึ้นนำเร็วแถมทีมดังจากบาวาเรียก็เปิดหน้าแลกเหมือนกัน แต่เรากลับยังคงตั้งรับต่ำกว่าปกติตลอดเวลา คาร์ริคและสโคลส์ง่วนอยู่กับการสกรีนเกมไม่เกินกึ่งกลางสนาม เฟล็ทเชอร์เองก็สาละวนตัดเกมตามถนัดอยู่ข้างบนเหลื่อมๆขึ้นมาหน่อย บอลกลับมาอยู่ในความครอบครองของบาเยิร์น ซึ่งค่อยๆตั้งหลักตั้งลำ เริ่มนวดแผนโบราณใส่ทีมเยือนมากขึ้นทีละนิดทีละหน่อย ผมไม่อยากโทษแท็คติคที่ดูเหมือนเกมนี้เราเน้นตั้งรับมากเกินไป เพราะหากทำตามแท็คติคได้สำเร็จ เราก็คงกลับบ้านด้วยคลีนชีตไม่ใช่หรือ แล้วที่พลาดไปมันคืออะไร ผมว่ามันคือความเกร็ง ความตื่นเต้น ที่เราดูเหมือนจะมีมากกว่าเจ้าบ้านจากการที่ต้องเน้นตั้งรับมากกว่าที่เราคุ้นเคย ประกอบกับสมาธิ ความมุ่งมั่นและขยันอดทนที่เจ้าบ้านดูจะมีมากกว่าเราอีกต่างหาก ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ดราม่าแบบนี้

จริงอยู่ครับที่หากเราเปิดสู้ ก็อาจควักผลลัพธ์ที่ดีกลับออกมาได้ แต่ใครจะการันตีว่าเราจะชนะร้อยเปอร์เซนต์กันล่ะ ทั้งๆที่เห็นๆกันอยู่ว่าเราเน้นเกมรับกว่าหกเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ของรูปเกมที่ครองได้ แม้กระนั้น บาเยิร์น มิวนิคก็ยังหาโอกาสจบสกอร์ที่หวาดเสียวได้ไม่ต่างจากที่เราทำได้ แถมแต่ละครั้งดูจะน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำไป เพราะหัวใจผมมันลงไปเที่ยวบริเวณตาตุ่มแทบตลอดทั้งเกม ไม่ว่าลูกสอดเข้ามาเกี่ยวบอลไม่ติดของอัลตินท็อป หรือลูกชาร์จโล่งๆสองสามหลาของโอลิช นี่ยังไม่นับลูกยิงแต่ละลูกของริเบรี่, มุลเลอร์, โอลิช, อัลตินท็อป หรือปรานยิช ที่น้าซาร์ต้องงัดสารพัดวิชาป้องกันตัวออกมาใช้จนผมยกให้เป็นแมนออฟเดอะแมทช์ไปแล้วถึงแม้เราจะแพ้กลับออกมา นี่ขนาดเราไม่ค่อยเปิดพื้นที่ให้เขาเล่น เขายังมีโอกาสจบสกอร์ขนาดนี้ ถ้าเราเปิดแลกที่อัลลิอันซ์ อารีน่านี่ ใครจะกล้าการันตีผลลัพธ์ล่ะครับ ว่าเราจะยิ้มกลับอังกฤษ แถมแต่ละโอกาสของเราก็ดันโยนทิ้งขว้างไปเสียอีก ทั้งรูนี่ย์และนานี่ มันจึงออกมาดราม่าได้ขนาดนี้

เราขันน๊อตเกมรับเกมนี้ด้วยตัวผู้เล่นที่ต้องยอมรับว่า เน้นเกมรับมากกว่าในวันแดงเดือดเสียอีก เมื่อเอาปาร์คลงมาไล่บอลทางซ้าย แล้วเอานานี่มาทางขวา แทนที่จะใส่ตัวรุกริมเส้นที่หวือหวาหน่อยอย่างวาเลนเซียลงมา รวมทั้งการที่เกมอาจจะไม่หนักหรือเร็ววูบวาบเท่าเกมอิงลิช จึงเห็นสโคลส์ยืนหน้าเด่นเป็นสง่าอีกคน เมื่อเราเน้นเกมรับมากเป็นพิเศษ ก็เหมือนเกมแดงเดือดละครับ ที่ต้องโยนจินตนาการเกมรุกทิ้งไป เพราะนักเตะเราไม่ได้เก่งกาจสามารถขนาดพลิกเกมจากรับเป็นรุกด้วยตัวคนเดียวจังหวะเดียว สโคลส์วันนี้ทำได้ดีที่สุดก็คือพลิกเกมด้วยการวางยาวขึ้นหน้าหรือออกปีก แต่การจ่ายจากหลังของคาร์ริคยังมีปัญหาขึ้นเกมไม่ได้ ไม่เหมือนการให้คาร์ริคยืนจ่ายหน้าเขตโทษ ส่วนการจ่ายบอลตัดหลังแบ๊คของเฟล็ทเชอร์ต้องบอกเลยว่า ยังไว้วางใจไม่ได้เลยเพราะจ่ายเสียบ่อยมาก อย่างที่เคยบอกในกระทู้แดงเดือดครับว่าพอเน้นเกมรับทำลายเกมเป็นหลักแล้ว เฟล็ทเชอร์เหมือนจะพลิกมาจ่ายไม่ค่อยได้ ยังต้องปรับๆจังหวะกันไป

เรื่องเน้นเกมรับน่ะไม่เท่าไหร่ครับ ผมพอเข้าใจ และเห็นด้วยในจุดนี้ แต่ที่งงมากๆก็คือ ทำไมไม่เน้นเกมรุกในจังหวะที่ต้องเน้น เนื่องจากพอตัดบอลได้แล้วจะสวน ก็กลับไม่มีผู้เล่นที่เติมขึ้นไปรับบอลเลยแม้แต่คนเดียว ยิ่งการขึ้นเกมสวนเร็วทางริมเส้นฝั่งซ้ายยิ่งเป็นปัญหา ขึ้นไปก็ไปคนเดียวตลอด หาคนต่อบอลไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องโยนเข้าไปลุ้นหน้าประตูที่รูนี่ย์ถูกวางไลน์คุมโซนสามสี่คน แล้วจะไปได้ลุ้นอะไร แต่เวลาเราตั้งเกมบุกดีๆ เราจะเห็นว่าช่องว่างในแผงหลังเขามีมากมายจริงๆ ที่เราต่อบอลเข้าไปได้ลุ้นยิงตลอดทั้งจากรูนี่ย์, นานี่ หรือหน้ากรอบจากคาร์ริค แม้แต่การป้องกันลูกเซ็ตพีซของเจ้าถิ่นก็ทำกันได้ไม่ดี ประตูแรกก็เห็นๆกันอยู่ ไหนจะมีลูกเตะมุมที่วิดิชเทคขึ้นโหม่งเต็มหน้าผากบอลลอยกระแทกคานดังสนั่น จุดอ่อนของบาเยิร์นในแผงหลังนี่มีเยอะนะครับ แต่เราไม่ได้เน้นที่จะเจาะเอาซะเลย มัวแต่รักษาสกอร์เดียวอยู่นั่น จังหวะสวนที่เคยขึ้นชื่อก็โยนทิ้งลงโถส้วมไปหมดแถมกดชักโครกให้เสร็จสรรพ ไม่มีตัวสอดตัวเติมเวลาสวนเลย

เมื่อรูปเกมเราเป็นแบบนี้ มันก็เสริมให้ทางเจ้าถิ่นได้ใจ ยิ่งเล่นยิ่งได้ครองเกมก็ยิ่งกดดันทีมเยือนได้มากขึ้น ริเบรี่ที่ครึ่งแรกประจำการฝั่งซ้ายไม่สามารถคายพิษสงได้ถนัดนัก เพราะถูกนานี่และแกรี่ซ้อนเก็บตลอด มีหลุดให้ทำเกมให้ได้ยิงสวยๆน้อยครั้ง ส่วนทางขวาที่มีอัลตินท็อปเป็นตัวชูโรงก็ลากลุยได้ดี แต่จังหวะสุดท้ายอัลตินท็อปเปิดบอลได้เข้าป้ายมากๆ คือบอลพุ่งหาป้ายโฆษณาตลอดทุกๆครั้ง เกมรุกทางขวาของบาเยิร์นจึงดูขาดๆไปในครึ่งแรก แต่การครองเกมของบาเยิร์นนั้นก็ยังดูดีกว่า ปรานยิชและฟาน บอมเมล ประสานงานกับมุลเลอร์ตรงกลางพาบอลขึ้นหน้าและออกปีกได้อย่างสวยงามไหลลื่น เกมเพรสซิ่งของเราจึงไล่บอลกันได้ไม่ค่อยถนัดนัก ไล่เขาไม่ค่อยจน แต่ละคนของบาเยิร์นก็เหมือนนักเตะภาคพื้นยุโรปทั่วๆไปนั่นคือเบสิคแน่น ทักษะดี ครองบอลดี และเอาตัวรอดได้เก่ง ตรงนี้หากจะเพรสซิ่งให้ได้ผลจริงๆตัวเพรสซิ่งต้องเข้าใจเกมสูง ทางบอลขาด ดักทางบอลได้เก่ง เพราะลำพังจะอาศัยเอาพละกำลังไปวิ่งไล่บี้ให้เขาลนลานเหมือนในอังกฤษคงลำบากล่ะครับ ยากที่จะสำเร็จ

ยิ่งเวลาผ่านไป เกมรุกของเราก็ยิ่งลดน้อยบทบาทลงเรื่อยๆ เกมสวนกลับถูกตัดตอนทิ้งตั้งแต่จังหวะพาบอลขึ้น เพราะไม่มีตัวรับส่ง บาเยิร์นเองก็ไม่ได้ลอยสูงทั้งหมด ยังคงทิ้งแผงหลังสามสี่คนคุมโซนแน่นตรงกลางเสมอ ยิ่งถูกนำแค่ลูกเดียวมันไม่ได้ต้องเร่งให้บาเยิร์นต้องเกทับหมดหน้าตัก เพราะยังไงก็ยังเป็นฝ่ายบุกและมีโอกาสจบสกอร์เรื่อยๆอยู่แล้ว เกมจึงเข้าทางเจ้าถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ แกรี่ เนวิลล์เองถึงแม้จะเคยล็อคเหยินเล็กอยู่หมัดมาแล้ว แต่เมื่อมาเจอบอลเน้นระบบแบบบาเยิร์น ที่ริเบรี่เองก็สามารถประสานงานกับเพื่อนได้ด้วยจึงต้องทำงานหนักมากขึ้นโดยมีนานี่เป็นตัวช่วยแทบตลอด ยิ่งกองหน้าเขามีส่วนร่วมกับเกมสูงมากทั้งโอลิชและมุลเลอร์ที่ช่วยทำเกมรุกได้ทั่วพื้นที่อันตราย ไม่ได้เอาแต่รอบอล ภาระแผงหลังเรายิ่งเน้นเกมรับจึงยิ่งหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ช่องว่างในพื้นที่ก็เริ่มโผล่ให้เห็นออกมามากขึ้นๆ เกมของรองแชมป์จึงยิ่งดูยิ่งอึดอัด ยิ่งหงุดหงิดครับ

ครึ่งหลังฟาน กัลปรับเกมมาลุยใส่มากขึ้น ในขณะที่อสูรแดงยังคงรอดูสถานการณ์และเน้นตั้งรับรอสวนกลับตามเดิม แต่หมากขึ้นเกมรุกของฟานกัลเปลี่ยนไป เขาเน้นลูกทีมให้เคลื่อนที่มากขึ้น เข้าหาบอลเร็วขึ้น และออกบอลเร็วขึ้น เพื่อเพิ่มสปีดเกมรุกให้สูงขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป นอกจากนั้น เมื่อเห็นอัลตินท็อปมีปัญหาในการเปิดบอลจากด้านข้าง เขาก็ปรับให้อัลตินท็อปหันมาเน้นการเจาะภาคพื้นมากขึ้น โดยอาศัยการเคลื่อนที่ประสานงานของเพื่อนๆข้างในทั้ง โอลิช และปรานยิช ซึ่งก็ทำได้ดีขึ้นเยอะ เกมรุกทางด้านขวามีสีสันขึ้นมามากขึ้น ส่วนทางริเบรี่ที่ถูกนานี่และแกรี่ เนวิลล์ปิดเส้นทางทำกินในครึ่งแรก ฟาน กัลปรับให้ริเบรี่หันมาเจาะตัดเข้าในมากขึ้น และหุบเข้ามาเล่นด้านในบ่อยขึ้น โดยเปิดพื้นที่ริมเส้นให้บาดสตูเบอร์ได้เติมขึ้นมาแทน หรือไม่ก็จะมีตัวเป้าขยับมาเชื่อมเกมช่วย ซึ่งตรงนี้ทำให้เกมรุกโดยรวมของเสือใต้น่ากลัวมากขึ้นครับ

ยิ่งเล่น เกมเสือใต้ยิ่งกดดันผู้มาเยือนได้เสียวมากขึ้น เกมนี้เราเน้นเกมรับมากเกินไปจนจังหวะเกมรุกและสวนกลับของเรารวนเรไปหมด พอขึ้นเกมรุกไม่ได้ สวนไม่ขึ้น โมเมนตัมของเกมก็ยิ่งเทมาทางเจ้าบ้านมากขึ้น ตรงนี้ป๋าต้องรีบแก้เกมด้วยการส่งวาเลนเซียลงมาแทนปาร์ค ขยับนานี่มายืนซ้าย แล้วเอาวาเลนเซียมายืนขวา ส่วนไมเคิล คาร์ริคถูกถอดออกเพื่อส่งดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟลงมาเป็นหน้าคู่ เพิ่มทางเลือกในการทำเกมรุกและต่อบอลขึ้นเกมรุกให้ได้ แต่ฟาน กัลเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็แก้เกมสวนทันทีครับ และเป็นหมากที่กะเอาให้ถึงตายด้วย ฟาน กัลเห็นทีมเยือนถอดกลางออก เพิ่มหน้าลงมา จึงไม่รอช้า ถอดมุลเลอร์ที่ไม่ใช่ศูนย์หน้าแท้ๆออกมาแล้วแทนที่ด้วย มาริโอ โกเมซ นับเป็นการกดดันแผงหลังเราได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อตัวสกรีนเกมรุกฝั่งเราหายไปหนึ่ง แต่คู่ต่อสู้กลับส่งหน้าแท้ๆลงมา นั่นคือจุดสลบอีกจุดครับ

จากการที่เน้นเกมรับมาก และโมเมนตัมของเกมหันไปหาเจ้าบ้าน นักเตะเราก็เริ่มกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ การเตะบอลทิ้งมีให้เห็นถี่ขึ้น การสกัดแบบไม่สนทิศทางบอลมีมากขึ้น จังหวะหลุดของเจ้าบ้านเข้าไปจบมีให้เห็นเรื่อยๆ และสุดท้ายแกรี่ก็แพ้ภัยตัวเองด้วยการยกแขนขึ้นขวางการเปิดบอลของคู่ต่อสู้หน้ากรอบโทษ กลายเป็นฟรีคิกที่ริเบรี่อาสาเข้ามาจัดการ บอลจากปลายสตั๊ดริเบรี่พุ่งอ้อมกำแพงมาเจอการบล๊อคของเจ้าหมูเปลี่ยนทางย้อนกลับไปเสาแรก หมดปัญญาที่นายทวารดัตช์แมนจะป้องกันเอาไว้ได้ กลายเป็นประตูตีเสมอในนาทีที่ 76 และยิ่งโหมกระพือเกมของเจ้าบ้านให้หนักหน่วงมากขึ้นไปอีกตอนนี้ถึงแม้รองแชมป์จะมีตัวรุกมากขึ้นในสนามแต่ไม่สามารถดึงโมเมนตัมเกมกลับมาได้แล้ว บอลกลายเป็นเกมวันเวย์ของบาเยิร์นเต็มตัว การขึ้นเกมรุกสวนกลับของทีมเยือนกลายเป็นขาดๆเกินๆ และช้ากว่าเจ้าบ้านครึ่งก้าวตลอด

ท้ายเกม ป๋าปรับเกมอีก ส่งไรอัน กิ๊กส์ลงมาแทนนานี่ ส่วนทางฟาน กัลไม่รอช้า ส่งหน้าเป้าตามมาอีกคนทันที ด้วยการถอดอัลตินท็อปออกแทนที่ดวยโคลเซ่ แล้วตามด้วยการส่งติมอสชุคลงมาแทนปรานยิช แต่แล้วสวรรค์ของแฟนผีก็ล่ม เมื่อโกเมซได้ลากบอลจี้เข้ากรอบโทษทางขวาในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายแล้วถูกผู้เล่นยูไนเต็ดสกัดบอลคาบเส้นเอาไว้ได้ เอวร่ากำลังง้างเท้าเข้าไปเก็บบอล แต่มาจากไหนอ่ะ อิวิก้า โอลิช ที่ถ่างตัวเองออกไปริมเส้นทางขวาแบบที่ไม่ว่าใครก็เข็มขัดสั้นกันหมด โอลิชพรวดเข้ามาทางข้างหลังเอวร่าแล้วขโมยจิ้มบอลมาจากเท้าชนิดที่ไม่ต้องถามเอวร่าหรอก ผมเองอยู่หน้าจอยังงงแทนเลย โอลิชได้บอลหลุดเข้ามาในกรอบเดี่ยวๆกับน้าซาร์ ดึงหลอกสองสามจังหวะก่อนยิงเสาแรกตุงตาข่าย เจอลูกนี้เข้าไปเล่นเอาผมถึงกับเซ็งจิตทีเดียว อุตส่าห์ทำใจไว้ก่อนแล้วตั้งแต่ออกนำแล้วเห็นมัวแต่อุด ว่าอาจจะถึงแพ้ได้ แต่พอล่วงเลยมาถึงทดเจ็บแล้วก็ไม่คิดแล้วว่าจะโดน พอโดนเข้าไปจริงๆเลยพูดไม่ออกครับ

มีมากกว่านั้น ก่อนผู้ตัดสินจะเป่าหมดเวลา รูนี่ย์ก็ถูกพยุงออกมาจากสนามด้วยอาการที่ทางเว็บสโมสรบอกว่า บาดเจ็บที่ข้อเท้า ภาพนี้มันบาดลึกเข้าไปในใจยิ่งกว่าการเห็นโอลิชยิงประตูในนาทีสุดท้ายเสียอีก เพราะมันบ่งบอกถึงความพ่ายแพ้ทุกรูปแบบของเกมนี้ ตั้งแต่สกอร์, รูปเกม, แท็คติค, และแผนการจัดตัวการเก็บตัวผู้เล่น เรียกได้ว่าหมดรูปกันเลยทีเดียว และแรงสะเทือนจากการพ่ายแพ้นัดนี้เมื่อนำมาขยำรวมกับอาการบาดเจ็บของน้องหมูล่ะก็ มันอาจส่งผลสะเทือนรุนแรงจนทำให้ถ้วยลีคคัพที่ได้มาก่อนนั้น อาจจะกลายเป็นใบเดียวที่เราได้มาในซีซั่นนี้ก็เป็นได้ครับ ตรงนี้ต้องติดตามข่าวกันดีๆทีเดียว สโมสรบอกว่าต้องรอดูอาการข้อเท้ารูนี่ย์ในวันนี้ก่อนว่าหนักหาสาหัสขนาดไหน ตอนนี้ที่บอกได้ก็คือ โอกาสได้ลงสนามในเลกสองยังคงเป็นปริศนา ถ้างั้นก็สื่อความหมายได้เลยครับ ว่าเกมกับเชลซีโอกาสชวดน่าจะเกินแปดสิบเปอร์เซนต์ นี่คือสิ่งที่ผมได้บอกไปครับ ว่าพ่ายแพ้ในเรื่องการเก็บตัวจัดตัวนักเตะ เพื่อหมุนเวียน แต่สุดท้ายเกมก็แพ้แล้วนักเตะหลักก็เจ็บนั่นเองครับ

หากจะบอกว่าเรามีเกมหนักรออยู่สุดสัปดาห์ จึงทำให้แรงมุ่งมั่นน้อยลงและป๋าก็ตั้งใจเก็บพละกำลังเอาไว้ ไม่อยากให้บดหนักๆ ถ้างั้นก็ยิ่งตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ในเกมการเสี่ยงครั้งนี้ บาเยิร์นเจ้าบ้านนั้นมีเกมสุดสัปดาห์กับชาลเก้จ่าฝูงรออยู่นะครับ ดูแล้วหนักกว่าเราเสียอีก แต่ลูกทีมเขาเล่นนัดนี้เหมือนไม่มีเกมอะไรรออยู่ข้างหน้าเลย แล้วก็ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการด้วย ในเกมที่ไม่ร็อบเบนและชไวนี่อีกต่างหาก ตรงนี้บอกอะไรเราได้บ้างครับ เรามีผู้เล่นฟูลทีม ไปเยือนทีมที่ขาดกำลังหลักสองคน ได้ประตูนำเร็ว พื้นที่ก็เปิดให้เล่นแต่เลือกที่จะตั้งรับตามหมากที่วางจากห้องแต่งตัว เลือกที่จะเปลี่ยนตัวเพื่อเซฟผู้เล่นเผื่อเกมข้างหน้า เพราะเปลี่ยนแล้วก็ไม่ได้ทำให้เกมรุกดูดีขึ้นมาเลย แสดงว่าไม่ได้เปลี่ยนเพื่อหันมาเล่นรุกมากขึ้นนี่หว่า แล้วผลสุดท้ายคือแพ้กลับมา รูนี่ย์บาดเจ็บจนอาจจะลงไม่ได้ในเลกที่สอง อเวย์โกล์ที่ได้มาพร้อมๆกับความพ่ายแพ้ มันจะมีประโยชน์มากแค่ไหน เมื่อในเลกที่สองอาจไม่มีรูนี่ย์ แต่ที่แน่ๆ เขาคงมีทั้งร็อบเบน, ริเบรี่, ชไวนี่, โอลิช, โกเมซ แบบฟูลทีมกันเลยทีเดียว

หรือนี่จะหมายถึงการที่เรามีความรู้ท่วมหัว แต่กลับเอาตัวไม่รอดกันแน่ คือมีประสบการณ์ในทางสายนี้เยอะมาก จนทำให้เลือกตัดสินใจเสี่ยงหลายอย่างตามประสบการณ์มากมายที่ผ่านเส้นทางนี้มา แต่สุดท้ายกลับจบด้วยคราบน้ำตาเปื้อนข้างแก้ม ในขณะที่บาเยิร์น มิวนิคกับนักเตะชุดนี้ประสบการณ์ในรอบลึกๆของเส้นทางนี้อาจจะน้อยกว่าเราเยอะ จึงไม่ได้มีออปชั่นช่วยในการตัดสินใจมากนัก จะมีก็เพียงกึ๋นของหลุยส์ ฟาน กัล เท่านั้นที่ประคับประคองและช่วยวางแท็คติคให้ลูกทีม แต่สุดท้าย ปรัชญาของฟาน กัลที่มองผลลัพธ์เกมนี้เป็น first priority และทุ่มทุกอย่างเพื่อทาร์เก็ตอันนั้น ก็แสดงให้เห็นชัดเจนผ่านทางรูปเกมและผลสกอร์ ว่าเขาทำได้ดีกว่าฝั่งของเรา ที่วันนี้พกปรัชญาเพลย์เซฟ-เก็บความสด เป็นหลัก จนสุดท้ายต้องแบกความผิดหวังบินกลับเกาะอังกฤษเพื่อรอแก้มือนัดหน้า กับบาเยิร์นที่อาจจะ “FULL TEAM”

ผลกระทบที่เกิดขึ้นในเกมลีกล่ะครับ แน่นอนว่าเชลซีที่ได้พักมาเต็มๆสัปดาห์ บวกกับดร็อกบาที่ได้พักเกือบสองสัปดาห์ จะสดเต็มที่เต็มถังสุดๆ สวนทางกับเจ้าถิ่นอสูรแดงที่คงไม่มีรูนี่ย์ รวมทั้งนักเตะกำลังหลักที่เพิ่งกรำศึกหนักจากบาวาเรียกลับมา พ่วงกับความพ่ายแพ้แบบสุดช็อคที่อาจทำให้กำลังใจแกว่ง ขวัญหนีดีฝ่อก่อนจะเจอเชลซีก็เป็นได้ แต่ผมมองว่าเรื่องขวัญกำลังใจคงไม่เท่าไหร่ ทีมเราผ่านเรื่องทำนองนี้มามาก และมีแรงต้านทานตรงนี้ค่อนข้างสูง มีสมาชิกท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตไว้ว่าเขาอยากให้ทีมเราแพ้ในเกมเยือนบาวาเรียนี่แหละ เพราะเราเข้าฟอร์มาก็หลายนัดมากแล้ว สมควรแก่เวลาและอัตลักษณ์ของทีมเรา ที่จะต้องมี “เดย์ ออฟ” กันสักนัดเสียที ซึ่งหากเป็นนัดนี้ เราก็ยังมีนัดแก้มือในบ้านรออยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เราออฟในเกมนี้มากกว่าจะไปออฟในเกมกับเชลซี ที่อาจจะไม่มีเกมไหนให้แก้มืออีกเลยก็เป็นได้ ซึ่งลึกๆแล้วผมเห็นด้วยนะ แพ้ไปให้ป๋ากระตุ้นกลับมาอีกสักทีก็ดีเหมือนกัน เพราะมีเกมให้แก้มือ แต่ไอ้ที่เลวร้ายก็คือรูนี่ย์เจ็บนี่สิ....เฮ้ออออ....

เอาล่ะครับ ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันต่อไป เส้นทางยังไม่จบอย่าเพิ่งกาชื่อเราทิ้งออกจากสารบบนะจ๊ะ ผมเชื่อว่าเกมเลกที่สองนั้น เราจะเปลี่ยนไปเป็นคนละทีมกับฟอร์มที่เห็นในเกมนี้แน่นอน แล้วผลลัพธ์ในวันนั้นจะเป็นอย่างไร ก็ต้องไปติดตามลุ้นกันครับ

แล้วมาลุ้นกันครับ

สงบใจ



Create Date : 31 มีนาคม 2553
Last Update : 31 มีนาคม 2553 10:49:04 น.
Counter : 634 Pageviews.

4 comments
  
โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 31 มีนาคม 2553 เวลา:12:00:03 น.
  
โชคดีมากกว่าครับ 2-1 ได้ลูกเยือน เลค2เล่นในบ้าน โอกาสก็มีให้นะครับ ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่แท็คติกหรอกผมว่า2ลูกที่เสียโชคไม่ดี ลูกแรกแฉลบ ลูกสองกองหลังพลาด แต่ก็มาจากการแฉลบอีกแหละ

ผมมองว่านักเตะแมนยูมองเกมกับเชลซีมากจนไม่มีสมาธิและไม่กล้าเข้าบอลหนัก จังหวะ 50-50 ไม่เอาครับ

โชคร้ายคือการที่เสียรูนีย์ไป การจะพึ่งเบอบาตอฟคงไม่ไหวเพราะเชลซีไม่ใช่โบลตัน เกมกับเชลซี ป๋าคงต้องวางเกมตรงกลางแน่นๆ
โดย: ราม IP: 10.0.0.15, 58.9.54.88 วันที่: 31 มีนาคม 2553 เวลา:16:12:05 น.
  
ผมว่าแพ้ซะบ้างก้อดีจะใด้มีพลังในนัดต่อไป ชนะทุกครั้งที่ลงแข่งมันไม่สนุก ผมรู้ทุกทีมอยากชนะไม่มีใครอยากแพ้ ผลของพ่ายแพ้จะเกิดจากอะไรก้อตามมันก้อคือแพ้ ท่านเซอร์เขี้ยวลากดินท่านรู้ว่าทำไรอยู่ เราแค่คนเชียร์ไม่รู้ใจเค้าหรอก อีกอย่างคนละประเทศเลย และที่แน่ๆในโลกนี่ไม่ใด้มีแค่แมนยูหรอกที่เก่ง
โดย: เด IP: 202.47.224.243 วันที่: 31 มีนาคม 2553 เวลา:22:44:59 น.
  
ไม่อยากจะบอกว่า ป๋า ประมาทนะ แต่ว่า ปกติ เราเคยเล่นแบบนี้เหรอ


สังหรณ์ใจอยุ่แล้ว ตั้งแต่ อีตาดุ๊กดิ๊กมาเจิม ว่าบาเบิร์น มีดีไม่พอ
โดย: กระจ้อน วันที่: 1 เมษายน 2553 เวลา:18:13:14 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sa-ngob-jai.BlogGang.com

สงบใจ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด