++ พาไปไหว้พระที่วัดม่วง ++
บล๊อก นี้คงต้องต่อเนื่องจากบล๊อกที่แล้ว เราจะพาไปไหว้พระอีกบล๊อกหนึ่ง แต่คราวนี้จะพาไปที่ อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง คงนึกออกแล้วสิครับว่าจะพาไปวัดไหน ก็ไม่ไกลครับ คือ "วัดม่วง" นั่นเอง ก่อนถึงวัดจะมองเห็นพระใหญ่แบบนี้ การไปที่วัดม่วงเป็นการเดินทางต่อเนื่อจากที่เราได้ไปพักผ่อนที่ปราณบุรีมา ซึ่งได้นำเสนอไปแล้วช่วงเดือนกรกฎาคมปีนี้ วันนั้นเราขับจากเพชรบุรี ผ่านวังมะนาว เข้าสุพรรณบุรี เลยไปที่วิเศษฯ กว่าจะถึงที่นั่นก็ประมาณเกือบห้าโมงเย็นแล้ว แถมอากาศวันนั้นยังสลึมสลือคล้ายๆจะมีฝนซะอีก... ไปชมภาพกันเลยครับ โบถส์วัดม่วง เข้าไปไหว้พระที่วิหารแก้วประวัติความเป็นมา วัดม่วง เดิมทีวัดม่วงเป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปี พ.ศ. ๒๒๓๐ ณ. แขวงเมืองวิเศษชาญ ซึ่งเคยได้เป็นเมืองหน้าด่าน ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงให้แก่พม่า พม่าได้เผาผลาญบ้านเมือง วัดวาอาราม และพระพุทธรูปไปเป็นจำนวนมาก สิ่งที่หลงเหลืออยู่ คือ ซากปรักหักพังของวัดวาอาราม และพระพุทธรูป ที่อยู่บนเนินมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ ท่านพระคูวิบูลอาจารคุณ ( หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ) ได้มาปักกลดธุงดงค์เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นวัดร้าง จึงน่าปฏิบัติธรรม แต่ขณะปฏิบัติธรรม ได้ปรากฏนิมิต เห็นองค์หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง มาบอกว่าให้ท่านได้ช่วยก่อสร้างวัดม่วงขึ้นมาใหม่ เพราะท่านพระครู เป็นผู้มีบารมี ที่สามารถจะก่อสร้างบูรณะวัดม่วง ขึ้นมาใหม่ได้ด้วย ผู้ที่เคยอาศัยในสมัยก่อนได้มาเกิด และจะมาช่วยท่านแล้ว และในบริเวณวัดร้างนี้จะมีศิลาขาว และศิลาแดงอยู่ คือ องค์ของหลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง นั้นเอง ซึ่งต่อมาท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ ได้มีการปั้นองค์พระครอบศิลาขาว และศิลาแดงไว้ โดยเรียกนามว่า หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง จนถึงปัจจุบันนี้ ด้านในประดับด้วยแก้ววัดม่วง ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหัวสะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดอ่างทอง ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 8 กิโลเมตร ถ้าตั้งต้นจาก กรุงเทพ ไปตามถนนสายเอเชีย แล้วเข้าตัวเมืองอ่างทอง ผ่านตลาดแล้วเลี้ยวขวา ผ่านหน้าเรือนจำ เจอทางแยกเลี้ยวซ้าย (ไปสุพรรณบุรี) ไปตามเส้นทางสาย โพธิ์พระยา มีรูปเหมือนพระเกจิฯ ชื่อดังให้ใส่บาตรด้วยเหรียญ พระประธาน ในปีพ.ศ. ๒๕๒๖ ท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ ได้มีการเริ่มบูรณะและได้สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้น โดยได้รับการบริจาค ทั้งเงินทำบุญ และทำบุญด้วยแรงงาน ร่วมกันดำเนินงานในการก่อสร้าง จนกระทั้งวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้มีการประกาศยกฐานะให้วัดม่วง ซึ่งเคยเป็นวัดร้างให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้มีการแต่งตั้งท่านพระครูวิบูลอาจารคุณเป็นเจ้าอาวาสวัดม่วง ต.หัวตะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ. อ่างทอง เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ แห่งราชจักรี ได้ทรงพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัดม่วง เป็นต้นมา ในปีพ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านพระวิบูลอาจารคุณ ได้ร่วมพลังจิตอธิฐาน ร่วมกับประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ ได้สมทบทุนสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อน้อมถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ และราชวงศ์จักรี มีพระนามว่า พระพุทธมหานมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ มีหน้าตักกว้าง ๖๒ ม. สูง ๙๓ ม. มูลค่าในการก่อสร้าง ๑๐๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ( หนึ่งร้อยหกล้านบาท ) เมื่อวันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ ( วันแรม ๑ ค่ำา เดือน ๔ ) ปีมะเมีย เวลา ๙.๐๐ น. ได้วางศิลาฤกษ์ โดยสมเด็จพระโฆษาจารย์ วัดสุวรรณดาราม กทม. เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระครูวิบูลอาจารคุณ (หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ) เป็นประธานฝ่ายดำเนินการก่อสร้าง และหาทุน และให้กฤษ์การก่อสร้างได้ดำเนินมา จนสำเร็จใน ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ( วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ ) รวมเป็นเวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น ๑๖ ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒๕๕๐ ปั้นรูปพญานาคเฝ้าบันได พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์พระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดม่วง จ.อ่างทอง ประวัติความเป็นมา พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ วัดม่วง (หลวงพ่อใหญ่) หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ ด้วยตัวของท่านเอง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2534 และต่อมา วันที่ 2 พฤษภาคม 2534 ได้ทำพิธีตอกลงเข็มเสาเอก หลวงพ่อเกษมเป็นประธานดำเนินการก่อสร้าง ร่วมกับลูกศิษย์และ ประชาชนผู้มีใจบุญทั้งหลาย เข้ามาร่วมกันก่อสร้างองค์พระ ทำให้ได้มีเงินทุนมากพอ ในการก่อสร้าง การหล่อหลอมสร้างองค์พระ ใช้วัสดุ อิฐ หิน ปูน ทราย หลวงพ่อใช้เงินทุกบาท ทุกสตางค์ จากผู้มาบริจาคในวัด เงินจากที่หลวงพ่อออกปฎิบัติกิจนิมนต์ เงินจากการทอดกฐิน ทอดผ้าป่า และงานบุญต่างๆในวัด และพร้อมด้วยคณะศิษย์ของหลวงพ่อ โดยหลวงพ่อได้ควบคุมการก่อสร้างเองมาตลอด มาระยะหลัง หลวงพ่อเกษมตรากตรำงานมาก จึงมีร่างกายอ่อนเพลีย ได้ให้หมดตรวจร่างกาย พบว่าเป็นมะเร็งที่ตับ จึงเข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลศิริราช ตึก 84 ปี ชั้น 9 ห้อง 925 หมอได้ทำการรักษาไม่กี่เดือน ก็ได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2544 ศิริอายุได้ 54 ปี 6 เดือน 7 วัน หอระฆังข้างๆวิหารแก้ว พระใหญ่ วัดม่วง หลวงพ่อเกษม เคยสั่งบอกฝากกับลูกศิษย์ การก่อสร้างองค์พระ ให้ช่วยกันก่อสร้างต่อจากหลวงพ่อ ให้เสร็จ และหลวงพ่อเกษมได้ตั้งนามองค์พระเอาไว้ว่า พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ พระนามนี้หลวงพ่อเกษมตั้งใจสร้างองค์พระนี้ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 คณะลูกศิษย์หลวงพ่อเกษม ได้พร้อมใจรวมพลัง ช่วยกันสร้างร่วมกับ ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาด้วย จนการก่อสร้างองค์พระ ได้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 มีระยะเวลาการก่อสร้างรวมประมาณ 16 ปี และวัดหน้าตักองค์พระได้ 63.05 เมตร ความสูงจากฐานองค์พระ ถึงยอดเกศา วัดได้ 95 เมตร ใช้เงินประมาณ 104,261,089.65 บาท ซูมมาดูใกล้ๆ พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ ก่อสร้างเป็นคานคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นชั้นๆ แบบโครงสร้างตึกสูง ๓๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูนฉาบทาสีทอง ตลอดทั้งองค์ 1 หน้าตักกกว้าง( หัวเข่าขวา-หัวเข่าซ้าย)กว้าง ๖๒.๐๐ เมตร 2 ความสูง(จากพื้นดิน-พระเกศา)สูง ๙๓.๐๐ เมตร 3 ช่วงแขน(หัวไหล่-ข้อศอก)ยาว ๒๕.๐๐ เมตร 4 (ข้อศอก-ข้อมือ)ยาว ๓๐.๐๐ เมตร(ข้อมือ-ปลายนิ้ว) 5 ยาว ๑๕.๐๐ เมตร(หน้าอก)กว้าง ๗๕.๖๐ เมตร 6 ใบหน้า(ปลายคาง-หน้าผาก)สูง ๑๒.๐๐ เมตร(จมูก-หน้าผาก)สูง ๙.๕๐ เมตร(ใบหู)สูง ๔.๐๐ เมตร 7 เศียร(พระศอ-พระเกศ (เลาธาตุ) )สูง ๒๖.๕๐ เมตร 8 (พระศอ-พระเมาลี)สูง ๒๔.๐๐ เมตร* พระเกศสูง ๑๓.๐๐ เมตร 9 * พระเมาลีสูง ๔.๗๐ เมตร 10 เปลวรัศมีเม็ดพระศกสูง ๑๕.๐๐ เมตร(ประดับเม็ดพระศก ๕๐๖ เม็ด แต่ละเม็ด มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๒๐ เมตร) เริ่มวางศิลาฤกษ์ในวันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๓๔ ( วันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๔ ) ปีมะเมีย วางศิลาฤกษ์เวลา ๙.๐๐ น. โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณคาราม กทม. ประธานฝ่านสงฆ์ คือ หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ซึ่งเป็นประธานในการดำเนินการก่อสร้างและหาทุน สร้างเสร็จสิ้น ในวันศุกร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ( วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ ) ปีกุน รวมเวลาในการก่อสร้างพระพุทธรูป ๑๖ ปี มูลค่าในการก่อสร้าง รวมทั้งสิ้น ๑๐๖ ล้านบาท จากจิตศรัทธาพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวต่างประเทศขอบคุณข้อมูลจาก : //travel.mthai.com/news/3364.html ชมวัดและไหว้หลวงพ่อใหญ่จนพอใจแล้ว ก้เดินมาที่สวนด้านทางออก ซึ่งทางวัดได้ปั้นรูปเปรต เจ้าแม่กวนอิม และอะไรหลายๆอย่างไว้ เพื่อเตือนใจพุทธศานิกชน .... จากนั้นเราได้ขับออกจากวัดเพื่อไปค้างคืนที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น. ลาด้วยภาพจากด้านหน้าภาพนี้ครับ___________
Create Date : 13 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2556 9:58:43 น.
20 comments
Counter : 4594 Pageviews.
โดย: NET-MANIA วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:13:12:48 น.
โดย: tui/Laksi วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:20:48:56 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:21:53:09 น.
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:23:48:04 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2556 เวลา:7:47:33 น.
โดย: NET-MANIA วันที่: 14 พฤศจิกายน 2556 เวลา:11:51:34 น.
โดย: Sweet_pills วันที่: 14 พฤศจิกายน 2556 เวลา:22:24:09 น.
โดย: หมุนตามไมล์ วันที่: 21 พฤศจิกายน 2556 เวลา:0:56:35 น.
โดย: นู๋ที วันที่: 25 พฤศจิกายน 2556 เวลา:1:58:08 น.
โดย: iweaq วันที่: 25 พฤศจิกายน 2556 เวลา:17:25:49 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 29 พฤศจิกายน 2556 เวลา:20:42:33 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [? ]
...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......อยากจะบอกว่า @ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว @ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ. @ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก... ด้วยจริงใจ นาย wicsir.
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
พระใญ่วัดม่วง ยังคงอลังการเหมือนเดิมนะครับ เห็นทีไร ก็รู้สึกอยากไปกราบนมัสการและเก็บภาพบ้าง แต่ยังไม่มีโอกาสไปซะที
เพราะจังหวัดอ่างทอง ถ้าไปจากบ้านผม ก็นับว่าไกลไม่ใช่น้อย .....
ภาพสีสันสวยสดดีครับ นี่ขนาดไปช่วงห้าโมงเย็นแล้วนะ Nikon D7000 นี่เขาดีจริงๆ ......