....OUR FAMILY'S JOURNEY....

วัดเชียงทอง ถ้ำติ่ง บ้านผานม(เยือนหลวงพระบางกลางเดือนธันวา 2)


วัดเชียงทอง ถ้ำติ่ง บ้านผานม
(เยือนหลวงพระบางกลางเดือนธันวา... 2)




22 ธันวาคม 2550
วัดเชียงทอง... พิพิธภัณฑ์.....ปากอู.....ถ้ำติ่ง....ซ่างไห....ผานม.


วางแผนว่าจะต้องตื่นมาใส่บาตรให้ทันในตอนเช้า แต่เพราะเพลียมาก เลยทำให้ตื่นสาย พอรู้ตัวก็ 07.00 น เสียแล้ว รีบออกมาที่ถนน ก็ปรากฏว่าเขาเลิกกันไปหมดแล้ว เลยต้องรอในวันต่อไป เมื่อไม่ทันก็หาอย่างอื่นทำในตอนเช้ามืดอย่างนี้ เห็นหมอกลงอยู่เลยเดินไปที่ริมน้ำคาน ซึ่งห่างจากที่พักเพียง 200 กว่าเมตรเท่านั้นเอง หมอกที่หลวงพระบางวันนี้เป็นละอองคล้ายฝน ลงค่อนข้าหนาจนแทบมองน้ำคานไม่เห็น เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าตอนเช้าที่พระมาบิณฑบาต เห็นพระเดินออกมาจากหมอก เป็นภาพที่สวยงามมาก

















หลวงพระบางยามเช้า




ตึกเก่าที่ดัดแปลงมาเป็นร้านกาแฟ





ได้เวลานัดรถก็มารับเพื่อพาเราไปที่วัดเชียงทอง ซึ่งเป็นจุดแรกของการเดินทางในวันนี้ วัดเชียงทองอยู่ไม่ไกลจากที่พักเรานัก ซึ่งตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้าโขงปลายแหลมพอดี หน้าวัดจะมีท่าเรือไปเที่ยวถ้ำติ่ง ซึ่งเราสามารถเช่าเหมาลำได้ในราคา 1200 บาท ซึ่งต้องเดินทางทวนน้ำขึ้นไปทางเหนือ ที่ปากน้ำอู







ท่าเรือที่หน้าวัดเชียงทองที่จะไปถ้ำติ่ง






ขายบัตรเข้าชมวัด







วัดเชียงทอง

วันนี้เรามาถึงวัดเชียงทองเป็นกลุ่มแรกๆ เราเลยแวะซื้อ ดอกไม้ ธูปเทียนกับคุณยายที่หน้าวัด ยายก็ชวนเรากินข้าวเหนียวกับ “ไค” ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่า “ไข่” และขอยายดู แต่ในปั้นข้าวเหนียวแกออกสีดำๆ เลยสงสัย ก็เลยถามน้องเขาดู ได้ความว่าคนที่นี่ชอบกินไค (หรือสาหร่ายน้ำจืด) พอเราทราบว่าเป็นอะไร ก็บอกขอบคุณคุณยาย ก่อนที่จะเดินทางเข้าประตูวัด

การเข้าชมวัดเชียงทอง ต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 20,000 กีบ เล่ากันว่าวัดนี้เป็นวัดเดียวที่ตอนรบกับฮ่อแล้วไม่โดนเผา สาเหตุก็มาจากว่า แม่ทัพของฮ่อเคยมาบวชที่นี่ แถมตอนยกทัพมาตีหลวงพระบาง ก็มาตั้งทัพที่นี่ด้วย ฉะนั้นความงดงามของวัดนี้จึงยังคงอยู่ครบถ้วน ใครที่มาเยือนเมืองหลวงพระบางถ้าไม่ได้มาชมความงามของวัดนี้ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองหลวงพระบางเลยที่เดียว













สิมวัดเชียงทอง





วัดเชียงทองถือว่าเป็นตัวแทนศิลปะสกุลล้านช้างแห่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุด สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2102 – 2103 ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ลักษณะและสถาปัตยกรรมที่เห็นในปัจจุบัน ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ใน พ.ศ. 2471 และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรลาวได้ให้การอุปถัมภ์มากที่สุด ที่โดดเด่นที่สุดของวัด คือ สิม หรือ โบสถ์ ทั้งภายนอกและภายใน มีจิตรกรรมฝาผนังลายรดน้ำ ภายนอกเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ภายในเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน ผนังนี้ใช้วิธีการลงรักษ์ปิดทอง ที่ชาวลาวเรียกว่า “พอกคำ”







โรงเมี้ยนโกศ






เยื้องด้านหน้าสิมมีโรงเก็บราชรถ มีโกศสำหรับบรรจุศพที่นั่นด้วย ชาวลาวจะเรียกว่า “โรงเมี้ยนโกศ” เป็นที่เก็บพระศพของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ สร้างใน พ.ศ. 2504 ในสมัยเจ้าสว่างวัฒนา (หาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือท่องเที่ยวทั่วไป)

รูปแบบของวัดเชียงทองนี้รัฐบาลลาวได้สร้างและมอบให้ไทยที่บริเวณงานจัดแสดงพืชสวนโลก ที่เชียงใหม่ ที่สำคัญที่ควรสังเกตเวลาไปชมวัดในลาวคือ “ช่อฟ้า” บนหลังคาสิม ก็สงสัยมานานเหมือนกันว่า ความหมายคืออะไร และได้มีผู้ให้ความรู้โดยโพสไว้ในเวปไซท์หลายท่านดังนี้...












ช่อฟ้า





“ "ซ่อฟ้า" ของสิมวัดเชียทองมีความหมายถึงเขาพระสุเมรุราช ที่ล้อมรอบด้วยเขาสัตบริพันอีกเจ็ดชั้น หมายถึงยังไงเหรือครับ ลองหลับตาแล้วนึกว่าเรากำลังเป็นพระยาครุฑที่กำลังบินข้าทะเลสีทันดรสมุทรดูนะครับ เราจะเห็นวงกลมซ้อนกันเจ็ดชั้นดูสิครับ แล้วตรงกลางจะเป็นศูนย์กลาง

ตำแหน่งศูนย์กลางนี่แหละครับ คือ "เขาพระสุเมร" แล้ว วงกลมอีกเจ็ดชั้นนี้คือ "เขาสัตบริพัน" คำว่า "สัตต" เป็น ภาษาบาลี หมายถึง "เจ็ด" ครับ

จากนั้นเราก็เอามีดผ่าตรงกึ่งกลางให้ผ่านขาพระสุเมรุ และเขาสัตตบริพันธ์ทั้งเจ็ดครับ จากนั้นร่อนลงจอด แล้วดูผลงานที่ผ่าแล้ว ก็จะเห็นเป็นภาพ Cross Section อย่างที่เห็นนี่แหละครับ

ยอดตรงกลางก็คือ เขาพระสุเมรุ ถัดอากมาอีกข้างละเจ็ดยอด คือ เขาสัตตบริพัน และที่หัวท้ายอีกสองยอด นั้นก็คือทวีปที่ล้อมรอบอยู่ 4 ทวีปอย่างไรครับ

ใต้จักรวาลที่เราอยู่นี้จะถูกหนุนเอาไว้ด้วยปลาอานนท์ครับ
ในจักรวาลทัศน์ในศาสนาฮินดู จึงเชื่อว่า เมื่อมีเหตุแผ่นดินไหว เป็นเพราะว่าปลาอานนท์ท่านบิดตัว เพราะความเมื่อยขบ ที่ต้องหนึนรับจักรวาลอยู่ครับ”
(จาก.....คุณกอล์ฟ)


“ที่จริงตรงกลางสันหลังคาสิมนั่นคือส่วนที่เรียกว่าช่อฟ้า ตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบลาว ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิมที่แตกต่างจากช่อฟ้าของโบสถ์ในเมืองไทย ช่อฟ้าของลาวจะอยู่ที่ตำแหน่งนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสิมแบบไหนก็ตาม ส่วนตำแหน่งช่อฟ้าของไทย ลาวเรยกว่า โหง่ ครับ ช่อฟ้าลาวเป็นการจำลองจักรวาลตามคติของพุทธศาสนาครับ

รูปช่อฟ้าดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นภาพตัดของเขาพระสุเมรุและทิวเขาทั้ง 7 ซึ่งเป็นวงกลมล้อมรอบเขาพระสุเมรุที่อยู่สูงสุดตรงกลาง ทิวเขานี้มี 7 ชั้นเรียกว่าทิวเขาสัตตบริภัณฑ์หรือ สัตตะบูริพัน ในภาษาลาว เนื่องจากเป็นภาพตัดจึงเห็นด้านละ 7 ยอดเขาครับ ส่วนปลายทั้งสองด้านที่สูงใหญ่กว่ายอดเขาสัตตบริภัณฑ์นั้นเป็นกำแพงจักรวาลครับ ยอดเขาทั้งหมดมีปราสาทปรากฏอยู่แสดงว่าเป็นวิมานของเทพ

สังเกตดูให้ดีนะครับส่วนด้านล่างสุดของจักรวาลจะมีรูปปลาอานนท์รองรับอยู่ครับ”
(จาก....คุณ ทองเบิ้ม)






หอพระบาง พิพิธภัณฑ์

เราย้อนกลับเข้ากลางเมืองหลวงพระบางอีกครั้ง เพื่อชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเดิมก็คือพระราชวังของเจ้ามหาชีวิตลาว สร้างขึ้นระหว่าปี พ.ศ. 2477 ในสมัยพระเจ้าสักกะริน และมาแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2452 ในสมัยพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ ภายหลังเมื่อลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลลาวได้ใช้พระราชวังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดให้คนเข้าชมในปี พ.ศ. 2519
จากประตูทางเข้าที่อยู่ตรงข้ามกับทางขึ้นพระธาตุจอมพูสี จะมีทางเดินที่สองข้างทางปลูกต้นตาลไว้ตลอดแนว ขวามือที่เราเข้าไปจะเป็นหอพระบางซึ่งตอนที่ไปกำลังบูรณะอยู่ แต่ก็อนุญาตให้เราเข้าชมได้ ซึ่งภายในเป็นภาพแกะสลักบนไม้ ทาทับด้วยสีทองคล้ายกับโบถส์ในบ้านเรา จะเล่าเรื่องราวต่างๆในพระพุทธศาสนาเอาไว้ ส่วนซ้ายมือจะเป็นโรงละคร วันที่ไปก็มีการจัดการแสดงฟ้อนนางสีดา ที่หน้าโรงละครจะมีอนุสาวรีย์เจ้าศรีสว่างวงศ์ กษัตริย์ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญให้ลาว







หอพระบางหลังใหม่






บานประตูแกะสลัก






อนุสาวรีย์เจ้าศรีสว่างวงศ์หน้าโรงละคร






เดินตรงเข้าไปจะเป็นพิพิธภัณฑ์ นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องซื้อบัตรเข้าชม 30,000 กีบต่อคน ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายใน ที่ซีกซ้ายมือจะมีล๊อคเกอร์ที่ฝากของ ทั้งกระเป๋าถือและกล้อง การเข้าชมถ้าเป็นชาวลาวเองต้องแต่งตัวสุภาพ ผู้หญิงไม่ให้ใส่กางเกง แต่เป้นนุ่งผ้าถุงแบบลาวแทน ส่วนต่างชาติอนุญาตให้ใส่กางเกงได้ แต่ห้ามใส่ขาสั้น

ในพิพิธภัณฑ์จะแสดงของใช้ต่างๆของเจ้ามหาชีวิต แพระราชินี มีหอพระไตรปิฎก ซึ่งตอนไปเห็นมีฉบับภาษาไทยที่ทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯของเราทรงมอบให้ด้วย ถ้าจะดูความประณีตในการก่อสร้างวังนี้ ก็ยังไม่ประณีตเท่าของไทย






ทางเดินเข้าพิพิธภัณฑ์





ด้านหน้าห้องพระของพระราชวังหลวงพระบางจะเห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งสีทองเหลืองอร่าม ประทับยืน ยกพระหัตถ์สองข้างขึ้น หันฝ่าพระหัตถ์ออกทั้งสองข้าง ทางลาวเรียกว่า “ปางประทานอภัย” แต่คนไทยเรียกว่า “ปางห้ามสมุทร” เป็นศิลปะเขมรสมัยหลังบายน อายุราว 300 ปีมาแล้ว ประดิษฐานอยู่ในห้องพระ มีประตูกรงเหล็กกั้นอยู่อย่างแน่นหนา หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ 90% หนักถึง 54 กก. สูงราว 40 – 50 ซม. เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และเป็นที่มาของชื่อเมืองนี้อีกด้วยคือ “พระบาง” หลวงพระบางก็คือ เมืองที่มีพระบางประดิษฐานอยู่นั้นเอง

ด้านหลังจะมีห้องน้ำที่สะอาดไว้รับนักท่องเที่ยวด้วย อีกด้านหนึ่งระหว่างพิพิธภัณฑ์กับโรงละครจะมีสระบัวหลวงอยู่ เขาบอกว่าจะต่อท่อถึงแม่น้ำโขงเลยทีเดียว และที่หลวงพระบางจะมีสระบัวแบบนี้อยู่หลายที่ สาเหตุที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะหลวงพระบางมีแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน หน้าน้ำหลากก็จะไหลเข้าท่วมบริเวณตัวเมือง เขาเลยหาทางทำที่เก็บน้ำไว้ในสระเหล่านั้นโดยไหลเข้าไปตามท่อ แล้วเก็บไว้ในสระไม่ให้เข้าท่วมเมือง พอน้ำลดบางส่วนก็ไหลกลับไปแม่น้ำ และอีกส่วนก็เก็บไว้ในสระเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป






บ้านปากอู ถ้ำติ่ง บ้านซ่างไห และบ้านผานม

ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็เดินทางต่อขึ้นเหนือ เพื่อไปที่บ้านปากอู เพื่อนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงไปชมถ้ำติ่ง รถเราออกไปตามทางหมายเลข 13 อีกครั้ง ขึ้นไปทางบ่อแตน หลวงน้ำทา ผ่านสนามบินหลวงพระบาง และมหาวิทยาลัยสุภาณุวงศ์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ ซึ่งขณะนี้ตัวมหาวิทยาลัยเดิมยังอยู่ในเมืองหลวงพระบาง สถานที่ก่อสร้างใหม่อยู่นอกเมือง กว้างขวางมาก ถ้าเราขึ้นเหนือจะอยู่ซ้ายมือ

ใช้เวลาเดินทางซักพักก็ถึงทางแยกซ้ายมือ บอกว่าไปปากอู 8 กม. พอเราเลี้ยวเข้าไป ก็เป็นทางลำลองยังไม่ได้ลาดยาง แต่ถ้าผ่านห้วยก็จะมีสะพานคอนกรีตอยู่เป็นระยะ ตอนที่เราเข้าไปเห็นเจ้าหน้าที่กำลังทำการสำรวจเพื่อจะสร้างทางอยู่เหมือนกัน ทางบางช่วงจะเลียบฝั่งแม่น้ำโขง ถ้ามาในหน้าฝนก็คงหวาดเสียวไม่น้อย

รถผ่านบ้านซ่างไหเข้าไป แต่เราไม่พักเพราะต้องการทำเวลาเพื่อไปชมถ้ำติ่งก่อน ไม่นานเราก็มาถึงบ้านปากอู ซึ่งเป็นที่แม่น้ำอูไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงที่นี่ ที่ท่าเรือข้ามฟากจะมีร้านขายของเก่า เครื่องเงิน ผ้าทอ กระจายอยู่ตามทางเดิน และมีร้านอาหารอยู่ 2-3 ร้าน ทัวร์ส่วนมากจะสั่งอาหารไว้ เมื่อชมถ้ำติ่งแล้วก็กลับมาทานกัน







ทางเดินลงไปท่าเรือปากอู





ร้านอาหารริมน้ำโขง





น้อยช่วยติดต่อเรือให้คาคาพิเศษคือเหมาลำไป 200 บาท แต่ถ้าข้ามเป็นรายหัว เขาคิด 10,000 กีบ เรือเป็นเรือหางยาวเก่าๆ ไม่มีเครื่องชูชีพอะไรเลย เราก็ได้แต่ภาวนาว่า น้ำโขงตรงปากอูนี้จะไม่เชี่ยวมากนัก และขอให้เราอย่าได้เป็นอะไรเลย ใช้เวลานั่งเรือข้ามประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่เทียบเรือที่หน้าถ้ำติ่ง ซึ่งอยู่เยื้องๆกับบ้านปากอู เราเดินผ่านโป๊ะที่เป็นแพไม้ไผ่เข้าไปที่ทางขึ้นถ้ำ ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำโขง โดยทางขึ้นเป็นบันไดคอนกรีต































ข้ามน้ำโขง ทางขึ้นถ้ำติ่ง และพระในบริเวณถ้ำ






ที่ถ้าติ่งจะมีด้วยกัน 2 ถ้ำคือ ถ้ำลุ่ม (ข้างล่าง) และถ้ำเทิง (ข้างบน) เราขึ้นไปชมถ้ำล่างโดยเสียค่าเข้าชมคนละ 20,000 กีบ ในถ้ำลุ่มนี้จะมีเจดีย์อยู่ในถ้ำด้วย มีพระพุทธรูปมากกมาย ทั้งแบบโลหะ และแบบไม้ เราซื้อดอกไม้ธูป เทียนเพื่อไปไหว้พระ และเดินชมถ้ำในบริเวณนั้น พร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก่อนที่จะขึ้นบันไดคอนกรีตต่อไปที่ถ้ำเทิง ทางเดินขึ้นทำเป็นขั้นบันไดไว้อย่างดี เดินสะดวก แต่ก็ขึ้นเขาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามทางเดินก็จะมีเด็กชาวลาวเอานกใส่กรงมาขายให้นักท่องเที่ยว เราไม่อยากสนับสนุน เพราะถ้าเราปล่อยมันออกไป เดี๋ยวเขาก็จะจับมันใส่กรงมาขายให้เราอีก สงสารมัน อยากให้นกเขาอยู่ตามธรรมชาติที่เขาเคยอยู่ดีกว่า....

เราปีนจนถึงถ้ำเทิง ก็จะมีคนเอาไฟฉายมาให้เราเช่า เพื่อเข้าไปชมถ้ำ เพราะถ้ำค่อนข้างลึก และมืดมาก ที่หน้าถ้ำเทิงนี้จะมีพระสังฆจายอยู่ทางด้านขวามือของปากถ้ำ ส่วนในถ้ำก็จะมีแท่นคล้ายๆศาลาเก่าอยู่ แต่พระพุทธรูปมีไม่มากเหมือนถ้ำลุ่ม

อยู่ที่ถ้ำติ่งประมาณชั่วโมงได้เราก็เดินทางกลับไปที่ฝั่งโขงบ้านปากอู เพื่อทานมื้อเที่ยงที่บ้านญาติน้อย (น้องคนลาวที่ไปกับเรา) ซึ่งเขาบอกเราว่าวันนี้จะมี “พันปลา” ทีแรกเราก็นึกภาพว่าคงเป็นปลาปรุงพิเศษอะไรซักอย่าง แต่พอเจอเข้าจริงๆ ก็คือปลาเผากับผักเคียง สิ่งที่พิเศษอย่างหนึ่งในการทานอาหารของเขาคือ เขาจะจัดล้อมวงเหมือนการทานข้าวทั่วไป แต่มื้อนี้เป็นข้าวเหนียว มีขันน้ำสำหรับเอามือจุ่ม ล้างและมีผ้าผืนเล็กๆวางประจำที่ทุกคน เพื่อเช็ดมือหลังจากจุ่ม ล้างเสร็จ ซึ่งแปลกกว่าที่อื่นที่เห็นมาก ส่วนมากจะมีแค่อ่างไว้ให้เราตักน้ำล้างมือก่อนทานข้าวเหนียว..

หลังอาหารมื้อพิเศษนี้แล้วเราล่ำลาเจ้าของบ้านซึ่งเป็นครูสอนที่หมู่บ้านปากอูด้วยความขอบคุณ และมอบปฏิทินสบายดีปีใหม่ที่นำไปจาก บริษัทลาวเทลให้กับท่าน และหลายๆคนที่มาต้อนรับเรา

รถตู้พาเราไปที่บ้านซ่างไห ที่เราผ่านมาตอนขาเข้ามา ตอนเราไปถึงเห็นศาลากำลังสร้าง เข้าใจว่าต่อไปจะเป็นศูนย์สำหรับขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังสร้างไม่เสร็จดี ที่นี่มีห้องน้ำสะอาดให้เข้า






เหล้าดองงูที่บ้านซ่างไห





ตามหลักฐานของทางการบอกว่าที่บ้านแห่งนี้เคยขุดพบไหโบราณมีอายุกว่า 2000 ปี ชื่อบ้านซ่างไห น่าจะมาจากการที่หมู่บ้านแห่งนี้มีช่างทำไห และผลิตไหที่บ้านแห่งนี้ เราเห็นเหล้าดองงูใส่ขวดตั้งขายอยู่หน้าร้าน ส่วนที่ร้านอื่นๆ ก็จะเป็นผ้าทอ และเครื่องเงิน

พอได้เวลา เราก็เดินทางกลับออกมาที่ถนนใหญ่ เพื่อเดินทางต่อไปบ้านผานม ซึ่งต้องย้อนกลับมาที่เมืองหลวงพระบางก่อน ก่อนที่แยกออกไปนอกเมืองอีกครั้ง ข้ามแม่น้ำคาน ผ่านวัดป่าโพนเพา แล้วก็มาถึงศูนย์หัตถกรรมบ้านผานม ระยะทางจากตัวเมืองน่าจะ ประมาณ 5 กม. ให้สังเกตพระธาตุโพนเพาสีทองเป็นหลัก วันที่เราไปถนนกำลังได้รับการปรับปรุง เพื่อทำเป็นทางลาดยาง













ขายผ้าทอที่ศูนย์หัตถกรรม







ปฏิทินประดับชายด้วยลวดลายไทลื้อ






ชาวบ้านผานมเมื่อก่อนจะมีอาชีพทอผ้าสำหรับเจ้ามหาชีวิต คั้นเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ชาวบ้านผานมก็ยังยึดอาชีพนี้สืบมา ซึ่งผ้าทอที่นี่จะประณีตและสวยงามมาก

ทางการได้ทำเป็นศาลาใหญ่เพื่อขายผ้าทอในพื้นที่เดียวกัน เราเดินเลือกซื้อได้ในศาลานั้นเลย รวมทั้งงานไม้ประดับด้วย ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทลื้อ พวกเราใช้จ่ายเงินกีบที่นี่จนเกือบหมดกระเป๋า เพราะดูอะไรๆ ก็สวยไปหมด ถ้าเมื่อไหร่เงินกีบเราหมด เงินบาทก็สามารถซื้อของที่นี่ได้อย่างสบาย แถมอัตราแลกเปลี่ยนก็เหมือนกันกับที่อื่นๆ ที่ตรงข้ามศูนย์หัตถกรรมจะมีเรือนขายเครื่องเงิน ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นของเอกชน



จบตอนที่ 2 เท่านี้ก่อนนะครับ.



อ่านตอนที่ 1 ll อ่านตอนที่ 3

________________









 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2551
9 comments
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2558 20:34:32 น.
Counter : 7457 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ ตามถึงที่นี่แล้วค่ะ อ่านของคุณมามากแล้วขอแจมบ้าง ไค สาหร่ายจืดที่คุณว่า บางท้องถิ่นเรียกว่า "เทา" นำมาล้างให้สะอาด แล้วปรุงเป็นอาหารแบบลาบ โดยทำให้สุก ดิฉันเคยรับประทานที่บ้านเพื่อน แซ่บหลาย

ที่เคยอ่านมา ทราบว่า ป่าหิมพานต์(ป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะ)กว้างใหญ่ไพศาลมาก ข้างในมีสระอโนดาษ ที่นางกินนรีมาเล่นน้ำเป็นสระที่งดงามที่สุดมากกว่า มัณฑากิณี สีหัปปาตะ รถะการะ กุณาละ ฉัททันต์ กัณณมุณฑะ เขา 7 ลูก หรือ สัตตบริภัณฑ์ คือ ยุคนธร กรวิก สุทัศนะ อัสกัณ วินตกะ เนมินธร อิสินธร ซึ่งเขาทั้ง 7 ลูกนี้ มีมหานทีสีทันดร อันกว้างใหญ่กว้างอยู่ แต่พระยาครุฑปีกกว้างโบกไม่กี่ครั้งก็ข้ามได้ (แต่ครุฑปีกกว้างในธนบัตร บินแล้วลาลับ) ญาติผู้ใหญ่ของดิฉัน ชื่อในพวกนี้ทั้งนั้นค่ะ รูปของคุณทุกภาพสวยจริงๆขอบอก

 

โดย: นีลา IP: 202.91.19.206 8 กันยายน 2551 19:42:57 น.  

 

ขออภัยค่ะ พิมพ์ผิด บล็อกข้างบน ...ซึ่งเขาทั้ง 7 ลูกนี้ มีมหานทีสีทันดรอันกว้างใหญ่คั่นอยู่ค่ะ

 

โดย: นีลา IP: 202.91.19.206 8 กันยายน 2551 19:47:34 น.  

 

ขอบคุณที่คุณ นีลาช่วยแบ่งปันความรู้สำหรับ blog นี้ครับ..... และขอบคุณอีกครั้งที่ชมครับ.

 

โดย: wicsir 8 กันยายน 2551 21:07:10 น.  

 

555 ชมแล้วต้องขยันหาภาพสวยๆมาฝากนะคะ ญาติผู้ใหญ่ไปผ่าตา ที่ ร.พ.ตา หู คอ จมูก แถวนั้นหาทางไปทุกถนน จะได้รู้จักถนน ผ่านสิ่งต่างๆ ก็ไม่เห็นความงาม จนคุณถ่ายรูปมา มันสวยไปหมด สวยทั้งนั้น สองคนยลตามช่อง เลยจริงๆ

 

โดย: นีลา IP: 202.91.18.204 9 กันยายน 2551 8:54:47 น.  

 

อ้อไปมากุมภา 51 ค่ะ ชอบมาก ๆ อยากกลับไปเที่ยวอีกครั้งเลยค่ะ รู้สึกว่ายังเที่ยวไม่ทั่วเลยค่ะ

 

โดย: thainurse@norway 2 กรกฎาคม 2552 4:10:59 น.  

 

ขอบคุณ ที่แวะเข้ามาถึงบล๊อกนี้ครับคุณอ้อ

 

โดย: wicsir 4 กรกฎาคม 2552 15:18:40 น.  

 

ไปหลวงพระบางมา 3 รอบแล้ว แต่ไม่ได้ดูละเอียดลึกเหมือนคุณเลยค่ะ รูปของคุณได้ความรู้สึกดีมากๆ เลย..ขอเอาไปเป็นแบบอย่างนะคะ

 

โดย: NuchyMissLonely 15 กันยายน 2552 17:17:11 น.  

 

ได้ครับ NuchyMissLonely... ด้วยความยินดี

 

โดย: wicsir 16 กันยายน 2552 10:53:31 น.  

 

กรี๊ดดดดดด... ขอกรี๊ดหน่อยนะคะ อยากไปมากๆ จะไปจะไป..รอแทบไม่ไหวแล้วคะ

 

โดย: marzo 15 กุมภาพันธ์ 2553 17:58:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2551
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
26 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.