Group Blog
All Blog
|
ถนนสายนี้ ... มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 287 "คิดถึง" - คิดถึง (เจ๊หวี) ... แต่ไม่อยากเจอ โจทย์ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 287 "คิดถึง" โจทย์โดยคุณ กะว่าก๋า คำอธิบายโจทย์ " คุณคิดถึงอะไรอยู่บ้าง เพราะอะไรจึงคิดถึงคนๆนั้น เหตุการณ์นั้น หรือสิ่งๆ นั้น" หายหน้าหายตาไป 2 - 3 วัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ เพียงแต่ไปดูซีรีย์ออนไลน์มาครับ เรื่อง "หรูอี้" เป็นซีรี่ย์น้ำดีจากฝั่งจีนครับ ถ่ายทำในพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่ง ในเรื่องเป็นภาคต่อของเรื่อง "เจินหวน" กลายๆ คือช่วงเวลาประวัติศาสตร์ต่อเนื่องกัน มีตัวละครจากเจินหวนมาโผล่ในเรื่องหรูอี้บ้าง แต่คนละคาแรกเตอร์เลยครับ เนื้อเรื่องจะประมาณเจินหวนครับ คือ ตอนกลางๆเรื่องนางเอกตกต่ำมากๆ แล้วพอได้กลับเข้ามาในวังหลวงอีกครั้งจะพลิกบทบาทเป็นอีกคนนึงเลย สนุกมากครับ แต่ตอนกลางๆเรื่องอาจจะน่าเบื่อนิดหน่อย แต่พอนางเอกกลับมาเป็นใหญ่แล้วสนุกมากๆ เลยติดงอมแงม ดู 3 วัน 3 คืน ไม่ทำอะไรเลยครับ อิอิอิอิ --------------------------------------------------------------------------------------------------------- คิดถึง (เจ๊หวี) .... แต่ไม่อยากเจอ หลายวันก่อนในไลน์กลุ่มเพื่อนๆนักเรียนที่ไปตกระกำลำบากเรียนปริญญาโทที่เมลเบิร์นกันเมื่อกว่า 20 ปี ที่แล้ว มีเรื่องคุยกันอย่างสนุกสนานถึงเพื่อนคนนึงที่ทุกคนนึกถึง .... คิดถึงนั่นแหละ .... แต่ “ไม่อยากเจอ” !!!! เมื่อเจ้าของบล็อกจะไปเรียนต่อปริญญาโททางด้านกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัย Monash เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย หนึ่งใน requirement ที่เจ้าของบล็อกจะต้องส่งไปพร้อมกับใบสมัครคือ ผลการสอบ IELTS ที่แสดงผลสอบว่าได้ overall ระดับ 5.5 และ writing ได้ 6 เป็นอย่างน้อย เจ้าของบล็อกสอบได้พอดีเด๊ะๆๆ กับ requirement ทางมหาวิทยาลัยมีใบตอบรับกลับมาพร้อมกับ condition คือ เจ้าของบล็อกจะต้องไปเรียนภาษาอังกฤษซึ่งเป็น course ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นอีกเป็นเวลา 15 อาทิตย์ (เสียตังเพิ่ม) เรียกกันว่า Bridging Course เพราะพอจบการเรียนและผ่านการสอบมีผลการสอบเป็นที่น่าพอใจแล้วสามารถเข้าเรียนปริญญาโทโดยไม่มีการยื่นใบสมัครอีกคล้ายๆเดินข้ามสะพานไปเรียนปริญญาโทได้เลย การเรียน Bridging Course เป็นการเรียนแบบรวมนักเรียนที่จะเข้าเรียนปริญญาโททุกๆสาขา และทุกๆสัญชาติ ในกลุ่มนักเรียนไทยก็มีเยอะเป็นรองแค่นักเรียนจากจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น (ตอนหลังๆกลุ่มนักเรียนไทยสามารถดึงนักเรียนจากจีนมาอยู่ในกลุ่มโดยใช้เสน่ห์ปลายจวักก็เลยถือตัวเองว่าเป็นนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่สุดใน Bridging Course ) เจ้าของบล็อกมาเจอ housemate ใน Bridging Course นี่แหละครับ คนแรกเป็นคนใกล้ตัวมากๆ ชื่อสมมุติว่า “บี” บีเป็นเพื่อนของเพื่อนที่เรียน IELTS ที่เมืองไทยก่อนจะไปเรียนต่อ (แต่เพื่อนของเจ้าของบล็อกจาก class IELTS ไปเรียนที่ Brisbane) มีเรื่องตลกของบีมากๆ คือ บีเดินทางถึงเมลเบิร์นในวันเดียวกันและเที่ยวบินเดียวกันกับเจ้าของบล็อก แน่นอนเราไม่รู้จักกันก่อนหน้านี้ แต่ก่อนเดินทางเจ้าของบล็อกได้บอกวันเดินทางและเที่ยวบินให้กับเพื่อนของบี (ที่เป็นเพื่อนใน class IELTS ของเจ้าของบล็อก) พอเริ่มรู้จักกันบีก็มาถามเจ้าของบล็อกว่ารู้จักเด็กไทยที่มาเรียนต่อที่บินไฟลท์เดียวกับเจ้าของบล็อกบ้างไหม เพื่อนของบีฝากมาตามหา .... ถามไถ่กันไปมาถึงได้รู้ว่าเจ้าของบล็อกนั่นเองที่บีกำลังตามหาอยู่ ถามไถ่กันลึกลงไปอีกถึงได้รู้ว่าเราจบธรรมศาสตร์รุ่นใกล้ๆกัน เรารู้จักคนๆเดียวกันเยอะมาก เลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน Housemate อีกคนนึงของเจ้าของบล็อกชื่อสมมุติว่า “ตรี” คนนี้นอกจากจะมีบ้านที่เมืองไทยใกล้บ้านเจ้าของบล็อกมากแล้ว ยังเรียนจบโรงเรียนมัธยมเดียวกันกับเจ้าของบล็อก รุ่นไล่ๆกันอีกด้วย บีเป็นต้นความคิดว่าเรา 3 คน มีสิ่งเชื่อมโยงถึงกันมากที่สุด สมควรจะไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกันที่สุด ..... ไม่รู้ว่าไอ้บีมันเอาตรรกะอะไรคิดนะ !!! ต้องเล่าก่อนว่ามหาวิทยาลัย Monash มี main campus ตั้งอยู่ที่เขต Clayton ซึ่งตั้งอยู่ (บ้าน) นอก Melbourne ห่างจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร (แต่การเดินทางในเมลเบิร์นสะดวกมากมาย วันหลังถ้ามีโอกาสจะเล่าถึงระบบการขนส่งมวลชนในเมลเบิร์นให้ฟังครับ) และมี campus ต่างๆ กระจายตัวอยู่ตามเขตเมืองต่างๆ แล้วแต่วิชาที่เรียน บีเรียนบริหารจะเรียนที Caulfield ห่างจากเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร ตรีเรียนทั้งที่ Caulfield และ Clayton และเจ้าของบล็อกเป็นคนที่มีที่เรียนสะเปะสะปะมากๆ จริงๆเจ้าของบล็อกเป็นเด็กที่มีที่เรียน City based คือหลักๆแล้วเจ้าของบล็อกจะเรียนในเมือง (เป็น city boy นัยยะว่ามหาวิทยาลัยอำนวยความสะดวกให้กับคนเมลเบิร์นที่ทำงานอยู่ในเมืองที่ต้องการจะเรียนปริญญาโทกฎหมาย) แต่มีบางวิชาเหมือนกันที่เจ้าของบล็อกต้องมาเรียนที่ Clayton เพราะวิชานั้นมีแต่นักเรียนต่างชาติเป็นส่วนมาก และสถานที่อื่นๆที่สะดวกแก่ผู้สอนเพราะว่าผู้สอนเป็น Guest Lecturer มาจากอเมริกาบ้าง ยุโรปบ้าง แต่เรา 3 คนมีความเห็นตรงกันว่า Clayton เป็นที่ๆเหมาะที่สุดในการเช่าบ้านพัก เพราะตอนนี้เราจะต้องเดินทางมาเรียนภาษอังกฤษที่ main campus ได้สะดวก การเดินทางจาก Clayton ไป Caufield หรือเข้าเมืองก็สะดวกมาก และที่สำคัญการเรียนปริญญาโทต้องทำ paper ซึ่งหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย หอสมุดของ Law School ของเจ้าของบล็อก และคณะ IT ของตรี ก็ตั้งอยู่ที่ Clayton เรา 3 คน โชคดีมากที่หาบ้านที่ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยได้ บีบอกว่าเจ้าของบ้านเป็นด็อกเตอร์อะไรก็ไม่รู้ เป็นประธานกลุ่มคนไทยในเมลเบิร์นด้วย เราย้ายเข้าบ้านหลังนี้เมื่อเราเริ่ม Bridging Course ได้ประมาณหนึ่ง เราดีใจที่ไม่ต้องตื่นเช้ามากๆเพื่อจะเดินทางมามหาวิทยาลัย เราตื่นกันประมาณหกโมงแล้วยังมีเวลาอ้อยอิ่งจิบกาแฟกับกินขนมปังก่อนจะแต่งตัวเดินข้ามถนนไปเรียนภาษาอังกฤษซึ่งเริ่มเรียนเวลา 9 โมง ห้องกินข้าวของบ้านที่เจ้าของบล็อกเช่าอยู่จะมีประตูกระจกบานยาวเปิดออกสู่สวนเล็กๆ ผ่านรั้วเตี้ยๆ ออกไปเป็นถนนที่นักเรียนส่วนใหญ่จะต้องใช้เดินผ่านเพื่อจะไปมหาวิทยาลัย ตอนที่เรา 3 คนนั่งจิบกาแฟพร้อมกับกินขนมปังตอนเช้าก็จะมีเพื่อนๆในชั้นเรียนเดินผ่าน ทุกๆคนล้วนแต่อิจฉาความโชคดีในการหาบ้านเช่าของเรา 3 คนมากๆ มีเพื่อนคนไทยในชั้นเรียน Bridging Course คนนึงชื่อสมมุติว่า “เจ๊หวี” เป็นหญิงสาวร่างตุ้ยนุ้ย ที่เราเรียกว่า “เจ๊” ก็เพราะว่านางมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในเมลเบิร์นมากกว่าใครเพื่อน นัยว่านางอยู่ในเมลเบิร์นมาถ้าไม่ถึงปีก็ขาดเกินอยู่เดือนกว่าๆเท่านั้น แล้วนางยังมีประสบการณ์ในการเปลี่ยนที่เรียน เปลี่ยน Homestay ไปถึงการต่อวีซ่า อันเป็นประโยชน์ต่อพวกเราที่เป็น “กระเหรี่ยงไทยในเมลเบิร์นมือใหม่” มากๆ ตอนที่เรา 3 คนย้ายบ้าน เจ๊หวียังให้คำแนะนำในการซื้อของใช้จำเป็นต่างๆ นานา รวมถึงมาช่วยออกแรงในการทำความสะอาดบ้านทั้งหลังอีกด้วย จริงๆแล้ว “เจ๊หวี” ก็คุยสนุกนะครับ คุยได้เรื่อยๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่ ...... เรา 3 คนเริ่มรู้สึกว่าเจ๊หวีแก “รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเรา” มากขึ้นๆ เช่น ตอนเช้าตรู่เจ๊หวีจะเดินมาเคาะประตูบ้านของเราทุกวันเพิ่อขอกินกาแฟกับขนมปัง พอนานๆเข้าไอ้บีก็ “กัด” เจ๊หวีกลางวงเพื่อนๆว่า “มากินกาแฟกับขนมปังบ้านผมทุกเช้าผมจะคิดตังเจ๊แล้วนะ” รุ่งขึ้นเจ๊หวีก็หิ้วขนมปังยี่ห้อโปรดของเรา 3 คนมาให้ 1 แถวทำนองว่า “นี่ไงยะค่ากาแฟกับขนมปังปิ้ง” ถึงอย่างนั้นไอ้บีก็ยังคอยแง๊บๆเจ๊หวีจนเจ๊เหมือนจะรู้ตัว ..... เจ๊หวีงอน ..... ไม่แวะมาบ้านของเราทั้งคน 3 ไปพักใหญ่ๆ เรา 3 คนนั่งคุยกันว่าจริงๆแล้วไม่ได้รังเกียจเจ๊หวีเลยนะ แต่เช้าๆเราอยากจะนั่งจิบกาแฟกันเงียบๆ 3 คน มากกว่า อีกอย่างเรามีแต่ผู้ชาย จะทำอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจกัน จะใส่กางเกงในตัวเดียวเดินไปเดินมาในบ้านก็ไม่ต้องเกรงใจใคร (เดี๋ยวๆ .... เกรงใจกรูก็ได้นะ !!!) เราตกลงให้ไอ้บีไปเคลียร์กับเจ๊หวี ...... ไอ้บีมาเล่าให้ฟังด้วยความสยองนิดๆว่า เจ๊หวีถึงขั้นร้องไห้ สะอื้นฮั่กๆๆ ครั้นไอ้บีจะดึงหัวเจ๊หวีมาซบที่บ่าก็กระไรอยู่เพราะขนาดตัวของเจ๊หวีใหญ่มากกว่าไอ้บีกว่าครึ่ง .... เจ๊หวีบอกทำนองว่าเรา 3 คนคุยสนุก เป็นคนสบายๆ ไม่เรื่องมาก เลยชอบคุยด้วย อีกอย่างเจ๊หวีแกคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน (สมัยที่เจ้าของบล็อกไปเรียนต่อเมืองไทยมีอินเตอร์เนทใช้แล้ว การสื่อสารก็พัฒนาไปในระดับหนึ่งแต่เทียบไม่ได้กับสมัยนี้เลยครับ การติดต่อกับคนที่อยู่กันคนละประเทศ คนละ time zone ก็สามารถทำได้โดยผ่าน e mail โปรแกรม messenger หรือ Icq เท่านั้น แต่ทั้งสองฝ่ายก็ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยกันถึงจะได้คุยกัน real time หรือจะ web cam กัน) ที่เจ๊หวีแกคร่ำครวญเรา 3 คนก็เข้าใจนะครับ เราก็เหงาและคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนที่เมืองไทยอยู่บ้าง แต่เรา 3 คนมักจะเลือกที่จะทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ออกไปเดินเที่ยวในเมืองจะได้ไม่เหงา ไม่คิดถึงบ้าน ไอ้บีก็ได้ทำความเข้าใจกับเจ๊หวีเรื่องความเป็นส่วนตัวของเราทั้ง 3 เจ๊แกก็เข้าใจและขอโทษที่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเรา ไอ้บียังบอกเจ๊ไปอีกว่าไม่ได้รังเกียจที่เจ๊จะมากินกาแฟตอนเช้าที่บ้าน “บ้าง” แต่ให้เจ๊หิ้วขนมปังยี่ห้อโปรดมาทุกครั้ง (อันนี้พูดเล่นครับ) การจะมีเพื่อนมาบ้านเจ้าของบ้านก็ต้องต้อนรับขับสู้มานั่งคุยเป็นเพื่อน จะปล่อยให้แขกมานั่งนิ่งๆได้ไง บางครั้งเราก็อยากนั่งเงียบๆกันเท่านั้น เจ๊แกสรุปว่า “ถ้าจะมาจะโทรมาบอกก่อนนะ” เรื่องขุ่นมัวของเราจบลงที่เจ๊หวีมาบ้านเราอีก 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งก็ทิ้งช่วงห่างๆกัน แล้วเจ๊แกก็หายไปเลย อาจจะเป็นช่วงที่ class bridging จะสอบต้องมีการทำรายงานและต้องไป present ในหอประชุมต่อหน้าเพื่อนๆ อาจารย์ และฝรั่งรวมๆแล้วเกือบๆร้อยคน ทุกคนต่างก็กังวล และเครียดๆอยู่เหมือนๆกัน ทุกคนต่างก็ลืมๆเรื่องนี้ไป จนชั้นเรียนปริญญาโทเปิดเรียนแล้วเจ๊หวีก็หายออกไปจากชีวิตพวกเราอย่างเด็ดขาด ไม่รู้จะสรุปเรื่องนี้ยังไงครับ เพราะการสรุปในวันนี้ผลก็ยังเป็นเหมือนเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว คือ “นึกถึงเจ๊หวีนะ .... แต่ไม่อยากเจอว่ะ” ฮ่าๆๆๆๆ เคยกันมั๊ยครับที่คิดถึงใครคนหนึ่ง แต่ ..... ไม่อยากเจอว่ะ !!!!!! แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:9:40:37 น.
อ่านแล้วลุ้นตามเลยครับ เจ๊หวี ผมว่าถ้าเป็นแก๊งค์เพื่อน ๆ เราน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องเพื่อนแทบจะทุกคนเลยนะครับ 55
บ้านเมืองเค้าสะอาดอ้านมากเลยครับ โดย: The Kop Civil วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:9:54:37 น.
ใช่ ๆ อีกแหละ.. เราได้นั่ง นอน บิดขี้เกียจได้สบาย ๆ ไม่ต้องลุก
มาน่งกุงเกง ใส่เสื้อ เอะลืมไป ใส่กางเกงในอยู่แล้ว 555 .. ผมว่าไม่อยากเจอเจ๊แก จะมาแย่งกินของอร่อยมากกว่ามั้ง 555 โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:10:45:14 น.
จากบล็อก 3F พี่ใช้บิ๊กแพ็คซองเดียวจ้า
หลานสาวพี่ก็เป็นศิษย์น้องของน้องบอลที่ Monash เช่นกันค่ะแต่คนละคณะ คิดถึงแต่ไม่อยากเจอ paradox นิดหน่อย แต่ในทุกเรื่องราวก็ย่อมมีเหตุและผลในตัวเองเนาะ โดย: เนินน้ำ วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:11:22:15 น.
ซีรี่ย์ดูแล้วติดหนึบจริงๆครับ
เดือนที่แล้วผมนั่งดูทั้งวันเลย เดือนนี้ว่าจะลดการดูลงบ้างครับ เจ๊หวีทำให้ผมนึกถึงเพื่อนบางคนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่เดินเข้าบ้านพักของเพื่อน เหมือนเป็นบ้านตัวเองครับ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป อยากนอนวันไหนก็มานอน 555 โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:13:33:37 น.
สวัสดี จ้ะ น้องบอล
อ่านชีวิตการไปเรียนต่อเมืองนอกของบอลแล้ว ก็ได้ความรู้ดี การ เรียนภาษาก่อนเรียนปริญญาโท เป็นธรรมดาของคนที่ไปต่อเมืองนอก อ่านเรื่องราวของ "เจ๊หวี" ครูอ่านแล้ว สงสารและเห็นใจเจ๊หวีนะ ว่าไปแล้ว แกเป็นคนมีน้ำใจต่อเพื่อน เพียงแต่ว่า บางครั้งอาจจะลืมสังเกตความอึดอัดของเพื่อน ครูว่า แกไม่สวยด้วยแหละ หุ่นไม่ดีด้วย ถ้าสวย หุ่นดี พวกเธอและเพื่อน ๆ คงจะชอบให้มาอยู่หรอก อิอิ โหวดหมวด ตะพาบ โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:18:11:10 น.
อ้าว..ไปติดซีรีย์จีนเสียแล้ว
อย่าลืมใช้น้ำตบ ฮาด่ะ..ลาโบ่ะ สีเขียว ที่เขาโฆษณา สำหรับสิวซีรัย์ด้วยนะคะ ที่บ้านเพิ่งเริ่มดู Mr Robot เรื่อง เกี่ยวกัยอัจฉริยะแฮกเกอร์ ประมาณทำ facebook / IG ล่ม มี 4 season มาสะดุดตา ที่ Remi Malex นำ คู่ Christain Slater ค่ะ อ่านขีวิตช่วงเริ่มต้นของหนุ่มๆ น่าสนุก โชคดีที่มีเพื่อนพูดคุยภาษาไทย คอเดียวกัน..ิย ู่บ้านใกล้ที่เรียนภาษา จริงๆแสดงว่าคิดถึงเจ็หวีมาก เพราะไม่ลืม.. คิดว่าเธอคงยุ่งเรื่องเรียน ไม่ก็เตอกบุ่มพึ่งพาใหม่ อิ อิ รออ่านขีวิตในเมลเบิร์น ต่อไปค่ะ โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 7 ตุลาคม 2564 เวลา:6:40:40 น.
ชีวิตคู่
ถ้าถือทิฐิมากๆ อยู่กันไม่รอดแน่ๆเลยครับ เพราะยังไงก็ต้องเจอปัญหากันแน่นอน ไม่เรื่องเล็กก็เรื่องใหญ่ครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 ตุลาคม 2564 เวลา:15:46:27 น.
สวัสดีมีสุขค่ะ
แต่ละคนก็มีดีมีเสียต่างกันไป เดี๋ยวนี้ต้องโทรไปหาเจ้าของบ้านก่อนไปหาทุกครั้ง เพราะเราก็ไม่อยากให้ใครบุกมาหาเราขณะเราไม่พร้อมเช่นกันค่ะ ความส่วนตัวของทุกคนสำคัญค่ะ ขอบคุณกำลังใจด้วยนะคะ โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 7 ตุลาคม 2564 เวลา:16:19:58 น.
แวะมาบ่อยๆ มันก็รบกวนทางเราจริงๆ น่ะแหละ แกคงไม่มีเจตนาร้าย แต่มันก็รบกวนทางเรา ตอนผมอยู่จีนก็มีคนประมาณนี้ แต่ผมไม่ได้บอกว่าบ้านอยู่ไหน แค่ออกไปหาที่มหาวิทยาลัยเพราะบ้านเราอยู่ใกล้ก็เท่านั้น
ยุค ICQ น่าจะเป็นยุคบุกเบิกที่อินเตอร์เน็ตเริ่ทบูมเลยมั้ง โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 7 ตุลาคม 2564 เวลา:16:46:56 น.
ผมก็ชอบดู ชอบถ่ายภาพเฟิร์นข้าหลวง
เวลากำลังจะแตกใบใหม่ เค้าม้วนตัวสวยดีครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:12:47:13 น.
สงสารเจ๊หวี ครับ!!!
เดาว่านางคงเหงา พอเจอพวกพี่บอลที่เป็นมิตร ก็อยากจะมาฝังตัวอยู่ด้วย ก็อยู่ต่างแดนก็อยากหาเพื่อนแหละครับ โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:16:09:25 น.
|
ทนายอ้วน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?] Friends Blog
|