Group Blog
กันยายน 2565

 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
ถนนสายนี้ ... มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 310 "ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป"





 ถนนสายนี้ ... มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 310
 



 
 

"ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป"
 



 
 
โจทย์โดย
คุณ กะว่าก๋า




 
 
สมัยที่เจ้าของบล็อกกำลังจะจบชั้นมัธยมต้นมีทางเลือกอยู่  2  ทาง  คือ  ถ้าจะเรียนต่อปริญญาตรีให้เลือกเรียนสายสามัญ  ม.4 – 5 - 6  แล้วสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย  หรือเลือกที่ไปเรียนสายอาชีพ  สายอาชีพที่อยู่ในความรับรู้ของเจ้าของบล็อกก็มี สายช่าง  ช่างเหล็ก  ช่างไม้  ช่างปูน  ซึ่งไม่ได้อยู่ในความสนใจของเจ้าของบล็อกเลย  และสายพาณิชยกรรม  ซึ่งเจ้าของบล็อกก็เรียนอ่อนวิชาคำนวณอีกน่าจะไม่เหมาะ  เจ้าของบล็อกเลือกที่เรียนสายสามัญต่อ  สอบเข้ามหาวิทยาลัย  ทำงาน  1  ปี  แล้วเดินทางไปเรียนต่อเมืองนอก  เหมือนหลายๆคน
 
 









ที่ประเทศออสเตรเลียซึ่งเจ้าของบล็อกเลือกไปเรียนต่อปริญญาโทกฎหมาย  มีเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาที่ทำให้เจ้าของบล็อกตื่นเต้นก็คือ  ทุกๆมหาวิทยาลัยจะเป็นคล้ายๆ 
“มหาวิทยาลัยเปิด”  คือถ้ายกเว้นนักเรียนที่จบชั้นมัธยมปลายแล้ว  “ใครๆก็สามารถสมัครเรียนคณะใดๆก็ได้โดยไม่ต้องสอบเข้า” 
 
 












จำได้ว่าเจ้าของบล็อกเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า  เมื่อตอนที่ไปถึงเมืองเมลเบิร์น  ประเทศออสเตรเลีย  2 – 3  เดือนแรก  เจ้าของบล็อกได้ไปพักอยู่กับครอบครัวเพื่อนชาวเยอรมันที่เคยทำงานในประเทศไทย  และเจ้าของบล็อกเคยสอนภาษาไทยให้ระหว่างที่อยู่เมืองไทยหลายปี  ฝ่ายภริยารู้สึกว่าจะจบ  Technical  Collage  จากประเทศเยอรมัน  (เทียบเท่ากับระดับ ปวส.  หรือ  อนุปริญญา)  เมื่อเจ้าของบล็อกเดินทางไปเรียนต่อฝ่ายภริยากำลังเรียนปริญญาตรีคณะ  Education  (ประมาณครุศาสตร์ / ศึกษาศาสตร์)  ซึ่งในขณะนั้นฝ่ายภริยาอายุ  40  กว่าปีแล้วนะครับ  (ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนภาษาเยอรมันในโรงเรียนหญิงแห่งหนึ่งในเมลเบิร์นและเปิดโรงเรียนสอนภาษาเยอรมันที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลเยอรมันเพียงแห่งเดียวในเมลเบิร์น)






 




 
เมื่อเจ้าของบล็อกเริ่มที่เรียนปริญญาโท  ได้สนทนากับ  Professor  ที่สอนเจ้าของบล็อกหลายๆคน  เหมือนกับเปิดโลกทางการศึกษาให้เจ้าของบล็อกเลยครับ  เจ้าของบล็อกได้รู้จักระบบการเรียนการสอนแบบต่างๆ  ที่ต่างไปจากที่เมืองไทยมีอยู่ตอนโน้น  ได้รู้จักเส้นทางการศึกษาของคนๆหนึ่งว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับ  มัธยมต้น  -  มัธยมปลาย - ปริญญาตรี - โท - เอก  เสมอไป  อาจจะเรียนมัธยมต้นจบแล้วไปทำงานก่อน  ค่อยมาเรียนต่อมัธยมปลาย  แล้วไปทำงานอีกครั้งค่อยมาเรียนปริญญาตรีก็ได้  ที่สำคัญเจ้าของบล็อกได้รู้ว่า  “คณะนิติศาสตร์ที่ฮอตฮิตในหมู่นักเรียนมัธยมปลายตอนนี้  คนต่างชาตินิยมที่จะเรียนเป็นปริญญาใบที่สองเมื่อมีประสบการณ์ทำงานแล้ว”  เพราะการเรียนคณะนิติศาสตร์จะต้องใช้เหตุผลเข้ามาประกอบ  ใช้การทำธุรกิจเข้ามามีส่วน  (ถ้าเรียนกฎหมายธุรกิจ)  ที่สำคัญคนที่จะเรียนคณะนิติศาสตร์ได้ดีจะต้องมี  วุฒิภาวะ  พอสมควร  จึงจะสามารถตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิดได้








 


 
เมื่อเจ้าของบล็อกเรียนจบกลับมาทำงานที่เมืองไทย  ก็มีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์คนเข้ามาทำงานในฝ่ายกฎหมาย  แรกๆเจ้าของบล็อกจะให้คะแนน +  กับคนที่จบมหาวิทยาลัยมีชื่อของรัฐ  แต่พอได้สัมภาษณ์กันจริงๆแล้วเจ้าของบล็อกแทบละลบคะแนน  +  เปลี่ยนเป็นคะแนน  -------  แทบไม่ทัน  เนื่องจากผู้มาสัมภาษณ์งานบางคนที่จบมหาวิทยาลัยมีชื่อก็อ่อนวิชาการบ้าง  ทัศคติในการทำงานบิดเบี้ยวบ้าง  ไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะทำงานภายใต้ความกดดันบ้าง




ในขณะที่ผู้มาสัมภาษณ์งานบางคนที่จบมหาวิทยาลัยรองๆลงมากลับมีศักยภาพสูงกว่าหลายช่วงตัวนัก 








 






มีผู้สัมภาษณ์คนนึงจบปริญญาโทมาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อในออสเตรเลีย  เวลาเจ้าของบล็อกกลับจากประเทศออสเตรเลียมาทำงานได้ปีกว่าแล้ว  ก่อนสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษเจ้าของบล็อกหวั่นๆเล็กน้อยว่าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ดีเท่ากับตอนที่เพิ่งกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ .......
 
 


พอเข้าห้องสัมภาษณ์เจ้าของบล็อกก็เปิดฉากคุยกันเป็นภาษาอังกฤษก่อน  พูดแบบยาวๆ  (เป็นการกดดันนิดๆ  อิอิอิ)  เห็นผู้เข้าสัมภาษณ์รายนั้นนั่งฟังนิ่งๆ  เจ้าของบล็อกก็เลยพูดต่อไปเรื่อยๆ  จนจบ  ..... ผู้เข้าสัมภาษณ์เอ่ยขึ้นมาว่า ...
 
 



........
“ขอโทษค่ะ  หนูฟังไม่ออกค่ะ”  ........ 
 



เจ้าของบล็อกตกใจมากๆ  นึกว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีเอาเสียเลย  .....
 
 


ผู้เข้าสัมภาษณ์รายนั้นอธิบายต่อว่า  ...... 
“คือว่าหนูใช้ภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งค่ะ” 



 
 
เจ้าของบล็อกงงเลยครับ  นักเรียนปริญญาโทกฎหมายจากเมืองนอกทำไม  “ใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย”  ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มสัมภาษณ์งานกันแท้ๆ  ยังคุย – ถาม  กันเรื่องทั่วไปอยู่
 



 
เมื่อเธออธิบายมากขึ้นเจ้าของบล็อกถึงได้รู้ว่าปริญญาโทกฎหมายที่เธอเรียนมานั้นเป็นแบบ  Online  Program  ครับ  อยู่ที่ไหนก็เรียนได้  ไม่ต้องไปอยู่ที่ออสเตรเลียก็เรียนได้  แต่เวลาจะสอบต้องเดินทางไปสอบที่มหาวิทยาลัย  ซึ่งเธอก็เดินทางไปสอบที่ออสเตรเลียแค่  3  ครั้ง  ระยะเวลาการสอบก็ใช้เวลาครั้งละไม่เกิน  1  อาทิตย์  .......  สรุปก็คือว่าเธอจบปริญญาโทกฎหมายโดยการใช้เวลาเรียนอยู่ในเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่ครับ
 



 
จริงๆเจ้าของบล็อกว่าจะเล่าเรื่องถึงการวางแผนการศึกษาให้หลานสาวต่อนะครับ  แต่เห็นว่าน่าจะยาวเกินไป  เรื่องการวางแผนการศึกษาให้หลานสาวเก็บไว้เล่าในโจทย์อื่นดีกว่าครับ 



























 
136137136



Create Date : 11 กันยายน 2565
Last Update : 11 กันยายน 2565 12:53:40 น.
Counter : 1097 Pageviews.

11 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปัญญา Dh, คุณtanjira, คุณกะว่าก๋า, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณกิ่งฟ้า, คุณnonnoiGiwGiw, คุณtoor36, คุณเริงฤดีนะ, คุณhaiku, คุณหอมกร, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณไวน์กับสายน้ำ

  
จากที่บล็อก
คงจะเป็นการเล่นๆ กันครับ

ขอบคุณกำลังใจด้วยครับ
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:13:10:56 น.
  
อ่านบล็อกคุณบอล
แล้วเห็นภาพชัดเลยครับ
ว่าสถาบันที่จบมา
ไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพในการทำงานเลย

เพื่อนมาดามเคยจบจากนอก
แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เช่นกัน
ผมก็แปลกใจครับว่าทำไมพูดไม่ได้ แต่ไปเรียนได้
เค้าบอกว่าไปอยู่กับครอบครัวคนไทยที่นั่น
ตอนเรียนก็เน้นแต่ทำรายงาน
ไม่ได้เป็นสาขาวิชาที่ต้องพูดหรือแสดงควาคิดเห็นอะไรมาก
เรียนจบก็กลับมาประเทศไทย

ผมเสียดายมากครับที่ตอนเด็กไม่ตั้งใจเรียนภาษา
พอโตมาดันมาทำงานในสายงานที่ต้องใช้ภาษาด้วย 5555
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:14:45:08 น.
  
สวัสดีค่ะคุณบอล

อ่านมาจนจบ ทำให้พี่นึกถึงตอนที่ไปอยู่กับลูกสาวค่ะ
วันนั้นเธอประชุมออนไลน์ คือทุกคนต้องใช้ภาษาอังกฤษในการประชุม
แม้ว่าคนที่ประชุมด้วยกันคือคนไทย ก็ไม่แปลกเนาะ ได้ฝึกภาษานะคะ
ลูกสาวบอกว่าตอนแรกหนูส่งเมลไปหาคนหนึ่งในนี้ เป็นภาษาไทย
เค้าตอบมาว่า เค้าอ่านภาษาไทยไม่ออก ช่วยส่งเมลเป็นภาษอังกฤษให้เค้าด้วย
ลูกสาวถาม แม่งงไหม? มีคนแบบนี้ด้วยนะ แต่หนูก็พยายามเข้าใจแหละ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเมลภาษอังกฤษ
แต่ที่ส่งไปไม่ได้เป็นอะไรที่ทางการ เป็นการคุยปกติ หุหุ

บางคนไม่รู้ ไม่เก่งก็บอกกันไปเนาะ
แต่บางคนก็เว่อร์วังเกินเหตุไปนิด

ดีจังค่ะคุณบอลวางแผนการเรียนของหลานไว้ตั้งแต่ตอนนี้
ดูแลหลานได้ดีจริงๆ คนเป็นแม่หายห่วงเลยค่ะ

สุขกายสบายใจนะคะคุณบอล


โดย: tanjira วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:14:53:05 น.
  
แต่ก่อนผมก็ยึดติดกับสถาบันมากเลยครับ ว่าจบจากที่นี่่การันตีแน่นอน แต่พอทำงานไปได้สักพัก แบบที่คุณบอลเขียนเลยครับ ทัศนคติในการทำงานคนที่ไม่ต้องจบจากสถาบันดังบางครั้งก็ดีกว่ามาก ๆ ครับ
จากบล็อก
แถวโซนอีสานน่าเที่ยวแทบจะทุกจังหวัดเลยนะครับ
โดย: The Kop Civil วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:14:54:29 น.
  
สวัสดีค่ะคุณบอล แวะมาอ่านตะพาบค่ะ ขอบคุณที่ไปให้กำลังใจบล็อกตะพาบนะคะ

ภาษาอังกฤษ นี่เราเรียนมาตั้งแต่อนุบาลเลยนะคะ แต่ทำไมคนไทยเราบางคนไม่เก่ง พูดไม่ได้ ไม่ได้ว่าเค้าจะไม่รู้นะคะแต่ๆๆคงเป็นเพราะคนไทยเราไม่นิยมพูดภาษาอังกฤษกันไงคะเมื่อเราไม่ได้ฝึกพูดถึงเวลาจำเป็นก็ไม่กล้าพูด อาย กลัวผิด บางทีนึกนึกคำศัพท์ไม่ทันก็มีนะคะ อิอิ

ฉะนั้น หลักสูตร่น่าจะเพิ่มการสนทนาภาษาอังกฤษเข้าไปในบเรียนให้มากๆและ ถ้าจะให้ดีครูก็ควรจะเป็นผู้ที่พูดภาษาได้เก่งมากๆมาสอนเด็กๆนะคะ เราอาจจะแก้ปัญหาเด็กพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ให้กลายเป็นเด็กที่พูดภาษาเก่ง

เห็นประเทศพม่า ประเทศลาว เค้าเคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แต่ปัจจุบันคนพ่ม่า คนลาว ภาษาอังกฤษเค้าดีมากกว่าเรานั่นอาจจะเป็นเพราะเค้าได้สัมผัสกับเจ้าของภาษาจริงๆด้วยเวลาที่ยาวนานจึงสามารถสื่อสารกันได้เลย ก็น่าจะเป็นไปได้นะคะ หรืออาจจะถูกบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาหลักไปเลยก็ว่าได้


Education Blog



โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:16:04:20 น.
  
อารมณ์แบบขาดประสบการณ์เพราะเรียนออนไลน์จากที่ไทย มันไม่ค่อยได้ใช้ ไม่ต้องแปลกใจถ้าคนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แค่ ครึ่งปีก็สามารถพูดได้คล่องแล้ว

อันที่จริงวิชาภาษาอังกฤษในไทยต้องพัฒนาที่ครูเป็นหลักเลย เด็กมันหัวเราะเยาะกํนอยู่แล้ว แต่ถ้าครูไม่ทำให้เกมกลับเข้ามาเป็นของบครูเอง ทุกอย่างจะพังทันที เด็กที่กล้าพูดอาจกลายเป็นกากไปในทันที ซึ่งครูหลายคนควบคุมเกมลักษณะนี้ได้ เขาจะชื่นชมคนที่พูดแล้วโดนเพื่อนๆ หัวเราะเยาะทันที

ความจริงเรื่องเรียนภาษาแล้วบอกว่าพูดคล่อง ต้องถามว่าคล่องในที่นี้ยังไง ถ้าแค่พูดคุยสื่อสารเอาตัวรอดจากการใช้ชีวิตท่องเที่ยวอันนี้มันธรรมดา แต่ถ้าระดับใช้ในการทำงาน ใช้ในการสัมนาหรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงวิเคราะห์ อันนั้นก็จะเป็นอีกระดับ ทุกภาษาน่าจะเหมือนกันหมด ภาษาจีนที่ผมเรียนก็เช่นกัน เรียนจบที่ไทยคะแนดีด้วยแต่สื่อสารกัยคนจีนไม่ได้เลย

ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับ
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:16:36:07 น.
  
พูดไม่ได้..
แต่จบ กฏหมาย..งั้น เธอผู้นั้นก็ต้องมีทักษะเกี่ยว Reading และ writing ซิคะ
งงๆ..หรือแนวปริญญาห้องแถว


อนึ่ง....ก็ไม่ใช่ทุกคนจาก มหาลัยดังจะไร้วุฒิภาวะ
หลายๆEQคนมาจากครอบครัวมีสตังค์..
จบปุ๊ปี่บ้านก็ให้ก็เรียนต่อ..
EQ ก็สำคัญกว่า IQ กรณีทำงานในองค์กรทั่วไป
ที่ไม่ใช่ธุรกิจในครอบครัว


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:17:37:45 น.
  
ฟังจากที่เล่าเรื่องการศึกษาในบ้านเรานี่ยัง
ต้องปฏิรูปอีดเยอะเลยจ้า ยังไม่ไปถึงไหนจริงๆ คุณบอล



โดย: หอมกร วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:21:09:27 น.
  
ผมเกือบตกทั้งไทย และ อังกฤษครับ
แต่งานที่ทำเกี่ยวกับตัวเลข+เขียนภาษาอังกฤษ
แต่ก็พยายามเรียนการพูดภาษาอังกฤษ พอทักทายคุยกันได้บ่างครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 11 กันยายน 2565 เวลา:22:32:32 น.
  

อรุณสวัสดิ์ครับคุณบอล

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กันยายน 2565 เวลา:5:25:33 น.
  
คนที่ทำงานแล้วได้เข้าศึกษาต่อ ผมว่าได้เปรียบหลายอย่าง

บางมหาลัย..ให้คนจบดีแต่ยังไม่เคยทำงานมาสอน... ถ้าเราไปนั่งฟัง
ถูกสอนก็ขำไม่ออก

อย่างอาชีพผม กม.บังคับไว้ใบอนุญาตที่จะเซ็นรับรองงบการเงินได้
ทุุก 3 ปีต้องเข้ารับการอบรมเพิ่มเติมเราก็ต้องเสียเงินไปถูกอบรม
ฟื้นฟูใหม่... มีอยู่ปีหนึ่ง อาจารย์หญิงสอน พวกผมที่มาจากบริษัทต่าง ๆหรือ สายตรวจบัญชีคือ ทำงานบัญชีตีโจทย์ทุกวัน อาจารย์สอนไป
เราก็นั่งมองตากัน ไม่กล้าพูดอะไร คืออาจารย์พูดผิดหลักความจริง
ผิดหลัก กม.ภาษี .. วันหลังอีก.. เราเลยกระซิบว่า เฉย ๆ ไว้ถ้าขืน
ไปทักท้วงเกิดชีหมั่นใส้ ไม่ผ่านทดสอบยุ่งแน่ หุ หุ

เล่าสู่กันฟังครับคุณบอล
โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 16 กันยายน 2565 เวลา:6:30:24 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทนายอ้วน
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?]