The House of Sand สัมพัทธภาพวิมานทราย
The House of Sand สัมพัทธภาพวิมานทราย- พล พะยาบ - คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 5 มีนาคม 2549 ปี 2005 โลกเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 1 ศตวรรษ ปีอัศจรรย์ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ โดยยูเนสโกประกาศให้เป็นปีฟิสิกส์โลก อาจจะด้วยเหตุดังกล่าว บราซิลจึงมีหนังเรื่อง The House of Sand(Casa de Areia) ออกฉายในปีเดียวกัน เปล่า, The House of Sand ไม่ใช่หนังวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เอ่ยถึงไอน์สไตน์แม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นหนังที่เอ่ยอ้างถึงเหตุการณ์สำคัญซึ่งเกิดขึ้นที่บราซิล อันเป็นเสมือนหนึ่งในหลักไมล์ทางวิทยาศาสตร์ กระทั่งส่งผลให้ชื่อของไอน์สไตน์โด่งดังทั่วโลก เหตุการณ์นั้นคือ การสังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษนำโดย เซอร์ อาร์เธอร์ แอดดิงตัน เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1919 คราวนั้น แอดดิงตันแบ่งกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เป็น 2 กลุ่ม เพื่อป้องกันความผิดพลาด ตัวเขามุ่งหน้ายังเกาะพรินซิปี ชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก โดยให้ แอนดรูว์ ครอมเมลิน นำทีมที่โซบราล ประเทศบราซิล การสังเกตการณ์ประสบความสำเร็จ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปได้ข้อพิสูจน์ว่าเป็นเช่นนั้นจริง ไอน์สไตน์จึงกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกนับแต่นั้น ขณะที่เมืองโซบราลถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์วงการวิทยาศาสตร์โลกนับแต่นั้นเช่นกัน The House of Sand ไม่ได้เพียงนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาใส่ประกอบเรื่องราวเท่านั้น แต่ยังได้นำแนวคิดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมาเปรียบเทียบกับชีวิตของ 3 ตัวละคร โดยเชื่อมโยงกับสถานที่และกาลเวลาได้อย่างน่าชื่นชม เรื่องราวครอบคลุมคน 3 รุ่น เริ่มจากวาสโก้ ชายชรานำออเรีย ภรรยายังสาวซึ่งกำลังตั้งครรภ์ และดอน่า มาเรีย แม่ของเธอ เดินทางฝ่าสายลมแรงร้อนระอุมายังดินแดนทรายสีขาวแห่งรัฐมารันเฮา เพื่อลงหลักปักฐานในที่ดินที่ซื้อเอาไว้ สภาพแห้งแล้ง ไร้ผู้คน เวิ้งว้างว่างเปล่าราวกับทะเลทรายกว้างไกล ทั้งยังได้รับการต้อนรับแบบไม่เป็นมิตรจากคนพื้นเมือง มองไม่เห็นว่าจะสามารถดำรงชีวิตที่นี่ได้ เมื่อชายชราประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ออเรียและแม่จึงต้องดิ้นรนหาทางรอดกันตามลำพัง แม้จะมีโอกาสหนีไปจากที่นี่แต่อุปสรรคเรื่องระยะทางไกลลิบและสภาพอากาศอันเลวร้ายทำให้ทั้งสองเหมือนถูกจองจำไร้ทางออก โชคดีที่พวกเธอได้รับความช่วยเหลือจากมาสซู ชายชาวประมงคนพื้นเมืองผู้หลงใหลออเรีย เมื่อมาเรีย ลูกสาวเริ่มเติบโต ออเรียก็ยิ่งคิดหาทางไปจากที่นี่ เพราะเธอไม่ต้องการให้ลูกอยู่ในดินแดนแห่งนี้ไปตลอดชีวิต ความหวังของออเรียถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งครั้งหนึ่งที่ออเรียได้พบกับหลุยส์ ทหารซึ่งมากับทีมนักวิทยาศาสตร์ แต่อุบัติเหตุทรายถล่มบ้านได้พรากแม่ไปเสียก่อน กระทั่งเหนี่ยวรั้งเธอจนพลาดนัดกับหลุยส์ 20 ปีต่อมา ออเรียย้ายมาอยู่กับมาสซู ขณะที่มาเรียกลายเป็นสาวรุ่นที่วันๆ เอาแต่สนุกกับเพื่อนชายหลายคน สงครามโลกครั้งที่สองได้นำพาหลุยส์ในวัยกลางคนกลับมาที่นี่อีกครั้ง พร้อมกับรับเอาหญิงสาวคืนสู่เมืองตามคำขอร้องของออเรีย 30 ปีต่อมา มาเรียกลับมายังบ้านทรายสีขาวอีกครั้ง ในดินแดนไร้กาลเวลา ออเรียจะเป็นเช่นไร... เหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงถูกใส่ไว้ในฉากสำคัญ เมื่อออเรียเดินเท้าจากบ้านกลางแดดร้อนแล้งมากว่า 1 วัน ระหว่างทางเธอแหงนมองเห็นเงาวงกลมสีดำค่อยๆ เคลื่อนบังดวงอาทิตย์จนบรรยากาศรอบตัวมืดสนิท ก่อนจะได้พบคาราวานนักวิทยาศาสตร์ที่มาสังเกตการณ์เหตุการณ์ดังกล่าว(โซบราลอยู่ในรัฐเซียรา ติดกับรัฐมารันเฮา ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก) ออเรียเห็นคนกลุ่มนั้นดีใจกับรูปที่ถ่ายได้ เฉลิมฉลองกันราวกับงานเทศกาล หลุยส์บอกกับออเรียว่าคนเหล่านั้นมาที่นี่เพื่อถ่ายรูปดวงอาทิตย์ในเวลาฟ้ามืดสนิทเพื่อจะได้จับตามองอะไรบางอย่าง อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าพวกเขาจะมาที่นี่อีกครั้งเพื่อจับตามองในจุดเดียวกันว่าเคลื่อนที่ไปอย่างไร หลุยส์เล่าอีกว่ามีชายคนหนึ่งอ้างว่าถ้าจับเด็กแฝดคนหนึ่งไปไว้ที่ดวงจันทร์ อีกคนหนึ่งอยู่บนโลก เมื่อเวลาผ่านไป หากคนบนดวงจันทร์กลับมายังโลก เขาจะอายุมากกว่าอีกคนหนึ่ง นี่คือสาระสำคัญจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ว่าด้วยความโน้มถ่วงมีผลต่อเวลา ซึ่งตัวละครไม่ได้เอ่ยออกมาโดยตรง เรื่องราวการเดินทางจากไปและการกลับมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงจากทฤษฎีของไอน์สไตน์ ถูกนำมาวางทาบเปรียบเทียบกับเรื่องราวของหญิงสาวกลางดินแดนทรายสีขาวได้อย่างงดงาม ด้วยการตัดข้ามช่วงวัยของตัวละครจนเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกใจหายได้เช่นกัน เมื่อการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ตั้งตัว หนังใช้วิธีให้นักแสดงเพียง 2 คนรับบทตัวละครทั้ง 3 ตัวตามช่วงวัย ตัดข้ามแต่ละช่วงชีวิตโดยไม่มีเกริ่นนำด้วยภาพหรือคำบรรยายใดๆ ทำให้การพบตัวละครตัวหนึ่งกลายเป็นอีกตัวละคร เช่นผู้แสดงเป็นแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว กลายเป็นออเรียวัยกลางคน ส่วนผู้แสดงเป็นออเรียกลายเป็นมาเรีย ทำให้ผู้ชมเกิดความสับสนและใจหายได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังช่วยให้การเปลี่ยนแปลงของตัวละครไม่ดูเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเลยพ้นไป แต่ยังเชื่อมถึงกันอย่างแน่นแฟ้นมีน้ำหนัก แก่นสารอีกประการของหนังคือภาพความขัดแย้งระหว่างชีวิตอารยะกับอนารยะ และชาติอาณานิคมกับคนพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นตัวละครผิวขาวจากชาติอาณานิคมถูกปล่อยทิ้งไว้ในดินแดนเถื่อน ต้องดำรงชีวิตโดยพึ่งคนพื้นเมืองผิวดำ วัฒนธรรมคนเมือง-วัฒนธรรมจากแดนศิวิไลซ์ไร้ความหมาย เมื่อดินแดนทรายสีขาวกว้างไกลราวกับไร้ทางติดต่อกับโลกภายนอกได้กลบกลืนไปเสียสิ้น กระทั่งเสียงเพลงของโชแปงในฉากสุดท้ายจึงมีความหมายกับออเรียราวกับเสียงสวรรค์ที่เธอรอคอยมานานแสนนาน ดินแดนทรายสีขาวจึงเปรียบเหมือนโลกอีกโลกหนึ่ง แยกต่างหากจากโลกวุ่นวายภายนอกที่เคลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่ว่าจะด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง สภาพภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของมารันเฮาซึ่งเป็นฉากหลังของหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า Parque dos Lencois ซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งเนินทราย แม่น้ำ ชายทะเล ทะเลสาบ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าโลกของตัวละครคือดินแดนประหลาดที่แปลกแยกจากโลกจริงๆ ขณะเดียวกัน ภูมิประเทศที่ผสมผสานยังสอดรับกับเรื่องราวที่ตัวละครต่างชาติพันธุ์ ต่างที่มา ได้มาใช้ชีวิตร่วมกันในยูโทเปียส่วนตัว ต้องชื่นชมเป็นพิเศษกับการถ่ายภาพอันยอดเยี่ยมของริคาร์โด เดลลา รอสซา ผู้ทำให้ผืนทราย สายน้ำ แสงอาทิตย์ ณ ดินแดนทรายสีขาว ราวกับมีชีวิตในทุกฉาก เสริมส่งด้วยการกำกับฯของแอนดรูชา แวดดิงตัน เนรมิตให้หนังมีน้ำเนื้อชีวิตให้สัมผัสเข้าถึง The House of Sand ได้นักแสดงหญิงคนสำคัญของบราซิล 2 คนมาประชันบทบาทกัน นั่นคือ เฟอร์นานดา ทอร์เรซ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเมืองคานส์ ในบทออเรีย และมาเรียวัยสาว ขณะที่เฟอร์นานดา มอนเตเนโกร ซึ่งมีดีกรีหมีเงินจากเบอร์ลินและเข้าชิงออสการ์มาแล้ว ควบถึง 4 บทบาท นั่นคือในบทแม่ บทออเรียวัยกลางคนและวัยชรา รวมทั้งมาเรียวัยกลางคนงดงามและลึกซึ้ง...นี่คือหนังที่ผู้เขียนประทับใจที่สุดในบางกอกฟิล์ม 2006
Create Date : 08 มิถุนายน 2549
3 comments
Last Update : 21 สิงหาคม 2549 2:27:53 น.
Counter : 2500 Pageviews.
โดย: LunarLilies* IP: 61.90.145.226 8 มิถุนายน 2549 16:54:58 น.
โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) 8 มิถุนายน 2549 18:21:05 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................select movie / blog ....... --international-- ....... The Walking Dead I Wish I Knew 127 Hours The Expendables vs. Salt No puedo vivir sin ti Bright Star The World is Big and Salvation Lurks Around the Corner Sin Nombre Invictus Afghan Star Moon Gigante The Promotion An Education Up in the Air Snow (Snijeg) Liverpool Tahaan Lion's Den Tulpan Everlasting Moments Absurdistan Topsy-Turvy Ramchand Pakistani The Pope's Toilet Antonio's Secret พลเมืองจูหลิง Flashbacks of a Fool And When Did You Last See Your Father? The Boy in the Striped Pyjamas Gran Torino Departures Gomorra Abouna + Daratt Grace Is Gone The Road to San Diego Into the Wild Slumdog Millionaire The Silly Age The Year My Parents Went on Vacation It's Hard to Be Nice Ben X Caramel The Class Kings จาก Kolya ถึง Empties The Unknown Woman Dokuz Heima Cocalero The Blood of My Brother & Iraq in Fragments 12:08 East of Bucharest Rescue Dawn Mongol 6 : 30 Something Like Happiness To Each His Cinema The Counterfeiters ข้างหลังภาพ Lions for Lambs + Michael Clayton Father and Daughter Possible Lives กอด The Buried Forest รัก-ออกแบบไม่ได้ Lights in the Dusk The Piano Teacher Do You Remember Dolly Bell? Sisters in Law Al Otro Lado A Time for Drunken Horses Zelary Bug The Invasion The Science of Sleep Paris, I love you Still Life The Lives of Others Heading South Renaissance ABC Africa The Death of Mr. Lazarescu Maria Full of Grace The Last Communist Eli, Eli, lema sabachthani? 4 : 30 Late August, Early September The Circle The Cave of the Yellow Dog Italian for Beginners Love/Juice Your Name is Justine The Syrian Bride Dragon Head Reconstruction Eros The Scarlet Letter The Night of Truth Familia Rodante Bonjour Monsieur Shlomi Lantana Flanders Tokyo . Sora The World Whisky Buffalo Boy S21 : The Khmer Rouge Killing Machine Fire, Earth, Water C.R.A.Z.Y. All about My Mother Jasmine Women Battle in Heaven The Day I Became a Woman Man on the Train CSI : Grave Danger Innocence Life Is a Miracle Drugstore Girl Der Untergang The Bow Happily Ever After The Wayward Cloud The House of Sand Or, My Treasure Janji Joni Moolaade Vodka Lemon Angel on the Right Twentynine Palms The Taste of Tea ....... --independent-- ....... Goodbye Solo The Hurt Locker (500) Days of Summer Towelhead Kabluey Three Burials of Melquiades Estrada Titus Chuck & Buck The Woodsman Pollock Last Days The Limey Inside Deep Throat Coffee and Cigarettes Garden State My Name is Joe Sexy Beast Real Women Have Curves The Brown Bunny Before Sunset Elephant Bubble You Can Count on Me 9 Songs ....... --classic-- ....... Memories of Underdevelopment (1968) The Last Laugh The Snows of Kilimanjaro The Cabinet of Dr.Caligari Nanook of the North The Apu Trilogy ....... --หนังมีไว้ให้คิด-- ....... The Schoolgirl's Diary Long Road to Heaven The Imam and the Pastor Maquilapolis ....... --what a film!-- ....... Kabuliwala (1956) Macunaima (1969) Kozijat rog (1972) The Girl and the Echo (1964) Fruits of Passion (1981) Happy Gypsies (1967) ....... --introducing-- ....... Death Race 2000 (1975) ซอมบี้ปากีฯ+ผีดิบมาเลย์+ซูเปอร์แมนตุรกี Zinda Muoi Father and Daughter ....... --directed by-- ....... Ouran (1968) Pierwsza milosc (1974) Salome (1978) 4 หนังสั้น เคียรอสตามี recommended ....... - 'รงค์ วงษ์สวรรค์ กับภาพยนตร์ - เทมาเส็ก พิคเจอร์ส - Heading South - Still Life - The Apu Trilogy - The Day I Became a Woman - จาก Fire, Earth สู่ Water พญาอินทรี ศราทร @ wordpress
1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
ตามอ่านไม่ทันแว้วววบอสสส
อ้อๆ ว่าจะบอกตั้งนานแล้นว่า
บล๊อคของบอสสวยดีจัง
ตัวหนังสือกับสีอ่านง่ายดีด้วยอ่ะค่ะ
คนอารายยยเก่งไปหมดทุกเรื่องเลยวุ้ย
ปล.กะลังรีบทาสีบ้านกะหาของตกแต่งอยู่ฮับ
ใกล้เสร้จแล้นล่ะ