The Blood of My Brother & Iraq in Fragments : อิรัก เรียลิตี้
The Blood of My Brother & Iraq in Fragments อิรัก เรียลิตี้พล พะยาบ คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 6 และ 13 มกราคม 2551 (1) หากการนำเสนอเรื่องราวโดยถ่ายทำด้วยการถือกล้องด้วยมือซึ่งให้ภาพสั่นไหวดิบหยาบในหนังเกี่ยวกับวิกฤตตะวันออกกลางอย่าง Syriana (2005) และเห็นชัดขึ้นใน The Kingdom (2007) คือการใช้ประโยชน์จากความคุ้นเคยของผู้คนที่มีต่อภาพข่าวทางโทรทัศน์ โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับอิรักที่มีให้เห็นทุกเมื่อเชื่อวัน เพื่อสร้างความสมจริงให้แก่ภาพยนตร์ หนังสารคดีอย่าง The Blood of My Brother : A Story of Death in Iraq (2005) และ Iraq in Fragments (2006) ย่อมเป็นความสมจริงที่มาพร้อมกับความน่าเชื่อถือ ในยุคที่ใครก็เป็นผู้เสนอข่าวสารข้อเท็จจริงได้เพียงแค่มีกล้องวิดีโอ ซึ่งเข้ามาทดแทนข้อเท็จจริงอันขาดพร่องจากการหลีกเลี่ยง-ปกปิด-บิดเบือนของสื่อกระแสหลักและอำนาจรัฐ ดังนี้ เราจึงได้เห็นภาพความเป็นไปของชาวมุสลิมในอิรักซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากน้ำมือของสหรัฐอเมริกาในแง่มุมที่ไม่อาจสัมผัสพบเห็นได้ทั่วไป แม้ภาพที่เห็นจะเป็นตัวอย่างเพียงส่วนน้อย ไม่ได้ครอบคลุมทุกอาณาบริเวณแห่งปัญหาและความทุกข์ยากก็ตาม The Blood of My Brother : A Story of Death in Iraq (2005) หนังสารคดีความยาว 90 นาที เป็นผลงานของ แอนดรูว์ เบอเรนด์ส ช่างภาพชาวนิวยอร์คซึ่งยังไม่เคยกำกับหนังมาก่อน นอกจากเป็นโปรดิวเซอร์หนังสารคดีชีวิตชาวประมงเรื่อง Urk(2003) และเคยตัดต่อหนังเล็กๆ เรื่อง Sometime in August(1999) เขาใช้เวลา 6 เดือน ในอิรัก บันทึกภาพความเป็นไปต่างๆ ได้กว่า 150 ชั่วโมง ผลิตเป็นหนังสารคดี 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือ When Adnan Comes Home เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของเด็กหนุ่มวัย 16 ปี ที่ถูกจับข้อหาขโมยสายเคเบิล อีกเรื่องคือ The Blood of My BrotherThe Blood of My Brother เล่าถึงการจากไปของ ราอัด ชายหนุ่มผู้ถูกทหารอเมริกันยิงเสียชีวิต ขณะอาสาไปอารักขามัสยิดหลังจากเกิดเหตุระเบิดพลีชีพในเขตคาดิมิยา กรุงแบกแดด แม้ศพของเขาจะได้รับการแห่แหนยกย่องจากชาวเมืองในฐานะผู้สละชีวิตเพื่อศาสนา แต่ก็ยังไม่อาจเยียวยาความโศกเศร้าและความยากลำบากให้แก่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง เมื่อขาดราอัดซึ่งเป็นลูกชายคนโตและเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว อิบราฮิม น้องชายวัย 19 ปี จึงต้องรับภาระดูแลครอบครัวโดยเดินหน้ากิจการร้านถ่ายรูปของพี่ชายต่อไป ทั้งที่ใจของอิบราฮิมอยากแก้แค้นเอาคืนโดยร่วมกับกองกำลังซึ่งเคลื่อนไหวต่อต้านสหรัฐ นอกจากเรื่องราวของอิบราฮิมและครอบครัวแล้ว หนังนำเสนอปฏิบัติการของทหารอเมริกันร่วมกับทหารอิรักในการกวาดล้างอาวุธและตรวจจับฝ่ายต่อต้าน และเน้นเป็นพิเศษกับภาพความเคลื่อนไหวที่แสดงถึงการปะทุเชื้อความชิงชังอเมริกันในหมู่ชาวมุสลิมชีอะห์ผู้เคารพศรัทธาในตัว ม็อกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์ หนึ่งในผู้มีอิทธิพลสูงสุดของอิรักทั้งทางการเมืองและศาสนา ในซาเดอร์ ซิตี้ อันเป็นฐานที่มั่นของเขา โดยมีกองทัพมาห์ดีซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธคอยเปิดศึกปะทะกับทหารสหรัฐทั้งในซาเดอร์ ซิตี้ และนาจาฟ ไม่ไกลจากบ้าน ชาวอิรักจำนวนหนึ่งพกพาความชิงชังเคียดแค้นไม่ต่างจากที่อิบราฮิมมีอยู่เต็มอกตอบโต้สหรัฐ แต่อิบราฮิมกลับจำต้องหันหลังให้เพื่อดูแลครอบครัว ท่ามกลางปัญหาหนี้สินมากมายและกิจการร้านถ่ายรูปซึ่งไม่อาจเดินหน้าได้ต่อไป สำหรับ Iraq in Fragments เป็นที่รู้จักมากกว่า The Blood of My Brother จากการเข้าชิงออสการ์สาขาหนังสารคดีเมื่อปี 2007 (แพ้ให้กับ An Inconvenient Truth) รวมทั้งเข้าชิงและคว้ารางวัลจากหลายเวที เป็นผลงานกำกับฯเรื่องที่ 2 ของ เจมส์ ลองลีย์ ต่อจาก Gaza Strip เมื่อปี 2002 เขาใช้เวลาในอิรักถึง 2 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2003 ถึงเมษายน ปี 2005 ได้ฟุตเตจร่วม 300 ชั่วโมง กระทั่งกลายเป็น Iraq in Fragments เนื้อหาของหนังซึ่งกล่าวถึงสภาพชีวิตของชาวอิรักหลังการโค่นซัดดัมและยึดครองแทนของสหรัฐจึงค่อนข้างหลากหลายและลงลึกในรายละเอียด หนังแบ่งออกเป็น 3 ภาค เริ่มจากเรื่องราวของเด็กชายโมฮัมเหม็ด วัย 11 ขวบ ในย่านชาวสุหนี่ในกรุงแบกแดด เขาอยู่ตามลำพังกับย่าทำให้ไม่ได้เรียนหนังสือต่อเนื่องเพราะต้องทำงานในร้านซ่อมรถ ส่วนพ่อเป็นตำรวจที่โดนจับเพราะวิพากษ์วิจารณ์ซัดดัม ฮุสเซ็น จนโมฮัมเหม็ดไม่คิดว่าจะได้พบหน้าพ่ออีก หนังเริ่มต้นด้วยคำพูดของโมฮัมเหม็ดว่าความสวยงามของกรุงแบกแดดอันตรธานไปสิ้นเมื่อไฟสงครามลุกลามมาถึง กระนั้น ไม่ว่าก่อนหรือหลังเกิดสงคราม สภาพชีวิตของเด็กชายดูจะไม่แตกต่างกันนัก ภาพเฮลิคอปเตอร์อปาเช่ที่บินเหนืออาคารกับภาพพัดลมเพดานหมุนวนในช่วงแรกชวนให้นึกถึงฉากต้นเรื่องของ Apocalypse Now (1979) หนังวิพากษ์สงครามเวียดนามของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ภาคสองเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของชาวชีอะห์ในเมืองนาจาฟและนาซีริยาห์ภายใต้การนำของ ม็อกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์ และการดูแลของ ชีค อาวส์ ทั้งพิธีกรรมทางศาสนา การชุมนุมต่อต้านการยึดครองของสหรัฐ การเดินขบวนอย่างสงบเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวมุสตาฟา ยาคูบี ที่ถูกจับในคดีสังหาร อยาโตลลาห์ ซาเอ็ด อัล โคอี ก่อนลงท้ายด้วยหลายชีวิตต้องสูญเสีย ภาพกองทัพมาห์ดีถืออาวุธปืนกวาดล้างพ่อค้าขายเหล้าในนาซีริยาห์ ขณะเดียวกัน กระบวนการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในนาซีริยาห์ก็ดำเนินคืบหน้าไปไม่ราบรื่นนัก เมื่อมีทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายศาสนา แต่ละฝ่ายยังแยกเป็นกลุ่มเฉพาะอีกชั้นหนึ่ง ช่วยสะท้อนถึงการเมืองระดับชาติได้อย่างดี ภาคสามชื่อว่า ฤดูใบไม้ผลิของชาวเคิร์ด พาไปยังเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของอิรัก ชาวเคิร์ดที่นี่มีอาชีพทำอิฐ เพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ ภาพชีวิตสงบเงียบเรียบง่าย อีกทั้งภาพทิวทัศน์งดงามตามธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานสมัยซัดดัมครองอำนาจมาได้แล้ว หนังจับเรื่องราวของอิหม่ามชราผู้วาดหวังให้ สุไลมาน ลูกชายคนหนึ่งสืบทอดหน้าที่ ขณะที่เด็กชายใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงของชีวิตอาจกำหนดทางเดินให้โดยไม่ได้เป็นอย่างใจใครก็ได้ นอกจากนี้ หนังตามไปดูการเลือกตั้งซึ่งชาวบ้านถูกกะเกณฑ์ให้เลือกพรรคของชาวเคิร์ด มีเสียงของอิหม่ามสรุปว่าบัดนี้ผู้นำชาวเคิร์ดพ่วงพี แต่คนจนยังครวญครางเพราะความหิวอันที่จริง ยังมีอีกเรื่องราวหนึ่งที่ลองลีย์ถ่ายทำไว้แต่ไม่ได้นำมารวมไว้ใน Iraq in Fragments เป็นหนังสั้นความยาว 21 นาที เรื่อง Saris Mother (หาดูได้ในดีวีดี) เรื่องราวเกี่ยวกับแม่ที่ต้องดิ้นรนให้ลูกน้อยผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง หลังจากระบบสาธารณสุขของประเทศล่มสลายเมื่อเกิดสงครามและสหรัฐเข้ายึดครองอิรัก(2) แม้วิธีนำเสนอและการเข้าถึงประเด็นปัญหาของหนังสารคดีจะมีแนวทางหรือมุมมองให้เลือกใช้ได้หลากหลาย แต่สิ่งที่ แอนดรูว์ เบอเรนด์ส กับผลงานเรื่อง The Blood of My Brother : A Story of Death in Iraq และเจมส์ ลองลีย์ กับ Iraq in Fragments เลือกทำนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือสำรวจชีวิตและความเป็นไปของชาวอิรักหลังการรุกรานของสหรัฐ โดยถ่ายทอดผ่านคนเล็กๆ ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตการนำเสนอของสื่อทั่วไป ที่น่าคิดคือการถ่ายทอดภาพชีวิตและความคิดความรู้สึกของชาวอิรักอย่างใกล้ชิด ให้เขาเหล่านี้บรรยายความรู้สึกด้านลบ ทั้งความทุกข์ยาก ความเศร้าโศก ความหวาดกลัว ความเกรี้ยวกราดโกรธขึ้ง ในห้วงเวลาหลังสงคราม โดยไม่ให้พื้นที่แก่ฝ่าย ผู้ปกครองชั่วคราว อย่างสหรัฐเลย นอกจากภาพการปฏิบัติงานเพียงเล็กน้อย ซ้ำยังเป็นภาพถือปืนลาดตระเวนตลาด และบุกตรวจค้นบ้านยามวิกาล (ในเรื่อง The Blood of My Brother) แม้ผู้สร้างไม่ได้พูดเองโดยตรง ในระดับหนึ่ง...หนังสารคดี 2 เรื่องนี้ย่อมมีสถานะเป็นหนังต่อต้านสงครามปลดปล่อยอิรัก อีกระดับหนึ่ง...หนังทั้งสองมีสถานะเป็นเหมือนสื่อทางเลือกที่ให้คนอิรักซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดา (อาจรวมถึงฝ่ายต่อต้านสหรัฐ)ได้พูดบ้าง ท่ามกลางพื้นที่สื่อหลักซึ่งถูกยึดครองโดยผู้กุมความเป็นไปทั้งในฝ่ายสหรัฐและฝ่ายอิรัก ขณะที่เรื่องของชาวบ้านมีแค่ยอดบาดเจ็บล้มตายที่ผ่านการตกแต่งแล้ว! นอกจากเลือกถ่ายทอดความเป็นไปของชาวอิรักโดยหยิบเอาเรื่องราวของใครคนหนึ่งเป็นกรณีตัวอย่างเหมือนกันแล้ว ทั้ง The Blood of My Brother และ Iraq in Fragments ต่างนำเสนอความเคลื่อนไหวของชาวชีอะห์ผู้ศรัทธาในตัว ม็อกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์ ในเมืองซาเดอร์ ซิตี้ รวมถึงติดตามกองทัพมาห์ดีซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มนี้ ทั้งๆ ที่มีกลุ่มและกองกำลังติดอาวุธลักษณะใกล้เคียง เช่น กองกำลังบาเดอร์ของกลุ่ม SCIRI หรือฝ่ายกบฏสุหนี่ สันนิษฐานว่าเหตุผลที่หนังทั้งสองพร้อมใจติดตามกลุ่มของอัล-ซาเดอร์ เป็นเพราะเข้าถึงง่ายและเสี่ยงน้อยกว่า อีกทั้งกลุ่มนี้มีการรวมตัวแสดงออกทางศาสนาที่ชัดเจนและขรึมขลังเพราะอยู่ภายใต้การนำของฝ่ายศาสนา ขณะที่กองกำลังบาเดอร์-กลุ่ม SCIRI มีรูปแบบของ การเมือง มากกว่า ถ้าเป็นอย่างข้อสันนิษฐานย่อมหมายความว่าผู้สร้างได้ตั้งโจทย์ว่าจะนำเสนอเรื่องราวของชาวอิรักโดยขับเคลื่อนเชื่อมโยงกับศาสนาอิสลาม ใน The Blood of My Brother ค่อนข้างชัดเจนว่าผู้สร้างดึงมิติทางศาสนามาใช้เป็นสำคัญ นอกจากจะมีภาพพิธีกรรมและความคิดความเชื่อของชาวมุสลิมอยู่มากมายแล้ว เรื่องราวการเสียชีวิตของราอัดที่ถูกทหารสหรัฐยิงเกิดขึ้นที่ศาสนสถานซึ่งเขาอาสาไปเฝ้ายาม กระทั่งได้รับยกย่องว่าเป็นผู้สละชีวิตเพื่อศาสนา(martyr) หลังจากนั้น คำว่า ผู้สละชีวิตเพื่อศาสนา ถูกเอ่ยถึงอีกหลายครั้ง ทั้งหมายถึงราอัดและเมื่อมีผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ เพราะน้ำมือของทหารสหรัฐ ประกอบกับภาพการชุมนุมทางศาสนาของคนนับร้อยพันที่ค่อยๆ เพิ่มดีกรีความไม่พอใจไปจนถึงชิงชังเคียดแค้นสหรัฐ เนื่องจากถูกยึดครอง กดขี่ และสร้างความขมขื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อความหนึ่งถูกเอ่ยโดยผู้นำการชุมนุมว่า เราเคยถูกปกครองโดยเผด็จการคนเดียว(ซัดดัม) แต่บัดนี้เรามีกลุ่มเผด็จการ(สหรัฐและกองกำลังนานาชาติ) Iraq in Fragments นั้นแตกต่างไป แม้จะมีเรื่องราวส่วนที่ 2 ซึ่งเกี่ยวกับกลุ่มม็อกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์ และกองกำลังมาห์ดีที่เคลื่อนไหวต่อต้านสหรัฐ แต่นี่เป็นเพียงส่วนที่นำเสนอเรื่องราวของฝ่ายชีอะห์ คั่นระหว่างเรื่องของชาวสุหนี่และชาวเคิร์ด ซึ่งทั้ง 3 ฝ่าย ต่างมีสถานะและทัศนคติที่ต่างกันไป ฝ่ายสุหนี่กล่าวว่าสหรัฐกอบโกย และถามว่าพรรคดาวะ(พรรคของ นูรี อัล-มาลิกิ นายกรัฐมนตรีฝ่ายชีอะห์) มัวไปอยู่ที่ไหนตลอด 35 ปี มาถึงก็ได้เสวยสุขและไม่สนใจชาวสุหนี่ ฝ่ายชีอะห์พยายามกีดกันสุหนี่(ในการประชุมเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่น) และตั้งตนเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงเสียเอง ส่วนฝ่ายเคิร์ดถูกหาว่าเป็นต้นเหตุให้สหรัฐเข้ามารุกราน เป็นพวกลบหลู่ศาสนา จนอิหม่ามชาวเคิร์ดถามกลับว่าแล้วทำไมพวกระเบิดพลีชีพถึงเรียกว่าจิฮัดหรือเป็นผู้สละชีวิตเพื่อศาสนา สถานะและทัศนคติที่ต่างกันนี้คือหลักใหญ่ใจความของ Iraq in Fragments ที่ชี้ว่าหลังการรุกรานของสหรัฐ อิรักยังคงแบ่งแยกเป็นส่วนๆ ยากจะประสานเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งมิติทางศาสนาถูกใช้เพื่อเน้นให้เห็นถึงความแตกแยกภายใต้ศาสนาเดียวกัน โดยรายละเอียดและภาพรวม Iraq in Fragments ดูจะเหนือกว่า The Blood of My Brother ตรงที่นำเสนอภาพตัวอย่างความเป็นไปของชาวอิรักได้ครบทั้ง 3 ฝ่ายหลัก แม้จะยังไม่ครบในทุกความเคลื่อนไหวตามข้อจำกัดของหนังก็ตาม ที่สำคัญคือหนังไม่ได้พุ่งเป้าเพียงว่าสหรัฐคือผู้ร้ายที่สร้างความหายนะให้อิรัก แต่ในหมู่ชาวอิรักเองต่างฝ่ายต่างก็เป็นผู้ร้ายในสายตาของอีกฝ่ายด้วยกันทั้งสิ้น ชื่อของซัดดัม ฮุสเซน ถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้ง ไม่ใช่การก่นด่าสาปแช่ง แต่ถูกยกมาเปรียบเทียบว่ามี ซัดดัม คน(กลุ่ม)ใหม่มาแทนที่ในร่างอื่น งานด้านภาพของ Iraq in Fragments คือจุดเด่นของหนัง มีทั้งดิบหยาบแบบภาพข่าวและงดงามสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม จุดที่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยนักคือการตัดต่อภาพและเสียงซึ่งถี่และดูปรุงแต่งมากเกินไป จนเกิดความไม่แน่ใจในเนื้อหาว่าถูกล่อลวงให้คิดไปตามการตัดต่อมากน้อยเพียงใด ทั้งที่นี่เป็นหนังสารคดีซึ่งควรนำเสนอความเป็นจริงให้มากที่สุด สำหรับ The Blood of My Brother มีฉากปะทะกันระหว่างกองกำลังมาห์ดีกับทหารสหรัฐที่แสดงให้เห็นว่าผู้สร้างเสี่ยงตายแค่ไหน ใช่เพียงภาพอันน่าตื่นเต้นเท่านั้น ผลลัพธ์ของการเสี่ยงตายยังทำให้ได้ภาพซึ่งสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนที่ออกไปสู้รบบนถนนหน้าบ้าน และคนที่บ้านต้องกลายเป็นสนามรบ ด้วยหนังทั้ง 2 เรื่อง นำเสนอภาพความเป็นไปของชาวอิรักผ่านคนเล็กๆ จึงไม่ได้ให้พื้นหลังเกี่ยวกับอิรักหลังสหรัฐยึดครองว่าเป็นไปอย่างไร มีใครเกี่ยวข้องบ้าง กระนั้น หนังได้เอ่ยชื่อเฉพาะจำนวนมากผ่านคำพูดของผู้ที่หนังถ่ายทำโดยไม่มีส่วนขยายให้รู้ว่าคืออะไรหรือเป็นใคร หลายชื่อเขียนถึงแล้วในบทความนี้ เช่น อัล-ซาเดอร์ มาห์ดี อัล-มาลิกิ ดาวะ ยังมีชื่ออื่นๆ อีกเช่น ซิสตานี เบรเมอร์ อาลาวี ฯลฯ ดังนั้น หนังจึงเรียกร้องผู้ชมให้รู้พื้นหลังข่าวคราวเกี่ยวกับอิรักบ้าง เพื่อจะได้เข้าใจในรายละเอียดที่มีอยู่พอสมควรที่สำคัญคือเพื่อให้เข้าถึงชาวอิรักดียิ่งขึ้น
Create Date : 03 สิงหาคม 2551
Last Update : 4 สิงหาคม 2551 15:52:17 น.
9 comments
Counter : 1705 Pageviews.
โดย: zuka1 IP: 118.173.191.105 วันที่: 5 สิงหาคม 2551 เวลา:14:04:37 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................select movie / blog ....... --international-- ....... The Walking Dead I Wish I Knew 127 Hours The Expendables vs. Salt No puedo vivir sin ti Bright Star The World is Big and Salvation Lurks Around the Corner Sin Nombre Invictus Afghan Star Moon Gigante The Promotion An Education Up in the Air Snow (Snijeg) Liverpool Tahaan Lion's Den Tulpan Everlasting Moments Absurdistan Topsy-Turvy Ramchand Pakistani The Pope's Toilet Antonio's Secret พลเมืองจูหลิง Flashbacks of a Fool And When Did You Last See Your Father? The Boy in the Striped Pyjamas Gran Torino Departures Gomorra Abouna + Daratt Grace Is Gone The Road to San Diego Into the Wild Slumdog Millionaire The Silly Age The Year My Parents Went on Vacation It's Hard to Be Nice Ben X Caramel The Class Kings จาก Kolya ถึง Empties The Unknown Woman Dokuz Heima Cocalero The Blood of My Brother & Iraq in Fragments 12:08 East of Bucharest Rescue Dawn Mongol 6 : 30 Something Like Happiness To Each His Cinema The Counterfeiters ข้างหลังภาพ Lions for Lambs + Michael Clayton Father and Daughter Possible Lives กอด The Buried Forest รัก-ออกแบบไม่ได้ Lights in the Dusk The Piano Teacher Do You Remember Dolly Bell? Sisters in Law Al Otro Lado A Time for Drunken Horses Zelary Bug The Invasion The Science of Sleep Paris, I love you Still Life The Lives of Others Heading South Renaissance ABC Africa The Death of Mr. Lazarescu Maria Full of Grace The Last Communist Eli, Eli, lema sabachthani? 4 : 30 Late August, Early September The Circle The Cave of the Yellow Dog Italian for Beginners Love/Juice Your Name is Justine The Syrian Bride Dragon Head Reconstruction Eros The Scarlet Letter The Night of Truth Familia Rodante Bonjour Monsieur Shlomi Lantana Flanders Tokyo . Sora The World Whisky Buffalo Boy S21 : The Khmer Rouge Killing Machine Fire, Earth, Water C.R.A.Z.Y. All about My Mother Jasmine Women Battle in Heaven The Day I Became a Woman Man on the Train CSI : Grave Danger Innocence Life Is a Miracle Drugstore Girl Der Untergang The Bow Happily Ever After The Wayward Cloud The House of Sand Or, My Treasure Janji Joni Moolaade Vodka Lemon Angel on the Right Twentynine Palms The Taste of Tea ....... --independent-- ....... Goodbye Solo The Hurt Locker (500) Days of Summer Towelhead Kabluey Three Burials of Melquiades Estrada Titus Chuck & Buck The Woodsman Pollock Last Days The Limey Inside Deep Throat Coffee and Cigarettes Garden State My Name is Joe Sexy Beast Real Women Have Curves The Brown Bunny Before Sunset Elephant Bubble You Can Count on Me 9 Songs ....... --classic-- ....... Memories of Underdevelopment (1968) The Last Laugh The Snows of Kilimanjaro The Cabinet of Dr.Caligari Nanook of the North The Apu Trilogy ....... --หนังมีไว้ให้คิด-- ....... The Schoolgirl's Diary Long Road to Heaven The Imam and the Pastor Maquilapolis ....... --what a film!-- ....... Kabuliwala (1956) Macunaima (1969) Kozijat rog (1972) The Girl and the Echo (1964) Fruits of Passion (1981) Happy Gypsies (1967) ....... --introducing-- ....... Death Race 2000 (1975) ซอมบี้ปากีฯ+ผีดิบมาเลย์+ซูเปอร์แมนตุรกี Zinda Muoi Father and Daughter ....... --directed by-- ....... Ouran (1968) Pierwsza milosc (1974) Salome (1978) 4 หนังสั้น เคียรอสตามี recommended ....... - 'รงค์ วงษ์สวรรค์ กับภาพยนตร์ - เทมาเส็ก พิคเจอร์ส - Heading South - Still Life - The Apu Trilogy - The Day I Became a Woman - จาก Fire, Earth สู่ Water พญาอินทรี ศราทร @ wordpress
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
แต่เหนืออื่นใด ใส่ใจในแก่นของเรื่องดีกว่า หุหุ