The Taste of Tea รื่นรมย์ชมรสชา



The Taste of Tea
รื่นรมย์ชมรสชา


พล พะยาบ
คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 14 สิงหาคม 2548


ช่วงปลายศตวรรษที่ผ่านมา ขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับก้าวกระโดดของเทคโนโลยี สับสนกับภาวะพองโตของโพสต์โมเดิร์นจนกลบเกลื่อนความดีงามที่เคยยึดถือก่อนเก่า และวิตกกังวลกับจังหวะย่างก้าวของการเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากเปรียบเป็นสายน้ำ ก็กรากเชี่ยวยิ่งนัก… .

อารมณ์ความรู้สึกหนึ่งได้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น มิใช่เพื่อต้านทาน แต่เป็นการหันหลังให้สภาวะยุ่งเหยิงดังกล่าว โดยแทนที่จะไหลไปตามกระแสน้ำที่ไม่รู้จักหยุดนิ่ง ผู้คนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะมองหาแอ่งน้ำเล็กๆ ข้างทางเติมความสดชื่นให้ตนเองและคนรอบข้าง

บางคนเรียกปรากฏการณ์เล็กๆ นี้ว่า “คิดทางบวก” หรือ Positive Thinking บางคนให้คำนิยามว่าเป็น “เรื่องเล็กๆ แต่งดงาม” หมายถึงเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่มีคุณค่าทางใจสำหรับบางคน ซึงคุณค่าจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการส่งต่อหรือเผยแพร่ต่อๆ กันไป(จนกลายเป็นวัฒนธรรมฟอร์เวิร์ดเมล นั่นเอง)

Nostalgia หรือการรำลึกความหลัง ภายใต้บุคลิกแบบ Good Old Day ก็อยู่ในขอบข่ายนี้เช่นกัน ด้วยความคิดที่ว่าผู้คนในทศวรรษก่อนๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า หรือบ้านเมืองในอดีตน่าอยู่และมีเสน่ห์กว่าปัจจุบัน

“เรื่องเล็กๆ” ดังกล่าวยึดหัวหาดบนสื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลัก งานเขียนที่ว่าด้วยเรื่องเหล่านี้แพร่หลายทั้งในรูปแบบคอลัมน์ เรื่องเล่า เรื่องสั้น บทกวี จนเกิดเป็นหนังสือเล่มและนิตยสารเฉพาะทาง ทั้งยังระบาดไปยังงานเขียนอื่นๆ เช่นในบทความเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ดึงเอามุมดีๆ จากหนังมากล่าวถึงกันจนเกลื่อน

5-6 ปีที่แล้ว งานเขียนลักษณะนี้มีออกมาให้อ่านกันจนเลี่ยน ซ้ำยังเกิดปฏิกิริยาตีกลับพวกคิดทางบวกด้วยข้อหาเลี่ยงความจริง

สำหรับวงการหนัง ปี 2001 Amelie from Montmartre หนังฝรั่งเศสของผู้กำกับฯ ฌอง-ปิแอร์ เฌอเนต์ คือภาพสะท้อนอารมณ์แบบ “เรื่องเล็กๆ แต่งดงาม” ที่โดดเด่นโดนใจคนทั่วโลก ด้วยบทหนังอันยอดเยี่ยม และความน่ารักสดใสของสาวตาโต ออเดรย์ โตตู แม้ตัวหนังจะมาช้าจนเกือบจะเป็นช่วงปลายของกระแสแล้วก็ตาม

เมื่อศตวรรษใหม่เริ่มเข้าที่เข้าทาง ความตื่นเต้น-สับสนเจือจางลงไปตามวันเวลา กระแส “เรื่องเล็กๆ” ก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนแทบไม่มีให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน แต่แล้วหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งกลับปรากฏขึ้นด้วยบุคลิกและอารมณ์ที่ดูเหมือนว่าอ่อนแรงไปนานแล้ว


The Taste of Tea หรือ Cha no aji หนังปี 2004 ของ คัตซูฮิโตะ อิชิอิ ซึ่งเหมาทั้งกำกับฯและเขียนบท จับเอาเรื่องเล็กๆ แปลกๆ แต่ให้ความรู้สึกดีๆ หลายเรื่องมารวมกัน แต่มิใช่การรวมมิตรหลายเรื่องหลายตัวละครที่เป็นเอกเทศ

เรื่องราวทั้งหมดใน The Taste of Tea มีตัวละครหลักเป็นครอบครัวในชนบทครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีสมาชิกหลักอยู่ 5 คนคือ คุณปู่ พ่อ แม่ ฮาจิเมะ ลูกชายวัยรุ่น และซาจิโกะ ลูกสาวตัวน้อย มีคุณน้าอายาโนะ (ทาดาโนบุ อาซาโนะ) แวะมาพักด้วยเป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีคุณอา น้องชายพ่อซึ่งเป็นนักเขียนการ์ตูนอีกคนหนึ่ง

บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่นอบอวล ราวกับถ้วยชาที่สมาชิกในครอบครัวถือติดมือเสมอ

หนังค่อยๆ เล่าเรื่องราวของแต่ละตัวละคร โดยโฟกัสเป็นพิเศษที่ลูกชายกับลูกสาวซึ่งมีปมปัญหาส่วนตัว ฮาจิเมะอกหักเมื่อเด็กหญิงที่เขาแอบหลงรักย้ายไปต่างเมือง เขาซึมเศร้าอยู่พักใหญ่ แต่รักครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดกับเด็กหญิงที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมา

เมื่อแอบรู้ว่าเธอผู้นี้ชอบเล่นโกะซึ่งฮาจิเมะเองก็ชอบเล่น เขาขี่จักรยานกลับบ้านด้วยอาการลิงโลดลืมเหนื่อย จินตนาการถึงอนาคตระหว่างเขากับเธอ แต่ความจริงแล้วอย่าว่าแต่เล่นโกะเลย เขาไม่กล้าพอที่จะเข้าไปคุยกับเธอด้วยซ้ำ

ส่วนซาจิโกะ เด็กหญิงตัวน้อยมักจะมองเห็นตนเองในร่างขนาดยักษ์เฝ้ามองดูเธออยู่ ซาจิโกะอยากกำจัดซาจิโกะยักษ์ทิ้งไป แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อเธอได้ยินเรื่องเล่าสมัยเด็กของคุณน้าอายาโนะ ว่าคุณน้าสามารถกำจัดผียากุซ่าที่ตามหลอกได้ด้วยการโหนบาร์เดี่ยวกลับหลัง 1 รอบ ทุกๆ วันซาจิโกะจึงแอบไปฝึกโหนบาร์เดี่ยวในสนามเด็กเล่นร้าง โดยหวังว่าถ้าทำสำเร็จ ซาจิโกะยักษ์จะหายตัวไป


นี่คือ 2 เรื่องราวหลักที่ปูไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องและค่อยคลี่คลายในตอนท้าย ระหว่างนี้เรื่องราวเล็กๆ ของตัวละครอื่นๆ จะถูกใส่เข้ามาเป็นระยะ เช่นพฤติกรรมน่ารักแบบแปลกๆ ของคุณปู่ รวมทั้งการเป็นที่ปรึกษาเรื่องท่าทางของตัวการ์ตูนให้คุณแม่ซึ่งต้องการกลับมาเป็นนักวาดอนิเมะอีกครั้ง ส่วนคุณพ่อจิตแพทย์มีโชว์หลังอาหารเย็นด้วยการสะกดจิตคนในบ้าน

คุณอา นักเขียนการ์ตูนอยากทำอัลบั้มเพลงประกอบท่าทางประหลาด คุณน้าอายาโนะ นอกจากเรื่องเล่าสมัยเด็กเกี่ยวกับผียากุซ่าแล้ว ยังได้พบคนรักเก่า(กับฉากโรแมนติคที่สุดในหนัง) พบนักเบสบอลฝีมือมหัศจรรย์ พบนักเต้นรำท่วงท่าอ่อนช้อย ฯลฯ

ทุกเรื่องราวที่ใส่เข้ามานี่เอง ที่เป็นที่มาของ “เรื่องเล็กๆ แต่งดงาม” มากมาย

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเรื่องราวดีๆ จำนวนมากเรียงร้อยกันจะได้หนังที่ดี น่าติดตาม และไม่น่าเบื่อ โดยเฉพาะกับหนังที่มีความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่งเรื่องนี้ แต่ผู้กำกับฯอิชิอิ ซึ่งเคยทำหนังเซอร์ๆ สไตล์หวือหวา อย่าง Shark Skin Man and Peach Hip Girl(1998) และ Party 7 (2000) สามารถทำให้ The Taste of Tea มีเสน่ห์ได้ในทุกๆ วินาทีของหนังก็ว่าได้

อิชิอิคุมโทนหนังได้นิ่ง เนียนตา เนียนความรู้สึก ใช้ภาพเล่าเรื่องมากกว่าบทสนทนา ที่พิเศษกว่านั้นคือเทคนิคด้านภาพซึ่งออกไปในทางแฟนตาซี ผสมผสานกับภาพมหัศจรรย์แบบเมจิคัล เรียลิสซึ่ม(Magical Realism) ไม่ว่าจะเป็นภาพขบวนรถไฟแล่นออกมาจากศีรษะฮาจิเมะ ซาจิโกะยักษ์ หรือดอกทานตะวันเติบโตทะลุโลก

นอกจากภาพเกินจริง หนังยังมีภาพจริงของทุ่งนาป่าเขา ธรรมชาติของชนบท ใส่แทรกระหว่างเปลี่ยนฉากได้อย่างนุ่มนวล ดูแล้วสงบร่มเย็นและเป็นุสข เป็นภาพที่ไม่ใช่เพื่อสื่อความหมาย แต่เพื่อสื่ออารมณ์โดยแท้

เรื่องราวดีๆ มากมาย เมื่อได้บรรยากาศครอบครัวอันอบอุ่น ตัวละครมีเสน่ห์ และภาพธรรมชาติสุขสงบมารองรับ เรื่องราวดีๆ เหล่านี้ก็ยิ่งเพิ่มคุณค่าขึ้นเต็มความรู้สึก

แม้จะมาเมื่อกระแสซาลงไปแล้ว แต่ความจริงก็คือเรื่องราวเล็กๆ แต่งดงามเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับดอกหญ้าข้างทางที่ผลิบานอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าใครจะใส่ใจเท่านั้น

สำหรับ The Taste of Tea นี่คือชารสดีที่ชมแล้วมีความสุข ใส่ใจเมื่อใดก็เห็นความงาม...



Create Date : 19 พฤษภาคม 2549
Last Update : 21 สิงหาคม 2549 2:31:38 น. 1 comments
Counter : 2087 Pageviews.

 
หุหุ

เห็นอยู่ในหน้า index ด้วยล่ะ

เข้ามาเจิมจ้ะ


โดย: ทะเลอาบแสงจันทร์ วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:43:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน
ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549

..............................








พญาอินทรี




ศราทร @ wordpress
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แค่เพียงรู้สึกสุขใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.