Flanders เราจะผ่านสงครามมาพบกัน



Flanders
เราจะผ่านสงครามมาพบกัน

พล พะยาบ
คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 1 ตุลาคม 2549


คำอธิบายสั้นๆ สำหรับการชมหนังของ บรูโน ดูมงต์ คือ ถ้าคุณยังไม่เคยดูหนังของเขา คุณอาจช็อคได้ทุกเมื่อ แต่หากคุณมีประสบการณ์กับหนังของเขามาก่อน คุณต้องดูหนังเรื่องใหม่ด้วยความหวาดระแวง...

แม้จะมีผลงานหนังออกมาก่อนหน้านี้เพียง 3 เรื่อง คือ The Life of Jesus(La Vie de Jesus, 1997) Humanity(L'Humanite, 1999) และ Twentynine Palms(2003) ต้องถือได้ว่า บรูโน ดูมงต์ ผู้กำกับฯชาวฝรั่งเศส วัย 48 ปี สร้างผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่นและเห็นชัดอย่างรวดเร็ว หนังของดูมงต์จะมีลักษณะเงียบเชียบ เรียบเรื่อย และเอื่อยเฉื่อย ตัวละครจำนวนน้อย แทบไม่มีแบ๊กกราวนด์ใดๆ บ่อยครั้งเหมือนไม่มีจุดหมายในการกระทำ แต่มักจะมีพฤติกรรมด้านเซ็กซ์และความรุนแรงแบบเฉียบพลันจนคนดูไม่ทันตั้งตัว ใช้นักแสดงโนเนม ภาพในหนังนิ่งงันงดงามราวภาพถ่าย

หนังของเขาไม่ได้สื่อถึงปมปัญหาใหญ่โต ไม่ได้สะท้อนภาวการณ์ของโลกแวดล้อมที่มีผลต่อตัวละคร แต่มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การเปิดเผยตีแผ่ภาวะจิตใจไปจนถึงจิตใต้สำนึกของมนุษย์ในสถานการณ์ต่างๆ


Flandres หรือ Flanders ในชื่อภาษาอังกฤษ ผลงานใหม่ของดูมงต์ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัวครบถ้วน หนังเล่าถึงกลุ่มหนุ่มสาวในเขตพื้นที่ชนบทที่เรียกว่า แฟลนเดิส ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เชื่อมต่อกับพรมแดนเบลเยี่ยม โดยมี “สงคราม” เป็นเงื่อนไขสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขา

เดอแมสแตร์ หนุ่มชาวไร่ผู้เงียบขรึม กับหญิงสาวชื่อ บาร์เบอ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาและเธอมีเซ็กซ์กันราวกับกิจกรรมที่ทำร่วมกันเป็นปกติ กระนั้น จากอากัปกิริยาของเดอแมสแตร์ยามที่เห็นบาร์เบอยุ่งเกี่ยวกับชายอื่นไม่ซ้ำหน้า ทำให้รู้ว่าเขาแอบรักเธออยู่

ฤดูหนาวนั้น เดอแมสแตร์, บลงเดล ชายคนใหม่ของบาร์เบอ และมอร์แดค แฟนหนุ่มของฟรองซ์ เพื่อนสนิทของบาร์เบอ ถูกเกณฑ์ไปสงคราม สองสาวจึงต้องเฝ้ารอคอยเพื่อนชายอย่างเปลี่ยวเหงาในบ้านไร่ซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนจากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิ

ในสมรภูมิร้อนร้ายไม่ระบุสถานที่(คลับคล้ายอัฟกานิสถาน) กลุ่มชายหนุ่มแห่งแฟลนเดิสต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของสงคราม ความกลัวกับความตายสลับกันเข้าคุกคาม กระทั่งพวกเขาค่อยๆ กลมกลืนไปกับความโหดร้ายนั้น ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่เพื่อสนองตอบสัญชาตญาณดิบของตนเอง อาทิ การฆ่า ข่มขืน รวมทั้งการทิ้งเพื่อนเพื่อให้ตนเองรอดชีวิต

ขณะเดียวกัน บาร์เบอยังมีเซ็กซ์กับชายคนใหม่ ทำแท้งลูกของบลงเดล และป่วยเป็นโรคประสาทจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล

ในสมรภูมิส่วนตัว..เดอแมสแตร์และบาร์เบอจะผ่านพ้นสงครามเลวร้ายครั้งนี้ได้อย่างไร

ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าหนังของดูมงต์ไม่ได้มุ่งสะท้อนภาวการณ์ของโลกแวดล้อม แต่มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การเปิดเผยตีแผ่ภาวะจิตใจไปจนถึงจิตใต้สำนึกของมนุษย์ในสถานการณ์ต่างๆ สำหรับ Flanders ก็เช่นกัน นี่ไม่ใช่หนังวิพากษ์สงคราม อย่างน้อยก็ไม่ได้ตั้งเป็นประเด็นที่ต้องการกล่าวถึงโดยตรง แต่ดูมงต์ใช้สงครามเป็นเสมือนเครื่องมือขุดคุ้ยจิตใจของตัวละคร เป็นสถานการณ์ที่จัดวางไว้ให้ตัวละครเปิดเผยและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปสู่บทสรุปสุดท้าย


ช่วงกลางจนถึงท้ายเรื่อง หนังตัดสลับภาพระหว่างเดอแมสแตร์และบาร์เบอที่ต้องเผชิญหน้ากับความเลวร้ายแบบต่างๆ ราวกับว่าบาร์เบออยู่ในสงครามไม่ต่างจากเดอแมสแตร์ คนหนึ่งมีเซ็กซ์โดยข่มขืนหญิงชาวบ้านในประเทศที่ตนเองเข้าไปทำสงคราม อีกคนหนึ่งยอมมีเซ็กซ์กับคนในละแวกบ้านเพื่อเป็นการปลดปล่อย คนหนึ่งหนีเอาตัวรอดโดยทิ้งเพื่อนให้ศัตรูฆ่า อีกคนกำจัดเด็กในท้องเพื่อยุติปัญหา สุดท้าย คนหนึ่งต้องฆ่าแม้แต่ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ภาพตัดมาที่อีกคนหนึ่งกำลังคลุ้มคลั่งเสียสติ

เมื่อคนทั้งสองได้มาพบกันในสภาพบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจอีกครั้งหนึ่ง บางสิ่งบางอย่างได้ช่วยผลักดันให้พวกเขาเปิดเผยตัวตนและทำความเข้าใจกันและกัน

สมรภูมิที่แผ่ปกคลุมส่งอิทธิพลต่อชีวิตของคนทั้งสองนั้นเริ่มมาจากชนบทที่ชื่อว่า แฟลนเดิส สถานที่แห่งนี้(รวมไปถึงที่อยู่ในเขตประเทศเบลเยี่ยม) มีประวัติโชกโชนในหน้าประวัติศาสตร์สงครามหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรต่างๆ ในยุโรปรบพุ่งแย่งชิงดินแดนกัน มาจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีทหารพันธมิตรบาดเจ็บล้มตายที่นี่มากมายนับหมื่นนับแสนคน กระทั่งเป็นที่มาของดอกป๊อปปี้แห่งแฟลนเดิส ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แด่ผู้เสียชีวิตในสงครามและทหารผ่านศึกมาถึงปัจจุบัน

การที่เดอแมสแตร์และบาร์เบอเป็นชาวแฟลนเดิส จึงเหมือนกับประวัติศาสตร์แห่งความตายและสงครามอยู่ในชีวิตของเขาและเธอเสมอมา

ทุ่งแฟลนเดิสคือบ้านเกิดของดูมงต์ และเขาใช้สถานที่แห่งนี้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ หากเปิดประวัติดูมงต์จะพบว่าเขาเกิดที่ Bailleul ซึ่งเป็นหมู่บ้านในจังหวัด Nord อันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่เรียกว่า “แฟลนเดิส” ในอดีต แม้ปัจจุบันก็ยังมีคนเรียกพื้นที่นี้ว่า แฟลนเดิสฝรั่งเศส หรือแฟลนเดิสใต้

หนังของดูมงต์ยังโดดเด่นด้านภาพเช่นเดิม โดยเฉพาะภาพภูมิประเทศ ภาพทิวทัศน์ ที่ใช้สะท้อนความรู้สึกหรือภาวะจิตใจของตัวละคร ตัวอย่างเช่นในฉากก่อนที่หนุ่มๆ จะไปสงคราม พวกเขานั่งอยู่หน้ากองไฟท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ เดอแมสแตร์มองเห็นความใกล้ชิดระหว่างบาร์เบอกับบลงเดลซึ่งมากกว่าที่เธอมอบให้เขามากมายนัก หนังใช้ภาพโคลส-อัพใบหน้า-แววตาของเดอแมสแตร์ ก่อนจะตัดไปยังต้นไม้ยืนต้นเหลือเพียงกิ่งก้านแห้งแล้งไร้ใบแทนสายตาตัวละคร เปรียบถึงความรู้สึกอับเฉาหมดหวังของเขา


ขณะที่ฟากหนึ่งใช้ความหนาวเหน็บเป็นฉากหลัง อีกฟากหนึ่งแห่งสงครามแม้จะเป็นความร้อนแล้งแต่ก็ดูไร้ชีวิตไม่ต่างกัน จนเมื่อเขาและเธอได้มาพบกันอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาที่ทุ่งแฟลนเดิสกลับฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่

เซ็กซ์และความรุนแรงกระตุกขวัญแบบเฉียบพลันอันเป็นเอกลักษณ์ของดูมงต์ยังมีอยู่ แต่ลดระดับลงไปพอสมควร มีฉากให้ผู้ชมได้อึ้งเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะเป็นภาพความตาย ขณะที่ฉากติดเรตมีไม่มากนัก และแม้จะลดดีกรีลงไป ซ้ำยังเป็นเรื่องราวว่าด้วยความรักความผูกพัน แต่ก็ใช่ว่าหนังของดูมงต์เรื่องนี้จะดูละเมียดละไมกว่าเรื่องก่อนๆ

Flanders ได้รางวัล Grand Prize of the Jury หรือรางวัลรองชนะเลิศที่เมืองคานส์ครั้งล่าสุด เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่ดูมงต์คว้ามาได้ หลังจากผลงาน 3 เรื่องก่อนหน้านี้กวาดรางวัลให้เขามาแล้วมากมาย



Create Date : 01 ตุลาคม 2549
Last Update : 2 ตุลาคม 2549 1:25:46 น. 8 comments
Counter : 2979 Pageviews.

 
นึกถึง เราจะข้ามเวลามาพบกัน อิอิ

แต่คนละโทน คนละขั้วเลย


โดย: ทะเลอาบแสงจันทร์ วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:1:50:09 น.  

 
หนังมันดูเงียบๆเหงาๆ
และบรรยากาศหม่นๆ

ในช่วงที่ทหารเจอหญิงสาว
และเจอความจริงของหญิงสาวคนนั้น

นึกถึงหนังของลุงฮานเก้
ที่มักจะนำพาความรู้สึกแบบนั้น มาให้คนดูเสมอ



โดย: renton_renton วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:7:27:47 น.  

 
ยังไม่ได้ดูอีกเช่นเคยค่ะ



ของมูราคามิเอง นอกจากนอวีเจี้ยนวู้ดแล้ว เรามาชอบอีกทีคือแกะรอยแกะดาว แต่ก็ไม่เท่านอวีเจี้ยนวู้ดนะคะ

มี ๖ เล่มนี่ อ่านไล่ตามลำดับปีที่พิมพ์หรือเปล่าคะ? งั้นอ่านถึงนอวีเจี้ยนวู้ดหรือยังเอ่ย?


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:9:25:41 น.  

 
อ่า..ถูกค่ะ

เรารู้สึกว่า เวลาอ่านงานมูราคามิ ไม่ได้กระทบเรื่อง "ความคิด" น่ะค่ะ

เป็นเรื่องของบรรยากาศ อารมณ์และความเพี้ยนแปลกมากกว่า

ซึ่งเรารู้สึกว่าเอกลักษณ์ตรงนี้เค้าเด่นชัดมาก



อ่านหนังสือของมูราคามิ

เหมือนกินอาหารอย่างหนึ่ง

ที่ไม่ได้เต็มไปด้วยคุณค่าสารอาหาร

แต่ก็อร่อยจนต้องกินอยู่เรื่อยๆ อะค่ะ (สำหรับเราอะนะคะ)


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:11:13:57 น.  

 
อืมมม เพิ่งรู้ที่มาของดอกป๊อปปี้

ไม่เคยดูหนังของผู้กำกับคนนี้เลยค่ะ แต่แค่เรื่องราวเท่าที่อ่านก็ช็อคพอดู เหมือนต้องเตรียมใจเยอะเหมือนกันก่อนจะดูเรื่องนี้

ด้านมืดของคนเรานี่ บางทีมันมืดสนิทจริง ๆ นะคะ


โดย: unwell วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:16:15:04 น.  

 
เข้ามาอ่าน blog นี้บ่อยเหมือนกัน แต่ว่าไม่ค่อยมีหนังที่ผมรู้จักเลยอะ 555+ หนังติสท์ๆ แบบนี้ถ้าผ่านไปเห็นก็อยากจะซื้อเก็บไว้ดูสักเรื่องนะครับ เผื่อจะได้รู้จักหนังมากขึ้นบ้างนะเรา...


โดย: Moonlight Mile วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:20:26:54 น.  

 
เราได้ดู Humanity กับ Twentynine Palms แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ดูเลย เสียดายอยู่เหมือนกันเพราะอยากดูหนังของ ดูมงต์ ในโรงบ้าง แต่เป็นช่วงที่ไม่ว่างพอดี ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งอยากดู คงต้องแผ่นตามเคยค่ะ


โดย: goldfish memory IP: 58.9.162.50 วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:9:10:00 น.  

 
อ่านบล็อกนี้และอีกหลายบล็อกของเพื่อนๆแล้ว รู้สึกว่าตัวเองดูหนังน้อย..น้อย(ต้องลากเสียงนิดนึง)
ได้แต่บอกตัวเองว่า ต้องพยายามหาโอกาสดูให้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อ่า..สักวันน่า

ส่วนเพลงที่ถามถึงในบล็อกผม อันนั้นแต่งอุทิศให้กับน้องคนที่เสียชีวิตที่ผมเขียนถึงน่ะครับ
ขอบคุณที่ชมว่าเพราะครับ


โดย: sTRAWBERRY sOMEDAY วันที่: 5 ตุลาคม 2549 เวลา:2:48:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน
ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549

..............................








พญาอินทรี




ศราทร @ wordpress
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
1 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แค่เพียงรู้สึกสุขใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.