Bonjour Monsieur Shlomi ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่
Bonjour Monsieur Shlomi ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่
พล พะยาบ คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 30 กรกฎาคม 2549
Bonjour Monsieur Shlomi หนังอิสราเอลปี 2003 โดยผู้กำกับฯ เชมี่ ซาร์ฮิน(Shemi Zarhin) อาจจะไม่ใช่หนังดีเยี่ยม แต่มักจะถูกกล่าวถึงในฐานะหนังขวัญใจผู้ชมเมื่อได้ไปฉายตามเทศกาลหนังทั่วโลก รวมทั้งเมื่อฉายในบ้านเราในงานบางกอกฟิล์ม 2005
ชโลมี่ เด็กหนุ่มวัย 16 ปี ที่คนอื่นมองว่ามีความผิดปกติในเรื่องการอ่านการเขียนมาตลอด ถูกค้นพบโดยครูใหญ่ว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ ครูใหญ่คิดจะส่งเขาไปเรียนในสถานที่เฉพาะสำหรับเด็กลักษณะนี้ที่เมืองไฮฟา แต่ติดปัญหาว่าแม่ของเขาคงไม่ยอม และตัวชโลมี่เองก็ไม่อยากไปไกลจากบ้าน
บ้านที่สุดแสนจะวุ่นวายของชโลมี่ ประกอบด้วยแม่ผู้เจ้ากี้เจ้าการ ชอบกะเกณฑ์ชีวิตลูกๆ เธอเพิ่งไล่พ่อของชโลมี่ออกจากบ้านหลังจากจับได้ว่าแอบไปกุ๊กกิ๊กกับสาวเชื้อสายโมร็อคโก ขณะที่ โดรอน พี่ชายของชโลมี่เป็นทหารนิสัยอวดดี และชอบมีปากเสียงกับแม่เป็นประจำ
สมาชิกในบ้านที่เข้าใจและเป็นเพื่อนชโลมี่ได้ดีที่สุดกลับกลายเป็นคุณปู่ผู้ป่วยไข้ ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ และพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง มักจะพร่ำเพ้อถึงอดีตนายกรัฐมนตรี เมนาเคม เบกิน อยู่เสมอ ทั้งสองเหมือนมีโลกส่วนตัวร่วมกัน พวกเขาทักทายกันด้วยภาษาฝรั่งเศสทุกวัน ชโลมี่เป็นคนเดียวที่คอยดูแลและพูดคุยกับคุณปู่ ขณะที่คุณปู่แอบให้ความช่วยเหลือชโลมี่โดยที่เจ้าตัวไม่รู้
นอกจากสมาชิกในบ้านอย่างแม่และพี่ชายที่เอาแต่ใจตนเองโดยมีชโลมี่เป็นที่รองรับอารมณ์แล้ว เขายังต้องเป็นคนกลางเวลาพ่อมาตามง้อแม่ เป็นคนคอยไกล่เกลี่ยยามพี่สาวทะเลาะกับสามีแล้วหอบผ้าหอบผ่อนกลับมาบ้าน ยังไม่นับหน้าที่ประจำของชโลมี่อีกอย่างคือเขาต้องรีบกลับจากโรงเรียนเพื่อหุงหาอาหารให้ทุกคนกิน
ภาระมากมายเหล่านี้ทำให้ชโลมี่นึกภาพไม่ออกว่าถ้าตนเองไม่อยู่เสียคนหนึ่ง บ้านจะเป็นเช่นไร...บ้านที่แทบไม่มีใครเอาใส่ใจเขาเลย
สำหรับชีวิตส่วนตัว ชโลมี่เพิ่งถูกแฟนสาวบอกเลิก แต่ในวันเดียวกันนั้นเอง เขาได้พบกับ โรน่า หญิงสาวอายุ 17 ปี ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ข้างบ้าน ทั้งสองดูจะแอบชอบพอกัน ติดตรงที่ชโลมี่เข้าใจว่าเธอเป็นแฟนของเพื่อนสนิทพี่ชาย
แม้อะไรๆ ดูจะไม่เป็นใจไปซะหมด แต่เด็กหนุ่มวัย 16 อย่างชโลมี่ก็ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าเขาจะจัดการกับชีวิตอย่างไรต่อไป ทั้งต่อครอบครัว ความรัก และอนาคตของตนเอง
Bonjour Monsieur Shlomi เป็นหนัง เติบใหญ่ในช่วงวัย หรือ coming-of-age ที่นำเสนอในแนวทางคอมิดี้ ทำให้เนื้อหาที่ค่อนข้างหนักแปรเป็นความสนุกเพลิดเพลิน ฉากตัวละครทะเลาะกันซึ่งมีหลายต่อหลายฉากกลายเป็นฉากชวนหัว แม้จะเป็นหนังเมโลดราม่าที่มีร่องหลุมเรื่องบทอยู่พอสมควร แต่ด้วยภาพรวมของหนังที่ดูน่ารักอบอุ่น ทำให้มองข้ามข้อด้อยจำนวนหนึ่งไปได้
ออชรี่ โคเฮน(Oshri Cohen) นักแสดงนำในบทชโลมี่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเรื่อง คือจุดเด่นสำคัญของหนัง เขามีบุคลิกอ่อนโยนแต่เข้มแข็ง ทั้งยังดูฉลาดแบบไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ช่วยให้ผู้ชมเอาใจช่วยได้ไม่ยาก
เมื่อคราวหนังเรื่องนี้มาฉายในบางกอกฟิล์ม 2005 ออชรี่ในวัย 21 ปี เดินทางมาร่วมพูดคุยกับผู้ชมด้วย เขาบอกว่าถ่ายหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2001 หรือตอนอายุเพียง 17 ปี ผู้เขียนจำได้ว่าผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเต็มโรงภาพยนตร์ลิโดในวันนั้นให้ความชื่นชมเขามากทีเดียว
จุดที่น่าสนใจและเห็นว่าหนังเน้นเป็นพิเศษคือ สัจพจน์อมตะของ เรอเน เดส์การ์ตส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 17 ที่ว่า ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่ (I think, therefore I am) โดยเริ่มตั้งแต่ฉากแรกหลังจากชโลมี่โดนแฟนสาวบอกเลิก เขามองไปที่หุ่นเปเปอร์มาเช่ที่มีท่าทางเหมือนคนกำลังนั่งคิด มีป้ายเขียนข้อความดังกล่าวแขวนอยู่ หลังจากนั้น ข้อความและหุ่นตัวนี้ยังปรากฏในช่วงท้ายๆ อีกครั้ง ในตอนที่ชโลมี่หาคำตอบเกี่ยวกับอนาคตตนเอง
ลักษณะหุ่นกำลังนั่งคิดที่ว่าก็คือการเลียนแบบรูปปั้น นักคิด หรือ The Thinker ของออกุสต์ โรแดง ที่ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ปัญญาหรือเหตุผลอยู่เสมอ ขณะที่ข้อความของเดส์การ์ตส์เป็นแนวทางของปรัชญาลัทธิเหตุผลนิยม ว่าด้วยภาวะการดำรงอยู่แห่งความจริงแท้โดยเริ่มจากตัว ฉัน
เห็นอย่างนี้หนังไม่ได้นำเสนอปรัชญาเข้าใจยากแต่อย่างใด ผู้สร้างน่าจะต้องการเปรียบเทียบกับตัวละครส่วนใหญ่ที่ชอบคิดถึงแต่ตนเอง หรือคิดและตัดสินคนอื่นโดยเอาตัวเองเป็นใหญ่ ตรงกันข้ามกับชโลมี่ที่มัวแต่คิดห่วงคนโน้นคนนี้จนไม่คิดถึงตนเอง และทำให้ยังติดค้างอยู่ตรงจุดเดิม ไม่อาจขยับลุกไปไหนได้เสียที
อีกจุดที่น่าสนใจคือประเด็นทางสังคม-การเมืองอิสราเอล โดยหนังให้แม่เป็นคนมีอคติกับชาวยิวเชื้อสายโมร็อคโก(ปู่ พ่อ และโรน่า) ตามประวัติศาสตร์ชาวยิวที่อพยพมาจากแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง หรือที่เรียกกันว่า ยิวตะวันออก เคยยุติบทบาททางการเมืองของชาวยิวจากยุโรปด้วยชัยชนะของพรรคลิคุด และส่งให้ เมนาเคม เบกิน(ซึ่งคุณปู่ของชโลมี่เอ่ยถึงเสมอ) ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 1977
ความขัดแย้งระหว่างแม่กับคนอื่นๆ จึงน่าจะมีแง่มุมหรือมิติทางสังคม-การเมืองแฝงอยู่ด้วย
Create Date : 17 ตุลาคม 2549 |
|
3 comments |
Last Update : 17 ตุลาคม 2549 19:20:00 น. |
Counter : 2360 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: วันนี้ มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง (renton_renton ) 18 ตุลาคม 2549 0:38:30 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]
|
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................
พญาอินทรี
ศราทร @ wordpress
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|