Group Blog
All Blog
|
<<< "ใครทำใครได้" >>>
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
............................
#ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ <<< "มหัสจรรย์ของชีวิตขาลง" >>>
ประมวล เพ็งจันทร์ ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน นั่นคือเดินเท้าจากเชียงใหม่ กลับไปยังบ้านเกิดที่เกาะสมุย เป็นการจาริกที่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักสลึงเดียว หากฝากชีวิตไว้กับน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ ตามเส้นทางที่ยาวเหยียดร่วม ๑,๕๐๐ กิโลเมตร เขาได้พานพบประสบการณ์มากมายที่ตราตรึงใจ และให้บทเรียนล้ำค่าแก่ชีวิต หนึ่งในนั้นได้แก่ ตอนที่เดินขึ้นและลงจากดอยอินทนนท์ รู้สึกเหนื่อยมาก ความย่ำแย่ของสภาพร่างกาย ที่สะสมมากหลายวันทำให้เกือบจะถอดใจ เพราะหายใจแทบไม่ออก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย จนต้องนอนแผ่แน่นิ่ง ทั้ง ๆ ที่เหลือเพียงกิโลเมตรกว่า ๆ เขาคงจะอยู่ตรงนั้นอีกนาน หากไม่มีรถคันหนึ่งจอดรับเขาขึ้นไปถึงยอด สองข้างทางนั้นมีสิ่งสวยงามอยู่มากมาย ไกลออกไปก็เป็นทิวทัศน์ที่ชวนพินิจ แต่ทั้งหมดนั้นเขาไม่ทันได้มองเลยขณะที่เดินขึ้นเขา เพราะใจนึกถึงแต่ยอดดอย อยากจะไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียว และชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามสองข้างทาง จิตใจเบิกบานและเป็นสุขอย่างยิ่ง แม้ตอนนั้นร่างกายจะเจ็บปวดก็ตาม มหัศจรรย์ คือความรู้สึกของเขา เมื่อย้อนระลึกนึกถึงประสบการณ์ยามลงเขา คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ ขาขึ้นมากกว่า เพราะมั่นใจว่ามีสิ่งใหม่ ๆ ที่ดึงดูดใจคอยอยู่ข้างบน ไม่ใช่แค่ทะเลหมอกหรือทิวทัศน์อันงดงาม ที่เห็นชัดเจนจากยอดดอยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสำเร็จ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ยามขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิต เพราะหวังจะได้เสพได้ครอบครองอะไรอีกมากมาย ที่ยังไม่เคยประสบสัมผัส แต่น่าคิดว่ามีสักกี่คน ที่เป็นสุขอย่างแท้จริงในช่วงขาขึ้น ใช่หรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะใจนั้นกังวลแต่จุดหมายปลายทาง และกลัวว่าจะไปไม่ถึง แถมยังหงุดหงิด หากเห็นใครแซงไปต่อหน้าต่อตา และเป็นทุกข์มากขึ้น เมื่อมีคนถึงจุดหมายปลายทางก่อน โดยเฉพาะคนที่ออกเดินพร้อมกับตัวเอง คงไม่ต่างจากหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ยิ่งเร่งจะให้ถึงจุดหมายปลายทางมากเท่าไร ก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น บางคนไปไม่ถึง เพราะหมดแรงเสียก่อน ต้องพักรักษาตัว กว่าสังขารจะอำนวย แต่บางคน ก็ต้องยุติการเดินทางแต่เพียงเท่านี้ อันที่จริงประสบการณ์ยามขาขึ้น ไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่อย่าลืมว่าสองข้างทางนั้น ก็อุดมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย ที่ให้ความสุขแก่เราได้ตลอดเวลา ประมวลมาค้นพบความจริงข้อนี้ยามเดินลงเขา แต่ถ้าใจเราไม่จดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้ามากเกินไป ในช่วงขาขึ้นเราก็สามารถเป็นสุขได้ หากรู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ตามรายทางบ้าง เพราะใจจดจ่อแต่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า ผลก็คือขณะที่ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง เรากลับละทิ้งความสุขที่มีอยู่รอบตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นสิทธิของเราโดยชอบธรรม กลายเป็นว่าเสียสองต่อ เราก็เปิดใจชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว หรือตามรายทาง แม้ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง แต่เราก็ได้สัมผัสกับความสุขที่มีอยู่แล้วทุกขณะ เพราะขาลงเราก็ยังสามารถชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่ให้ความสุขและความเบิกบานใจแก่เราได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องไม่ห่วงหาอาลัย ความสำเร็จที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว หากยังมัวนึกถึงประสบการณ์อันตราตรึงใจ บนยอดเขาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ใจเราจะเปิดรับความสุขตามรายทาง ในยามขาลงได้อย่างไร หากเราเดินลงอย่างช้า ๆ และหัดพินิจพิจารณา เราจะมีความสุข เป็นสุขที่อาจจะยิ่งกว่าช่วงขาขึ้น หรือเมื่อถึงจุดสูงสุดของการเดินทางเสียอีก เพราะใจเป็นอิสระจากความคาดหวังทั้งปวง มหัศจรรย์ ของชีวิต ที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน.
พระไพศาล วิสาโล <<< " มันไม่เที่ยง" >>>
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เรา ยึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ น้อยลง เพราะตระหนักได้ว่า ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องจากเราไป ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น ยิ่งระลึกถึงความจริงที่ว่า เราเกิดมามือเปล่า และเมื่อสิ้นลม เราก็ต้องจากไปมือเปล่า ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น จึงเป็นเสมือนกำไร หากสูญไปจนหมดก็แค่เท่าทุน ไม่อาจเรียกว่าขาดทุนหรือสูญเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้เป็นของเราตั้งแต่แรก การระลึกเช่นนี้ยังกระตุ้นให้เราหมั่นให้ทาน หรือสละทรัพย์ให้ผู้อื่น ไม่คิดจะเก็บเอาไว้กับตัวเอง เพราะรู้ว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว.
พระไพศาล วิสาโล <<< "การปลอบประโลมใจ" >>>
แก่คนที่ถูกทุกข์รุมเร้านั้น เป็นบทบาทที่สำคัญ(ของพุทธศาสนา) อย่างน้อยก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า การปล่อยให้เขาจมอยู่ในความทุกข์ ไร้ทางออก สิ้นหวัง จนต้องหันไปทำร้ายตนเอง หรือทำร้ายผู้อื่น เช่น พระสงฆ์ ไม่ควรหยุดเพียงแค่นั้น เพราะการปลอบประโลมใจ หรือให้ความหวังแก่ผู้คนนั้น เป็นการช่วยเขาเพียงชั่วคราวเท่านั้น แม้เขาจะมีเรี่ยวแรงกลับมาตั้งหลักสู้ชีวิต จนปัญหาผ่านพ้นไป อาจจะหายป่วย พ้นจากหนี้สิน หรือทำงานลุล่วง แต่ในที่สุดเขาก็ต้องประสบกับความเจ็บป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย และความตายในที่สุด หากเขาไม่ตระหนักถึงความจริงดังกล่าว หรือไม่เตรียมตัวเตรียมใจเผชิญกับความจริงเหล่านี้ ก็จะทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งเมื่อมันมาอยู่ต่อหน้า ที่ช่วยบรรเทาทุกข์เพียงชั่วคราวเท่านั้น มุ่งปลอบประโลมใจญาติโยม พูดให้เขาสบายใจสถานเดียว นอกจากไม่ยอมบอกความจริง อันระคายหู(แต่จำเป็น)แล้ว ยังถึงขั้นตามใจหรือพะเน้าพะนอญาติโยม เช่น อวยพรให้เขา "รวย ๆๆ" อย่างเดียว กลายเป็นการพะเน้าพะนอกิเลส ส่งเสริมตัณหา ซึ่งมีมากอยู่แล้ว ให้มีมากขึ้น พากันมาวัดเพียงเพื่อหาความสบายใจ ไม่ใช่เพื่อคลายทุกข์เท่านั้น แต่ยังอยากได้ยินคำพูดที่ถูกใจถูกกิเลสจากพระ ครั้นพระพูดถึงความจริงของชีวิต ที่กระตุกใจให้ไม่ประมาท กระทุ้งใจไม่ให้เพลิดเพลินหลงใหลในสิ่งที่เป็นมายา หรือกระแทกกิเลสไม่ให้กำเริบ กลับไม่อยากได้ยิน อุดหูสถานเดียว จำนวนไม่น้อยมาวัดเพื่อทำบุญ ครั้นได้เวลาพระแสดงธรรม ก็รีบกลับบ้านทันที เพื่อทำบุญ ขอน้ำมนต์ เช่าวัตถุมงคล เท่านั้น แม้กระทั่งผู้ที่เรียกตนว่านักปฏิบัติธรรม จำนวนไม่น้อยก็เข้าวัด เพียงเพื่อความสบายใจชั่วคราว มาภาวนาเพียงเพื่อให้ใจสงบ ไม่มีเรื่องว้าวุ่นใจ แต่ไม่คิดที่จะขูดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว หรือขัดเกลาตนเอง ลึก ๆ ก็ยังยึดติด ในลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข แม้ครูบาอาจารย์จะพูดถึงโทษของกิเลส และความยึดติดถือมั่น ก็ไม่สนใจ ที่จะนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง หลายคนอยากไปหาครูบาอาจารย์ที่พูดนุ่ม ๆ ไปอยู่สำนักที่สบาย เลี่ยงไปหาครูบาอาจารย์ ที่มุ่งขนาบลูกศิษย์ ปรารถนาจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ อีกทั้งให้ความหวังแก่เราว่า การพ้นทุกข์นั้นเป็นไปได้ ดังที่เคยตรัสว่า ผู้ใดอาศัยพระองค์ เป็นกัลยาณมิตรแล้ว ย่อมพ้นจาก ความเกิด แก่ เจ็บ และความทุกข์ แต่ในเวลาเดียวกันอีกด้านหนึ่งของพระองค์ ก็คือการเคี่ยวเข็นไม่อ่อนข้อกับกิเลสของผู้คน ดังตรัสกับพระอานนท์ว่า "เราจะไม่ทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอม ..... เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด นอกจากด้านที่ให้ความหวังแก่ผู้คนแล้ว ยังมีอีกด้านที่คอย "ขนาบ" ผู้คน เพื่อขูดเกลากิเลส และรื้อถอนอวิชชา ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาไทย นอกจากจะมีหลวงพ่อคูณ แล้ว จำเป็นต้องมีพระอย่างหลวงตามหาบัวด้วย ควรได้ประโยชน์สูงสุดจากพุทธศาสนา จึงไม่ควรหวังความสบายใจ จากพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่ต้องพร้อมที่จะฟังความจริงที่ไม่หวานหู ไม่พะนอกิเลส แต่เขย่าใจให้ตื่น รวมทั้งกล้าที่จะเคี่ยวเข็นตนเอง เข้าหาการปฏิบัติ ที่ขูดเกลากิเลส สั่นคลอนความหลง ท้าทาย(ความยึดติดใน)อัตตา พร้อมให้ครูบาอาจารย์ขนาบแล้วขนาบอีก ด้วยวิธีอย่างนี้เท่านั้นที่ความทุกข์จะลดลง จนไม่เหลืออีกต่อไป.
พระไพศาล วิสาโล <<< "แสวงหาความดี" >>>
มนุษย์ทั้งหลายท่านหาความดีได้ ทำไมเราหาไม่ได้ เวลาไพล่ไปหาความเลวทรามต่ำช้าทำไมหาได้ สิ่งเหล่านั้นมันวิเศษวิโสอะไร ถ้ามันพาคนให้วิเศษ มนุษย์พากันวิเศษเลิศโลกไปนานแล้ว ไม่จมปลักดังที่เห็นกันอยู่นี้เลย จึงไม่ควรเพลิดเพลิน ไม่ควรมัวเมาไม่เข้าเรื่องอยู่เปล่าๆ อะไรดีมีสาระรีบแสวงหา เวลาตายจะมีที่ยึดที่เกาะ ไม่เป็นไฟทั้งกองไปเสียถ่ายเดียว คนหมดที่พึ่งหมดที่อาศัยเป็นคนดีวิเศษละหรือ ในโลกก็เห็นๆ กันอยู่ยังจะสงสัยอะไรอยู่อีก ถ้าไม่อยากจมน่ะ... หลวงปู่ขาว อนาลโย ......................
อนาลโยวาท |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |