Group Blog
All Blog
|
<<< "ยิ้มให้ชีวิต" >>>
แต่ชีวิตก็สามารถให้สิ่งดี ๆ แก่เราได้มากมาย แม้กระทั่งความทุกข์ที่เราเจอะเจอ ก็สามารถเป็นประโยชน์แก่เรา หากเรารู้จักเรียนรู้จากชีวิตที่ผ่านมา ประสบการณ์ชีวิตสามารถสอนเรา ให้รู้จักเปลี่ยนทุกข์เป็นสุข อีกทั้งโอกาสต่าง ๆ ที่ชีวิตมอบให้แก่เรา ก็สามารถทำให้เราพบประโยชน์สูงสุดของชีวิต นั่นคือ อิสรภาพจากทุกข์ อันเป็นสุขที่ประเสริฐยิ่ง อย่าโกรธเกลียดเคียดแค้นชีวิต ที่นำความทุกข์หรือความผิดหวังมาให้ อย่าคิดว่าทำไมชีวิตจึงโหดร้ายกับฉันนัก มองให้ดีนั่นอาจเป็นโชคที่มาในรูปของเคราะห์ มันคือสิ่งที่เตรียมเราให้พบกับสิ่งวิเศษสุด ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า. ....................... <<< "ทำชีวิตให้วุ่นน้อยลง" >>>
ความวุ่นมักเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง ทั้งโดยการหากิจกรรม หรือสิ่งเสพต่าง ๆ มาทำให้วุ่น และโดยการเร่งรีบทำสิ่งต่าง ๆ จนเกิดความรู้สึกวุ่นขึ้นมา ประการหลังนี้ถูกตอกย้ำให้เป็นหนักขึ้น เมื่อมีทัศนคติว่า เวลาเป็นเงินเป็นทอง หรือ เวลาเป็นของมีค่า จากทัศนคติดังกล่าว ดังนั้นจึงคอยไม่เป็นและเร่งรีบจนเป็นนิสัย หนักกว่านั้นก็คือจะไม่ยอมเสียเวลา ไปกับสิ่งที่ไม่ เป็นเงินเป็นทอง จึงทนไม่ได้กับการนั่งเล่น เดินเล่น ปลูกต้นไม้ บางคนแม้แต่จะพูดคุยกับลูกเมีย ก็ไม่มีเวลาให้ เพราะกลัวว่าจะเสียเวลาทำมาหากิน (แม้แต่เด็ก ๆ ก็ติดทัศนคติแบบนี้มากขึ้นทุกที เด็กคนหนึ่งเมื่อถูกถามว่าทำไมไม่คุยกับพ่อบ้าง คำตอบก็คือ คุยแล้วไม่ได้คะแนน ก็เลยไม่รู้จะคุยทำไม) หรือไม่ก็หางานมาทำตลอดเวลา หรือทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ถ้าหยุดหรือมีเวลาว่างเมื่อไร ก็จะไม่สบายใจหรือรู้สึกผิด เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตจะไม่วุ่นได้อย่างไร จึงอยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ผู้คนแวดล้อม หรือแม้แต่อาชีพการงาน (การวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่าคนอเมริกันในปัจจุบัน ใช้เวลากับการทำมาหากินน้อยลง เมื่อเทียบกับ ๔ ทศวรรษที่แล้ว แต่กลับรู้สึกวุ่นมากกว่า) อย่างแรกที่ทำได้เลยคือลืมไปเสียบ้างว่า เวลาเป็นเงินเป็นทอง ถึงแม้สิ่งที่ทำจะไม่ให้ผลงอกเงยเป็นเงินทอง ก็ควรทำด้วยความใส่ใจ ไม่เร่งรีบ พึงตระหนักว่า ปัจจุบันเป็นเวลาประเสริฐสุด คือทำทุกอย่างในปัจจุบันให้ดีที่สุด แม้จะเป็นแค่การล้างมือ อาบน้ำ หรือถูฟัน เงินทองนั้นสำคัญก็จริงอยู่ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความสุขใจ อันเกิดจากจิตที่ผ่อนคลาย เป็นสมาธิ การมีเวลาให้ใจได้อยู่นิ่ง ๆ และผ่อนคลาย
เช่น ทำสวน เดินเล่น ทำโยคะ หรือนั่งสมาธิ เป็นการทำให้เวลามีค่ายิ่งกว่าเงินทองเสียอีก การทำหลายอย่างพร้อมกัน นอกจากจะทำไม่ได้ดีสักอย่างแล้ว ยังทำให้จิตเป็นสมาธิได้ยาก การแบ่งความใส่ใจให้แก่หลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกเครียดและวุ่นได้ง่าย ถึงเวลาจะพักจิตให้สงบก็ทำไม่ได้ จึงกลายเป็นโรคนอนไม่หลับ. <<< "อยากให้ชีวิตง่ายขึ้นอย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น" >>>
อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น" ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 % คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่ ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มาก ๆ เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10 จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมาก ๆ และตำหนิติเตียนตัวเองมาก ๆ แต่ถึงอย่างไร ๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่ .. ไม่แน่ อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้ เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้ สักแต่ว่า .. สักแต่ว่า .. ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด จึงค่อยออกความเห็น พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มาก ๆ พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา
.. นั่นแหละ ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อย ๆ หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวัน ๆ ก็หมดแรง พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา .. ก็เรื่องของเขา อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา ทำใจเราให้ปกติ สบาย ๆ มาก ๆ หัด-ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข.
คำสอนของ : หลวงปู่ชา สุภัทโท <<< "หลงระเริงในวัย" >>>
เห็นความตายอยู่ใกล้ตนแล้ว ก็จะรีบขวนขวายสร้างคุณงามความดี ให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเองได้ ไม่ระลึกถึงความตายในวันหนึ่งวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าตนเองจะตายในวันใดวันหนึ่งแล้ว ก็ย่อมเป็นคนประมาท เป็นคนที่หลงระเริง เพลิดเพลินอยู่ว่า ชีวิตของเรานี้ จะอยู่ได้ยืนยาวนานไป หลายวันหลายเดือนหลายปี ก็จะมีความประมาท ไม่สร้างสมอบรมบุญบารมี ให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตน แล้วชีวิตก็จะเสียเปล่าประโยชน์ เหมือนบุคคลบางคนนี่แหละ อยู่บ้านอยู่ช่องก็ดี อยู่กับลูกกับหลานก็เหมือนกัน อยู่กับพี่กับน้อง ไม่เคยไปวัดวาอาวาส ไม่เคยศึกษา ไม่ฟังพระธรรมเทศนา ไม่ฝึกฝนอบรมบ่มนิสัยตนเอง มัวเมาลุ่มหลงอยู่ มืดมนอนธการ ไม่รู้จักประพฤติปฏิบัติ ไม่รู้คุณค่าของชีวิตของตน แล้วก็หมกมุ่นอยู่ในความหลง เพลิดเพลินระเริงอยู่ เขาเรียกว่า ... หลงระเริงในวัย ... มันยังหนุ่มยังสาวอยู่ ... เมื่อวัยกลางคนก็หลงว่าเรายังแข็งแรงอยู่ ไม่ควรที่จะเข้าวัดเข้าวา ... เมื่อมาถึงอายุ ๕๐ ปี ๖๐ ปีก็ตาม บางบุคคลก็ยังหลงมัวเมาว่า ตนเองยังไม่เฒ่าไม่แก่ ก็ไม่เข้าวัดฟังธรรมจำศีลเจริญภาวนา ... แม้เฒ่าแก่ชรา ๗๐ ๘๐ ปีขึ้นมาแล้ว ก็จะถึง ๙๐ ปีนี่มีน้อยคนในปัจจุบันนี้ ก็หาว่าตนเองเฒ่าตนเองแก่แล้ว ไปวัดฟังธรรมจำศีลไม่ได้ หูตาฝ้าฟางเดินไม่ไหว ในชีวิตของพวกเราที่เกิดขึ้นมา คนชนิดนี้ทำให้ชีวิตของเขาเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ได้ประโยชน์อะไร เมื่อล่วงลับดับตายไปก็เสียที เกิดมาเปล่าประโยชน์ ว่าควรที่จะทำคุณงามความดี ให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเองก็ไม่ได้ ก็เลยไม่มีที่พึ่งของตน ไปเกิดในภพใหม่ ก็คงจะเสียเปล่าประโยชน์ในชีวิต . หลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ...............................
โอวาทธรรม <<< " ฟังธรรมะแล้วควรปฏิบัติตามจะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้" >>>
จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้" จักได้เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา ถ้าไม่ปฏิบัติก็พึ่งอะไรไม่ได้ จักเป็นคนอนาถาหาที่พึ่งไม่มี มีแต่ภัยแต่เวร ทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน จะพึ่งพาอาศัยอะไรก็ไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติไว้ ให้ได้เป็นสมบัติตัวของเราเอง เมื่อเราได้มาฝึกหัดปฏิบัติ เพื่อให้จิตใจเรามีความฉลาด เกิดมีสติปัญญา ศรัทธาเลื่อมใส เคารพนับถือ เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ แล้วกราบไหว้บูชาทุกวันทุกเวลา อย่างนี้เราก็พึ่งได้ เพราะที่พึ่งของเรามีแล้ว เราทำบุญให้ทาน การกุศลใด ๆ ย่อมได้ผลอานิสงส์มาก เราอยู่ในชาติใด ภพใด เราได้อาศัยซึ่งบุญกุศลที่ตนได้ทำไว้แล้ว เป็นที่พึ่งอาศัย บำรุงตกแต่ง คุ้มครองรักษากาย วาจา ใจ ให้พ้นภัยอันตราย มีแต่ความสุขกายสบายใจ เราจะปรารถนาสิ่งใด ก็ย่อมได้บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จ เพราะมีผู้ได้รับความสำเร็จมากต่อมาก นับจำนวนไม่ได้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันมาแล้ว อย่างนี้พวกเราต้องการไม่ใช่หรือ เมื่อเราต้องการแต่เราไม่ทำ เราจะได้หรือ ไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำ ได้จำเพาะผู้ที่ได้ทำไว้แล้วเท่านั้น ข้อนี้ควรจำไว้ให้ดี.. พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) ...............................
คำเทศนาของ |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |