Group Blog
All Blog
|
<<< "ยิ้มให้ชีวิต" >>>
ที่เรามีกันทุกคนก็คือ ชีวิต ชีวิตทำให้เรามีทุกอย่างที่ทรงคุณค่า ได้พบทุกคนที่มีความหมายต่อเรา มีโอกาสทำความดี ได้พบพระธรรม และได้สัมผัสกับความสุข ปราศจากชีวิต ทุกอย่างที่เรามี ทุกคนที่เราพบ และทุกสิ่งที่เราเป็น ก็จะสูญสิ้นไป แต่ในเวลาเดียวกัน ชีวิตก็ทำให้เราต้องเจอ กับความเจ็บปวด ความพลัดพราก ความสูญเสีย ต้องพบกับสิ่งไม่พึงประสงค์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชีวิตนำมาซึ่งความทุกข์ แต่ชีวิตก็สามารถให้สิ่งดี ๆ แก่เราได้มากมาย แม้กระทั่งความทุกข์ที่เราเจอะเจอ ก็สามารถเป็นประโยชน์แก่เรา หากเรารู้จักเรียนรู้จากชีวิตที่ผ่านมา ประสบการณ์ชีวิตสามารถสอนเรา ให้รู้จักเปลี่ยนทุกข์เป็นสุข อีกทั้งโอกาสต่าง ๆ ที่ชีวิตมอบให้แก่เรา ก็สามารถทำให้เราพบประโยชน์สูงสุดของชีวิต นั่นคือ อิสรภาพจากทุกข์ อันเป็นสุขที่ประเสริฐยิ่ง จึงควรยิ้มให้กับชีวิต อย่าโกรธเกลียดเคียดแค้นชีวิต ที่นำความทุกข์หรือความผิดหวังมาให้ อย่าคิดว่าทำไมชีวิตจึงโหดร้ายกับฉันนัก มองให้ดีนั่นอาจเป็นโชคที่มาในรูปของเคราะห์ มันคือสิ่งที่เตรียมเราให้พบกับสิ่งวิเศษสุด ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า.
" พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล " <<< "เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย" >>>
โยนทิ้งออกไปจากร่างกายเท่านั้น จิตก็เหมือนกับตัวตน กายก็เหมือนกับเสื้อผ้า ไม่เห็นว่าเป็นการสลักสำคัญอะไรเลย แต่เรานี่สิกลัวนักกลัวหนา พอเสื้อผ้าขาดนิด ขาดหน่อย ก็รีบหาอะไรมาปะมาชุนเย็บให้ติดต่อกันใหม่ ยิ่งปะมันก็ยิ่งหนา ยิ่งหนาก็ยิ่งอุ่น ยิ่งอุ่นก็ยิ่งคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งหลง ผลที่สุดไปไหนไม่รอด การอยู่และการตายไม่สำคัญเท่ากับการทำประโยชน์ เราเองต้องพิจารณาเช่นนั้น ถึงร่างกายมันจะตายก็ยังอยากจะให้มันอยู่ นี่เป็นเพราะอะไร? เพราะอวิชชา ความไม่รู้เท่าความเป็นจริงในสังขาร หลงแล้ว คิดผิด ทั้งหมด อย่างนี้มันก็จะต้องตายไปตกนรกหมกไหม้ ไม่รู้จักผุดจักเกิด เราจะเป็นเช่นนั้นหรือ? มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งอัตตาและอนัตตา เช่น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของเที่ยง เพระมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ธาตุน้ำไม่เคยกลายเป็นลม ธาตุลมไม่เคยกลายเป็นไฟ มันเคยเป็นมาอย่างไร มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น นี่เป็นส่วนที่เป็นอัตตาของเที่ยง ส่วนที่ไม่เที่ยงนั้น คือ ลักษณะอาการของมัน ที่ไม่ใช่ตัวตนจริง แล้วเราจะมานั่งเฝ้าโลกกันอยู่อย่างนี้นะหรือ? ไม่ช้าเราก็จะต้องจากมันไปแน่ๆ ดังนั้นเราจึงไม่ควรหลงติดอยู่ ประหัตประหารให้ได้รับความคับแค้นใจอยู่ทุกขณะ เราต้องการความสุขหรือความทุกข์? เราต้องการแต่ความสุข ไม่ต้องการความทุกข์ แต่อะไรเล่าเป็นความสุขอันแท้จริงของตัวเรา? เราก็พยายามไปหามาให้มันกิน ครั้นกินๆ เข้ามากก็เกิดอึดอัดไม่สบายอีก เราคิดว่านอนนี่แหละ ต้องเป็นความสุข เราก็นอน...นอน... วันยังค่ำ จนหลังมันแข็ง ก็เกิดความไม่สบายอีก คราวนี้ก็คิดว่าเงินทองทรัพย์สมบัตินี่แหละ คงเป็นความสุขแน่นอน เราก็พยายามไปหาเงินทองมาให้มันใช้เต็มที่ แต่มันก็ไม่สุขอีก แล้วอะไรเล่า ที่เป็นความสุขอันแท้จริง? คือ ความสงบที่เกิดขึ้นในจิตใจ ใจที่พ้นจากโทษความดิ้นรน ไม่มีกระสับกระส่ายเดือดร้อนกระวนกระวาย ถ้าใครมานั่งหลงติดโลกว่า มันเป็นของวิเศษวิโสอยู่ นั่นไม่ใช่นิสัยของบัณฑิต ผู้ใฝ่ใจในธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่อจะให้เป็นทางที่พ้นไปจากโลกนี้ นั่นแหละจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง เรามาขัดสีข้าวเปลือกในยุ้งให้เป็นข้าวสาร จิตของเราเปรียบด้วยเมล็ดข้าว นิวรณ์ทั้ง ๕ เปรียบเหมือนกับเปลือกที่หุ้มเมล็ดข้าวอยู่ เราต้องกะเทาะเปลือกนอกนี้ออกจากเมล็ดข้าวเสียก่อน แล้วขัดสีคราบที่ไม่สะอาดออกอีกชั้นหนึ่ง เราก็จะได้ขาวสารที่บริสุทธิ์. ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ............................. พระธรรมเทศนา
<<< "ทุกข์ที่ไหน ดับทุกข์ที่นั่น" >>>
เพราะเป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุด จริงที่สุด และมีประโยชน์มากที่สุด มีความทุกข์ที่ไหนต้องดับความทุกข์ที่นั่น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้เป็นสิ่งที่กระทำได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า... สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงก็มีความดับเป็นธรรมดา" วัฏฏสงสารก็ต้องมีความดับเป็นธรรมดา เราอย่าได้ไปแยกออกจากกันเลย มันเกิดที่ไหนมันต้องดับที่นั่น มันขึ้นทางไหนมันต้องลงทางนั้น ว่ามันเกิดขึ้นมาจาก"อวิชชา " ฉะนั้น เราต้องดับลงที่"อวิชชา" ขึ้นทางไหนต้องลงทางนั้น หมายความว่า ความทุกข์เกิดขึ้นตรงไหนต้องดับที่ตรงนั้น อย่ามัวไปหาที่ดับที่อื่นเลย เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า... โลกนี้ก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี หนทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลก ตถาคตบัญญัติไว้.. ในร่างกายอันยาวประมาณวาหนึ่งนี้ พร้อมทั้งสัญญาและใจ เราก็จงดู"ความไม่มี" ว่ามันอยู่ที่"ความมี" คือวัตถุอย่างหนึ่งตั้งอยู่ เราพูดว่ามี"ความมี" แล้ว"ความไม่มี"อยู่ที่ตรงไหน ความไม่มีมันก็ซ้อนกันอยู่ที่วัตถุนั้นเอง อยู่ที่ความมีของวัตถุนั่นเอง ลองเอาความมีของวัตถุนั้นออกไป ก็จะพบความไม่มีของวัตถุนั้นอยู่ตรงที่เดียวกัน ก็มีความดับทุกข์อยู่ที่นั่น เราต้องหา"ความดับทุกข์"ที่"ความทุกข์"เสมอไป... ที่กลางเตาหลอม หาความเย็นที่สุดจากความร้อนที่สุด เย็นที่สุดนั้นมันอยู่ที่ร้อนที่สุด จงหาความดับที่ความเดือด ถ้าวัฏฏสงสารเป็นความเดือด นิพพานก็ต้องเป็นความดับ และหาได้ที่ความเดือด อย่าว่าแต่จะรู้หรือจะกระทำเลย แม้แต่นึกก็ยังไม่เคยนึก ทำให้เป็นคนโง่ เหมือนกับคนโง่ชนิดหนึ่งซึ่งว่าโดยที่แท้แล้ว เพชรมีอยู่ที่หน้าผากของตัว แต่ไม่เคยทราบ ไม่เคยคลำหาเพชรแท้ๆ มีอยู่แล้วที่หน้าผากของตัว มีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยทราบและไม่เคยคลำหา นี่แหละ! คือคนที่โง่ ที่ไปหานิพพานที่อื่นจากวัฏฏสงสาร" ........................ ๒ มิถุนายน ๒๕๑๑ จากหนังสือ "มองด้านใน" ชุดที่ ๒ <<< "ของขลังแบบพระพุทธเจ้า" >>>
อย่างนี้ละสิ่งแทรกซึมแทรกซึมเข้าศาสนา แทรกซึมเข้าอย่างนี้แหละ องค์ศาสนาจริง ๆ จะไม่ปรากฏนะเวลานี้ มีแต่สิ่งแทรกซึมซ่องสุมเข้าไปในวงศาสนา มีแต่ของปลอม ๆ แทรกเข้าไป ๆ เต็มหมดบ้านหมดเมือง ชาวพุทธเรา ไปไหนยื่นของขลังให้กัน ไอ้ขลังภายในที่จะปฏิบัติตัวให้ดีนี้ไม่ยอมสนใจเลย องค์ศาสนาจริง ๆ ไม่เอา ไปหาเกาที่ไม่คัน สู้หมาขี้เรื้อนไม่ได้ หมาขี้เรื้อนมันเกาถูกที่คันนะ มันคันตรงไหนมันเกาตรงนั้นถูก อันนี้เกาดะไปเลย ถลอกปอกเปิกไม่หายาใส่ แต่เกาเรื่อย นี่ซิน่าทุเรศนะ การปฏิบัติตัวให้ดีเพื่อความร่มเย็นแก่ตนเอง และครอบครัวตลอดสังคมทั่ว ๆ ไปนี้ไม่ยอมสนใจทำ องค์ศาสนาแท้อยู่ตรงนี้ไม่สนใจ มีแต่ของขลังเต็มบ้านเต็มเมือง เดี๋ยวนี้ ไม่ทราบขลังอะไรก็ไม่รู้เราก็แปลไม่ออก ให้ขลังในเจ้าของซิ ตั้งใจปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี นั่นละขลังอยู่ตรงนั้น ความชั่วกลัวขลังแบบนี้ แต่ขลังแบบที่ว่าความชั่วไม่ได้กลัวนะ กิเลสหัวเราะ เพราะเป็นทางของกิเลสเดิน... หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
.................................
พระธรรมคำสอนโดย <<< "รักษาสติให้เป็น" >>>
มันก็ไปตามเรื่องของมัน แต่ถ้าเราผูกมัดมันไว้กับหลักแล้ว มันก็หากินรอบหลักนั่นแหละ มันไม่สามารถวิ่งตามไปใจมันได้ นี้เหมือนกันกับจิตใจของเรา ตัวเราต้องทำด้วยตัวเราเอง ครูบาอาจารย์มีแต่บอกทางเท่านั้น จะไปทำแทนกันไม่ได้ เหมือนความเจ็บความปวดนั่นแหละ คิดซิ! เจ็บปวดตรงนี้ตรงนั้น มีแต่ถามหาอาการเท่านั้น ปวดหัวตัวร้อน ก็มีแต่ถามหาอาการเท่านั้น จะไปเจ็บปวดแทนกันไม่ได้ เหมือนกับการกินข้าว ถ้าเราไม่กินก็ไม่รู้จักรสชาติ ไม่รู้จักความอิ่ม นี่ก็เหมือนกัน นั่นก็อร่อย นี่ก็อร่อย ถึงใครจะบอกอะไรเรา ถ้าเราไม่รับไม่กินก็เท่านั้น ไม่รู้เรื่องฉะนั้น การปฏิบัติครูบาอาจารย์ เมื่อท่านบอกท่านเทศน์ เราเองต้องลงมือประพฤติปฏิบัติ เราต้องทำอย่างที่ท่านบอก เราถึงจะเห็นเป็นปัจจัตตัง กำหนดสติพรึบ! ทันทีทันใด รักษาสติให้เป็น ถ้าถูกต้อง มันเป็นมหาสติมหาปัญญา มันจะทันกันอยู่นั่นแหละ ถ้าปัญญาแก่กล้าเข้าไป ก็เปรียบเสมือนยามรักษาการ มีอะไรเกิดขึ้นมา ก็รู้เท่าทันไปหมด พูดง่าย ๆ ว่า เป็นยาม ถ้าถึงขั้นนั้นแล้ว ก็มียามรักษาความปลอดภัย... หลวงปู่ลี กุสลธโร ..........................
โอวาทธรรม |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |