การตายนั้นเป็นการแก้ผ้าขี้ริ้ว
ออกโยนทิ้งไปจากตัว
การตายนั้น...นักปราชญ์บัณฑิตท่านเห็นเหมือนกับว่า
เป็นการแก้ผ้าขี้ริ้วออกโยนทิ้งไปจากตัวเท่านั้น
จิตก็เหมือนกับตัวคน กายก็เหมือนกับเสื้อผ้า
ไม่เห็นว่าเป็นการสลักสำคัญอะไรเลย
.
แต่พวกเรานี่สิกลัวนัก
พอเห็นเสื้อผ้าขาดนิดขาดหน่อย
ก็รีบหาอะไรมาปะมาเย็บให้มันติดต่อเข้าไปใหม่
ยิ่งปะยิ่งเย็บ มันก็ยิ่งหนา ยิ่งหนาก็ยิ่งอุ่น
ยิ่งอุ่นก็ยิ่งติด ยิ่งติดก็ยิ่งหลง
ผลที่สุดเลยไปไหนไม่รอด
.
นักปราชญ์บัณฑิตนั้น ท่านเห็นว่า
การอยู่การตายไม่สำคัญเท่ากับการทำประโยชน์
ถ้าการอยู่ของท่านมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว
ถึงผ้ามันจะเก่า เสื้อมันจะขาดจนเป็นผ้าขี้ริ้ว
ท่านก็ทนใส่มันได้ แต่ถ้าเห็นว่า
ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใครแล้ว
ท่านก็แก้มันโยนทิ้งไปเลย
.
ผิดกับคนธรรมดาสามัญอย่างเราที่ไม่มีใครอยากตาย
พอพูดถึงตาย ก็กลัวเสียแล้ว
ถึงร่างกายมันจะตายก็ยังอยากจะให้มันอยู่
บางคนร่างกายมันจะอยู่ ก็อยากจะให้มันตาย
ตายไม่ทันใจเอามีดมาเชือดคอให้มันตายเร็วเข้า
เอาปืนมายิงให้มันตายบ้าง
กระโดดให้รถไฟทับตายบ้าง
กระโดดลงแม่น้ำให้มันจมตายบ้าง ฯลฯ
.
อย่างนี้นี่เป็นเพราะอะไร ? เพราะอวิชชา
ความไม่รู้เท่าความเป็นจริงในสังขาร
หลงผิด คิดผิดทั้งหมด
อย่างนี้มันก็จะต้องตายไปตกนรกหมกไหม้
ไม่รู้จักผุดจักเกิด
.
พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร
ขอบคุณที่มา fb. วัดป่า
ขอบคุณเจ้าชองภาพค่ะ